Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

บทเรียนราคาแพงจากการต่อสู้ของ 2 คู่กัด Obama (โอบามา)/Putin (ปูติน)และ Mayweather (เมย์เวทเธอร์)/Alvarez (อัลวาเรซ)

พิมพ์ PDF

เดือนกันยายนเป็นฤดูฝนที่ถึงแม้น้ำจะไม่ท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ แต่ฝนก็ตกหนักและท่วมเป็นจุดๆ

n ปัญหาม็อบของภาคใต้ยังไม่จบ รัฐบาลอย่าประมาทควรเอาใจใส่แก้ปัญหาหาทางออกให้สำเร็จ

n อนาคตประเทศไทยไปทางไหน ยังไม่มีใครทราบเพราะมีรัฐบาลที่เน้นผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม

n อยากได้รัฐบาลเป็นที่พึ่งระยะยาวของคนไทยทั้งประเทศ แต่ก็ยังไม่มี

n อยากได้รัฐบาลที่มีความรู้ ทันโลกภายนอกได้ พร้อมจะปรับและเปลี่ยนแปลง

n แต่ก็ยังต้องรอไปก่อน

สุดท้ายขอเตือนคนไทยทุกๆ คนว่า ความเสี่ยงเรื่องรักษาวินัยทางการคลัง อันตรายจากการจัดสรรงบประมาณที่เน้นประชานิยมและความตกต่ำทางเศรษฐกิจอันน่าวิตกในระยะยาว

สัปดาห์นี้มีบทเรียนราคาแพงมาฝากผู้อ่านจากการต่อสู้กัน 2 คู่ คู่หนึ่งเป็นระดับการเมือง อีกคู่หนึ่งในระดับกีฬา

ขอพูดเรื่องกีฬาก่อน เพราะในเมืองไทยจะมองกีฬาเป็นเรื่องของผู้สนใจกีฬาเท่านั้น ไม่ได้มองกีฬาเป็นภาพใหญ่เป็นบทเรียนของชีวิตของการทำงาน

ผมโชคดีได้เล่นกีฬาตั้งแต่เด็กๆ ปัจจุบันก็จะออกกำลังกายอยู่เสมอ ติดตามดูและอ่านวิเคราะห์กีฬาอย่างต่อเนื่องเป็นชีวิตที่มีค่า มีความสุขจากการได้บทเรียนดีๆ ปัจจุบันก็ช่วยสมาคมบาสเกตบอลแห่งประเทศไทยในฐานะอุปนายกคนที่ 1

ตัวอย่าง คู่กัดที่น่าสนใจคือ มวยคู่หยุดโลก ระหว่าง Mayweather กับ Alvarez มีบทเรียนที่น่าสนใจเป็นควันหลงหลังสามารถนำมาเรียนรู้หลายๆ เรื่อง

Alvarez เป็นชาวเม็กซิกัน หนุ่มกว่า Mayweather เกือบ 13 ปี คือ อายุแค่ 23 ปี แถมยังเป็นนักมวยที่มีน้ำหนักมากกว่าคือ รุ่นใหญ่กว่า

ส่วน Mayweather ถือว่าเป็นนักมวยอายุมาก คือ 36 ปี การชกครั้งนี้แบกน้ำหนักกว่า 15 ปอนด์ ก่อนชกคาดว่านักมวยหนุ่มสด และน้ำหนักมากกว่าน่าจะชนะสบายๆ เพราะมีพละกำลังดีกว่า ฝีมือก็สูสี

แต่ปรากฏผลออกมาผิดคาดเพราะใน 12 ยก ที่ชกกัน Mayweather ชกชนะแบบสบายอย่างคาดไม่ถึง จึงมีบทเรียนวิเคราะห์กันว่า

- ประสบการณ์สำคัญกว่าความหนุ่ม

- ลำพังเพียงความหนุ่มและพละกำลังไม่พอ

อะไรจะสำคัญกว่ากันจากผลของมวยคู่นี้พบว่าความหนุ่มที่มีพละกำลังมากกว่า แต่ขาดประสบการณ์ทำไม่สำเร็จและพ่ายแพ้ในที่สุด

ดังนั้นยุคสังคมผู้สูงอายุในเมืองไทยยังมีประสบการณ์ที่จะช่วยประเทศได้มาก ดังนั้น คนทุกๆ วัยไม่ว่าหนุ่มสาวหรือแก่ ต้องทำงานร่วมกันคือผสมระหว่างประสบการณ์และวัยหนุ่มพลังมากเข้าด้วยกัน ผมจะขอเรียกว่าเป็นระบบ Synergy

แต่ปัจจุบันความขัดแย้งระหว่างวัยหรือระหว่างรุ่น Generation ในเมืองไทยมีมากมายต่างคนต่างคิดว่ามีดีถ้าไม่สร้างสะพาน (Bridge) ให้วัยหนุ่มกับวัยสูงอายุได้ทำงานร่วมกัน ผลงานก็จะได้ไม่เป็นเลิศ

ดังนั้นจึงฝากให้ช่วยกันคิดว่า วัยแก่ที่พยายามเรียนรู้จากวัยหนุ่ม ขณะที่วัยหนุ่มก็ต้องยอมรับฟังและศึกษาประสบการณ์ของวัยสูงอายุด้วย

แต่ที่ยังทำไม่สำเร็จ เพราะยังไม่มีสะพานเชื่อม 2 วัยเข้าด้วยกัน จึงเป็นบทเรียนราคาแพง จึงไม่ไปสู่มูลค่าจากความหลากหลาย (Value Diversity)

ส่วนอีกคู่ ระหว่างโอบามากับปูตินเป็นบทเรียนทฤษฎีผู้นำของผมเรื่องจังหวะและความเร็วให้เป็นประโยชน์ (Rhythm and Speed) ซึ่งผมได้เขียนไว้ในการกำหนดคุณสมบัติของผู้นำหลายปีแล้ว

ต้องยอมรับว่าปัญหาซีเรียมีทางออกแบบฉลาดเฉลียวจากการที่ปูตินซึ่งตามปกติจะค้านนโยบายของสหรัฐทุกๆ ด้าน แต่เมื่อปูตินเห็นโอกาสและจังหวะก็ได้แสดงออกมาว่า “ฉันต้องการจะเป็นแนวร่วมกับโอบามา” ด้วยการเจรจาให้ซีเรียยอมรับว่ามีอาวุธเคมีพร้อมที่จะให้สหประชาชาติ ร่วมกับสหรัฐทำลายอาวุธเคมีที่มีอยู่

ผลประโยชน์ของรัสเซียคืออะไร?

1.รัสเซียไม่ต้องการให้มีอิสลามหัวรุนแรงเป็นศัตรูกับรัสเซียในอนาคต ถ้าอิสลามหัวรุนแรงมีอาวุธเคมีด้วย วันหนึ่งจะต้องย้อนกลับมาถล่มรัสเซีย เพราะรัสเซียมีชาวมุสลิมเป็นศัตรูในประเทศอยู่หลายกลุ่ม

2.ประเด็นที่ 2 ในช่วง 20 ปี หลังสงครามเย็น รัสเซียถูกสหรัฐ ครองเป็นเจ้าโลกคนเดียว สหรัฐเป็นผู้นำของโลก การที่ปูตินเสนอให้ทำลายอาวุธเคมีของซีเรียแสดงให้เห็นว่า รัสเซียมีอิทธิพลในความเป็นผู้นำของโลกเท่าๆ กับสหรัฐ หากสำเร็จก็จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง

และโอบามาได้อะไร? โอบามาต้องการหลีกเลี่ยงสงครามเพราะต้องใช้เงินมาก เศรษฐกิจไม่แข็งพอ

-ถ้าโจมตีซีเรียก็ไม่จบ คงจะมีผลกระทบต่อเนื่องแบบในอิรักและอเมริกาอาจจะถูกโจมตีกลับ แบบ 9/11

-การใช้วิธีการทูต ให้ได้ถือว่าโอบามาใช้จังหวะและความเร็ว เช่นกัน

แต่ข้อเสียก็คือ คนในอเมริกา มองโอบามาว่าอ่อนแอ ไม่เด็ดขาด ไม่ได้แสดงความเป็นผู้นำให้เป็นที่พึ่งของโลก

ผู้อ่านก็ลองไปคิดว่าบทเรียนของคู่กัดทั้งสองคู่ น่าสนใจและนำมาใช้ได้อย่างไร?

 

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ

อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน

www.gotoknow.org/blog/chiraacademy

แฟกซ์ 0-2273-0181

 

แก้ไขล่าสุด ใน วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 10:38 น.
 

ประเทศไทยช่วงนี้ตกต่ำ 3 เรื่อง

พิมพ์ PDF

ประเทศไทยช่วงนี้ตกต่ำ 3 เรื่อง

- การศึกษา ตกต่ำ แพ้ แม้กระทั่งกัมพูชา

- เศรษฐกิจตกต่ำส่งออก = 0, GDP เหลือ 3%

- ประธานสภาฯ หลงอำนาจตกต่ำทางจริยธรรม

ในระหว่างที่มีเรื่องร้อนๆ ม็อบยางพารา เป็นการแสดงถึงความประมาทและไม่จริงใจของรัฐบาลที่มองว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ปล่อยให้บานปลายลุกลามไม่จบซะที คงเป็นประเด็นที่ผู้อ่านต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ส่วนการแสดงศักยภาพของคุณยิ่งลักษณ์ เรื่องเชิญผู้นำของโลกมาสร้างภาพลักษณ์กับประชาธิปไตยของระบอบทักษิณเพื่อปรองดองก็ผิดคาดว่าไม่เป็นไปตามที่คาด เพราะผู้เชี่ยวชาญที่มาโดยเฉพาะโทนี่ แบลร์ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่เสียงข้างมากหรือเลือกตั้งเท่านั้น ต้องเป็นประชาธิปไตยที่ทำคุณประโยชน์ให้ประชาชนส่วนใหญ่และต้องเคารพเสียงข้างน้อยด้วย อย่าให้เสียงข้างมากลากไป

ทำให้คนชาวโลก ได้เข้าใจและเห็นปัญหาของรัฐบาลระบอบทักษิณมากขึ้นว่า ชนะเลือกตั้งได้แต่ต้องบริหารประเทศ
ด้วยความโปร่งใส มีธรรมาภิบาล ทุกๆ คน หน้าแตกไปตามๆ กัน

