Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

กัญชาเป็นยา

พิมพ์ PDF

ประเทศไทยควรเป็นประเทศที่ผลิตอาหารและยาให้แก่โลกผ่านการเกษตรแผนใหม่ การเกษตรชนิดที่ให้มูลค่าเพิ่มสูง และมีคุณค่าสูงต่อมนุษยชาติ สิ่งที่มีคุณค่าสูงมักจะมีอันตรายสูงตามมา เราสามารถเพิ่มคุณค่าลดอันตรายได้โดยการวิจัยสร้างความรู้ให้สังคมรู้จักใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม ลดโทษ และต้องวิจัยและสื่อสารต่อสังคมไทยและต่อโลก เพื่อเปลี่ยนกระบวนทัศน์ผู้คน ให้เห็นว่าข้อตกลงระดับโลกหลายอย่างไม่เป็นธรรม หรือไม่ถูกต้อง สมควรได้รับการแก้ไข

ผมเคยเขียนเรื่องกัญชาไว้ที่นี่ บัดนี้นิตยสาร ไทม์ ฉบับวันที่ ๒๒ พ.ย. ๕๓ ลงบทความยาว ๑๐ หน้า เรื่อง How Marijuana Got Mainstreamed แสดงให้เห็นโอกาสที่ประเทศไทยจะทำหน้าที่เป็น “แหล่งยารักษาโรคให้แก่โลก”   ไม่ใช่แหล่งผลิตยาเสพติด
เรื่องกัญชาเป็นตัวอย่างที่ดี ว่าหากเราสามารถสร้าง “การเปลี่ยนกระบวนทัศน์” ได้ด้วยตนเอง   เราจะไม่ต้องตามก้นฝรั่ง   ที่ผ่านมาฝรั่งว่าไม่ดีเราก็ว่าไม่ดีตาม ยอมกำหนดให้กัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย   บัดนี้ฝรั่งเริ่มรู้จักคุณประโยชน์ของมัน   และรู้จักใช้ในทางที่เป็นประโยชน์   เราน่าจะไหวตัวเร็ว   เพราะนี่คือจุดได้เปรียบของเรา
ที่จริงฝิ่นก็เป็นยา ฝิ่นเป็นผลิตภัณฑ์ขั้นต้นสำหรับผลิตมอร์ฟีน สำหรับใช้เป็นยาแก้ปวดที่ราคาถูกและได้ผลดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยระยะสุดท้ายของชีวิต  แต่เราต้องซื้อยาราคาแพงจากต่างประเทศ   ผลิตเองไม่ได้   ทั้งๆ ที่ภาคเหนือของเราเป็นแหล่งที่เหมาะสมยิ่งต่อการปลูกฝิ่น   และเราเคยปลูกมาแล้ว   ทำไมเราไม่สามารถปลูกฝิ่นเพื่อผลิตมอร์ฟีนขายให้แก่โลก ทั้งๆ ที่เทคโนโลยีง่ายมาก   แต่บริษัทฝรั่งผลิตได้
เวลานี้โลกเริ่มเปลี่ยนกระบวนทัศ์การมองกัญชา จากจากยาเสพติด สิ่งเลวร้าย เป็นยา (medicine) เป็นสิ่งดีที่ช่วยให้ชีวิตไม่ทรมาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก้ปวด
และสำหรับประเทศไทย แทนที่ผู้ป่วยที่ต้องการใช้กัญชาเป็นเวลานาน เพราะเป็นโรคเรื้อรัง จะต้องซื้อ ควรจะปลูกเองในสวนครัว  ทั้งประเทศน่าจะลดค่าใช้จ่ายด้านยาแก้ปวดได้เป็นพันล้านบาทต่อปี
โดยต้องมีการวิจัยครบวงจรเพื่อสร้างการใช้กัญชาอย่างถูกต้อง ใช้มันเป็นทาสเรา ไม่ใช่คนตกเป็นทาสมัน
