Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

ปล่อยกลิ่นเต่า ด้วยรายงานประจำปีของมหาวิทยาลัย

พิมพ์ PDF

ในการประชุมสภามหาวิทยาลัยวิจัยแห่งหนึ่ง มีการนำเสนอรายงานประจำปี ๒๕๕๕ อย่างมีรายละเอียดครบถ้วนและสะท้อนผลสำเร็จของมหาวิทยาลัยอย่างดีมาก

แต่กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ แนะนำเป็นเสียงเดียวกันว่า มหาวิทยาลัยชั้นดีอย่างนั้น ต้องจัดพิมพ์รายงานประจำปีที่มีบุคลิกแตกต่างออกไป  คือต้องแสดงทิศทางเป้าหมายที่ใฝ่ฝันให้ชัดเจน  และบอกว่าเดินมาถึงไหนแล้ว  มีผลงานอะไรที่น่าภาคภูมิใจตามทิศทางเป้าหมายนั้น  และจะดำเนินการอะไร/อย่างไร ต่อไปอีก

รายงานประจำปีชิ้นนี้ เน้นความครอบคลุม  และจัดทำแบบราชการ โชว์ input & process และผู้บริหาร ในเบื้องต้น  output มาทีหลัง  และยังไม่แยกแยะ output ที่เด่นเป็นพิเศษ ตามปณิธานความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัย

คำแนะนำของกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ให้แสดงปณิธานความมุ่งมั่นที่ชัดเจนออกมาเช่นนี้ สำหรับผม คิดว่าเป็นการปล่อยเสน่ห์ หรือ pheromones ให้ partners หรือภาคีความร่วมมือ “ได้กลิ่น”  ดึงดูดเขาเข้ามาหา

ผลการวิจัยบอกว่า กลิ่นเต่า ของคน คือตัวดึงดูดเพศตรงข้าม  เป็นการดึงดูดแบบไม่รู้ตัว  ไม่ได้ใช้สมอง แต่ผ่านระบบฮอร์โมนหรือระบบสารเคมี

สมัยนี้ มหาวิทยาลัยต้องมีวิธีดึงดูด partners ที่จะร่วมมือกัน  เพราะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า มหาวิทยาลัยต้องไม่ทำงานแบบโดดเดี่ยว  ต้องหาทางร่วมมือกับภาคีที่หลากหลาย  ทั้งภาคีที่เป็นผู้ใช้/จ้าง บัณฑิต  ภาคีวิจัย/พัฒนา  และภาคีในต่างประเทศ เพื่อสร้างทักษะนานาชาติให้แก่ นศ./บัณฑิต

วิธีปล่อยเสน่ห์ (pheromones) ของสถาบันอุดมศึกษา ทำโดยสื่อสารผลงาน  วิธีนี้มหาวิทยาลัยไทยถนัด  โดยบางครั้งก็สื่อสารแบบโอ้อวดเกินจริง

วิธีที่มหาวิทยาลัยไทยไม่ถนัด คือวิธีปล่อยเสน่ห์ด้วยปณิธานความมุ่งมั่น หรือเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่  ผสมกับหลักฐานว่า มีทั้งฝันและทั้งทำจริง มีผลงานจริง  ไม่ใช่ฝันลมๆแล้งๆ  ช่องทางของการปล่อยเสน่ห์แบบนี้ มีทั้งในรายงานประจำปี  ในเว็บไซต์  และในสื่อมวลชน  รวมทั้งต่อนักวิชาการ หรือผู้สนใจ ที่มาเยี่ยมเยือน

คน/สถาบันอุดมศึกษา ที่ถือว่า “มีดี” นั้น  ไม่ใช่อยู่ที่ผลงานเท่านั้น  แต่อยู่ที่เป้าหมายหรือความฝันที่ยิ่งใหญ่ บวกกับความมานะบากบั่นที่จะบรรลุจัดหมายที่ยากนั้น  “ของดี” เช่นนี้ ต้องหาทางให้มันขจรขจายออกไปแบบเดียวกับ pheromones หรือ “กลิ่นเต่า”

 

วิจารณ์ พานิช

๒๒ มิ.ย. ๕๖

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/543253

 

งานที่ดี

พิมพ์ PDF

งานที่ดีนั้นแท้จริงคืองานที่เราทำแล้วมีความสุขต่างหาก จะเห็นได้ว่าถ้าเราได้ทำงานอย่างมีความสุข มีสถานที่ทำงานที่เหมาะสม และชุมชนโดยรอบมีความสมานฉันท์ก็จะสร้างคำว่า "งานที่ดี" ให้เกิดขึ้นได้

 

การ ที่เราร่ำเรียนอย่างหนัก ตั้งแต่ชั้นอนุบาล ประถม มัธยม เรื่อยไปถึงระดับอุดมศึกษา  ก็เพื่อที่จะได้งานดีๆมีความมั่นคง มีรากฐานของอนาคตที่แข็งแกร่งและสมบูรณ์        แต่ถ้าถามว่างานดีๆ คืออะไร หลายคนย่อมมีความคิดที่แตกต่างกันออกไป บางคนว่า การได้ทำงานบริษัทใหญ่ๆระดับโลกหรือระดับประเทศถือว่าเป็นงานดี บางคนก็บอกว่าการได้รับเงินเดือนเยอะๆต่างหากล่ะ คืองานดี แต่พอหันไปถามอีกคนก็บอกว่าการได้ทำงานในองค์กรภาครัฐ หรือการได้รับราชการ ที่มีความมั่นคงสูงต่างหากคืองานดีที่สุด ซึ่งความคิดเหล่านี้คงบอกไม่ได้ว่าความคิดไหนผิดหรือความคิดไหนถูก เพราะแต่ละคนต่างมองจากมุมของตน