สัปดาห์นี้ ผมมีเรื่องจะแบ่งปัน 3 เรื่อง ทั้งหมดเป็นเรื่องของประเทศไทยที่อยู่ในภาวะวิกฤติและเป็นช่วงตกต่ำสุดขีด ซึ่งคนไทยในประเทศควรสำนึกและช่วยกันหาทางแก้ไขลำพังแค่รอให้มีรัฐบาลที่ดีแก้อย่างเดียวคงไม่ได้ผลจึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกๆ คน

โทนี่ แบลร์

สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์

จาตุรนต์ ฉายแสง

เรื่องแรก เป็นข้อคิดเห็นของลูกศิษย์ปริญญาเอกของผม คุณชัยพร เหมะ ขอให้ผมวิเคราะห์บทบาทของประธานสภาฯ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์

ผมคิดว่า จุดอ่อนของคุณสมศักดิ์มีอยู่หลายเรื่อง แต่เรื่องใหญ่ๆ น่าจะมาจากความสับสนของท่านระหว่าง คำว่า “ผู้นำ”

ผู้นำในความหมายของคุณสมศักดิ์คือ ตำแหน่งหน้าที่กฎหมายรองรับ เช่น ตำแหน่งประธานสภา ตำแหน่งปลัดกระทรวงหรืออธิบดีหรือตำแหน่งรัฐมนตรี

ภาษาอังกฤษเรียกว่า ผู้นำที่มาจาก Authority (รองรับด้วยกฎหมายและกฎระเบียบ) แต่ คุณสมศักดิ์ ท่านลืมไปว่าปัจจุบันการวิเคราะห์เรื่องผู้นำไม่ใช่เรื่องอำนาจหน้าที่เท่านั้น แต่เน้นเรื่องศรัทธา หรือ Trust ที่เกิดขึ้นหรือถูกสร้างขึ้น ซึ่งการจะสร้างศรัทธาได้ต้องทำ 4 ขั้นตอน

- Self Trust ศรัทธาตัวเอง นับถือตัวเองก่อน

- Relationship ศรัทธากับความสัมพันธ์กับคนอื่น เช่น ให้เกียรติพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่เข้าใจแต่พรรคตัวเอง

- Organization Trust ศรัทธาให้องค์กร (สภาผู้แทนฯ)

- Social Trust ศรัทธาที่สังคมทั่วๆ ไปยอมรับ

สรุปคือ ลูกน้องท่านประธานน่าจะนำบทความของผมไปให้ท่านอ่านต่อ เพราะท่านตกทั้ง 4 เรื่อง

ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ประธานสมศักดิ์จะถูกคนกล่าวหาว่า

- บ้าอำนาจ

- บ้าส่งให้ตำรวจมาควบคุม สส.เพราะไม่ปฏิบัติตาม

เป็นความตกต่ำอย่างมหาศาลของประธานสภาฯ คนปัจจุบัน

ส่วน การตกต่ำอย่างเสียศักดิ์ศรีของประเทศไทยอีกเรื่องคือ การจัดอันดับ

ดังนั้น การศึกษาอยู่ระดับ 8 ของ ASEAN แพ้ แม้กระทั่งเขมรหรือเวียดนาม เรื่องเวียดนาม ผมคิดว่าเข้าใจรับได้แต่เขมรผมว่ามาก คาดไม่ถึง

ผมติดตามเรื่องนี้มานาน ไปพูดที่กระทรวงศึกษาฯ ช่วงแรกๆ ก็อาจจะถูกข้าราชการประจำโจมตีผมว่าอยู่ข้างนอก ไม่รู้เรื่อง แต่บัดนี้ผลงานประจักษ์ประเทศไทยล้มละลายทางปัญญา ผมพูดมานานก่อนมีการจัดอันดับออกมา ผลของการจัดอันดับครั้งนี้ ทำให้คนไทยตื่นตัวมากขึ้น

ผมคิดว่า มีเหตุผลและปัจจัยหลายๆ ด้าน เริ่มแรก คือ

ค่านิยมของการศึกษา คือบ้าปริญญาแต่ไม่บ้าปัญญา เน้นเพื่อประดับบารมี ไม่เน้นการแสวงหาความรู้และเอาความรู้ไปแก้ปัญหา

- ขาดคุณภาพ มีแต่ปริมาณ

- ขาดวิธีการเรียนรู้ที่นำไปใช้ คือ เรียนแบบตำราโบราณ ไม่เน้นความจริงและก็ลอกๆ กัน และเน้นที่สอบไม่มีการวิเคราะห์และแลกเปลี่ยนกัน

- มีการร่วมศูนย์อำนาจไว้ ที่ส่วนกลางมากเกินไป ไม่เปิดโอกาสให้สถานศึกษามีเสรีภาพ

- ปฏิรูปการศึกษาแต่ปฏิรูปโครงสร้างเป็นแท่งๆ มากขึ้น มี C 11 มากขึ้น แต่ไม่มีการบูรณาการข้ามแท่งหรือปฏิรูปพฤติกรรมของผู้บริหาร

- ครูขาดขวัญกำลังใจ

- เด็กไม่มีความสุขในการเรียน เรียนเพื่อสอบ

การเมืองแทรกแซงมากเกินไป เรื่องการศึกษาครูกลายเป็นฐานเสียงทางการเมืองมากกว่าเป็นมืออาชีพ ผมคิดว่าความตกต่ำครั้งนี้เป็นกระจกส่องให้ต้องปรับปรุงอย่างแท้จริง

ผมเชื่อว่าเรื่องการศึกษาแก้ได้ แต่ต้องแก้ด้วยมืออาชีพและมีการเมืองสนับสนุน เป็นวาระแห่งชาติและต่อเนื่องอย่าทำแบบฉาบฉวย

สุดท้าย

ที่คาดไว้ว่าเศรษฐกิจจะอยู่ประมาณ 4% ตอนนี้คาดว่าคงจะไม่เกิน 3.50% หรือต่ำกว่านั้น แต่ที่น่ากลัวเป็นการตกต่ำอีกเรื่องหนึ่งคือ เศรษฐกิจชะลอตัว แต่ของแพงทั้งแผ่นดิน ก๊าซขึ้น ทางด่วน ไฟฟ้า ผู้อ่านจึงต้องวิเคราะห์ว่าอนาคตของเศรษฐกิจไทยจะไปทางไหน?

ถ้าคนไทยยังมีความรู้สึกสบายๆ นายกฯก็เดินทางไปต่างประเทศเดือนละ 2 ครั้ง

ความตกต่ำเหล่านี้ “ใครจะช่วยเราได้”

 

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ

อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน

www.gotoknow.org/blog/chiraacademy

แฟกซ์ 0-2273-0181

 

 

สอนเด็กให้เป็นคนดี : ๕. จริยธรรม (๒) ความเห็นอกเห็นใจ และความเป็นตัวของตัวเอง

พิมพ์ PDF

บันทึก ๒๐ ตอนนี้ มาจากการตีความหนังสือ Teaching Kids to Be Good People : Progressive Parenting for the 21stCentury เขียนโดย Annie Fox, M.Ed.

ตอนที่ ๕นี้ ตีความจากบทที่ ๒How Should I Know What to Do? Doing the Right Thing is Good Karma โดยที่ในบทที่ ๒มี ๔ ตอน ในบันทึกที่ ๔ได้ตีความตอนที่ ๑ และ ๒ ไปแล้ว ในบันทึกที่ ๕ จะเป็นการตีความตอนที่ ๓ และ ๔

ตอนที่ ๓ของบทที่ ๒เป็นเรื่องการทำสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่หวังผลตอบแทน อ่านชื่อหัวข้อแล้ว ผมนึกถึง คนระดับ ๖ และระดับความต้องการตามแนวคิดของ Maslow แต่ข้อความในหนังสือไม่ตรงกันกับที่ผมตีความหัวข้อ คือเป็นเรื่องเกี่ยวกับสภาพสังคมในกลุ่มเด็กวัยรุ่น ที่ตกอยู่ใต้แรงกดดัน และการรังแก จากเพื่อน เพราะวัยรุ่นมีความต้องการการยอมรับจากเพื่อนสูงอย่างไร้เหตุผล

ผมอ่านสาระในตอนนี้แล้วตีความว่า เป็นเรื่องของการเคารพตนเอง และเคารพคนอื่น (เพื่อน) เด็กและเยาวชนต้องได้รับการฝึกฝนให้มีความเคารพตนเอง (มั่นใจตนเอง) และเคารพคนอื่น (เพื่อนๆ) ในเวลาเดียวกัน ให้พื้นฐานจิตใจส่วนนี้แข็งแรงมั่นคง เพื่อให้บังคับใจตนเองให้มีการ ตัดสินใจอย่างยึดมั่นในคุณธรรม (ethical decision-making) ได้ แม้ยามมีอารมณ์ชั่ววูบ ไม่ปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบนั้นเข้าครอบครองตัวตน จนแสดงพฤติกรรมที่เป็นการทำร้ายหรือรังแกผู้อื่น ผู้เขียนใช้คำว่า thoughtful reflective behavior

คำถามของครูของลูกผู้เขียน ตนพบว่าลูกชายวัยรุ่นของตนมีนิสัยเอาแต่ใจตัว ชอบบังคับเพื่อนหญิงให้ทำตามที่ตนต้องการ เมื่อเพื่อนไม่ทำตามก็ทิ้งเพื่อน ตนเองเป็นแม่ที่เลี้ยงลูกคนเดียว จึงเสียใจมาก ที่ลูกมีนิสัยเช่นนี้ ตนจะคุยกับลูกอย่างไรดี

คำตอบของผู้เขียน หลักการพูดกับลูกวัยรุ่นคือ ให้หลีกเลี่ยงการเทศนา หรือสั่งสอนลูก แต่ให้ตั้งคำถามให้ลูกคิด และให้เป็นฝ่ายรับฟังลูกมากกว่าเป็นผู้พูด ผู้เขียนแนะนำให้หาโอกาสคุยกับลูกชายเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อน ทั้งเพื่อนเพศเดียวกันและเพื่อนต่างเพศ ใครก็ตามที่อยากได้เพื่อนที่ดี ตนต้องเป็นเพื่อนที่ดีก่อน เพราะความสัมพันธ์เป็น ถนนสองทาง เราต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เราต้องการให้เขาดีต่อเราอย่างไร เราต้องดีต่อเขาอย่างนั้น ผู้เขียนแนะให้แม่ถามลูกชายว่า รู้ไหมว่าเพื่อนชายที่ดีเป็นอย่างไร แล้วให้ปิดปากไม่พูดอะไรอีก