อาจต้องวิจัยเพื่อพัฒนากฎหมายขึ้นมาควบคุมการใช้ ไม่ให้มีการใช้ในทางที่ผิด ทำอันตรายแก่ตนเองและผู้อื่น   เราสามารถเริ่มต้นจากการอนุญาตให้ใช้โดยมีการคุมเข้มก่อน อนุญาตให้ใช้เฉพาะผู้ป่วยที่แพทย์สั่งยาให้ใช้กัญชา และมีคำแนะนำวิธีใช้ที่ชัดเจน รวมทั้งบอกอาการไม่พึงประสงค์ที่จะต้องหยุดยาและไปพบแพทย์   ต่อไปเมื่อสังคมรู้จักควบคุมกันเองได้ดีขึ้นก็ค่อยๆ หย่อนการควบคุมลง
เป้าหมายอย่างหนึ่งของการวิจัย คือเพื่อเปลี่ยนกระบวนทัศน์ผู้คนในสังคมเกี่ยวกับกัญชา จากเชิงลบเป็นเชิงบวก ที่มีกติกาและจริยธรรมในการใช้ โดยเราสามารถศึกษาจากประสบการณ์ในประเทศอื่นที่นำหน้าไปแล้ว
เวลานี้โลกมีความรู้เกี่ยวกับกัญชามากมาย ที่จะนำมาใช้กำหนดวิธีใช้ที่ให้ผลดี ลดผลร้าย เรารู้ว่าในกัญชามีสารออกฤทธิ์ ๑๐๘ ชนิด และมีมากน้อยต่างกันในกัญชาต่างสายพันธุ์จากต่างแหล่งผลิต  รวมทั้งออกฤทธิ์ต่างกันในต่างคน  ผู้ใข้แต่ละคนจึงต้องลองเองว่าได้ผลดีที่ต้องการหรือไม่
สารออกฤทธิ์สำคัญ ๒ ตัวคือ THC (tetrahydrocannabinol) กับ CBD (cannabidinol)
ความรู้เรื่องการออกฤทธิ์ของกัญชาต่อคนมีมากมาย   รวมทั้งรู้ว่ามันช่วยลดการอักเสบ ซึ่งอาจมีผลช่วยต่อต้านมะเร็ง   แต่ก็มีผลการวิจัยที่บ่งชี้ว่าสารออกฤทธิ์ชนิดหนึ่งในกัญชาคือ acetaldehyde มีฤทธิ์ทำลาย ดีเอ็นเอ ทำให้เดาต่อได้ว่าอาจเป็นต้วก่อมะเร็ง
อาการป่วยที่ใช้กัญชามากที่สุดคือปวดอย่างรุนแรงและเรื้อรัง  ร้อยละ ๙๔ ของการใช้กัญชาเป็นยาในสหรัฐอเมริกา ใช้เพื่อบำบัดอาการปวดรุนแรงนี้
คนที่ใช้กัญชาอย่างต่อเนื่องจะติดเพียงร้อยละ ๑๐  ในขณะที่ตัวเลขนี้เท่ากับ ๑๕ ในสุรา และ ๓๒ ในบุหรี่
เราต้องไม่ลืมว่ากัญชา (ทุกสิ่ง) มีทั้งคุณและโทษ  กัญชามีฤทธิ์ลดความสามารถในการรับรู้ (cognitive impairment)  และมีรายงานว่ามีส่วนสัมพันธ์กับการเกิดโรคซึมเศร้า และโรคจิตเภท   อาการแทรกซ้อนทางจิตนี้พบบ่อยในผู้ใช้กัญชาที่อายุน้อย สมัยผมเด็กๆ เขาเรียกคนที่สติไม่ดีเมื่อเสพกัญชาว่า "บ้ากัญชา"
ประเทศไทยควรเป็นประเทศที่ผลิตอาหารและยาให้แก่โลกผ่านการเกษตรแผนใหม่ การเกษตรชนิดที่ให้มูลค่าเพิ่มสูง และมีคุณค่าสูงต่อมนุษยชาติ   สิ่งที่มีคุณค่าสูงมักจะมีอันตรายสูงตามมา   เราสามารถเพิ่มคุณค่าลดอันตรายได้โดยการวิจัยสร้างความรู้ให้สังคมรู้จักใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม ลดโทษ   และต้องวิจัยและสื่อสารต่อสังคมไทยและต่อโลก เพื่อเปลี่ยนกระบวนทัศน์ผู้คน   ให้เห็นว่าข้อตกลงระดับโลกหลายอย่างไม่เป็นธรรม หรือไม่ถูกต้อง สมควรได้รับการแก้ไข
ประเทศไทยควรมีสิทธิ์ผลิตยาแก้ปวดที่มีคุณค่ายิ่งออกจำหน่ายแก่โลก คือฝิ่น (มอร์ฟีน) และกัญชา
วิจารณ์ พานิช
๑๔ พ.ย. ๕๓