แต่ถ้าให้ทุกคนมองกันใหม่ในมุมเดิม แล้วลองเติมความคิดเพิ่มขึ้นไปอีกนิดว่าถ้าเราทำงานในบริษัทใหญ่ และมีเงินเดือนเยอะ หรืออาจทำงานในหน่วยงานภาครัฐที่มีความมั่นคงสูง แต่กลับไม่มีความสุขเสียเลย เช้าตื่นขึ้นมาด้วยความเบื่อหน่ายท้อแท้ เห็นโลกทั้งโลกเป็นสีเทาไปหมด ในระหว่างทำงานก็รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง นับรอเวลาพักเที่ยง เที่ยงรีบทานข้าวแล้วนั่งถอนหายใจ พอบ่ายหน่อยก็เริ่มคิดถึงหมอน ตกเย็นก็เฝ้ามองนาฬิกาว่าเมื่อไหร่จะเลิกงานเสียที  เสาร์ อาทิตย์ หยุดพักผ่อน แต่พอเริ่มต้นสัปดาห์อีกครั้งในวันจันทร์ก็รู้สึกว่าพลังที่มีอยู่มากมายใน ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ถูกดูดมลายหายสิ้นเหลื่อไว้แต่ความน่าเบื่อหน่าย อารมณ์มาทำงานเหมือนโดนบังคับให้ออกรบทัพจับศึกฉันใดก็ฉันนั้น

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้บอกว่าบริษัทใหญ่ๆที่ให้เงินเดือนเยอะๆหรืองานราชการ รัฐวิสาหกิจ เป็นงานที่ไม่ดี แต่ที่กำลังจะบอกและเป็นสาระสำคัญก็คือ งานที่ดีนั้นแท้จริงคืองานที่เราทำแล้วมีความสุขต่างหาก จะเห็นได้ว่าถ้าเราได้ทำงานอย่างมีความสุข มีสถานที่ทำงานที่เหมาะสม และชุมชนโดยรอบมีความสมานฉันท์ก็จะสร้างคำว่า "งานที่ดี" ให้เกิดขึ้นได้ แม้องค์กรที่เราอยู่นั้นจะไม่ได้ให้เงินเยอะ หรือองค์กรเองก็ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนองค์กรอื่นๆ

ต้นไม้จะเติบโต แผ่กิ่งก้านร่มเงาและให้ผลผลิตที่ดีได้นั้น ขึ้นอยู่กับเมล็ดพันธ์ที่นำมาปลูกด้วยครึ่งหนึ่ง ส่วนครึ่งที่เหลือคือการดูแลเอาใจใส่ให้น้ำให้ปุ๋ย ถึงจะทำให้ต้นไม้นั้นเติบโตแข็งแรงงอกงามได้

เช่นเดียวกัน การจะสร้างองค์กรให้มีความสุขนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็น CEO หรือ HR เองต้องเตรียมเมล็ดพันธ์แห่งความสุขมาหว่านลงในหัวใจของคนในองค์กรเสียก่อน และหน้าที่ต่อไปก็คือการประคับประคองดูแล และใช้น้ำจิตน้ำใจหล่อเลี้ยงหัวใจของกันและกันอย่างสมดุล ทั้งในส่วนองค์กรและคนทำงานจึงจะทำให้องค์กรเกิดความสุขขึ้นมา

เรียบเรียงจากข้อมูลในหนังสือ "เมล็ดพันธ์แห่งความสุข" โดย ศูนย์สร้างเสริมสุขภาวะองค์กร

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

23 กรกฎาคม 2556

 

KM (แนวปฏิบัติ) วันละคำ : 600. สิ้นยุค Learning Organization

พิมพ์ PDF

ตั้งคำถามในการสนทนาแบบพิเศษ ที่ส่งเสริมหรือเอื้อ ให้ความรู้ฝังลึกอยู่ภายในปัจเจกชน ออกมาเป็นความรู้ร่วมกันของกลุ่ม เกิดเป็นปัญญาปฏิบัติรวมหมู่

KM (แนวปฏิบัติ) วันละคำ  : 600.  สิ้นยุค Learning Organization

หนังสือ The Inquiring Organization : Tacit Knowledge, Conversation, and Knowledge Creation Skills For 21st Century Organization ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2004  บอกว่าบริษัทหรือองค์กรที่จะอยู่รอดในยุคที่การเปลี่ยนแปลง สารสนเทศ ความรู้ เพิ่มรวดเร็ว  การเป็นองค์กรเรียนรู้ไม่เพียงพอเสียแล้ว  ต้องแสวงหาหรือตั้งคำถาม (inquire) เพื่อสร้างความรู้ใหม่ที่คู่แข่งยังไม่รู้

ความรู้ชนิดแจ้งชัด (Explicit) นั้นใครๆ ก็เข้าถึงได้  จึงไม่ใช่ปัจจัยของการแข่งขัน  ปัจจัยของการแข่งขัน คือความรู้ชนิดฝังลึก (Tacit) ซึ่งทำให้โผล่ออกมายาก  และเอามาใช้ประโยชน์ต่อการแข่งขันได้ยาก  ผู้เขียน จึงเขียนหนังสือเล่มนี้ แนะนำวิธีทำให้ความรู้ฝังลึกโผล่ออกมา และออกมาทำคุณประโยชน์ต่อการดำรงอยู่ และความาสามารถในการแข่งขันของบุคคลและองค์กรได้

เขาให้คำแนะนำว่า การสนทนา เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำให้ความรู้ฝังลึกโผล่ออกมา  โดยที่การสนทนานั้นต้องเป็น การสนทนาแบบรังสรรค์ (generative conversation)  จึงจะมีพลังให้ความรู้ฝังลึก โผล่ออกมาได้อย่างมีประสิทธิผล

ในการสนทนาแบบรังสรรค์ คู่สนทนา หรือกลุ่มสนทนาต้องมีความเคารพ ไว้เนื้อเชื่อใจกัน  การตั้งคำถาม (inquiring) จึงจะก่อผลกระตุ้น ให้ความรู้ฝังลึกโผล่ออกมา  คำถามเดียวกัน ในบรรยากาศตรงกันข้าม ที่ผู้ร่วมสนทนามีความกลัว หรือระแวง จะให้ผลตรงกันข้าม คือกดไม่ให้ความรู้ฝังลึกโผล่ออกมา

