Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

ผ่านด่าน "นิวรณ์ 5"

พิมพ์ PDF

ขอนำคำสอนของอาจารย์แพรภัทร ที่ลงใน gotoknow มาเผยแพร่ครับ  เป็นการสอนการปฎิบัติสมาธิที่ดีมากวิธีหนึ่ง

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

17 พ.ค.2556

แพรขอแนะนำให้รู้จักเพื่อนสนิทของเราอีกกลุ่มหนึ่ง คือ นิวรณ์ 5 ค่ะ เค้าเป็นพวกกิเลสมารนะคะ เค้าน่ะสนิทและรู้จักเราดี แต่เราน่ะสิ ทำเป็นไม่รู้จักเค้า คิดว่าเค้าไม่สำคัญ จริงๆแล้วเค้าสำคัญมากกกกกกกกก

นิวรณ์ 5 จะเป็นเพื่อนซี้ปึ้กของเรา ระหว่างที่เราสนุกกับกรรมฐาน เค้าจะมาเล่นกับเรา มาอยู่กับเรา ตลอดเวลา บางครั้งก็มาตัวเดียว บางครั้งก็มากันเป็นทีม ผลัดกันมาเล่นสนุกกับเราตลอด จับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน เราจะมึง จะงง จะเหนื่อย จะเบื่อกับชีวิตมาก เค้าทำให้เราเผลอสติ หลุดจากสมาธิบ่อยๆ ค่ะ เห็นไหมค่ะ เค้านี่แหละตัวสำคัญเลย

รู้จักเค้า เข้าใจเค้า และผ่านเค้าไปได้ เพื่อนๆจะได้ของดีจากการทำสมาธิ เจริญสติค่ะ

เรื่องนี้แพรตั้งใจเขียนมาเล่าเลยนะคะ ถ้าเพื่อนๆรู้จักเค้าดี จำเค้าได้ เวลาอยู่วัด ปฏิบัติธรรม เพื่อนๆจะปฏิบัติธรรมได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วค่ะ แล้วจะสนุ๊ก สนุกกับกรรมฐานค่ะ

จริงๆแล้วผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนไม่มีใครนะคะที่ไม่รู้จัก  ไม่เคยเจอ นิวรณ์ 5 เพราะพอเริ่มต้นปฏิบัติก็เจอกันทุกคนค่ะ  นิวรณ์ 5 จึงได้สมญานามว่า "ข้าศึกแห่งสมาธิ" เป็นอุปสรรคสำคัญในการทำสมาธิ ถ้านิวรณ์ตัวใดตัวหนึ่ง หรือหลายตัวเกิดขึ้นแล้ว  เราจัดการกับมันไม่ได้ สมาธิก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้เลยค่ะ

นิวรณ์ 5 นี้ไม่เป็นตัวขวางกั้นวิปัสสนากรรมฐานค่ะ แต่เป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาค่ะ เพราะวิปัสสนานั้นเป็นการเรียนรู้ธรรมชาติของสรรพสิ่ง รู้ทุกอย่าง ด้วยใจที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง  รู้โดยไม่เข้าไปแทรกแซง ไม่ว่าขณะนั้นอะไรจะเกิดขึ้น ก็ให้รู้ลูกเดียวเลย


นิวรณ์ คืออะไร

นิวรณ์ คือสิ่งที่ขวางกั้นจิตทำให้สมาธิไม่อาจเกิดขึ้นได้ เป็นธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุคุณความดี, อกุศลธรรมที่ทำจิตให้เศร้าหมองและทำปัญญาให้อ่อนกำลัง  นิวรณ์ 5 เป็นเครื่องกั้นจิต ไม่ให้ตั้งมั่น ไม่ให้บรรลุถึงความดีงาม  และความดีงามที่ว่า ความตั้งมั่นที่ว่า ก็คือ .."สมาธิ"..!

และสมาธิ จัดเป็นความดีงามประการหนึ่ง ในหัวใจแห่งพระพุทธศาสนา.. 
ที่เรียกว่า ไตรสิกขา ที่ประกอบด้วย ..ศีล..สมาธิ...ปัญญา ค่ะ..!