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/413497

 

วันวิสาขบูชา "คำสอนของพระพุทธเจ้า"

พิมพ์ PDF

ท่านทั้งหลาย.... “จงยังกิจทั้งปวง ..... อันเป็นประโยชน์ของตน ... และประโยชน์ของผู้อื่นให้ ..... บริบูรณ์ .... ด้วยความไม่ประมาทเถิด"

 

 

.....เป็นที่ทราบของชาวพุทธว่า .... วันวิสาขบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ...ซึ่งปีนี้ ....วันวิสาขบูชา 2556 ตรงกับ วันที่ 24 พฤษภาคม 2556 …..มี ... หตุการณ์อัศจรรย์ 3 ประการ ได้แก่


1. วันวิสาขบูชาเป็นวันที่.....  พระพุทธเจ้าทรง .... ประสูติ




2. วันวิสาขบูชาเป็นวันที่ .... พระพุทธเจ้าทรง.... ตรัสรู้

.... อนุตตรสัมโพธิญาณ ทรงบรรลุ  "อาสวักขญาณ" คือ  รู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจ 4 ซึ่ง เป็นความจริง...อันประเสริฐ 4 ประการ


ทุกข์  = ความจริงว่า ด้วยทุกข์ ....คนทุกคนต่างก็เคยพบกับความทุกข์ หรือประสบปัญหาบางอย่างมาแล้วทั้งนั้น ... คนจนก็เป็นทุกข์ เพราะไม่มีสิ่งที่ตนต้องการ ซึ่งความทุกข์และปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นอาจ มีได้ทุกขณะ ความจริงก็คือ ว่าความทุกข์หรือปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ....เราจะต้องไม่ประมาท และพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาทุกเรื่องและ ...หน้าที่ต้องทำในทุกข์  คือ  การกำหนดรู้ในทุกข์ หรือปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น นะคะ

 

สมุทัย   คือ ความจริงว่าด้วยเหตุแห่งทุกข์ …. ความทุกข์หรือปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนนั้นย่อมเกิดจากสาเหตุบางอย่าง มิใช่เกิดขึ้นลอย ๆ ดังพุทธดำรัสว่า  ..“เมื่อสิ่งนี้มี  .... สิ่งนั้นจึงมี เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนั้นจึงเกิดตัวอย่างเช่น เศรษฐีที่หาเงินได้ยังไม่มากพอตามที่ตนต้องการ อาจเป็น เพราะมีความโลภจนเกินไป ซึ่งสาเหตุของความทุกข์นั้น คือ .... “ความอยากที่เกินพอดี”

 

นิโรธ  คือ ความจริงว่าด้วยความดับทุกข์ .... ความทุกข์นั้นเมื่อเกิดได้ก็ดับได้ .... เมื่อความทุกข์เกิดจากสาเหตุ  .... ถ้าดับสาเหตุนั้นเสีย ...ความทุกข์นั้นก็ย่อมดับไปด้วย .... ดังพุทธดำรัสว่า  “เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนั้นก็ไม่มี ... เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนั้นก็ดับ” .....ความทุกข์หรือปัญหาของคนเรานั้น เมื่อเกิดแล้วก็จะไม่คงอยู่อย่างนั้นเป็น....นิจนิรันดร์ แต่อยู่ในวิสัยที่เราสามารถจะแก้ไขได้ .... ไม่ช้าก็เร็ว ไม่มากก็น้อย และอยู่ที่ว่ามีความตั้งใจจริงที่จะแก้ไขหรือไม่

มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ หรือ หมดปัญหาต่างๆ โดยสิ้นเชิง

 

 

 

3. วันวิสาขบูชา .... เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรง... เสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน ....ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติ สร้างภพอีกต่อไป .... เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืน .....พระพุทธองค์ก็ทรง .....ประทานปัจฉิมโอวาท ...ว่า….. "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่า .... สังขารทั้งหลาย.... ย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ..... ท่านทั้งหลาย....  “จงยังกิจทั้งปวง ..... อันเป็นประโยชน์ของตน ... และประโยชน์ของผู้อื่นให้ ..... บริบูรณ์ .... ด้วยความไม่ประมาทเถิด"

 

 

 

 

 

ผู้เขียน ได้อ่านประวัติ ของ ...... วันวิสาขบูชา ….แล้วได้ทบทวน ...  แนวคิด ของ GoToKnow ….. ผู้เขียนคิดว่า ..... หลักการ (Principles)  .. แนวคิด (Concept) ....ความต้องการ (Needs)  ... รวมถึง ปรัชญา (Philosophy) .... เป็นไปในทิศทางเดียวกัน  .... อย่าง พอดี พอเหมาะ  นะคะ นั้นคือ  ...