ความยากลำบากของชีวิตในโลกสมัยนี้คือ information explosion  สารสนเทศและความรู้มีมากเกิน  มีการนำมาสื่อสารซ้ำๆ กันจนมั่วไปหมด  โดยที่เรื่องเดียวกันอาจสื่อสารแตกต่างกัน ต่างกันไปตามอคติของผู้สื่อสาร

ในยุคปัจจุบัน ทักษะเรียนรู้ไม่เพียงพอ ต้องเลยไปสู่ทักษะสร้างความรู้เอามาใช้งาน เพื่อแข่งขัน ให้ล้ำหน้าคู่แข่ง   ซึ่งก็คือทักษะในการมองสรรพสิ่งในมุมมองใหม่ ที่แตกต่างไปจากมุมมองของผู้อื่น

การดึงความรู้ฝังลึกออกมาใช้งานนั้น  ต้องเข้าใจว่า ความรู้ฝังลึกไม่ได้มีอยู่ภายในตัวคนรายคนเท่านั้น  แต่มีความรู้ที่ฝังลึกอยู่ระหว่างตัวคนด้วย  การเรียนรู้และการสร้างความรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ จึงเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างคน  ต้องมีการสร้าง “พื้นที่” ให้คนที่ทำงานร่วมกันมามีปฏิสัมพันธ์กัน  เพื่อร่วมกันตั้งคำถามไปสู่ความรู้ใหม่ ที่จะช่วยให้กิจการล้ำหน้าคู่แข่ง

Inquiring Organization คือองค์กรที่รู้จักวิธีนำเอาความรู้ฝังลึกในสมาชิกทุกระดับขององค์กร  ออกมาเชื่อมต่อเสริมพลังกัน   ให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงขององค์กร ล้ำหน้าคู่แข่ง

วิจารณ์ พานิช

๑๐ ก.ค. ๕๖

 

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/543050
 

บทเรียนการดำเนินชีวิตผู้สูงวัย (อายุ ๖๓ ย่าง ๖๔ ปี ตอน ๘ งานและการสร้างตัว

พิมพ์ PDF

ถือได้ว่าผู้เขียนโชคดีที่ได้ทำงานตรงกับที่เรียนมา ทำให้ชีวิตการงานโดดเด่น อยู่ในแถวหน้าอาชีพขายตั๋วเครื่องบิน แถมเคยมีประสบการณ์ด้านขายทัวร์ให้นักท่องเทียว ในช่วงที่ทำงานควบคู่กับการเรียนธุรกิจการบิน สิ่งที่ได้คือทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษ มีโอกาสได้เรียนรู้วิธีการทำงานขายทัวร์ให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้เรียนรู้การทำงานเป็นเครือข่าย แลกเปลี่ยนลูกค้าซึ่งกันและกันกับบริษัทที่จัดทัวร์แบบเดียวกัน ชีวิตความเป็นอยู่ของมัคคุเทศก์ ประสบการในการเป็นมัคคุเทศก์จำเป็นเมื่องานทัวร์เข้ามามากและมัคคุเทศก์ไม่ พอ ช่วงที่ทำงานเต็มตัวในแผนกที่เปิดใหม่ในบริษัทที่ทำงานเดิม  งานขายตั๋วเครื่องบินเป็นงานเกิดใหม่ในประเทศไทยในเวลานั้น จำนวนผู้ที่จบมาโดยตรงมีน้อยมาก ผู้เขียนเป็นรุ่นที่สอง  บริษัทที่เป็นตัวแทนขายตั๋วเครื่องบิน IATA มีไม่กี่แห่ง และเจ้าหน้าที่ขายตั๋วเครื่องบินส่วนมากจะต้องพึงพาเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว เครื่องบินของสายการบิน ผู้เขียนเรียนมาโดยตรง จึงไม่ต้องพึ่งพาเจ้าหน้าที่ของสายการบิน ทำให้สามารถขายตั๋วได้อย่างรวดเร็วและให้บริการลูกค้าได้ตรงกับความต้องการ ของลูกค้าได้มากกว่าคนอื่น ลูกค้าส่วนมากจะเป็นเจ้าของกิจการและนักธุรกิจ