นิวรณ์ 5 เพื่อนสนิทของเรา (ที่เราก็ไม่อยากจะสนิทกับเค้า) จะมาเล่นกับเราในลักษณะนี้ค่ะ

1.กามฉันทะ คือ  ความยินดี พอใจ เพลิดเพลินในกามคุณอารมณ์(คำว่ากามในทางธรรมนั้น ไม่ได้หมายถึงเรื่องเพศเท่านั้น) ได้แก่ ความยินดี พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ(สิ่งสัมผัสทางกาย) อันน่ายินดี น่ารักใคร่พอใจ รวมทั้งความคิดอันเกี่ยวเนื่องด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้น แบบว่า ปฏิบัติธรรมเจริญภาวนาอยู่ ก็รู้สึกชอบ ยินดี  พอใจกับอะไรบางอย่าง ทำให้มีความสุข สบายใจ ก็หลงๆตามไป ก็ลืมภาวนา  แล้วหลุดจากสมาธิไปเลยค่ะ  เฮ้อ...

เช่น มาหลอกเราว่า ชอบภาวนา ที่ตรงนี้ ชอบมาอยู่วัดนี้ ไปที่อื่นไม่ได้ ชอบนั่งภาวนาที่เย็นๆ ชอบนั่งใกล้พัดลม ชอบนั่งใกล้พระพุทธรูป ถ้าไม่ได้แบบนี้ก็ไม่ชอบ จะหงุดหงิด เป็นต้น

2.พยาปาทะ คือ ความโกรธ ความพยาบาท ความไม่พอใจ ขัดเคืองใจ แบบว่า ปฏิบัติธรรมเจริญภาวนาอยู่ ก็รู้สึกโกรธ เกลียดอันโน้น อันนี้  คนโน้นคนนี้  หรือใครที่ทำให้เราไม่พอใจเจ็บใจ  เจ็บแค้น อยู่ๆก็ไปนึกถึงเค้า  ภาวนาไปโกรธไปก็ไม่ได้อะไรค่ะ  โดนกิเลสเอาไปกินซะแล้ว  เฮ้อ...

เช่น มาหลอกเราว่า โกรธคนที่มาแย่งพัดลมของเรา โกรธคนที่่มาแย่งที่นั่งของเรา โกรธคำพูดของคนนั้น โกรธการกระทำของคนนี้ มันหาเรื่องให้เราโกรธ เกลียด เคืองได้สารพัดค่ะ ดูดีๆนะคะ โทสะนี้ดูง่าย สมาธิดีๆ สติไวๆ จะเห็นความโกรธหรือโทสะนี่ มันผุดออกมากลางอกเลยค่ะ ลองดูดีๆนะคะ

3.ถีนมิทธะ แบ่งเป็น “ถีนะ” และ “มิทธะ”  ซึ่งจะมีอาการแสดงออกที่คล้ายกันมาก คือ ทำให้เกิดอาการเซื่องซึมเหมือนกัน แต่มีสาเหตุที่ต่างกันคือ

ถีนะ คือ ความหดหู่ ท้อถอย เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง เกิดจากการปรุงแต่งของจิต ทำให้เกิดความย่อท้อ เบื่อหน่าย ไม่มีกำลังที่จะทำความเพียรต่อไป แบบว่า เบื่อๆ  เหงาๆ ขี้เกียจๆ  อยากกลับบ้าน  ไม่อยากเจริญภาวนาต่อ

เช่น มาหลอกเราว่า “ฉันมาทำอะไรที่นี่” “เราทำไปทำไมเนี่ย”  โอ๊ย..เซ็ง..เบื่อ อยากกลับบ้าน นั่งสมาธิ เดินจงกรมแล้วไม่ดห็นได้อะไร หรือเราเป็นพวกภาวนาไม่ขึ้น เลิก ๆ กลับบ้านดีกว่า ไม่อยากอยู่วัดแล้ว ..เบื่อ

มิทธะ คือ ความง่วงเหงาหาวนอน  เกิดจากความเมื่อยล้าอ่อนเพลียของร่างกาย หรือจิตใจจริง ๆ เนื่องจากตรากตรำมามาก หรือขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ หรือการรับประทานอาหารที่มากเกินไป มิทธะนี้ไม่จัดเป็นกิเลส(พระอรหันต์ไม่มีถีนะแล้ว แต่ยังมีมิทธะได้เป็นบางครั้งค่ะ) แบบว่า หนังตาหนัก  หนังท้องตึง  ง่วงอยากนอน  คิดถึงที่นอน  คิดถึงการนอนหลับสบาย  ภาวนาไปก็ผงกหัวไป  มันรู้สึกวืดไป วืดมา  แพรเจอตัวนี้ตั้งแต่แรกเลยค่ะ เจอกันบ่อย แค่คิดจะภาวนาก็จะโผล่มาทักทายกันแล้ว  บางทีสู้ไม่ไหวก็ปล่อยให้มันหลับไปเลยค่ะ  แฮะๆๆ หลับสบายไปเลย บัลลังค์นี้