“จงยังกิจทั้งปวง ..... อันเป็นประโยชน์ของตน.... และ...ประโยชน์ของผู้อื่น.... ให้บริบูรณ์...ด้วย...ความไม่ประมาทเถิด"

 

 

 

คัดลอกจาก  บทความของอาจารย์สมศรี นวรัตน์  http://www.gotoknow.org/posts/537044

 

กัญชา

พิมพ์ PDF

บทความเรื่องMarijuana, Not Yet Legal for Californians, Might as Well ในนสพ.The New York Times ทำให้ผมทราบว่าในรัฐวอชิงตันของสรอ.กัญชาเป็นสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมายอีกต่อไป คนทั่วไปสูบกัญชาบนท้องถนนได้เหมือนสูบบุหรี่

คำที่เตะตาผมคือ “recreational use” ใช้กัญชาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ เขาบอกว่ายังไม่ถูกกฎหมายแต่ก็ใช้กันทั่วไป เขาว่าในหลายส่วนของรัฐวอชิงตันที่มีการเปลี่ยนกฎหมายให้กัญชาเป็นสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมายไปแล้ว การเสพกัญชาก็เหมือนการดื่มเบียร์

ผมเดาว่าเป็นการเสพกัญชาเพื่อลดความเครียด หรือเพื่อกระตุ้นประสาทให้เกิดความสนุกสนานรื่นเริง ที่ฝรั่งเรียกว่า high  ซึ่งโดยส่วนตัวของผมคงจะไม่เอาด้วย เพราะมีวิธีการพักผ่อนหย่อนใจที่ดีกว่านั้น ราคาถูกกว่านั้นและเป็นธรรมชาติกว่านั้น

นั่นคือการออกกำลังกาย  การนั่งสมาธิภาวนา  การอ่านหนังสือ  การเขียนบล็อก เป็นต้น

สารสร้างสุขมีอยู่ในร่างกายของเราเอง คือเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารคล้ายฝิ่นที่ผลิตในร่างกายของเราเอง และเรากระตุ้นให้ร่างกายสร้างมากขึ้นได้ โดยการออกกำลังแบบแอโรบิก

นอกจากนั้น การกินอาหารที่ถูกสุขลักษณะและผลไม้บางอย่าง ก็จะช่วยให้ร่างกายมีสารสุขอีกชนิดหนึ่งในระดับสมดุล หรือดี คือสารซีโรโทนินที่มีในกล้วยสัปปรดมะเขือเป็นต้น

เป็นความสุขที่พอเพียงสร้างง่ายราคาถูก

ที่ผมเห็นด้วย และอยากเห็นคือการใช้กัญชาทางด้านช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย ที่เรียกว่า medical use เพื่อช่วยลดความเจ็บป่วยและทรมานโดยเฉพาะผู้ป่วยระยะสุดท้ายของชีวิต

ผมมองว่า recreational use ของกัญชาเป็นสิ่งไม่จำเป็นไม่พอเพียงและจะทำให้กัญชามีราคาแพงทำให้คนเจ็บป่วยเข้าถึงได้ยาก

ผมได้เขียนเรื่องกัญชาไว้ที่นี่

 

วิจารณ์  พานิช

๒๒ ธ.ค. ๕๕

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/516434

 

 

Gotoknow ตำนานแห่งชีวิต

พิมพ์ PDF

 

Gotoknow ตำนานแห่งชีวิต

7 ปีที่แล้ว ได้รับเชิญไปวันเกิดครบรอบปีที่ 1 ของ Gotoknow พร้อมกับการประกาศใช้ชีวิตร่วมกันของหนุ่มสาว ผู้ให้กำเนิด เครือข่ายสังคมไร้สายไร้พรมแดน และ "น้องต้นไม้" ผู้เชื่อมสายใยแห่งความผูกพันธ์ของชีวิตมิ่งมิตรผู้ร่วมสร้างสรรค์