ถ้าลูกชายตอบว่า ผมไม่ทราบ ก็ให้บอกว่า ถ้าอย่างนั้นแม่จะบอกให้ ในฐานะที่แม่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ชอบให้มีคนมากดดันให้ทำในสิ่งที่ตนไม่พร้อมที่จะทำ ผู้ชายที่กดดันผู้หญิงเพื่อความต้องการของตนเองฝ่ายเดียว เป็นคนที่ไม่เคารพอีกฝ่ายหนึ่ง ผู้หญิงที่ดี เป็นคนที่เคารพตนเอง และจะไม่ยอมทำตามแรงกดดันใดๆ และจะบอกให้อีกฝ่ายหนึ่งเลิกกดดัน ลูกเองมีสิทธิที่จะบอกอีกฝ่ายหนึ่งให้เลิกกดดันให้ลูกทำสิ่งที่ลูกไม่ชอบ และต้องเคารพในสิทธิของเพื่อนหญิงที่จะบอกให้ลูกเลิกกดดันในเรื่องนั้น

ตอนที่ ๔ ของบทที่ ๒ เป็นเรื่องความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ตกเป็นเหยื่อของแรงกดดันจากเพื่อน (peer pressure) ผู้เขียนแนะนำให้พ่อแม่/ครู ชวนเด็กทำแบบสอบถามตรวจสอบความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งเขามีคำเฉพาะว่า Sheeple Quiz แล้วนำผลมาคุยกัน เพื่อให้เด็กเข้าใจว่า ตนต้องฝึกฝนตนเองให้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ตกเป็นเหมือนแกะในฝูง ที่ทำตามๆ กันไป

ผมเองมองต่างจากข้อเขียนในตอนนี้ ว่าการเรียนแบบ PBL และเรียนเป็นทีม ที่มีช่วงเวลา reflection/AAR จะค่อยๆ หล่อหลอมทักษะการเป็นตัวของตัวเอง และเคารพความแตกต่างของคนอื่น ขึ้นเองโดยอัตโนมัติ เป็นทักษะที่เกิดขึ้นจากการลงมือปฏิบัติและเกิดขึ้นเองโดยไม่รู้ตัว หากค่อยๆ หล่อหลอมตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆ เมื่อเข้าวัยรุ่น สภาพตกเป็นเหยื่อของแรงกดดันจากเพื่อน ก็จะไม่เกิดหรือเกิดได้ยาก การเรียนรู้ที่ถูกต้องในวัยเด็ก จึงเป็นการป้องกันปัญหาพฤติกรรมวัยรุ่นไปโดยปริยาย หรือกล่าวในมุมกลับว่า สภาพปัญหาการข่มเหงรังแก และพฤติกรรมถูกกดดันจากเพื่อน เป็นอาการของความผิดพลาดของระบบการศึกษา

คำถามจากครูของลูกผู้เขียน พ่อแม่ส่วนใหญ่กลุ้มใจที่ลูกทำตามกระแส แต่ตนกลุ้มใจจากพฤติกรรมตรงกันข้ามของลูกสาว คือเธอชอบนุ่งกางเกงขาสั้นและเสื้อเชิ๊ร์ตของผู้ชาย ข้อดีคือเธอไม่บ้าผู้ชาย แต่ก็ไม่แต่งผมแบบผู้หญิง ตนอยากให้ลูกสาวเป็นตัวของตัวเอง แต่ก็กังวลว่าลูกสาวจะเป็นพวกต่อต้านประเพณีนิยม และเป็นห่วงว่าลูกสาวไม่มีเพื่อน เพราะทำตัวแตกต่างมาก ตนควรตักเตือนลูก หรือปล่อยให้ลูกเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเอง

คำตอบของผู้เขียน จงมองลูกในแง่ดี และมองหาแง่ดีของลูกให้พบ และเลิกวิตกกังวลกับลูกสาว เพราะลูกเป็นคนเข้มแข็ง กล้าแตกต่าง สิ่งที่แม่ควรทำคือเน้นให้ positive reinforcement แก่ลูก เพื่อให้ลูกค่อยๆ ค้นพบตัวเอง จงส่งเสริมให้ลูกเป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่ให้ลูกเป็นอย่างที่แม่อยากให้เป็น

จะเห็นว่า การหล่อหลอมให้เด็กเติบโตเป็นคนดีนั้น เกิดจากปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมาก ในหลายกรณีพ่อแม่หลงทำร้ายลูกด้วยความรัก และความปรารถนาดีต่อลูก โดยการตั้งความหวังให้ลูกเป็นอย่างที่ตนต้องการ ไม่ได้เน้นส่งเสริมสนับสนุนให้เขาเติบโตเป็นคนดีตามแบบที่ตัวเขาเองอยากเป็น

 

 

วิจารณ์ พานิช

๒๑ มี.ค. ๕๖

 

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย Prof. Vicharn Panich

แก้ไขล่าสุด ใน วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 08:11 น.
 

เศรษฐศาสตร์การเมืองเรื่องการศึกษา

พิมพ์ PDF

เศรษฐศาสตร์การเมืองเรื่องการศึกษา ๑

ศูนย์เศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงาน เศรษฐศาสตร์การเมืองในวัฒนธรรมชุมชน เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสที่ ศ. กิตติคุณ ดร. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และ อาจารย์ ดร. ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ มีอายุครบ ๗๒ ปี และให้เกียรติเชิญผมไปเป็นองค์ปาฐกในงาน โดยพูดเรื่องเศรษฐศาสตร์การเมือง เรื่องการเรียนรู้ เพื่อชาติ เพื่อชุมชน จึงนำมาเผยแพร่ต่อ

 

เศรษฐศาสตร์การเมืองเรื่องการเรียนรู้ เพื่อชาติ เพื่อชุมชน[1]

 

วิจารณ์ พานิช

๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๖

..

 

 

ท่านศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ท่านอาจารย์ ดร. ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ และแขกผู้มีเกียรติที่เคารพทุกท่าน

กระผมรู้สึกว่าได้รับเกียรติและความไว้วางใจอย่างสูงยิ่ง ที่ได้รับเชิญให้เป็นผู้กล่าวปาฐกถาเกียรติยศ เนื่องในวาระที่มิตรสหายและศิษย์มาร่วมกันเฉลิมฉลองโอกาสที่สองปราชญ์ไทย มีอายุครบ ๖ รอบนักษัตร ในลักษณะของกิจกรรมทางปัญญา อย่างน้อย ๓ ด้าน คือการจัดพิมพ์หนังสือที่ระลึก จำนวนถึง ๙ เล่ม การแสดงละคร เรื่อง เพื่อชาติ เพื่อมนุษยชาติเพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของคุณจำกัด พลางกูร และการแสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง เศรษฐศาสตร์การเมืองเรื่องการเรียนรู้ เพื่อชาติ เพื่อชุมชน นี้ โดยกระผมได้พยายามค้นคว้าทำความเข้าใจมานำเสนอต่อท่านที่เคารพทั้งหลายในเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง

กระผมขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ฉัตรทิพย์ ท่านอาจารย์ปรีชา และคณะผู้จัดงาน ที่กรุณาให้เกียรติผมมากล่าวปาฐกถานี้ ความรู้สึกว่าได้รับเกียรติและได้รับโอกาสมากล่าวต่อที่ชุมนุมของปราชญ์ แห่งแผ่นดินจำนวนมาก และความรู้สึกรักและเคารพอาจารย์ฉัตรทิพย์และอาจารย์ปรีชา ทำให้กระผมไม่ปฏิเสธคำเชิญ แต่เมื่อรับแล้ว ก็เกิดความวิตกกังวล ว่าอาจทำไม่ได้ดี เพราะเรื่องการเรียนรู้ หรือการศึกษาในสังคมไทย โดยเฉพาะเมื่อมองจากมุมของเศรษฐศาสตร์การเมือง เป็นเรื่องซับซ้อนมาก มีความจริงกึ่งมายา รวมทั้งความจริงทั้งที่เป็นศักยภาพ และที่เป็นจุดอ่อนที่ซ่อนเร้น หรือซุกซ่อนอยู่อีกมากมาย เกินกำลังสติปัญญาของกระผม จะเข้าใจแจ้งแทงตลอดได้ จึงขออนุญาตนำเสนอแบบเน้นตั้งคำถาม มีเป้าหมายเพื่อยั่วยุให้เหล่ามิตรสหาย และศิษย์ของท่านอาจารย์ทั้งสอง นำไปเป็นโจทย์วิจัย เพื่อแก้ปัญหา อันยุ่งเหยิงของบ้านเมืองของเรา

หวังว่า เมื่อจบปาฐกถานี้แล้ว ท่านจะได้คำถามจำนวนมาก ที่เป็นคำถามเพื่อชาติ เพื่อชุมชนของเรา สำหรับให้ท่านที่เคารพทั้งหลายนำไปทำงานวิชาการต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตอบโจทย์ด้านเศรษฐศาสตร์ การเมืองเรื่องการศึกษา เพื่อลดปัจจัยลบ และนำศักยภาพที่ซ่อนเร้น ออกทำคุณประโยชน์ แก่บ้านเมืองของเรา

กระผมจะกล่าวต่อท่านทั้งหลายเพียง ๒ เรื่อง คือเรื่องการศึกษาในระบบ กับเรื่องการเรียนรู้ของชุมชน

 