ผู้เขียนเป็นเด็กสามารถเข้ากับพนักงานสายการบินได้เป็นอย่างดีกับทุกสาย การบิน ทำให้ได้รับความสะดวก สามารถให้บริการที่เหนือกว่าคนอื่นๆ ทำให้มีลูกค้าประจำเป็นจำนวนมาก ได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมจากเจ้านาย จากพนักงานสายการบิน มีโอกาสได้เข้ารับการอบรมระดับสูงในด้านการคิดราคาตั๋วเครื่องบิน และได้รับเชิญให้ไปท่องเที่ยวในประเทศต่างๆ แถมได้ทำงานพิเศษในวันหยุด เป็นผู้ช่วยหัวหน้าทัวร์ภายในประเทศและเป็นหัวหน้าทัวร์ไปต่างประเทศ ได้เงินเพิ่มแถมได้ท่องเที่ยว วันๆได้แต่ทำงานไม่มีโอกาสได้ใช้เงิน เงินได้เท่าไหร่ก็ให้คุณแม่หมด สามารถซื้อรถมือสอง ซื้อบ้าน ชีวิตรุ่งโรจน์ จนมาแต่งานกับชาวไต้หวัน ชีวิตเริ่มตกต่ำ ถูกดึงตัวไปเป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัททัวร์ พอไปจริงๆกลายเป็นรองผู้จัดการทั่วไป ไม่เป็นไปตามที่คุยกันไว้ก่อนลาออกจากทัวร์รอแยล ในที่สุดได้ลาออกจากบริษัทนั้น โดยเตรียมตัวไปอยู่บริษัทที่ใหญ่กว่าแต่ขายตั๋วเครื่องบินอย่างเดียวให้กับ ลูกค้าในกลุ่มบรฺิษัทเดียวกัน แต่เจ้าของบริษัทที่ผู้เขียนลาออกได้ซื้อที่โฆษณาในหนังสือพิมพ์ ลงโฆษณาว่าผู้เขียนออกจากบริษัทของเขาแล้วและจะไม่รับผิดชอบใดๆกับผู้เขียน ทั้งสิ้น (เป็นการลงให้เหมือนว่าผู้เขียนมีปัญหา) ทำให้บริษัทที่ผู้เขียนกำลังรอสัมภาษณ์กับเจ้าของ ยกเลิกการสัมภาษณ์) ลูกค้าที่ซื้อตั๋วเครื่องบินกับผู้เขียนรวมตัวกันจัดตั้งบริษัทให้ผู้เขียน เป็นกรรมการผู้จัดการและให้ผู้เขียนมีหุ้นลม ผู้เขียนบริหารบริษัท Promotion Travel ได้เป็นอย่างดี มีลูกค้าใช้บริการเป็นจำนวนมาก มีลูกน้องดี ช่วยกันทำงานอย่างเต็มที่ กิจการขยายอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นคนรุ่นหนุ่มใจร้อน และมุ่งรุกไปข้างหน้าอย่างเดียว ในที่สุดก็พลาด ลูกค้าจ่ายเช็คเด้ง และติดคุกอยู่ต่างประเทศ ในจำนวนเงินเท่ากับเงินลงทุนของบริษัท ทำให้ตัดสินใจทำงานที่ใหญ่ขึ้นใช้เงินลงทุนสูง โดยไม่มีการเรียกทุนเพิ่ม มีคนใหม่ๆมาขอเข้าหุ้นด้วย ก็นำไปซื้อหุ้นเดิมของหุ้นส่วนที่มีปัญหา ในที่สุดโดยคู่ค้าทางธุรกิจไม่ทำตามสัญญา ทำให้ตัดสินใจเลิกทำโครงการนั้น เป็นเหตุให้เงินที่นำไปลงทุนในกิจการใหญ่ต้องสูญหายไปทำให้ขาดสภาพคล่องใน ที่สุดจึงตัดสินใจเลิกบริษัท (สนใจรายละเอียดสามารถหาอ่านได้ในบทเรียนจากบริษัท Promotion Travel ) ทำให้ต้องหาเงินมาใช้หนี้สินต่างๆเป็นจำนวนมากกว่าเงินลงทุนเปิดบริษัท ก็ต้องขอขอบคุณญาติ พี่น้อง เจ้านายเก่า เช่น คุณวีระพงศ์ โพธิภักดิ์ คุณเถกิง สวัสดิพีนธ์ และอีกหลายๆท่าน ที่ผู้เขียนไม่สามารถเอ่ยนามท่านได้ อย่างไรก็ตามเงินที่หามาได้ก็ไม่เพียงพอกับการใช้หนี้ ทำให้มีผู้ยกหนี้ให้หลายท่าน และมีอยู่รายหนึ่ง ที่ให้ผู้เขียนไปทำงานใช้หนี้ในบริษัทของท่าน หลังจากทำงานใช้หนี้จนหมด ก็ได้ออกไปบริหารงานให้กับบริษัทที่เข้าหุ้นกับต่างชาติ อยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไปเข้าหุ้นกับชาวออสเตรียเลีย เปิดบริษัททรูทัวร์ บริษัทสามารถสร้างโปรแกรมท่องเที่ยวที่มีคุณภาพชื่อ Thaimon Twilight เป็นทัวร์ที่ดีและกำลังจะไปได้สวย เกิดมีปัญหากับหุ้นส่วน จึงแยกตัวออกมา โดยจะหานายทุนใหม่ แต่ก็ถูกหักหลัง จากหุ้นส่วนธุรกิจในโครงการที่ทิ้งผู้เขียนไปเข้ากับหุ้นส่วนชาวออสเตรีย เลีย ทำให้ผู้เขียนต้องอกหัก และเริ่มมีปัญหาด้านเงินทองอีกครั้งหนึ่ง ก็ยังโชคดีที่มีลูกค้าซื้อตั๋วเครื่องบินอีกท่านหนึ่งชวนไปเป็นผู้จัดการ โรงแรมเปิดใหม่ที่พัทยา

สรุปบริษัททัวร์รอแยล เป็นช่วงรุ่งโรจน์

บริษัทโปรโมชั่นทราเวิล เป็นเจ้าของและผู้บริหารเต็มตัว  สร้างผลงานยิ่งใหญ่ "Sunset Cruise" ถูกคู่ค้าหักหลัง  และสายป่านไม่ยาวพอ ทำให้มีหนี้สิน และเป็นหนี้บุญคุณกับคนเป็นจำนวนมาก

บริษัทเชียงฮวด ทราเวิล ทำงานใช้หนี้ มีประสบการณ์บริหารบริษัทคนจีนทั้งๆที่พูดจีนไม่ได้

บริษัท STA ประสบการณ์ ด้านทัวร์เยาวชน และการทำงานกับตัวแทนต่างชาติ

บริษัททรูทัวร์ เข้าหุ้นกับคนต่างชาติ สร้างผลงานดีเด่น "Thaimon Twilight" ถูกหักหลังจากคู่ค้าเช่นกัน ทั้งๆที่คนหนึ่งเป็นญาติ แต่ก็หันไปเข้ากับผู้ที่มีเงินมากกว่า

ทำงานสนุกมีประสบการณ์และผลงานมาก แต่ไม่เคยมีเงินเก็บ ช่วงก่อนแต่งงาน มีเงินเท่าไหร่ให้แม่หมด พอแต่งงานให้แม่น้อยลงนำมาให้กับภรรยา ซึ่งไม่ได้ทำงาน ถึงแม้นช่วงหลังที่ภรรยาทำงาน แต่ก็ไม่ได้ช่วยเรื่องค่าใช้จ่าย และในที่สุดก็ต้องเลิกกันโดยลูกอยู่กับผู้เขียน