วันเวลาผ่านไป ตำนานแห่งชีวิตเล่มใหญ่ในสังคมไร้สาย ร้อยเรียงเนียนกับทักษะที่จำเป็นของชีวิตใน ศตวรรษที่ 21 เชื่อมโยงใยความสัมพันธ์ให้ ฅ ฅน ทำงาน ได้ ถอดบทเรียน ลิขิต เล่าสู่กันฟัง แลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างชุมชนนักปฏิบัติ อย่างต่อเนื่อง ยาวนาน จนก้าวขึ้นปีที่ 9

จำได้ว่าตอนที่เริ่มนำ KM มาเติมเต็มงานประจำในรั้วมอดินแดง บ้านเก่าของ JJ กูรู ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช อดีตผู้อำนวยการ สถาบันจัดการความรู้ หรือ สคส ท่านแรก ที่บอกว่า "กูไม่รู้" เป็นท่านที่พูดกับ JJ ว่า "ถ้าจะใช้ KM ควรหัดถอดบทเรียนเขียนบันทึกที่เรียกว่า Diary ด้วยนะ"

จนถึงวันนี้ สมาชิกที่ติด Blog โดยเฉพาะ กลุ่ม UKM หรือ เครือข่ายการจัดการความรู้ระหว่างมหาวิทยาลัย ที่ตกลงปลงใจจะเข้าร่วมเป็นเครือข่ายได้มีการลงนาม เมือวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๗ ก่อนเกิดสึนามิหนึ่งวัน

พัฒนาการของ G2K มีสมาชิกดั้งเดิม เฉกเช่น ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช อดีต นายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล  อาจารย์ ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด ผอ.สคส ท่านปัจจุบัน รศ.รังสรรค์ เนียมสนิท คุณเอื้อแห่ง มอดินแดง อาจารย์ ดร.โอ๋ อโณทัย แห่ง มอ ฯลฯ ที่ยังร่วม เล่าประสบการณ์มาอย่างยืนยาวนาน

หลายท่านออกจากเครือข่ายไปด้วยภาระกิจที่จบสิ้นไปพร้อมกับตำแหน่งหน้าที่การงาน

หลายท่านเข้ามาร่วมในเครือข่าย เช่น อ.ดร.วัลลภา คณบดี คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และ อีกหลายๆท่านที่เข้ามาร่วม ถอดบทเรียน เล่าประสบการณ์ และ แลกเปลี่ยนตำนานชีวิตลิขิตลงใน Gotoknow

ย่างปีที่ 9 Gotoknow มีการปรับเปลี่ยนโฉมหน้า ให้ทันสมัย ถูกใจ ฅ ฅน รุ่นใหญ่ และ ฅ ฅน รุ่นใหม่

ปีที่ 9 ก้าวหน้า  นำพาสร้างสรรค์ ร่วมพลัง ถอด ลิขิต เก็บ ตำนานชีวิต มิ่งมิตร Blogger ต่อไปครับ

JJ2013

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/536989

 

คัดค้านร่างผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2556

พิมพ์ PDF

จดหมายเปิดผนึกร่วมคัดค้านร่างผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2556

โปรด Click http://thaisocialwork.files.wordpress.com/2013/04/2013-04-218_fax-022951154.pdf เพื่อ download ฉบับจริงแล้วลงนามคัดค้านร่างผังเมืองดังกล่าว ส่งกลับมาทาง Fax 02.295.1154 หรือ Email: อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน ภายในวันอังคารที่ 30 เมษายน 2556 นี้นะครับ

10 ถ.นนทรี ยานนาวา กทม. 10120

25 เมษายน 2556

เรื่อง      คัดค้านร่างผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2556

เรียน     น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

นายประเสริฐ บุญชัยสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

นายประชา ประสพดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

พลตำรวจโท ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม

พลเอก พฤณท์ สุวรรณทัต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม

นายฐานิสร์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย

นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

เนื่องด้วยขณะนี้กรุงเทพมหานครพยายามเสนอต่อกระทรวงมหาดไทยเพื่อผลักดันร่างผังเมืองฉบับใหม่ออกมาประกาศใช้ แต่ร่างดังกล่าวมีข้อบกพร่องมากมาย หากนำมาใช้จะสร้างปัญหามากกว่าจะช่วยสนับสนุนการวางแผนพัฒนาเมืองให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย  กระผมจึงขอคัดค้านร่างดังกล่าวดังนี้ และขณะนี้กำลังขอความร่วมมือกับประชาชนในการคัดค้านร่างฉบับนี้และจะส่งรายชื่อมาให้ท่านต่อไป:

1. ในพื้นที่ธุรกิจใจกลางเมืองถูกจำกัดการก่อสร้างทั้งที่ควรให้พัฒนาในแนวสูง เพื่อใช้ที่ดินอย่างคุ้มค่าและเก็บภาษีได้มาก  กรุงเทพมหานครมักอ้างว่ามีไฟไหม้อาคารขนาดใหญ่บ่อยครั้ง ซึ่งไม่จริง  ในช่วง พ.ศ.2550-5 อาคารเหล่านี้ เกิดเพลิงไหม้ลดลงจาก 9% เหลือ 1% อาคารเหล่านี้มีระบบป้องกันไฟไหม้ที่ดี กรุงเทพมหานครควรปรับปรุงประสิทธิภาพในการดับเพลิง แทนที่จะนำมาอ้างเพื่อกีดขวางการพัฒนา

2. ร่างผังเมืองนี้ทำให้เมืองขยายออกไปในแนวราบ รุกทำลายสิ่งแวดล้อมและพื้นที่เกษตรกรรม สิ้นเปลืองงบประมาณขยายสาธารณูปโภคไม่สิ้นสุด ยังทำให้ประชาชนเสียเวลาและค่าใช้จ่ายมาก ซึ่งเป็นการผลักภาระและปัญหาไปสู่จังหวัดอื่น เช่น

2.1 ในพื้นที่ ย.3 ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่อาศัยหลายร้อยตารางกิโลเมตรและมีอะพาร์ตเมนต์ให้บริการผู้มีรายได้น้อยมากมาย กรุงเทพมหานครกลับห้ามสร้างอะพาร์ตเมนต์ขนาดเกิน 1,000 ตารางเมตรหากถนนผ่านหน้าที่ดินมีความกว้างไม่ถึง 30 เมตร  ทั้งที่รู้ว่าในความเป็นจริงไม่มีซอยใดที่จะมีความกว้างเช่นนี้

2.2 ในพื้นที่ ย.2 ห้ามสร้างทาวน์เฮาส์ ทั้งที่บริเวณเหล่านี้มีทาวน์เฮาส์สำหรับผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้น้อยอยู่มากมาย  ดังนั้นต่อไปประชาชนโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางต้องระเห็จออกไปอยู่นอกเมือง โดยตามรอยตะเข็บเขตสมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี กลับมีโครงการใหญ่ๆ ประเภทอาคารชุดและทาวน์เฮาส์มากมาย เพราะไม่สามารถสร้างในเขตกรุงเทพมหานครได้

3. ตามร่างผังเมืองใหม่ก็ไม่ได้กำหนดให้มีแผนการป้องกันน้ำท่วมอย่างเป็นรูปธรรมเพราะไม่ได้ทำถนนและเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยา ระบบเปิดปิดน้ำกันน้ำทะเลหนุน และระบบคลองระบายน้ำใหม่ๆ เป็นต้น ยิ่งกว่านั้นกรุงเทพมหานครควรดำเนินการอย่างมีบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น

4. ผังเมืองที่ออกมาไม่สอดคล้องกับความจริงในหลายประการ เช่น
4.1 ถนนบางเส้นไม่จำเป็นต้องสร้าง เช่น ถนน ง.2 หนองจอก เพราะสภาพเป็นทุ่งนา แต่บางเส้นเล็กและคดเคี้ยวกลับไม่ตัดถนน เช่นทางเข้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตบางขุนเทียน
4.2 กำหนดการใช้พื้นที่ไม่เป็นจริง เช่น พื้นที่พาณิชยกรรม พ.1-12 ถนนนวมินทร์กลับมีสภาพจริงเป็นหมู่บ้านจัดสรร หรือพื้นที่ อ.1-4 ถนนเทียนทะเลที่กำหนดให้เป็นเขตอุตสาหกรรมเฉพาะ 200 เมตรแรกที่ติดถนน (ฝั่งซ้าย) และ ตลอดแนวคลองที่ขนานกับถนน (ฝั่งขวา)  แต่ในความเป็นจริง พื้นที่โดยรอบก็มีโรงงานมากมาย  ผังเมืองจึงวางอย่างละเอียดรอบคอบกว่านี้