การศึกษาในระบบ

ความจริงที่รู้กันมากว่า ๑๐ ปี รู้กันทั่ว ไม่มีอะไรซ่อนเร้น คือผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเด็กไทย ในภาพรวมตกต่ำลง และตกต่ำลงเรื่อยๆ ในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมา สะท้อนความล้มเหลวของการบริหารการศึกษา ของประเทศไทย ผลการทดสอบเปรียบเทียบระหว่างประเทศ ที่เรียกว่า PISA (Programme for International Student Assessment) ซึ่งทดสอบเด็กอายุ ๑๕ ปี ในทักษะ ๓ ด้าน คือ การอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ทดสอบทุกๆ ๓ ปี เริ่มจัดทำปี ค.. 2000 พบว่าคะแนนเฉลี่ยของเด็กไทยอยู่ในกลุ่มต่ำที่สุดของโลก และมีแนวโน้มคงที่หรือลดลง ในทั้ง ๓ ด้าน กระผมขอยกตัวอย่างด้านเดียว คือทักษะการอ่าน คะแนนเฉลี่ยของเด็กไทยในปี ค.. 2009 เท่ากับ ๔๒๑ เป็นอันดับที่ ๕๓ จาก ๖๕ ประเทศ โดยประเทศที่ได้อันดับ ๑ คือนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน คะแนน ๕๕๖ คะแนนเฉลี่ยของเด็กไทย ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐานของกลุ่มประเทศ OECD ซึ่งเท่ากับ ๔๙๓ คะแนนเฉลี่ยด้านการอ่านของเด็กไทย ในปี ค.. 2006, 2003, และ 2000 เท่ากับ ๔๑๗, ๔๒๑ และ ๔๓๑ ตามลำดับ

คะแนนเฉลี่ยของปี ค.. 2006 เท่ากับ ๔๑๗ ของปี ค.. 2009 เท่ากับ ๔๒๑ น่าจะใจชื้นว่าคะแนนทำท่าจะดีขึ้น แต่เมื่อวิเคราะห์เจาะลึก ดูร้อยละของเด็กที่มีทักษะการอ่าน ต่ำกว่าเกณฑ์ระดับพื้นฐาน ในปี ค.. 2006 ร้อยละ ๓๗ ในปี ค.. 2009 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๔๓

การที่คะแนนเฉลี่ยของผลการสอบ PISA ของเด็กไทย ต่ำกว่ามาตรฐานโลกอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา ๑๐ ปี เป็นเรื่องที่น่าตกใจ แต่ยังไม่น่าตกใจเท่าข้อมูลวิเคราะห์แยกแยะรายละเอียดของผลสอบตามกลุ่มโรงเรียน และตามรายภาค คะแนนเฉลี่ยของกลุ่มโรงเรียนสาธิตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศ OECD คือคะแนนเฉลี่ยด้านการอ่านใน PISA 2009 เท่ากับ ๕๒๕ ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของประเทศ OECD เท่ากับ ๔๙๓ (ของไทย ๔๒๑) แต่ค่าเฉลี่ยของกลุ่มโรงเรียนกลุ่มโรงเรียนขยายโอกาส ในสังกัด สพฐ. เท่ากับ ๓๘๑

นอกจากนั้น ผลการทดสอบ TIMSS (Trends in International Mathematics and Science Study) และผลการทดสอบ O-NET ของไทย เมื่อจำแนกแจกแจงคะแนนผลการสอบตามรายภูมิภาค พบว่าคะแนนของนักเรียนในภูมิภาคต่ำกว่าคะแนนของนักเรียนในกรุงเทพอย่างมากมาย ข้อมูลเหล่านี้ค้นหาได้ไม่ยากทาง อินเทอร์เน็ต

กระผมตกใจมากจากข้อมูลนี้ เพราะมันสะท้อนภาพความไม่เป็นธรรมในสังคมไทยด้านการศึกษา อย่างรุนแรง กระผมเรียนรู้มาจากหนังสือ ความคิดและความใฝ่ฝันของนักคิดไทย ๖๐ ปี ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ (กนกศักดิ์ แก้วเทพ บรรณาธิการ, ๒๕๔๔) ว่า วิชาเศรษฐศาสตร์การเมือง เน้นที่ความเป็นธรรมในสังคม และเข้าข้างผลประโยชน์ของกลุ่มที่ด้อยโอกาส กระผมจึงถือเป็นโอกาส ที่ได้มาพูดในที่ชุมนุมนี้ ว่าวงการเศรษฐศาสตร์การเมืองไม่ควรเพิกเฉยต่อความไม่เป็นธรรมอย่างรุนแรง ด้านการศึกษาของสังคมไทย

หากท่านอ่านบทความเรื่อง มนุษยมิติและความเป็นชุมชนในศตวรรษที่ ๒๑ ที่กระผมเขียน และอยู่ในหนังสือเล่มที่ ๓ ที่พิมพ์ในโอกาสนี้ ท่านจะยิ่งตกใจ ที่การศึกษาไทยเราเดินทางผิดมาเป็นเวลานาน เป็นการเดินทางผิดในด้านเทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ และวิธีการบริหารการศึกษา

สาเหตุของความเพลี่ยงพล้ำทางการศึกษาของสังคมไทย ในความเห็นของกระผม มี ๒ มิติ คือมิติทางวิชาการ (หรือทางเทคนิค) กับมิติทางการเมือง (หรือเศรษฐศาสตร์การเมือง)

ในช่วงเวลา ๒ - ๓ ปีที่ผ่านมา มีการศึกษาและนำเสนอต่อสังคมไทยในมิติทางวิชาการจำนวนไม่น้อย แต่ไม่มีการศึกษาในมิติทางเศรษฐศาสตร์การเมืองเลย ในส่วนที่เกี่ยวกับความตกต่ำของระบบการศึกษาไทย

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้ทำการวิจัยปัญหาการศึกษา และนำเสนอในการประชุมประจำปี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เรื่อง ยกเครื่องการศึกษาไทย : สู่การศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง (ซึ่งสามารถ ดาวโหลด เอกสารประกอบการประชุมได้ที่http://tdri.or.th/seminars/ye2011/) ชี้ให้เห็นว่าสาเหตุที่ทำให้คุณภาพการศึกษาไทยตกต่ำ เพราะระบบการบริหารขาดการรับผิดรับชอบ ขาดความเชื่อมโยงกับตลาดแรงงาน และอื่นๆ อีกมากมาย

หลังจากนั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ว่าจ้างให้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ทำการวิจัยเพื่อเสนอแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าว เรื่องโครงการวิจัยยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อสร้างความรับผิดชอบ กระผมทราบว่า ทีดีอาร์ไอ ได้ส่งผลการวิจัยให้แก่ สพฐ. แล้ว แต่การแก้ไขอย่างเป็นระบบยังไม่เกิดขึ้น สพฐ. เองอ่อนแอเกินไป จนไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาคุณภาพการศึกษาของชาติ ที่มีปัญหาใหญ่หลวงได้ เพราะมิติทางการเมือง ในระบบบริหารการศึกษาไทย มีพลังด้านลบครอบงำอยู่ อย่างแน่นหนาซึมลึก และอย่างที่รู้กันทั่ว แต่ไม่มีการดำเนินการแก้ไขปัญหา อย่างจริงจัง ไม่มีการแก้ปัญหาที่รากเหง้า

ถึงเวลาแล้ว ที่วงการวิจัยเศรษฐศาสตร์การเมืองไทย จะออกมาทำงานวิจัย ศึกษาปัญหาทาง เศรษฐศาสตร์การเมือง ของระบบการศึกษาไทย นำเสนอต่อสาธารณชน เพื่อกระตุ้นเตือนให้มีการปรับตัว แก้ไขลดละปัจจัยลบในระบบการเมืองของวงการศึกษา และหาทางเพิ่มปัจจัยบวก ทั้งนี้ เพื่อความวัฒนาถาวร ของสังคมไทยในระยะยาว

ตัวอย่างหนึ่งของปัจจัยด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองในระบบการศึกษาคือบทบาทของคุรุสภา และสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา และกลไกอื่นๆ ตามกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพครู น่าจะได้มีการศึกษาทำความเข้าใจว่า ในทางปฏิบัติ กลไกเหล่านี้ทำหน้าที่อย่างไร ก่อผลบวกและผลลบต่อคุณภาพการศึกษา ของประเทศอย่างไร

-ต่อบันทึกที่ ๒-นอกจากนั้น มีคนในวงการการศึกษาเอง......................

 

- บันทึกที่ ๓ - และ บันทึกที่ ๔ (จบ)

 

ป้ายบนเวที ผมนั่งพูดที่โต๊ะ

 

ศ. กิตติคุณ ดร. ผาสุก พงษ์ไพจิตร กล่าวแนะนำองค์ปาฐก (คือผมนั่นแหละ)

 

ศ. กิตติคุณ ดร. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา คุณจรรยา ภรรยา และ พญ. ช่อทิพย์ บุตรสาว

 

มีการจัดพิมพ์เผยแพร่บทความวิชาการที่เขียนโดยศิษย์

และมิตร ของ ศ. ดร. ฉัตรทิพย์ถึง ๙ เล่ม ๑๑๗ เรื่อง

 

อธิการบดีจุฬาฯ ศ. นพ. ภิรมย์ กมลรัตนกุล มอบของที่ระลึก

 

ศ. ดร. วิชัย บุญแสง หนึ่งในคณะสี่สหาย ไปร่วมงาน

 

รศ. ดร. ชโยดม สรรพศรี คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ กล่าวเปิดงาน

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย Prof. Vicharn Panich

เศรษฐศาสตร์การเมืองเรื่องการศึกษา ๒

นอกจากนั้น มีคนในวงการการศึกษาเอง เล่าให้กระผมฟังว่า ครูในภูมิภาคต่างๆ ได้รวมตัวกัน เป็นสมาคม เพื่อต่อรองผลประโยชน์ให้แก่ครู มีสมาคมครูในพื้นที่จำนวนมาก สมาคมเหล่านี้เชื่อมโยงกับกลไก ของพรรคการเมือง และมีส่วนเรียกร้องกดดันเพื่อผลประโยชน์ต่างๆ ของครู ทำให้ค่าตอบแทนของครู สูงกว่าค่าตอบแทนของข้าราชการอื่นๆ รวมทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัย อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เท็จจริงอย่างไร น่าจะได้มีการวิจัย และควรวิจัยด้วยว่า สมาคมและการรวมตัวในรูปแบบอื่นๆ ของครู มีส่วนยกระดับคุณภาพของผลสัมฤทธิ์ ทางการศึกษาของนักเรียนอย่างไรบ้าง หรือจริงๆ แล้ว กลับมีส่วนลดทอนระดับผลสัมฤทธิ์ในการเรียน

 