ช่วงทำงานที่โรงแรมสยามเบย์วิวและโรงแรมสยามเบย์ชอร์ เป็นช่วงที่รุ่งโรจน์อีกครัง งานมั่นคง เพื่อนร่วมงานดี โดยเฉพาะเจ้านายให้การสนับสนุน ช่วงนี้เป็นพ่อหม้าย คุณแม่และน้องสาวเป็นผู้เลี้ยงดูลูกสาว แต่ผู้เขียนเป็นผู้จ่ายค่าใช้จ่ายของลูกสาวทั้งหมด จำได้ว่าเคยเปิดบัญชีเงินฝากประจำรายเดือนไว้ให้ลูกสาวตั้งแต่เกิด แต่เมื่อตอนลงทุนกับชาวต่างชาติได้นำเงินออมของลูกมาลงทุน

หลังลาออกจากโรงแรมสยามเบย์วิวและโรงแรมสยามเบย์ชอร์ได้รับงานเป็นผู้ บริหารสูงสุดของโรงแรมปอยหลวง หลายๆคนเข้าใจว่าผู้เขียนมีหุ้นในโรงแรม ได้บริหารงานอย่างเต็มความสามารถและทุ่มเทให้อย่างเต็มที่ แต่ในที่สุดก็โดนหักหลังจากเพื่อนที่เคยฝากให้ทำงานกับคุณกมลาเจ้าของโรงแรม สยามเบย์ชอร์ และตอนหลังมาขอทำงานกับผู้เขียน และเป็นตัวการที่ทำให้ผู้เขียนมีปัญหากับเจ้าของโรงแรมปอยหลวง และทำให้คุณกมลาโกรธที่ผู้เขียนดื้อไม่ยอมฟังคำแนะนำจากคุณกมลา (สามารถหาอ่านรายละเอียดได้จากกรณีศึกษาโรงแรมสยามเบย์วิว และโรงแรมสยามเบย์ชอร์ กรณีศึกษาโรงแรมปอยหลวง)

ช่วงบริหารงานโรงแรมปอยหลวงผู้เขียนได้แต่งงานใหม่กับข้าราชการสถานี วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย หลังจากเป็นหม้ายอยู่ 10 ปี ผู้เขียนลาออกจากโรงแรมปอยหลวงเนื่องจากเจ้าของหูเบา ทำให้ต้องรีบหางานเพราะไม่มีเงินออม และมีค่าใช้จ่ายประจำมากขึ้น จำใจต้องรับงานผู้จัดการฝ่ายขายในโรงแรมที่มีปัญหาระหว่างเจ้าของและผู้ บริหาร อยู่ได้ร่วมเดือนเห็นว่าอยู่ต่อไปก็ไม่มีอนาคต จึงได้เปลี่ยนงานไปเป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัท Golden Tour South ที่จังหวัดภูเก็ต งานไปได้ดีไม่มีปัญหา แต่เนื่องจากอยู่ต่างจังหวัดมีความใกล้ชิดกับเลขา ซึ่งคอยดูแลเอาใจใส่และใกล้ชิดกันมาก จนในที่สุดเลขาขอเป็นภรรยาน้อย ผู้เขียนจึงขออนุญาตจากภรรยาที่อยู่กรุงเทพซึ่งมีลูกด้วยกัน 2 คน ภรรยาไม่ยอม ผู้เขียนจึงรีบลาออกเพราะขืนอยู่ต่อไปอาจมีปัญหาตามมา เมื่อลาออกก็ได้รับการติดต่อให้มาเป็นผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาดที่โรงแรม ใบหยกสวีท