5. แผนก่อสร้างและปรับปรุงถนน 140 สายตามร่างผังเมืองรวมนั้น หลายสายก็วาดไว้ตั้งแต่ผังเมืองฉบับปัจจุบันที่ประกาศใช้ในปี พ.ศ.2549 แต่ยังไม่ได้ก่อสร้าง  บางสายก็วาดต่างไปจากเดิม  ที่สำคัญก็คือ งบประมาณก่อสร้างถนนตามที่วาดไว้ยังไม่มีการจัดหาไว้ ซึ่งแสดงถึงความไม่แน่นอน

6. ผังเมืองกรุงเทพมหานครขาดการพัฒนาสวนสาธารณะ ซึ่งขณะนี้มีพื้นที่เพียง 4.65 ตารางเมตรต่อคน ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับมหานครทั่วโลก  ที่สำคัญพื้นที่สวนสวนสาธารณะ 26 ตารางกิโลเมตรยังรวมสวนในหมู่บ้านเอกชน เกาะกลางถนน บึงน้ำ พื้นที่ว่างของกองทัพ ฯลฯ เข้าไปด้วย  นอกจากนี้สวนสาธารณะส่วนมากจะสร้างในเขตรอบนอกซึ่งมีความจำเป็นน้อย  ไม่มีการวางแผนสร้างสวนสาธารณะใจกลางเมือง  ดังนั้นการกล่าวอ้างว่าผังเมืองจะทำให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองสีเขียว (Green City) จึงไม่จริง

7. ร่างผังเมืองนี้พยายามเสนอข้อดีบางประการ ซึ่งไม่เป็นจริง เช่น

7.1 จะเพิ่มการควบคุมกิจกรรมที่ขัดต่อสุขลักษณะ 5 กิจกรรม เช่น สนามแข่งม้า สนามแข่งรถ และสนามยิงปืนนั้น ในความเป็นจริงไม่ได้มีผลในทางปฏิบัติอยู่แล้ว เพราะแทบไม่มีการขออนุญาต

7.2 การแจก "แจกโบนัส 5-20%" คือให้สร้างเพิ่มเติมกว่ากฎหมายปกติกำหนด ในรัศมี 500 เมตรรอบสถานีรถไฟฟ้านั้น ก็ใช้ได้เฉพาะสถานีที่สร้างเสร็จแล้ว ไม่ใช่ที่กำลังก่อสร้างอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีผลอะไร

7.3 การพัฒนาศูนย์เมืองย่อย เช่น ในย่านมีนบุรีที่แนวรถไฟฟ้าสายสีชมพู-สีส้มมาบรรจบกัน ย่านพระรามที่ 2 ใกล้กับถนนกาญจนาภิเษก และย่านรามอินทราใกล้จุดตัดถนนรัชดา-รามอินทรา  เป็นต้น  หากร่างผังเมืองนี้ได้ประกาศใช้ในปีนี้และหมดอายุในปี 2560 ก็ยังไม่แน่ว่ารถไฟฟ้าทั้งสองสายจะได้สร้างเสร็จ

โดยสรุปแล้ว อาจกล่าวได้ว่าร่างผังเมืองนี้ เป็นการแก้ปัญหาเมืองแบบซุกปัญหาไว้ใต้พรม เพราะแทนที่จะจัดระเบียบการใช้ที่ดินที่ดี กลับปัดปัญหาออกไปนอกเมือง  นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ประชากรของกรุงเทพมหานครลดลงในระยะหลายปีที่ผ่านมา เพราะประชาชนไม่สามารถอยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครได้ เพราะความพยายามทำเมืองให้หลวม  กรุงเทพมหานครควรคิดใหม่ ทำเมืองให้หนาแน่น (High Density) แต่ไม่แออัด (Overcrowded) แต่ปัจจุบันกลับทำในทางตรงกันข้าม