มีคนในวงการศึกษา ส่งข้อมูลมาให้กระผม บอกว่า ในจำนวนบุคลากรของ สพฐ๕ แสนคนนั้น เป็นผู้บริหารในระดับต่างๆ ที่ไม่ได้ทำหน้าที่ครูจัดการเรียนรู้แก่นักเรียนเป็นจำนวนถึง ๔ หมื่นคน ระบบกำลังคนของระบบการศึกษาไทยจึงอยู่ในสภาพที่มีผู้บริหารจำนวนมากเกินไป เป็นระบบที่ประสิทธิภาพ ในการใช้ทรัพยากรต่ำ เป็นประเด็นวิจัยที่จะช่วยให้มีการปรับปรุงระบบการศึกษาไทยให้มีประสิทธิภาพ ในการใช้ทรัพยากรสูงขึ้นได้มาก

เมื่อเข้าไปคลุกคลีกับคนในวงการศึกษามากเข้า กระผมก็ได้รับคำบอกเล่าเกี่ยวกับความทุจริตฉ้อฉล ในวงการศึกษาหลากหลายด้าน เช่น การที่ครูที่ต้องการเลื่อนวิทยฐานะเป็นครูชำนาญการ ต้องเสนอผลงานวิชาการ ครูที่ตั้งใจทำงานดูแลศิษย์ พยายามทำผลงานจากงานจริงๆ พยายามอย่างไร ผลงานก็ไม่ผ่านการพิจารณา แต่ครูในโรงเรียนเดียวกันที่ไม่ตั้งใจทำงาน แต่ใช้วิธีไปจ้าง ผู้เชี่ยวชาญทำผลงานให้ และจ่ายค่าตัดสินผ่านแก่ reader รวมแล้วเป็นเงินในหลักแสนบาท ก็ได้ตำแหน่งชำนาญการ โดยไม่ต้องมีผลงานด้านการดูแลจัดการเรียนรู้เป็นผลดีแก่ศิษย์แต่อย่างใด โดยมีคนเล่าว่า บางเขตพื้นที่การศึกษา มีเจ้าหน้าที่ของเขตนั่นเองทำหน้าที่ติดต่อจัดการให้ เท็จจริงอยู่ที่ผู้เล่า กระผมไม่กล้ายืนยัน แต่ยืนยันได้ว่า นี่คือโจทย์วิจัยด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง เรื่องระบบการศึกษาไทย

นอกจากนั้น ยังมีคำพูดดาษดื่นในวงการศึกษาว่า หากครูต้องการย้ายโรงเรียนจากที่ห่างไกล ไปสอนในโรงเรียนในตัวอำเภอ หรือในตัวจังหวัด รายจ่ายค่าสั่งย้าย คิดเป็นกิโลคือตามระยะทาง เป็นกิโลเมตร กิโลเมตรละกี่บาทกระผมไม่ทราบ และไม่ทราบว่าเท็จหรือจริง รวมทั้งไม่ทราบว่าในการย้ายนั้น ครูต้องจ่ายทุกคนหรือไม่ จ่ายแก่ใครบ้าง นี่ก็เป็นโจทย์วิจัยเช่นเดียวกัน

เรื่องที่อาจไม่ฉ้อฉล อาจมาจากความเข้าใจผิด แต่ก่อความสูญเสียงบประมาณปีละน่าจะ หลายพันล้านบาท หรือบางปีอาจจะเป็นหมื่นล้านบาท คือเรื่องการพัฒนาครู ที่หลงดำเนินการแบบเน้น training โดยที่เวลานี้เป็นที่รู้กันทั่วโลกว่า เป็นวิธีการที่ได้ผลน้อย วิธีการที่ได้ผลดีต้องเน้น learning

วิธีพัฒนาครูประจำการ ที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลดี เรียกว่าแนวทาง PLC (Professional Learning Community) คือส่งเสริมให้ครูรวมตัวกันเป็นกลุ่มหรือเป็นชุมชน เรียนรู้วิธีทำหน้าที่ครู คือพัฒนาครู โดยใช้เครื่องมือ KM (Knowledge Management) หรือการจัดการความรู้ ชุมชนเรียนรู้ในภาษา KM เรียกว่า CoP (Community of Practice) ชุมชนเรียนรู้ของครูคือ PLC ต้องการ คุณอำนวย(facilitator) เพื่ออำนวยความ สะดวกต่อการเรียนรู้ จากการปฏิบัติ

แต่วิธีพัฒนาครูประจำการของไทยในปัจจุบัน เน้นการกำหนดว่า ต้องไปเข้ารับการอบรม มิฉนั้นถือว่าไม่เข้าเกณฑ์ที่จะได้รับการเลื่อนวิทยะฐานะหรือปูนบำเหน็จ กระทรวงศึกษาธิการตั้งงบประมาณ ไปหนุนหน่วยจัดการฝึกอบรม แม้เป็นที่รู้กันว่าครูไม่อยากไปรับการอบรม เพราะไม่ได้ประโยชน์ แต่ก็ต้องไป เพราะมีการกำหนดไว้ใน KPI ว่าต้องผ่านการอบรม

กระผมตั้งข้อสงสัยว่า เรื่องนี้น่าอาจเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของหน่วยงานที่จัดการฝึกอบรม และผลประโยชน์ของหน่วยงานรับจัดการฝึกอบรม รวมทั้งผลประโยชน์ของวิทยากร จึงน่าจะมีการวิจัย ชี้ให้เห็นว่า ทรัพยากรเพื่อการเรียนรู้ของครูเหล่านี้ น่าจะใช้อย่างชาญฉลาดกว่านี้ เพื่อให้ผลตกไปที่ผลสัมฤทธิ์ ในการเรียนของเด็กอย่างแท้จริง

ความรู้เกี่ยวกับข้อบกพร่องหรือจุดอ่อนของระบบการศึกษาไทย ในมิติด้านวิชาการแม้จะยังอ่อนแอ ยังไม่ค่อยมีความรู้เชิงระบบ แต่ก็ได้มีการศึกษาและนำออกเผยแพร่พอสมควร เช่น ผลการวิจัยที่สถาบันวิจัย เพื่อการพัฒนาประเทศไทยนำออกเผยแพร่ในการประชุมวิชาการประจำปี ๒๕๕๔ แต่จัดประชุมในเดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ดังกล่าวแล้ว เนื่องจากปัญหาน้ำท่วมใหญ่ หากท่านเข้าไปในเว็บไซต์ ของสถาบันวิจัยเพื่อ การพัฒนาประเทศไทย (www.tdri.or.thจะมีเรื่องราวของผลการวิจัยด้านการศึกษา จำนวนหนึ่ง แต่ไม่มีงานวิจัย ในมิติด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองเลย

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดทำเอกสารชื่อ ผลการประเมิน PISA 2009 การอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ดาวน์โหลดได้ที่ http://pisathailand.ipst.ac.th/files/PISA2009_StudentsPerformance.pdf (ค้นเมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖)

สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสคwww.qlf.or.thดำเนินการเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา และส่งเสริมให้มีการรวมตัวกันในระดับพื้นที่ เพื่อดำเนินการพัฒนา คุณภาพของการศึกษาในพื้นที่ ในลักษณะของการดำเนินการกันเองเป็นหลัก ไม่ขึ้นกับกลไกรัฐ แต่ไม่ปฏิเสธ ผู้เข้าร่วมที่เป็นคนในระบบรัฐ หรือในหลายกรณี ก็มีคนในระบบการศึกษาภาครัฐนั่นเองเป็นแกนนำ แต่ดำเนินการนอกระบบราชการ

นอกจากนี้ยังมีมูลนิธิ เอ็นจีโอ และมีการรวมตัวกันของผู้นำในท้องถิ่นหรือพื้นที่จำนวนมากมาย ลุกขึ้นมาช่วยกันกอบกู้คุณภาพการศึกษาไทย เช่นมูลนิธิสยามกัมมาจล มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ สภาการศึกษาจังหวัดกระบี่ สมาคมพัฒนาการศึกษาจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นต้น

แต่กลไกทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ทำได้เพียงครึ่งเดียวของกลไกพัฒนา คือเฉพาะส่วนของการเพิ่มปัจจัยบวก ไม่ได้ดำเนินการลดปัจจัยลบ ซึ่งมีกุญแจไขอยู่ที่ความเข้าใจกลไกด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองในระบบการศึกษาไทย

การพัฒนาในเรื่องใดๆ ก็ตาม ต้องดำเนินการใน ๒ มิติควบคู่กันไป คือเพิ่มปัจจัยบวก ต่อพลังขับเคลื่อน และลดปัจจัยลบ หรือพลังขัดขวาง ในโลกแห่งความซับซ้อนอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ปัจจัยขัดขวางอยู่ลึกและซ่อนเร้น ในหลายกรณีแม้เจ้าตัว หรือกลุ่มบุคคลที่เป็นตัวการ ก็ไม่รู้ตัว ต้องมีการวิจัยและสื่อสารสังคมเพื่อลดปัจจัยลบดังกล่าว กระผมจึงถือโอกาสที่ได้มากล่าว ต่อนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองในที่นี้ เพื่อวิงวอนให้ท่านช่วยกันกอบกู้บ้านเมือง ผ่านการกอบกู้การศึกษาไทย โดยการทำวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองของระบบการศึกษา นำความรู้ที่ได้ออกสื่อสารต่อสังคม เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาเชิงระบบ ในด้านที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรม ปฏิสัมพันธ์ หรือวัฒนธรรมของคนในระบบการศึกษาไทย

กระผมขอย้ำว่า ระบบทางสังคมในวงการศึกษาที่เน่าเฟะจะกัดกร่อนบั่นทอนสังคมไทย ทำให้เกิดการ เสียเมืองในรูปแบบใหม่ ที่ไม่ใช่ถูกยึดครองโดยข้าศึกภายนอก แต่เป็นการล้มละลายจากความอ่อนแอ ภายในสังคมเอง เราต้องช่วยกันปกป้องกอบกู้บ้านเมือง อย่างที่คุณจำกัด พลางกูร ได้อุทิศชีวิตเพื่อชาติ เพื่อมนุษยชาติ เราต้องรวมกลุ่มกันทำความจริงที่มีอยู่ในวงการศึกษาในลักษณะข่าวเล่าลือ ให้กลายเป็นความจริง ที่มีข้อมูลหลักฐาน น่าเชื่อถือ และนำออกเผยแพร่แก่สังคม เพื่อปกป้องคนในวงการศึกษาไทยที่เป็นคนดี ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เป็นครูเพื่อศิษย์ ปกป้องระบบการศึกษาไทย และปกป้องสังคมไทย จากการล้มละลายทางปัญญา และทางศีลธรรม