ที่โรงแรมใบหยกสวีทเป็นสถานที่ทำงานอีกแห่งที่มีความมั่นคง ช่วงนี้ มีตำแหน่งหน้าที่การงานดี ได้เดินทางต่างประเทศเพื่อทำการตลาด มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารการตลาดอย่างเต็มที่ ได้รับความไว้วางใจทั้งจากคุณ Robertเจ้านายที่ชวนมาทำงานและจากคุณพันธ์เลิศเจ้าของโรงแรม    มีอยู่ช่วงหนึ่งที่คุณพันธ์เลิศมอบหมายให้ทำงานอีกโครงการหนึ่งควบคู่ไปกับ การบริหารการตลาดให้กับโรงแรมใบหยก มีรายได้เพิ่มขึ้นเท่าตัว แต่ก็ต้องซื้อรถให้ภรรยาเนื่องจากช่วงเย็นต้องไปดูงานอีกโครงการที่อยู่ นอกกรุงเทพ จึงไม่สามารถรับภรรยาและลูกได้ โครงการใหม่ของคุณพันธืเลิศยกเลิก ทำให้รายได้หายไปเท่าตัว การเงินเริ่มมีปัญหาเพราะยังต้องจ่ายค่าผ่อนรถของภรรยา ประกอบกับเริ่มมีปัญหาภายใน และเริ่มมีการก้าวก่ายการทำงานของผู้เขียน จึงทำให้ตัดสินใจเจรจาให้จ้างผู้เขียนออกจากงานเพื่อให้คนอื่นมาบริหารงาน แทนผู้เขียน ผู้เขียนได้รับการติดต่อไปเป็นว่าที่ CEO ให้กับบริษัทแฟนชายส์ แต่เข้าไปอยู่ได้ไม่นาน เจ้าของจะขอเปลี่ยนเงื่อนไขการจ้างผู้เขียน ผู้เขียนจึงลาออกและกลับไปบริหารงานให้กับบริษัท Golden Tour (Outbound) ในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป แต่เนื่องจากเจ้าของเริ่มมีปัญหาด้านการเงิน จึงทำให้ผู้เขียนต้องลาออกและไปทำงานที่บริษัทเฟอร์รี่ไลน์ ในตำแหน่งผู้อำนวยการบริหาร ต้องไปปรับโครงสร้าง และจัดทำแผนการทำงานใหม่ ก่อนที่จะอนุมัติแผนการปรับโครงสร้างใหม่ เกิดวิกฤตฟองสบู่แตก บริษัทกู้เงินต่างประเทศมาสองบัญชี บัญชีหนึ่งได้ปรับเป็นเงินบาท แต่อีกบัญชียังเป็นเงิน USD ทำให้ขาดทุนเป็นเงินจำนวนมาก แถมเรื่อจมกลางทะเลต้องเสียหายซ้ำสอง ทำให้ต้องปรับแผนโครงสร้างทั้งหมด และทำให้เล็กลง อย่างไรก็ตามบริษัทก็สามารถประคองอยู่ได้ โดยที่ผุ้เขียนไม่ได้รับการปรับเงินเงินขึ้นเป็นเวลาร่วม 10 ปี ผู้เขียนได้รับมอบหมายให้มาบริหารจัดการโรงแรม พี พี เนเจอรัล รีสอร์ท ที่เกาะ พี พี ซึ่งเดิมขาดทุน ผู้เขียนได้ปรับแผนการตลาดนิดหน่อยและสามารถบริหารงานให้มีกำไรได้ทุกปี ยกเว้นหนึ่งปีหลังจากเกิดสึนามิ ช่วงที่บริหารงานโรงแรมเป็นช่วงที่ผู้เขียนมีความมั่นคงในการทำงาน ทำงานสนุกและเข้าขากับเจ้าของที่เป็นเจ้านายโดยตรง จนกระทั่งช่วงหลังเกิดมีปัญหาการเมืองภายในบริษัททำให้เกิดความกดดัน และไม่ค่อยสนุกกับการทำงานเท่าไหร่ เงินเดือนที่ได้รับไม่พอกับค่าใช้จ่าย แต่ก็ไม่เคยพูดเพราะเห็นว่าเป็นโรงแรมเล็ก และเงินเดือนที่ได้ก็ไม่ถือว่าน้อยสำหรับขนาดของโรงแรม แต่เนื่องจากรายจ่ายที่สูงขึ้นจากค่าครองชีพ ทำให้ไม่มีเงินเก็บแถมต้องนำเงินล่วงหน้ามาใช้ เป็นค่าซ่อมบ้าน ค่าซ่อมรถ ค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายลูกทั้งสามคน ภรรยารับราชการเงินน้อย และชอบกู้เงินไปซื้อที่ และลงทุนเสี่ยงๆ

เมื่ออายุได้ 59 ปี มีหนี้อยู่ 6แสนบาท และมีรายจ่ายมากว่าเงินเดือนอยู่ 6,000 บาท มีผู้มีทาบทามให้ไปอยู่กับเขา หลังจากคุยรายละเอียดและตกลงเรียกเงินเดือนเพิ่มจากเดิม 20,000 บาท หวังว่าถ้าทำงานให้เขาหนึ่งปี ก็จะสามารถใช้หนี้ได้หมด ก็จะเป็นอิสระ อะไรจะเกิดก็ไม่กลัว เพราะไม่มีหนี้ มีเงินเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น ลูกก็จบหมดแล้ว จึงตัดสินใจลาออกจากโรงแรม พี พี เนเจอรัลรีสอร์ท

เมื่อไปอยู่บริษัทใหม่ เดือนแรก ได้พบเจ้าของและคุยกันไม่เกิน 2 ชั่วโมง สิ้นเดือนไม่ได้รับเงินเดือน ไม่ได้มีการจัดการเรื่องการจ้างผู้เขียนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว พอเดือนที่สองต้นเดือน ไปพบเจ้าของที่ประเทศลาว ได้ขอเวลาคุยเรื่องงานของผู้เขียน แต่เจ้าของไม่มีเวลาให้ เจ้าของมอบเงินให้ผู้เขียน  1/3 ของเงินเดือน และแจ้งว่าเมื่อกลับไปกรุงเทพค่อยทำสัญญาและรับเงินส่วนที่เหลือ เมื่อถึงกรุงเทพ ก็เงียบไม่มีการคุยกันถึงเรื่องสัญญา และไม่ได้จ่ายเงินเดือนส่วนที่ยังค้าง ปลายเดือนมีโอกาสได้ประชุมกับเจ้าของแต่ก็เป็นเรื่องงานส่วนที่นอกเหนือจาก งานของผู้เขียน ผู้เขียนขอเวลาเพื่อปรึกษาเรื่องแผนงานของผู้เขียนที่ได้ส่งไปให้แล้วหลาย ครั้ง แต่ไม่ได้รับการพิจารณาใดๆทั้งสิ้น และบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ผู้เขียนพบ ในที่สุดผู้เขียนยืนยันขอพบเจ้าของให้ได้โดยใช้เวลาไม่นาน ในที่สุดก็ได้เข้าพบ เจ้าของออกมาต้อนรับผู้เขียนถึงหน้าประตูห้องและพาผู้เขียนไปคุยที่ห้องรับ แขก ระหว่างทางเจ้าของพูดว่า " เราทั้งสองต่างไม่มีเวลาให้กันและกัน" ผู้เขียนงง เพราะผู้เขียนนั่งรอเจ้าของตลอดเวลาร่วม 2 เดือน โดยไม่ได้ทำอะไร (คนเคยทำงานตลอดเวลาต้องนั่งรอที่สำนักงานทุกวัน โดยไม่มีอะไรทำเพราะ ยังไม่มีการมอบหมายงานและให้นโยบายใดๆทั้งสิ้นจะรู้สึก อึกอัดมาก ) ผู้เขียนจึงพูดไปว่าผู้เขียนมีเวลาให้เจ้าของตลอด และผู้เขียนก็ไม่ต้องการรบกวนเวลาของเจ้าของ เพียงแค่จัดการเรื่องการจ้างงานผู้เขียนและมอบหมายงานให้ชัดเจน นอกจากนั้นผู้เขียนสามารถทำงานได้โดยไม่จำเป็นต้องรบกวนเวลาของเจ้าของ เมื่อนั่งที่โต๊ะรับแขก เจ้าของก็พูดมาอีกว่าวิธีการทำงานของเราไม่เหมือนกันเลย เจ้าของไม่สนใจเรื่องเอกสารที่ส่งไปให้ต้องการแค่ผลงาน ผู้เขียนจึงเรียนเจ้าของว่า ขอให้เราจบกันแค่นี้ดีกว่า ขอให้จ่ายค่าจ้างที่เหลือของเดือนที่แล้ว และค่าจ้างของเดือนนี้เต็มเดือน เจ้าของก็ตกลงและให้คนไปเบิกเงินมาให่ผู้เขียน โดยไม่มีการพูดอะไร