อย่าค่ะ อย่าไปเชื่อมัน มันมักจะมาหลอกเราเสมอว่า เรานอนดึก เราไม่สบาย เราเพลีย เราเหนื่อย เราต้องพักผ่อน เราต้องนอนเยอะๆ จะได้แข็งแรง อย่าได้เสียรู้เด็ดขาดค่ะ อยู่บ้านเราจะนอนไม่ค่อยหลับ แต่อยู่วัด ภาวนานี้หลับง่าย หลับเร็วดีจริงๆค่ะ มันไม่ดีนะคะ เพราะทำให้เราไม่ได้ภาวนา เราก็ไม่ก้าวหน้า และจะไม่ได้อะไรกลับไปบ้าน ดังนั้น อย่ายอมให้มันหลอกเด็ดขาดค่ะ 
อย่าฝืนนั่งหลับต่อไปนะคะ

ถ้ามันง่วงนัก ก็ลุกขึ้นเดินจงกรมค่ะ ขยันเดินจงกรมมาก ไม่ง่วง ไม่หลับ จะได้สมาธิดีนะคะ

4.อุทธัจจกุกกุจจะ แบ่งเป็น “อุทธัจจะ” และ “กุกกุจจะ”

อุทธัจจะ คือ  ความฟุ้งซ่านของจิต การที่จิตไม่สามารถยึดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เป็นเวลานาน จึงเกิดอาการฟุ้งซ่าน คิดเลื่อนลอย  คิดเรื่อยเปื่อย ไปเรื่องนั้นที เรื่องนี้ที  แบบว่า  มันคิดโน้น  คิดนี้  คิดได้สารพัด  แล้วก็ดึงเราไปไกลจากสมาธิ  ที่ครูบาอาจารย์คอยว่าไว้ว่า “อย่าส่งจิตออกนอก” อันนี้แหละค่ะ  ตัวร้ายเลย  มาเป็นเรื่องเป็นราว  เราก็เพลินตามมันไป  หลุดจากสมาธิทันที

ตัวนี้นี่ดีนัก มาบ่อยมาเป็นเรื่องราว ละครหลังข่าว จบเรื่องนั้น ต่อเรื่องนี้ มาเป็นสาย มาเล่นกับเราจนเราเหนื่อย เครียด ปวดหัว นี่ไงค่ะที่เค้าว่ายิ่งภาวนา ยิ่งปวดหัว ก็เราเผลอสติ ไม่รู้สึกตัว ไปเล่นกับเค้า เค้าก็เล่นเราซะงอมเลย ไม่ได้ภาวนาเลย ลืมองค์ภาวนาไปซะงั้นล่ะ

ขอแนะนำว่า อย่าไปสนใจเค้ามาก รู้ว่าเค้ามาก็แค"รู้" แล้วจับองค์ภาวนาต่อไปค่ะ จับให้แน่นๆนะคะ

กุกกุจจะ คือ  ความรำคาญใจ  เกิดจากความกังวลใจ หรือไม่สบายใจถึงอกุศล เรื่องไม่ดี  เรื่องที่เราทำผิดพลาดไป  ที่ได้ทำไปแล้วในอดีต ว่าไม่น่าไปทำอย่างนั้นเลย ถ้าย้อนกลับไปได้จะไม่ทำอย่างนั้นอีก  แล้วจะทำอะไรต่อไปแบบนั้น  แบบนี้ หรือบุญกุศลต่างๆ ที่ควรทำแต่ยังไม่ได้ทำ ว่าน่าจะได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้  แบบว่า ภาวนาอยู่ดีๆ  ดันไปคิดเรื่องเศร้าๆ ให้มันเหงาๆหัวใจเล่น  พาความทุกข์เข้ามาจูงให้เราเดินออกนอกเส้นทางที่ตั้งใจไว้

ยิ่งใครเคยอกหักมาก่อนนะ  ตัวนี้แหละพามาเลยค่ะ  หักอกใครมาหรือถูกหักอกซะเอง ก็พามาเลยทั้งเหตุการณ์  สถานที่และบุคคล (ดีนะไม่ใส่วัน เวลาให้ด้วย  55)