 

การเรียนรู้ของชุมชน

การเรียนรู้ของชุมชนเป็นเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เป็นการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ (Adult Learning) และเป็นการเรียนรู้จากการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพการงาน แต่นั่นเป็นเพียง ส่วนเดียวของการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ คือเป็นส่วนของการเรียนรู้ที่ตนเองสร้างขึ้นให้แก่ตนเอง อีกส่วนหนึ่ง เป็นการเรียนรู้ ที่ถูกยัดเยียด คือมาจากสื่อมวลชน และการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ รวมทั้งป้ายคัทเอ๊าท์ ขนาดมหึมาของรัฐ ที่ติดตามที่สาธารณะต่างๆ

การเรียนรู้ตลอดชีวิต ของคนส่วนใหญ่ของประเทศ มาจากไหนบ้าง ได้รับอิทธิพลจากสื่อมวลชน มากน้อยแค่ไหน สื่อมวลชนสื่อสาร เพื่ออะไร เพื่อใครเป็นการสื่อสารเพื่อปลดปล่อยอิสรภาพในชีวิต หรือเพื่อครอบงำ มอมเมา เอาผลประโยชน์ เป็นโจทย์วิจัยด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองที่ท้าทายยิ่ง

เราได้เห็นว่า ในช่วงเวลาไม่ถึงสิบปี ได้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่เปลี่ยนใจคนได้ ผ่านกระบวนการ ทางการเมือง เปลี่ยนมาตรฐานผิดชอบชั่วดีในสังคม เช่น เปลี่ยนความคิดของคนว่าด้วยเรื่องคอรัปชั่น ผลการสอบถามโดยโพล พบว่าคนไทยส่วนใหญ่กว่าร้อยละ ๘๐ มีความเห็นว่า ยอมรับให้นักการเมือง โกงบ้านเมืองได้ หากทำงานเก่ง คนไทยคิดอย่างนั้นจริงหรือ หากจริง ปัจจัยอะไรที่ทำให้เขาคิดเช่นนั้น และความคิดเช่นนี้ จะนำพาบ้านเมืองไปสู่อนาคตเช่นไร

ในสังคมยุคข้อมูลข่าวสาร และยุคเทคโนโลยีสารสนเทศก้าวหน้ารวดเร็ว ความก้าวหน้าและการลงทุน ด้านเทคโนโลยีเหล่านี้ของประเทศไทย ก่อผลประโยชน์ต่อคนไทยอย่างเท่าเทียมกันมากน้อยเพียงใด ก่อผลประโยชน์ด้านการเรียนรู้ของคนไทยกลุ่มต่างๆ แตกต่างกันอย่างไร ใครเป็นผู้ได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์

เรารู้จากข้อมูลรายได้ เปรียบเทียบกลุ่มที่รายได้สูง กับกลุ่มรายได้ต่ำ ว่าช่องว่างในสังคมไทย ถ่างกว้างขึ้น ในทางเศรษฐกิจ สังคมไทยมีความไม่เป็นธรรมสูงขึ้น คำถามวิจัยคือ สาเหตุของความไม่เป็นธรรมนั้น มาจากการเรียนรู้ของประชาชนที่บิดเบี้ยว จากสื่อสารมวลชน และจากการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ มากน้อยเพียงไร จะมีวิธีลดปัจจัยลบเหล่านี้ได้อย่างไร

การเรียนรู้ของผู้ใหญ่ เรียนรู้จากการประกอบสัมมาชีพ เรียนรู้จากการดำรงชีวิต วิธีการที่ดีที่สุด คือการรวมกลุ่มกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยวิธีการที่เรียกว่า การจัดการความรู้ทำโดยนำเอาความรู้ปฏิบัติ ที่มาจากประสบการณ์ตรงในเรื่องนั้นๆ มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน โดยมีคนทำหน้าที่ คุณอำนวย (learning facilitator) ให้สมาชิกกลุ่มนำเอาความรู้ปฏิบัติ (tacit knowledge) กับความรู้ทฤษฎี (explicit knowledge) มาหมุนเกลียวความรู้ ยกระดับความรู้ในเรื่องนั้นๆ ขึ้นไป โดยที่เป็นการหมุนเกลียวความรู้วนรอบการปฏิบัติ หรือบนฐานของการปฏิบัติ ซึ่งก็คือการประกอบกิจการนั้นๆ หรือประกอบสัมมาชีพ นั่นเอง

มีต่อ- สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม........................................

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย Prof. Vicharn Panich

เศรษฐศาสตร์การเมืองเรื่องการศึกษา ๓

สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) เคยได้รับทุนจาก สสส. ดำเนินการพัฒนาวิธีการ จัดการความรู้ขึ้นในบริบทต่างๆ ในสังคมไทย ได้สนับสนุนให้มูลนิธิข้าวขวัญที่สุพรรณบุรี ทดลองดำเนินการ จัดการความรู้ให้แก่ชาวนาในหลายอำเภอของจังหวัดสุพรรณบุรี ในรูปของ โรงเรียนชาวนาพบว่า ได้ผลดีอย่างยิ่ง โรงเรียนชาวนาของมูลนิธิข้าวขวัญมีเป้าหมายลดค่าใช้จ่าย ลดความเจ็บป่วยจากการทำนา และผลิตข้าวปลอดสารพิษ ผลของการดำเนินการพบว่า ชาวนาสามารถนำเอาความรู้เชิงทฤษฎี ที่ได้จากเอกสารของหน่วยราชการ และจากการไปดูงานในหน่วยราชการและมหาวิทยาลัย มาทดลองใช้ในการทำนาตามการตีความของแต่ละคน แล้วนำผลที่ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ในการนัดพบกันทุกสัปดาห์ ครั้งละครึ่งวัน เกิดการเรียนรู้อย่างมากมาย ได้ผลลดต้นทุนการผลิต ลดหนี้ ลดความเจ็บป่วยเพราะเลิกใช้ยาฆ่าแมลงและสารเคมี และได้ข้าวปลอดสารพิษ ตามเป้าหมาย แต่มีผลได้ที่เกินความคาดหมายคือมีเวลาว่างมากขึ้น มีโอกาสใช้เวลาทำกิจกรรมชุมชน และรื้อฟื้นประเพณีท้องถิ่นขึ้นมา

การเรียนรู้ในการประกอบสัมมาชีพโดยการจัดการความรู้เช่นนี้ ต้องการ คุณอำนวย(Knowledge Facilitator) ทำหน้าที่ประสานงาน และทำหน้าที่กระบวนกรของเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งในกรณีนี้ เจ้าหน้าฝึกอบรมของมูลนิธิข้าวขวัญพัฒนาทักษะขึ้นมาทำหน้าที่

การเรียนรู้แบบนี้ แตกต่างจากการเรียนรู้ที่วงการศึกษาไทย (และวงการศึกษาโลกส่วนที่ล้าหลัง) ยึดถือแตกต่างในระดับกระบวนทัศน์ อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ การเรียนรู้แบบนี้ เน้นการเรียนรู้แบบเน้นอิสรภาพ ของผู้เรียน เน้นความมั่นใจในตนเอง มั่นใจในศักยภาพการเรียนรู้ของตนเอง ในขณะที่กระบวนทัศน์การเรียนรู้ แบบเดิมเน้นศรัทธาต่อผู้สอน หวังรับถ่ายทอดความรู้จากผู้สอน ในขณะที่กระบวนทัศน์ใหม่ ผู้เรียนมีศรัทธา เชื่อมั่นในศักยภาพการเรียนรู้ของตนเอง เน้นเรียนรู้จากการปฏิบัติ เรียนรู้จากการตีความประสบการณ์ตรง ของตน ร่วมกับกัลยาณมิตร ที่ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้การตีความจากประสบการณ์ตรงของตนเช่นเดียวกัน

การเรียนรู้แบบเดิมอยู่ในกระบวนทัศน์หวังพึ่งผู้อื่น หวังได้รับการอุปถัมภ์ ส่วนการเรียนรู้แบบใหม่ อยู่ในกระบวนทัศน์เน้นการพึ่งตนเอง และช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน หวังได้รับอิสระในการคิด และความสัมพันธ์แนวราบ ซึ่งตรงกับแนวคิดสังคมและวัฒนธรรมไทยของ ศ.ดร. ฉัตรทิพย์ ที่มีความรักในความเป็นอิสระ มีน้ำใจ และให้ความสำคัญแก่ความเปฅ้นชุมชน

สมาชิกของโรงเรียนชาวนา มูลนิธิข้าวขวัญสุพรรณบุรี เห็นคุณค่าและลึกซึ้งหลักการของการเรียนรู้ แบบใหม่นี้ จนบางคนไปตั้งโรงเรียนชาวนาในพื้นที่ของตนเอง โดยตั้งตนเองเป็น ครูใหญ่เพราะใน บริบทของการเรียนรู้แบบใหม่ ทุกคนเป็นครู และทุกคนเป็นนักเรียน ครูใหญ่เพียงทำหน้าที่จัดการ ให้เกิด โรงเรียนในลักษะ โรงเรียนไร้อาคารหรือ virtual schoolคือนัดมาคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ที่ไหนก็ได้ ส่วนใหญ่เป็น ที่ศาลาวัด หรือที่ใต้ถุนบ้านของนักเรียนก็ได้ จุดสำคัญคือ โรงเรียนต้องเปิด สม่ำเสมอ ดีที่สุดคือสัปดาห์ละครั้ง ครั้งละครึ่งวัน ตอนบ่ายอาจเป็นกิจกรรมเยี่ยมแปลงนา เพื่อไปดู ให้เห็นกับตา

ตัวอย่างของนักเรียนโรงเรียนชาวนา มูลนิธิข้าวขวัญ ที่เมื่อตนเองเรียนจบหลักสูตรแล้ว ได้ไปตั้ง โรงเรียนชาวนาที่ตนเองรับหน้าที่ ครูใหญ่โดยไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ คือคุณเบี้ยว ไทยลา แห่งบ้านหนองแจง อ. ดอนเจดีย์ จ. สุพรรณบุรี ท่านที่สนใจอ่านเรื่องราวได้ที่http://www.gotoknow.org/posts/391907

การศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ควรจะได้ปรับกระบวนทัศน์ หันมาทำหน้าที่อำนวยความสะดวก ต่อการเรียนรู้แบบใหม่นี้ แต่จะทำไม่ได้ภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ ที่ยึดถืออำนาจหน้าที่ และความสัมพันธ์ เชิงอำนาจ ตามแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน กระผมจึงขอเสนอต่อท่านที่เคารพทั้งหลายว่า วงการเศรษฐศาสตร์ การเมือง น่าจะได้เข้าไปตั้งโจทย์และวิจัย เพื่อบอกสังคมว่า กระบวนทัศน์ที่ผิดพลาดในเรื่องรูปแบบการเรียนรู้ ของผู้ใหญ่ การเรียนรู้เพื่อการประกอบสัมมาชีพ ได้ก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจและทางสังคมต่อประเทศไทย อย่างไรบ้าง

ในความเป็นจริงชุมชนไทยไม่ได้หยุดนิ่ง มีการเรียนรู้จากการปฏิบัติ มีการนำความรู้ปฏิบัติ (tacit knowledge) มาต่อยอดใช้ประโยชน์ ตามบริบทสัมมาชีพของตนอยู่แล้ว แต่ขาดมิติสำคัญที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ สร้างสรรค์อันไพศาล และเกิดนวัตกรรม คือการรวมกลุ่มกันเพื่อการเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือเรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติ และมี คุณอำนวยหรือวิทยากรกระบวนการ (knowledge facilitator) ช่วยอำนวยความสะดวก และช่วยกระตุ้นพลัง ของปัญญาปฏิบัติ (phronesis)

 

เศรษฐศาสตร์การเมืองเรื่องการเรียนรู้ ทั้งการเรียนรู้ในระบบ และการเรียนรู้ของชุมชน จึงเป็นการต่อสู้กัน ระหว่างการเรียนรู้แบบ ศรัทธานำหวังพึ่งพิง หวังรับถ่ายทอดความรู้ หวังได้รับความเมตตาอุปถัมภ์ จาก ผู้รู้กับการเรียนรู้แบบ ปัญญานำหวังพึ่งตนเอง และพึ่งพากันเอง หวังร่วมกันสร้างความรู้ขึ้นใช้เอง จากการปฏิบัติ แล้วร่วมกันไตร่ตรอง หาความหมาย จากสิ่งที่ตนสังเกตรับรู้จากการปฏิบัตินั้น เปรียบเทียบกับความรู้เชิงทฤษฎีที่มีอยู่แล้ว

กระผมเชื่อว่า การเรียนรู้แบบใหม่ ที่ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ หรืออย่างน้อยเป็นผู้ร่วมสร้างความรู้ เน้นสร้างความรู้โดยการปฏิบัติ แล้วแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ผ่านกระบวนการร่วมกันไตร่ตรอง (collective reflection) เพื่อเรียนรู้ให้ลึกขึ้น เป็นรูปแบบการเรียนรู้ ที่ถูกต้องตามหลักของการเรียนรู้สมัยใหม่ ที่เรียกว่า cognitive psychology และเป็นรูปแบบการเรียนรู้ ที่ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่จากโซ่ตรวนพันธนาการ ของความรู้เชิงทฤษฎี สู่ความมั่นใจตนเองจากการเรียนรู้ผ่าน สัมผัสของตนเอง ร่วมกับการร่วมกันไตร่ตรอง โดยการรับฟังการตีความที่แตกต่างหลากหลาย นำไปสู่การยกระดับปัญญาปฏิบัติร่วมกัน และอาจนำไปสู่การสร้างทฤษฎีใหม่ ที่เป็นทฤษฎีของคนธรรมดา ที่ไม่ใช่กูรู ไม่ใช่ ปราชญ์แต่เป็น ปราชญ์ชาวบ้านตัวจริง

Paolo Freire เขียนหนังสือ Pedagogy of the Oppressed เมื่อปี ค.. ๑๙๖๘ และมีการแปลเผยแพร่ ไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย แต่ ๔๕ ปีให้หลัง การศึกษาของประเทศต่างๆ รวมทั้งของประเทศไทย ก็ยังคงเป็น การศึกษาเพื่อการกดขี่ครอบงำ พันธนาการผู้คนด้วยทฤษฎี ด้วยความเชื่อ ด้วยการเรียนแบบรับถ่ายทอดความรู้ และการท่องจำ นักเรียนโรงเรียนชาวนา มูลนิธิข้าวขวัญสุพรรณบุรี ได้ค้นพบการเรียนรู้แบบปลดปล่อย เรียนจากการประยุกต์ใช้ความรู้ ร่วมกันการไตร่ตรอง (reflection หรือ AAR After Action Review) ที่เป็นการเรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติ โดยค้นพบตั้งแต่ปี พ..​๒๕๔๘ เป็นต้นมา

 

ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ที่กระผมกราบเรียนมานั้น สรุปได้ว่า วิธีการเรียนรู้สมัยใหม่ที่จะก่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างได้ผลดี ต้องใช้วัฒนธรรมชุมชนมาเป็นพลังของการเรียนรู้ พวกเราทุกคนทราบดีว่า ท่านอาจารย์ฉัตรทิพย์ และท่านอาจารย์ปรีชา สนใจ ให้คุณค่า และทำวิจัยเรื่องวัฒนธรรมชุมชนมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัฒนธรรมชุมชนชนชาติไท บัดนี้ วงการศึกษาทั่วโลก ได้สรุปจากผลการวิจัยมากมาย ว่าการเรียนรู้ที่ดีที่สุดในยุคปัจจุบันไม่ใช่วิธีนั่งท่องบ่นคนเดียว ไม่ใช่วิธีเรียนกับทิศาปาโมกข์สองต่อสอง แต่เป็นวิธีเรียนแบบที่ผู้เรียนรวมตัวกันเป็น "ชุมชนแห่งการเรียนรู้" (Learning Community) ร่วมกันดำเนินการ "เรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติ" (Interactive learning through action) โดยมีครู ทำหน้าที่เป็น "ครูฝึก" ไม่ใช่ "ครูสอน" วัฒนธรรมชุมชน ตามที่ ศ. ดร. ฉัตรทิพย์ทำวิจัยเผยแพร่แก่สังคมไทย ได้กลายเป็นวิธีเรียนรู้ที่ดีที่สุดในยุคปัจจุบัน ทั้งเพื่อการเรียนรู้ของศิษย์และของครู ที่เรียกว่าเป็น team learning และการเรียนรู้ของครูเรียกว่า Professional Learning Community (PLC) ในภาษาของการจัดการความรู้ เรียกว่า CoP (Community of Practice) ของครู

สรุปว่า การเรียนรู้ที่มีพลังในยุคปัจจุบัน ต้องรวมตัวกันเรียนรู้ เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ นักเรียนในห้องเรียน ทำตัวเป็นสมาชิกของชุมชนเรียนรู้ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในมิติที่รู้จริง รู้ลึก และรู้เชื่อมโยง ครูรวมตัวกันเป็นชุมชนเรียนรู้เพื่อการทำหน้าที่ครูที่ดีขึ้น มีความเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพครู ชาวบ้านที่ประกอบอาชีพ รวมตัวกันเป็นชุมชนเรียนรู้เพื่อการประกอบอาชีพที่ได้ผลดียิ่งขึ้น

 

ที่กระผมเล่ามาทั้งหมด ทั้งเรื่องการศึกษาในระบบ และการเรียนรู้ของชุมชน คือเส้นทางสู่ประชาธิบไตยผ่านกระบวนทัศน์ใหม่ วิถีปฏิบัติใหม่ด้านการศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบ และการศึกษาผ่านการประกอบสัมมาชีพที่นักเศรษฐ์ศาสตร์การเมือง น่าจะได้ร่วมกันตั้งโ่จทย์วิจัย เพื่อขับเคลื่อน สังคมไทยสู่สังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นสังคมประชาธิบไตยที่เรียนรู้ปรับเปลี่ยนตนเองได้ ไม่จำเป็นต้องมีนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ หรืออัศวินขี่ม้าขาว หรือเทวดามาโปรด

วงการเศรษฐศาสตร์การเมือง ที่ ท่านศาสตราจารย์กิตติคุณฉัตรทิพย์ นาถสุภา และอาจารย์ ดร. ปรีชา เปื่ยมพงศ์สานต์ ร่วมกันก่อตั้งขึ้น จะใช้โอกาสนี้อย่างไร เพื่อมีส่วนร่วมวางรากฐานประชาธิปไตยไทย จากมุมของวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง กระผมขอตั้งความหวังว่า เมื่อเรามาร่วมกันเฉลิมฉลองชนมายุ ๘๔ ปี ของท่านอาจารย์ทั้งสอง เราจะได้เฉลิมฉลองและเรียนรู้เรื่องราวสู่ความสำเร็จ ที่กระผมท้่าทายไว้นี้

มีต่อ - กระผมเข้าใจว่า ที่ประชุมนี้............................................

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย Prof. Vicharn Panich

·

เศรษฐศาสตร์การเมืองเรื่องการศึกษา ๔ (จบ)

กระผมเข้าใจว่า ที่ประชุมนี้ เป็นที่ประชุมของผู้สนใจเรื่องความไม่เป็นธรรมในสังคม และต้องการมีส่วนขจัดปัดเป่า และด้วยสติปัญญาอันจำกัดของกระผม กระผมตีความว่า แก่นของการชุมนุมเฉลิมฉลองในวันนี้ ก็เพื่อสานต่ออุดมการณ์ อุดมคติ ของการกระทำเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเอง ที่มีคุณค่าสูงส่ง ซึ่งสิ่งหนึ่งคือผลประโยชน์ของส่วนรวม เพื่อความมั่นคงปลอดภัยของส่วนรวม ที่อาจใช้คำว่า เพื่อชาติ เพื่อมนุษยชาติ ซึ่งในสมัยของคุณจำกัด พลางกูร ศัตรูมาจากภายนอก ในรูปของสงคราม แต่ศัตรูสมัยนี้ ตามที่กระผมเสนอ มาจากภายใน จากการดำเนินการระบบการเรียนรู้ และความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆ ในสังคม ผิดพลาด กระผมจึงขอมีส่วนร่วมด้วยการนำเสนอปาฐกถานี้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงมือทำ จากมุมของการสร้างสรรค์วิชาการด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง เพื่อเป็นปฏิบัติบูชาสนองพระคุณ ที่สองปราชญ์ไทย ศ. กิตติคุณ ดร. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และ อาจารย์ ดร. ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ ได้มอบให้แก่ สังคมไทย ในช่วงอายุ ๗๒ ปีของท่าน

 

 

กราบขอบพระคุณครับ

 

..