ก่อนที่ผู้เขียนจะลาออกจากงานเก่า ภรรยาได้ท้วงว่าขอให้ทำสัญญากับที่ใหม่ให้เรียบร้อย แต่เนื่องจากเชื่อมั่นตัวเองสูง และไม่เคยต้องทำสัญญากับใครมาก่อน  จึงไม่ได้ให้ความสนใจกับสัญญา เมื่อเกิดเหตุขึ้นทำให้ทุกอย่างผิดแผน และตัดสินใจว่าเมื่อ เจ้านายเก่าที่เคยเห็นฝีมือเรามาแล้ว และแจ้งว่าเรามีหุ้นส่วนของบริษัท พอลาออกก็ให้เราเซ็นต์ชื่อโอนหุ้นโดยไม่ได้รับค่าหุ้นนั้นแม้แต่บาทเดียว ถ้าไปทำงานที่ไหนก็อาจเจอแบบเดียวกับเจ้าของรายใหม่ จึงตัดสินใจไม่รับบริหารงานให้ใครอีกแล้ว คิดว่า ถ้ารับเป็นที่ปรึกษาให้กับโรงแรม SMEs สัก 3 โรงแรมๆละ 2 หมื่นบาท ก็จะสามารถอยู่ได้อย่างสบาย เพราะมีค่าใช้จ่ายคงตัวอยู่ที่ 5 หมื่นบาท  แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด สองปีแรก มีรายได้จากค่าวิทยากร เฉลี่ยเดือนละ 12,000 บาท ปีที่สาม มีงานวิจัยและงานที่ปรึกษาให้กับหุ้นส่วนโรงแรมหนึ่งราย ทำให้มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 30,000 บาท

แต่พอเข้าปีที่สี่ 3 เดือนแรกไม่มีรายได้แม้นแต่บาทเดียว เดือนที่ 4 มีรายได้ 15,000 บาท เดือนที่ 5 มีรายได้ 7,000 บาท และเดือนที่ 6 มีรายได้ 4,000 บาท เดือนที่ 7 ยังไม่มีรายได้

เมื่อไม่มีรายได้ประจำก็ไม่สามารถกู้เงินธนาคารที่ดอกเบี้ยต่ำได้ มีที่ดินก็ขายไม่ได้ รายจ่ายประจำก็คือเงินผ่อนหนี้ ทุกเดือนต้องหมุ่นเงินจาก personal load มาจ่ายหนี้ เสียดอกเบี้ยระหว่าง 15-28% จากหนี้เดิมเมื่อ 4 ปีก่อน จำนวน 600,000 บาท กลายเป็นหนี้เพิ่มขึ้น อีก 400,000 บาท ความจริงขณะนี้มีทรัพย์สินเป็นที่ดิน บ้าน รถยนต์ และอื่นๆมากกว่าหนี้สินที่มีอยู่ แต่เมื่อไม่มีงานประจำ ไม่มีรายได้ประจำ ก็จะเกิดปัญหาตามมา

ที่เขียนมาทั้งหมด 8 ตอน เป็นการกล่าวถึงอดีต ฉบับหน้าจะเป็นการกล่าวถึง บทเรียนการดำเนินชีวิตผู้สูงวัยอย่างแท้จริง โปรดติดตาม

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

22 กรกฎาคม 2556

 

 

แหล่งมรดกวัฒนธรรมและชุมชนโบราณริมแม่น้ำเจ้าพระยา

พิมพ์ PDF

การท่องเที่ยวเป็นกิจกรรมแบ่งปันและเผยแพร่ความรู้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ยิ่งเรื่องประวัติศาสตร์สังคม ความเป็นมาของชุมชนท้องถิ่นต่างๆทั่วไทยและทั่วโลก ชุมชนท้องถิ่นแต่ละแห่งของไทย มีความเป็นมาทั้งคล้ายคลึงและแตกต่างหลากหลาย ทั้งหมดล้วนเป็นประวัติศาสตร์สังคม ที่มีทั้งคุณค่าและมูลค่ามหาศาลทางการท่องเที่ยว แต่ไทยมองข้ามสิ่งนี้ เพราะระบบการศึกษาไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อประวัติศาสตร์ราชธานี ที่มีวังกับวัด(ของวัง) และวีรบุรุษสงครามโดยไม่มีสังคมของคน จึงไม่มีชุมชนท้องถิ่นในประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย กรุงเทพฯก็มองข้ามสิ่งนี้ จึงไม่มีประวัติศาสตร์สังคม และไม่มีชุมชนหมู่บ้านย่านต่างๆอยู่ในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่พบหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีว่ามีพัฒนาการตั้งแต่ยุคต้นอยุธยา (หรืออาจก่อนหน้านั้นก็ได้)

วันที่ 17 กรกฎาคม 2556 ได้เข้าร่วมประชุมสัมมนาเรื่อง "แหล่งมรดกวัฒนธรรมและชุมชนโบราณริมแม่น้ำเจ้าพระยา" ที่ห้องประชุมดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร จัดโดยสำนักโบราณคดี กรมศิลปากร