ประเด็นหนึ่งที่กรุงเทพมหานครเองไม่สามารถจะแก้ปัญหาของเมืองและวางแผนการพัฒนาเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ เพราะขณะนี้ความเป็นเมืองของกรุงเทพมหานครได้ขยายออกนอกเขตบริหารของกรุงเทพมหานครแล้ว  ยิ่งกว่านั้นกรุงเทพมหานครยังขาดการประสานแผนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงทำให้ผังเมืองกับการขยายตัวของสถานศึกษา พื้นที่ปกครอง กิจการไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ถนน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่ราคาประเมินของทางราชการ ก็ไม่ได้ยึดโยงกับผังเมือง

ดังนั้นกระทรวงมหาดไทยในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการวางผังเมืองจึงควรดำเนินการวางแผนภาคมหานคร ซึ่งรวมพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล  และให้หน่วยงานต่างๆ ร่วมกันวางผังนี้ให้เป็นแผนแม่บทในด้านการปกครอง สาธารณูปโภคและอื่นๆ  ในระหว่างนี้ให้ประกาศใช้ผังเมืองฉบับเดิมไปก่อน และให้มีกรอบเวลาการทำผังภาคมหานครให้แล้วเสร็จใน 2 ปี  สำหรับสาระสำคัญดังนี้:

1. ในพื้นที่เขตธุรกิจชั้นในของกรุงเทพมหานคร ควรอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่และสูงพิเศษ แต่ให้เว้นพื้นที่ว่างให้มากเพื่อให้เกิดพื้นที่สีเขียวใจกลางเมือง  แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ให้สิทธิพิเศษ เพราะกรุงเทพมหานครควรจัดเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับการก่อสร้างอาคารได้สูงหรือใหญ่พิเศษ เพื่อนำเงินไปเข้ากองทุนพัฒนาระบบคมนาคม เช่น รถไฟฟ้ามวลเบา ผ่านเข้าสู่ถนนสายต่างๆ เพื่อการระบายการจราจร

2. ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ประสาน

2.1 กับกิจการไฟฟ้า ประปา ทางหลวง รถไฟฟ้า ช่วยกันน่างผังเมืองนี้เป็นแผนแม่บทของหน่วยงานของตน  ส่วนในพื้นที่อนุรักษ์ชนบทจะห้ามก่อสร้างถนนหรือขยายไฟฟ้า ประปาไปบริเวณดังกล่าว

2.2 กับการเคหะแห่งชาติและหน่วยงานอื่นโดยควรใช้วิธีจัดรูปหรือเวนคืนที่ดินชานเมือง เช่น เขตหนองจอก ราว 10,000 – 20,000 ไร่ สร้างเมืองใหม่แบบปิดล้อมแต่มีระบบขนส่งมวลชนเข้าสู่ใจกลางเมืองโดยตรง แล้วจัดสรรที่ดินที่มีสาธารณูปโภคครบ (serviced land) เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ศูนย์ธุรกิจ เป็นต้น

2.3 กับกรมธนารักษ์เพื่อนำที่ดินใจกลางเมืองมาพัฒนาเป็นศูนย์ธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจมีการรวมศูนย์ สาธารณูปโภคไม่ต้องขยายตัวอย่างไร้ขอบเขต เป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจด้วยกันเองในพื้นที่

2.4 กับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อจัดสร้างนิคมให้โรงงานได้ใช้ในราคาถูกเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม และเพื่อห้ามการก่อสร้างโรงงานตามท้องนาหรือย่านชานเมืองเช่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาและขอขอบพระคุณท่านมา ณ โอกาสนี้

ขอแสดงความนับถือ

ดร.โสภณ พรโชคชัย

โทร.0.2295.3905 หรือ อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน

 

ผมได้รับ e-mail จาก ดร.โสภณ พรโชคชัย ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน 2556 แต่เนื่องจากติดภาระกิจจึงยังไม่มีเวลาศึกษา เมื่อมาอ่านดู ก็เห็นว่าเป็นเรื่องของส่วนร่วม และเป็นจดหมายเปิดผนึกถึงผู้เกี่ยวข้อง จึงนำมาเผยแพร่เพื่อให้คนที่รู้จริงและคนที่ไม่รู้อย่างผมได้รับทราบไว้เป็นความรู้ในเบื้องต้น ส่วนเหตุผลฝ่านไหนจะถูกต้อง คงต้องติดตามดูครับ

 

 


หน้า 481 จาก 557
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5602
Content : 3043
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8590185

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า