เค้าจะลอยมาเป็นหน้าตา ท่าทางให้เห็นเลยค่ะ มาบิวส์อารมณ์เราซะกระเจิดกระเจิง ไปไกล ลืมภาวนาเลยค่ะ

มัวแต่คิดถึงคนอื่นๆ มัวแต่ดูคนอื่น ลืมดูตัวเอง 555

รู้สึกตัวไว้ค่ะ “อย่าส่งจิตออกนอก”

 

5.วิจิกิจฉา คือ  ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ อยากรู้ อยากเห็นเรื่องนั้น เรื่องนี้ หรือไม่ปักใจเชื่อว่าสิ่งใดถูก  สิ่งใดผิด หรือควรทำแบบไหนดี จิตจึงไม่อาจมุ่งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งได้อย่างเต็มที่ สมาธิจึงไม่เกิดขึ้น  แบบว่า  สงสัยๆ เห็นอะไรก็สงสัย  จินตนาการไปเรื่อย ลืมองค์ภาวนาไปอีกแล้วค่ะ

เราจะรู้สึกสงสัยมาก ในเรื่องนั้น เรื่องนี้ คาดเดาสาเหตุ คาดเดาคำตอบ อยากรู้ความจริง ไม่ถามหลวงพ่อไม่ได้แล้ว (เริ่มฟุ้งซ่านต่อ)  อยากถามหลวงพ่อ  อยากรู้คำตอบเพื่อความมั่นใจ ว่าที่เราสงสัยน่ะ  เป็นความจริง  เห็นไหมค่ะ..ไปไกลกู่ไม่กลับอีกแล้ว  ลืมตัวแล้วค่ะว่ากำลังภาวนาอยู่ เฮ้อ.!

นิวรณ์ทั้ง 5 ตัวนี้นะคะ มีเฉพาะ“อุทธัจจะ” เท่านั้นที่เกิดขึ้นตัวเดียวได้ค่ะ

ส่วนนิวรณ์ตัวอื่น ๆ นะคะ เมื่อเกิดจะเกิดขึ้นร่วมกับอุทธัจจะเสมอค่ะ  ไม่ฉายเดี่ยว

บางทีก็มากันเป็นทีม  มาเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน  พาเราเผลอสติ ออกไปไกลเลยค่ะ

เพื่อนๆพวกนี้แหละที่พาเราเดินหลงทาง  ไปไม่ถึงบ้านสักที

กายและใจ คือ บ้านของเรา ถ้าเราไม่รู้กายและใจ เราก็หลงทาง กลับบ้านไม่ถูกค่ะ

เค้าบอกว่า  ปุถุชน ผู้ไม่ได้สดับตรับฟังพระธรรม ..จะไม่รู้จักนิวรณ์ 5

จะไม่รู้วิธีทำจิตให้สงบจากนิวรณ์ 5 ทำจิตให้สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย..

อริยสาวก ผู้สดับพระธรรม ศึกษาพระธรรม ปฏิบัติตามคำสอน คำแนะนำ..

จะสามารถสงบนิวรณ์ 5 ได้

..และสุดท้ายจะ สยบได้อย่างเด็ดขาด..! (อืม..)

ครูบาอาจารย์ท่านบอกไว้นะคะว่า

ตั้งใจที่จะระงับนิวรณ์ 5     จิตเริ่มมีสมาธิ

ระงับนิวรณ์  5  ได้            จิตเริ่มเป็นฌาน

ตัดนิวรณ์5 ได้แบบถอนรากถอนโคน  เป็นพระอริยะบุคคลขั้นสูงสุด

วิธีแก้ไขนิวรณ์5 น่ะหรือค่ะ แก้ไขได้ง่ายมากๆค่ะ

นิวรณ์ทั้ง 5 นี้ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ๆ ของจิตที่เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ ให้เห็นถึงไตรลักษณ์ คือ

อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  หรือ ความไม่เที่ยง ความทุกข์ ความว่างเปล่า  ไม่มีตัวตน