เป็นครั้งแรกที่ไปประชุมที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กลัวจะไม่มีที่จอดรถจึงออกจากบ้านตั้งแต่ 6.30 น รถติดพอสมควรไปถึงพิพิธภัณฑเวลา 8.30 น ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงเต็ม เท่ากับเดินทางไปพัทยา ขับรถเข้าไปจอดในพิพิธภัณฑ เป็นคนแรกที่เข้าไปลงทะเบียน พบท่านผู้อำนวยการสำนักโบราณคดี คุณธราพงศ์ ศรีสุชาติ ยืนต้อนรับอยู่ที่หน้างาน

 

9.30 น เปิดประชุมสัมมนา โดย อธิบดีกรมศิลปากร นายสหวัฒน์ แน่นหนา

10.00 - 11.00 น บรรยายหัวข้อ "ภาพอนาคตชุมชนโบราณริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดย นายสุวพร เจิมรังษี รองผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร

11.00-12.00 น อภิปรายหัวข้อ แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งมรดกวัฒนธรรมและชุมชนโบราณริมแม่น้ำเจ้าพระยา

ผู้อำนวยการสำนักโบราณคดี กรมศิลปากร นายธราพงศ์ ศรีสุชาติ กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมสัมมนาและชี้แจงวัตถุประสงค์ของการจัดงานในวันนี้

นางประภาพรรณ จันทร์นวล จากสำนักผังเมือง

นายระพีพัฒน์ เกษโกศล นักพัฒนาการท่องเที่ยวชำนาญการ กองการท่องเที่ยว

นางสาว ภัทรวรรณ พงศ์ศิลป์ นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักโบราณคดี เป็นผู้ดำเนินรายการ

ท่านรองอธิบดีกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม เป็นผู้มอบของที่ระลึกให้กับวิทยากร และท่านผู้ดำเนินรายการ

13.00-14.00 น บรรยายหัวข้อ " กรุงเทพฯ กรุงธน ฯ บนพื้นที่ทับซ้อนสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดย นายสุจิตต์ วงษ์เทศ ลูกเล่นในการบรรยายของท่านสุดยอด ท่านขึ้นต้นว่า ท่านจะไม่พูดตามหัวข้อ ให้ไปอ่านเอาเองตามเอกสารที่พิมพ์แจก ท่านได้พูดหลายประเด็น แต่ละประเด็นเป็นความรู้ใหม่ที่ผมไม่เคยทราบมาก่อน  ขอยกตัวอย่างบางตอนจากเอกสารประกอบการประชุมสัมมนา ขียนโดย สุจิตต์ วงษ์เทศ มาให้ทราบเป็นข้อมูลบางตอน

กรุงธนฯ มีมาก่อนกรุงเทพฯ แต่กรุงเทพฯตั้งอยู่บนพื้นที่ทับซ้อนเดียวกับกรุงธนฯ

ร.6 โปรดเกล้าให้แยกตั้งเป็นจังหวัดพระนคร กับจังหวัดธนบุรี แต่ "คณะปฎิวัติ" เผด็จการทหาร ยกเลิกทั้ง 2 จังหวัดแล้วรวมเป็น กรุงเทพมหานคร สืบจนทุกวันนี้

กรุงเทพฯ มาจากไหน

"กรุงเทพ" เป็นคำยกย่องสรรเสริญบ้านเมืองในอุดมคติตามระบบความเชื่อ ผี-พราหมณ์-พุธ หมายถึงเมืองราชธานีที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดิน เคยมีใช้มาก่อนแล้ว ในนามทางการของกรุงศรีอยุธยา และกรุงธนบุรี

กรุงศรีอยุธยา มีนามทางการว่า "กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา" แล้วเรียกอย่างย่อว่า กรุงเทพ (ในบุณโณวาทคำฉันท์) กรุงเทพมหานคร(ในกฏหมายลักษณะทาส) กรุงเทพพระมหานคร (ในกัลปนาวัด พัทลุง) ฯลฯ

กรุงธนบุรี มีนามทางการว่า "กรุงเทพมหานคร บวรทวารวดี ศรีอยุธยา" (อยู่ในพระราชสาส์นกรุงธนบุรีถึงกรุงศรีสัตนาคนหุต พ.ศ.2314)

กรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ ร.1 สถาปนา มีนามทางการอย่างเดียวกับกรุงธนบุรี ว่า "กรุงเทพมหานคร บวรทวารวดี ศรีอยุธยา"

ครั้นเสร็จการบรมราชาภิเษก ร.1 ทรงขนานนามพระนครใหม่ว่า "กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ฯ" ต่อมา ร.4 ทรงแปลงสร้อยนามจาก บวรรัตนโกสินทร์ เป็น "อมรรัตนโกสินทร์์" แล้วใช้สืบมาจนปัจจุบัน

 

 

14.00-16.00 น เสวนาหัวข้อ "ประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานและพัฒนาการชุมชนโบราณแม่น้ำเจ้าพระยา"  เริ่มจาก อาจารย์ ดร.ประภัสสร์ ชูวิเชียร มหาวิทยาลัยศิลปากร พูดเรื่อง เมืองบางกอกที่บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่

 

 

เมืองพระประแดงที่คลองเตย โดย อาจารย์รุ่งเรือง ภิรมย์อนุกูล มหาวิทยาลัยรามคำแหง

 

 

คุณสุกัญญา สัญญะเดช ชุมชนบางกอกน้อย "วิถีชีวิตและความเปลี่ยนแปลงของชุมชนโบราณ

ผศ.ดร.นิรมล กุลศรีสมบัติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย "เครื่องมือที่เหมาะสมในการอนุลักษณ์ภูมิทัศน์ย่านประวัติศาสตร์"

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


หน้า 462 จาก 558
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5606
Content : 3049
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8600814

facebook

Twitter


บทความเก่า