ในช่วงกล่าวภาพรวมของงาน โดย ศ. กิตติคุณ ดร. ผาสุก พงศ์ไพจิตร ผมได้เรียนรู้ว่าเศรษฐศาสตร์การเมือง เป็นวิธีสังเคราะห์สังคมแบบองค์รวม ให้เห็นเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ในภาพเดียวกัน เพื่อสังคมที่ดีกว่าทั้งด้านสังคม และความเสมอภาค

 

 

 

 

วิจารณ์ พานิช

๑ ก.ย. ๕๖

 

 

--------------------------------

[1] ปาฐกถาเนื่องในงาน เศรษฐศาสตร์การเมืองในมิติวัฒนธรรมชุมชน จัดโดยคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในโอกาส ๗๒ ปี ศาสตราจารย์กิตติคุณฉัตรทิพย์ นาถสุภา และอาจารย์ ดร.ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ ณ อาคารมหาจักรีสิรินธร ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๖

 

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย Prof. Vicharn Panich

 

ยุทธศาสตร์ประเทศไทยต้องเดิน 3 ขาคือ ทุนมนุษย์ โครงสร้างพื้นฐาน และการวิจัยเพื่อพัฒนา

พิมพ์ PDF

    ยุทธศาสตร์ประเทศไทยต้องเดิน 3 ขาคือ ทุนมนุษย์ โครงสร้างพื้นฐาน และการวิจัยเพื่อพัฒนา

    กฎหมาย 2 ล้านล้านบาทผ่านได้ แต่อาจจะเจอข้อโต้แย้งจากศาลรัฐธรรมนูญบ้าง ถึงจะผ่านได้ไม่ใช่ว่าประเทศจะหลุดพ้นจากกับดักของประเทศรายได้ระดับกลาง (Middle Income Trap)ซึ่งเฉลี่ยต่อหัว 15,000 ดอลล่าร์สหรัฐ ปัจจุบันไทยแค่ 5,000 ดอลล่าร์สหรัฐต่อคนต่อปี จึงขอให้คนไทยเฝ้ามองวิธีการบริหาร และวางแผนของประเทศในระยะยาว

    นอกจากเรื่องโครงสร้างพื้นฐานแล้ว ยังจะต้องลงทุนในด้านการศึกษาและทุนมนุษย์ เรื่องการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ประเทศหลุดจากกับดักของประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลาง

    อย่างเช่น RD หรือวิจัยเพื่อพัฒนา รัฐบาลชุดนี้สวนทางกับความเป็นจริง กล่าวคือ งบประมาณที่เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาถูกตัดออกไปเกือบหมด ผมได้ทราบมาจากผู้บริหารของสวทช. และหน่วยงานวิจัยซึ่งก็ถูกตัดออกเพื่อไปใช้ในนโยบายประชานิยม และโครงสร้างขั้นพื้นฐาน

    ปัญหาคือ R D คือเครื่องมือที่จะทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในอนาคต เพราะถ้าประเทศไทยจะหนีจากการใช้แรงงานราคาถูก (Labor-Intensive) มาเป็นการใช้ความรู้ การให้Technology ขั้นสูง จำเป็นจะต้องลงทุนในการวิจัยและพัฒนา

    เช่นการวิจัยและพัฒนาเรื่องมูลค่าเพิ่มของสินค้าการเกษตร ขอยกตัวอย่าง เรื่องยางพาราของไทย ซึ่งเป็นปัญหาหลัก ๆ ในปัจจุบัน ถ้ารัฐบาลใจเป็นกลางไม่เน้นการเมืองอาจจะทุ่มเงินและงานวิจัยให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีนักวิจัยระดับ Ph.D เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการวิจัยแบบแปรรูปยางพาราเป็นต้น หรือการวิจัยเพื่อสร้างผลผลิต การแปรรูปของพืชปาล์มรวมทั้งการวิจัยการเลี้ยงกุ้ง ปัจจุบันเรากำลังแพ้คู่แข่งอย่างอินโดนีเซีย หรือประเทศเวียดนาม

    เรื่องการแพทย์ก็เช่นกัน ในอนาคตจะต้องมีการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ประเทศไทยคงไว้เป็นศูนย์กลางการแพทย์ในอาเซียน ดังนั้นการลงทุนในด้าน RD จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แต่ถ้าเงินทุกเม็ดทุ่มไปที่โครงสร้างพื้นฐานจะขาดเม็ดเงินในทางวิจัยและพัฒนาทางเศรษฐศาสตร์ เรียกว่าTrade Off

    เรื่องทุนมนุษย์นั้น รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์กลับไม่สนใจที่จะพัฒนาศักยภาพของทุนมนุษย์อย่างเป็นรูปธรรม มองว่าการศึกษาเป็นเรื่องระยะยาว เกิดผลทางการเมืองช้า กลายเป็นหัวคะแนนของนักการเมืองสำคัญกว่าทุนมนุษย์

    ในความเห็นของผม ถ้าจะทำให้ประเทศไทยเดินหน้าอย่างยั่งยืน รัฐบาลยุคนี้ต้อง

    1. มีคุณธรรม จริยธรรมดูแลประเทศมากกว่านี้

    2. ใช้หลักการเดินสายกลางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

    3. สร้างความสมดุลในการดำเนินนโยบาย การผ่านกฎหมาย2 ล้านล้านบาท ไม่ได้สร้างความสมดุลในนโยบายประเทศ เพราะไปเน้นสาขาโครงสร้างพื้นฐานมากเกินไปจะทำอันตรายต่อประเทศในระยะยาว

    สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปทำงาน 2 แห่ง จึงมาแบ่งปันความรู้ให้ท่านผู้อ่าน

    เรื่องแรกคือ เป็นองค์ปาฐกถาให้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ในโครงการประกันคุณภาพ ผมได้พูดถึงการเพิ่มคุณภาพของการอุดมศึกษาไทย ซึ่งมี 3 เรื่องใหญ่คือ

    1 Megatrends ที่จะกระทบมหาวิทยาลัย เช่น

    - เด็กเกิดน้อย จำนวนนักเรียนลดลง เข้ามหาวิทยาลัยน้อยลง

    - ภาวะโลกร้อน ทำให้งานของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์มีบทบาทและเติบโตขึ้น เช่น พลังงานทดแทนโดยเฉพาะพลังงานลมในภาคใต้ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ แก้ไขและจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ ดูแลสิ่งแวดล้อม

    - ปัญหาขาดแคลนงบประมาณจากภาครัฐ จะทำอย่างไรที่ให้มหาวิทยาลัยต้องสร้างความเข้มแข็งในการหารายได้ของตัวเองซึ่งต่อไปจะมากขึ้น

    - การให้ ICT เพื่อการเรียนการสอน

    - การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และปรับตัวเข้าสู่โลกาภิวัตน์

    ซึ่ง Megatrends ดังกล่าวจะทำให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ต้องกำหนดยุทธศาสตร์ให้เหมาะสม ซึ่งมีหลายเรื่อง แต่เรื่องที่สำคัญก็คือ

    มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ต้องสร้างนักวิชาการและเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนให้มีความเป็นภาวะผู้นำ ซึ่งทุกๆฝ่ายในวันที่ผมนำเสนอเห็นชอบด้วย โดยเฉพาะจะสร้างผู้นำรุ่นใหม่ๆ ที่กำลังจะเข้าสู่ตำแหน่งบริหารในอนาคต จะต้องทำให้เกิดเป็นรูปธรรม

    - เรื่องบทบาทของมหาวิทยาลัยต้องปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลง

    ผมเสนอแนวทาง 2Rs คือต้องเข้าใจความจริง(Reality)ในบริบทของภาคใต้และต้องทำให้เกิดประโยชน์หรือใช้คำว่า (Relevance)คือสอนเพื่อออกไปทำงาน ไม่ใช่สอนให้รู้อย่างเดียว

    นอกจากนั้นจะต้องเน้นวิธีการสอนให้คิดและแลกเปลี่ยนระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์

    สุดท้ายผมเน้นว่า มียุทธศาสตร์(Strategy)ไม่พอต้องมีการกระทำให้สำเร็จ(Execution)โดยเฉพาะแนวคิดปฏิบัติเรื่องการตามผล(Follow up)มีข้อมูลย้อนกลับ (Feedback )และระยะเวลาที่กำหนด (Deadline)

    สุดท้ายให้ตัวละครในมหาวิทยาลัยในประเทศและนอกมหาวิทยาลัยเดินทางในขณะเดียวกัน เกิดไปในทิศทางเดียวกัน(Alignment)ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะปัจจุบันตัวละครต่างคนต่างเล่นและอาจจะขัดแย้งกัน

    สุดท้ายที่ผมไปที่สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา บริเวณใกล้วัดไร่ขิง ผมดีใจมากที่ได้นำเสนอให้ผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการคิดนอกกรอบ ในการนำเสนอ ได้พบว่าถ้าวิธีการเรียนเป็นแบบให้ทุกคนได้มีโอกาสคิดและและเปลี่ยน เอากรณีศึกษามาดู ข้อเสนอก็จะเป็นประโยชน์มาก ยิ่งกว่านั้น ผมยังได้ยกตัวอย่างว่า

    คิดนอกกรอบ(Thinking outside the box)นั้นก็จำเป็น แต่มีวิธีใหม่คือสร้างกรอบใหม่(Boxes)ใหม่ จึงเป็นอะไรที่ผู้บริหารจะนำไปปฏิบัติ

    บรรยายกาศการบรรยายหัวข้อ การพัฒนาคุณภาพของอุดมศึกษาไทยไปสู่อนาคต

    :กรณีศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เมื่อวันพุธที่ 25 กันยายน 2556

    บรรยายหัวข้อ "ผู้นำกับการคิดนอกกรอบ" ณ สถาบันพัฒนาครูคณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาเมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2556

    หนังสือ THINKING IN NEW BOXES

    จีระ หงส์ลดารมภ์

    อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน

    www.gotoknow.org/blog/chiraacademy

    แฟกซ์ 0-2273-0181

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์

 


หน้า 441 จาก 558
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5605
Content : 3049
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8598583

facebook

Twitter


บทความเก่า