เมื่อนิวรณ์ยังไม่สงบลง ความตั้งมั่นของจิตที่จะเป็นสมาธิ ย่อมเป็นไปไม่ได้

คือ ไม่เกิดสมาธิ นั่นเองค่ะ

ดังนั้น เมื่อนิวรณ์เกิดขึ้นเราต้องทำแบบนี้ค่ะ

ไตรลักษณ์ค่ะ ไตรลักษณ์ จำไว้ให้ดีนะคะ

อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  หรือ ความไม่เที่ยง ความทุกข์ ความว่างเปล่า

เจอพวกเค้าหรือนิวรณ์ 5 แล้วให้ “รู้”ลูกเดียวเลยค่ะ

รู้อะไร ก็รู้ว่าเค้ามาไงค่ะ มาเล่นกับเรา รู้แต่ไม่เล่นด้วย

รู้สึกชอบ รู้สึกไม่ชอบ

รู้ว่าฟุ้งซ่าน รู้ว่าคิดมาก

รู้ว่าง่วง รู้ว่าหลับ

รู้ว่าเบื่อ รู้ว่าเหนื่อย

รู้ว่าสงสัย รู้ว่าไม่แน่ใจ รู้ว่าลังเล

ไม่ว่าพวกเค้าจะมาชวนยังไงก็ไม่เล่นด้วยค่ะ

ให้เพื่อนๆ รู้สึกตัว ว่า “รู้”และภาวนาต่อไปค่ะ

รู้แล้ว “วาง” เฉย “รู้” แล้ว “ภาวนา” ต่อไป

“พองหนอ” “ยุบหนอ” ต่อไป

จับ “พองหนอ” จับ “ยุบหนอ” ไว้ ให้แนบแน่น

สมาธิเกิด สติรู้ตัว ทัน

ตอนนั้นเพื่อนๆ จะได้สภาวธรรม จะได้ฌานค่ะ

ฝ่าไฟแดงผิดกฎหมาย แต่ฝ่าด่าน นิวรณ์ 5 ไปได้ จะได้ฌานค่ะ 55

อยากรู้ว่าฌานคืออะไร ได้แล้วจะเป็นยัง ต้องติดตามตอนต่อไปค่ะ

บุญรักษา  ธรรมคุ้มครองนะคะเพื่อนๆ

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/536172

 

แนวคิดการบริหารประเทศ

พิมพ์ PDF

ผมได้อ่านความเห็นจากคุณทัศนีย์ บุญประสิทธิ์ เห็นว่าเป็นข้อคิดที่น่านำมาพิจารณา จึงขอนำมาเผยแพร่ หลังจากนั้นผมได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมต่อท้าน โปรดอ่านด้วยสติและพิจารณาเพราะเป็นเรื่องสำคัญกับเราทุกคนครับ

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

ความเห็นของคุณทัศนีย์ บุญประสิทธิ์

"คนที่ภูมิอกภูมิใจว่าตัวเองเป็นฝ่ายก้าวหน้า ยึดถือคำภีร์ต่อต้านการรัฐประหารอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู. และประชาธิปไตยต้องเลือกตั้งเท่านั้น. จนมองข้ามอันตรายและความเสียหายที่เกิดจากเผด็จการรัฐสภา. การโกงกินคอรัปชั่น. ทำให้หวนนึกถึงสองผู้นำที่ยิ่งใหญ่. คนหนึ่งคือฮิตเลอร์ผูนำเยอรมันผู้ที่มาจากการเลือกตั้ง. แต่สุดท้าบก็กลายเป็นเผด็จการ ด้วยการใช้เสียงข้างมากแก้ไขกฎหมาบเพื่อประโยชน์แก่ตนเอง. จนนำพาเยอรมันไปสู่ความหายนะ. ย้อนกลับมาทีาเกาใต้ หลังสงครามระหว่างสองเกาหลีสงบลง. สภาพของเกาหลีเปรียบเสมือนกับกองขี้เถ้า. นายพล ปัก จุง ฮี ยึด อำนาจ แล้วใช่เวลา35ปี ในการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ ด้วยความมุ่งมั่น ปราศจากการฉ้อฉลทุจริตคอรัปชั่น. จนสามารถนำพาประเทศก้าววูแถวหน้าได้. ดังนั้นในบางครั้ง. จึงไม่สำคัญว่าได้อำนาจมาอย่างไร. หากแต่ความสำคัญอยู่ตรงที่ว่า. ผู้มีอำนาจใช้อำนาจนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่ง ผลประโยชน์แก่ตนเองและพรรคพวก. หรือเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติต่างหาก"

ความคิดเห็นของผมหลังจากอ่านความคิดของคุณทัศนีย์

"เป็นข้อคิดที่น่าคิดครับ ไม่มีอะไรผิดและถูกทั้งหมด ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆด้าน อยู่กับความเหมาะสมในแต่ละยุคสมัย มีคนเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้มีอำนาจเป็นคนดี เสียสละและทำเพื่อส่วนรวม เพื่อประเทศชาติ แต่พอมีอำนาจเปลี่ยนไป หันไปทำเพื่อตัวเองและพวกพ้อง จนลืมหน้าที่หลักของตัวเองที่จะต้องทำเพื่อคนส่วนรวมและประเทศชาติ บริวารและทีมงานมีส่วนสำคัญมาก คนดีๆหลายคนเสียเพราะบริวารและคนใกล้ตัว คนประจบสอพอ คนพวกนี้อันตรายมาก ดังนั้นผู้นำจะต้องหนักแน่น อย่าหูเบาและปล่อยให้คนประจบสอพอ ขี้อิจฉา ไม่ทำอะไร ได้แต่จับผิดและเอาความดีความชอบเข้าตัวทั้งๆที่ไปขโมยความชอบจากคนอื่น มีอำนาจ ผู้นำต้องเข้าใจในเรื่องการบริหารจัดการมนุษย์ รู้จักคน ไว้ใจและเลือกใช้คนให้ถูกต้องกับงาน บริหารคนในบังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน ให้เป็นคนดีและคนเก่งทำงานเพื่อส่วนร่วม และประเทศชาติ"

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท
17 พ.ค. 2556


 

เรียนรู้จากการเดินทาง

พิมพ์ PDF

 

บันทึกนี้คล้ายๆ เป็นการ AAR การเดินทางระหว่างวันที่ ๙ - ๑๗ มี.ค. ๕๖ ไปกับคณะ ๙ คน  เราเดินทางโดยสายการบิน ANA ชั้นธุรกิจ  ซึ่งบริการดีในแง่ที่นั่ง-นอนสบาย  บริการอาหารและเครื่องดื่มดีมาก  พนักงานเอาใจใส่โอภาปราศรัยดีมาก  สังเกตว่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินทั้งหมดเป็นผู้หญิง  ไม่มีผู้ชายแม้แต่คนเดียว

จุดอ่อนสำคัญอยู่ที่หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษมีน้อยไป  และผมสังเกตว่า เขาพยายามตัดค่าใช้จ่ายหรือความหรูหราที่ไม่จำเป็นออกไป  ไม่แจกกระเป๋าใส่น้ำหอม, chapstick, โลชั่น, ถุงเท้าสวมบนเครื่อง  โดยมีโลชั่นทากันผิวแห้งให้ใช้ในห้องน้ำในช่วงบินระหว่างโตเกียวกับวอชิงตัน ดีซี  แต่ช่วงบินระหว่างโตเกียวกับกรุงเทพไม่มี

ที่มีเพิ่มคือ สลิปเป้อร์สำหรับสวมบนเครื่องบิน  และมีถุงให้ใส่กลับบ้านด้วย แถมช้อนคัดรองเท้า ๑ อัน

ห้องรับรองผู้โดยสารชั้นธุรกิจและบัตรทองของ ANA ที่โตเกียวใหญ่มาก  มีบริการที่เราประทับใจและติดใจคือบริการห้องอาบน้ำฟรี  มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการชำระร่างกายครบครันยิ่งกว่าโรงแรม  ในห้องรับรองมีไวไฟให้ใช้ฟรี   มีอาหารว่างอาหารร้อนครบครัน  แต่ผมไม่ได้ลองไปใช้บริการอาหารร้อน  อ. หมอปานเทพ รัตนากร เป็นผู้แนะนำให้ผมลองไปกิน แต่ผมไม่ได้ไป  เพราะที่เลี้ยงบนเครื่องบินก็มากเกินพอดีอยู่แล้ว

ผมมีข้อสังเกตว่า การออกแบบตำแหน่งของห้องรับรองของแต่ละสายการบิน กับประตูขึ้นเครื่อง เขาจัดให้อยู่ใกล้กัน สะดวกต่อผู้โดยสารดีมาก  เรื่องแบบนี้ สนามบินของประเทศใด ก็ย่อมเอื้อเฟื้อต่อสายการบินชาติตนเป็นพิเศษ

อ. หมอปานเทพ มีความรู้เรื่องเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ดีมาก  ขากลับผมจึงได้รับคำแนะนำให้ซื้อของใช้กระจุกกระจิกหลายอย่าง  ที่ตามปกติเวลาเดินทางผมไม่ได้สนใจเลย  ทำให้ผมตระหนักในข้ออ่อนด้อย ที่เกิดจากการตั้งใจฝึกฝนตนเองให้มีสมาธิอยู่กับเรื่องบางอย่างเท่านั้น  ทำให้ผมเป็นคนที่ความรู้แคบ

โรงแรมในอเมริการะดับที่เราไปพักคือ Omni Shoreham ที่น่าจะ ๔ ดาว ค่าห้องพักคืนละ $255 บวกภาษีอีกคืนละ $37  ไม่มีแปรงสีฟันยาสีฟัน หวี ให้  มีแต่สบู่  โลชั่น  และน้ำยาบ้วนปาก  ที่มีให้มากมายคือผ้าเช็ดตัวสารพัดขนาด  และที่นอนนอนสบายมาก  ที่ผมประทับใจคือกาแฟที่เสิร์ฟกับอาหารเช้าอร่อยกว่าทุกโรงแรมในอเมริกาที่ผมเคยพัก  คือรสเข้มดี ตามปกติกาแฟอเมริกันจะจางๆ รสไม่เข้มข้น  ไม่ทราบว่าเป็นเพราะในช่วงหลังๆ ที่มีกาแฟ สตาร์บัค และยี่ห้ออร่อยอื่นๆ มาทำให้กาแฟในโรงแรมปรับปรุงขึ้นหรือเปล่า   แต่ที่ผมไม่ชอบคืออาหารเนื้อของโรงแรมนี้เค็มมาก  และเหมือนเดิมทุกวัน  ที่ชอบมากคือผลไม้ มีสารพัดเบอร์รี่ให้ตักกิน  แต่สังเกตว่า บลูเบอร์รี่ไม่หอมเหมือนอย่างที่เคยกินที่ซาน ฟรานซิสโก

ที่น่าประทับใจคือโรงแรมนี้สร้างและเปิดใช้เมื่อ ค.ศ. ๑๙๓๐  เป็น super modern hotel ในสมัยนั้น  อายุ ๘๓ ปี แต่โครงสร้างด้านสถาปัตยกรรมยังใช้ได้ดี  ส่วนรายละเอียดภายในคงจะมีการปรับปรุงไปหลายรอบแล้ว

ผมออกไปวิ่งตั้งแต่เช้ามืดทุกวัน  ท่านอธิการบดี ศ. นพ. รัชตะถามว่าผมไม่ห่วงความปลอดภัยหรือ  ผมตอบว่า ผมรู้สึกว่าสังคมในอเมริกาเวลานี้ปลอดภัยกว่าเมื่อ ๒๐ ปีก่อน  ท่านแนะนำว่า ให้เอาเงินใส่กระเป๋าไว้สัก ๑๐ - ๒๐ เหรียญ มีคนมาขอจะได้ให้ไป  ป้องกันโดนทำร้าย

กลับมาถึงบ้าน ได้กินข้าวกล้องอินทรีย์ที่ผมเคยแนะนำไว้ กับผัดผักฝีมือสาวน้อย  อร่อยกว่าอาหารชั้นดีราคาแพงบนเครื่องบินและที่โรงแรม อย่างเทียบกันไม่ติดเลย  ที่สำคัญเป็นอาหารสุขภาพ

ตลอดการเดินทาง ผมอ่าน นสพ. เพื่อเรียนรู้ความเป็นไปของโลก  เพื่อให้ตนเองกว้างขึ้น  และได้เขียนบันทึกลง บล็อก จำนวนหนึ่ง   ผมสังเกตว่า นสพ. ในประเทศเจริญแล้ว ข่าวมีสาระกว่า นสพ. บ้านเรา


วิจารณ์ พานิช

๑๗ มี.ค. ๕๖

บนเครื่องบิน สายการบิน เอเอ็นเอ จาก โตเกียว กลับกรุงเทพ  ปรับปรุงที่บ้าน ๑๘ มี.ค. ๕๖


 

วิจัยเปลี่ยนโครงสร้างหลักสูตรเพื่อปฎิรูปการเรียนรู้ระดับอุดมศึกษาสู่ศตวรรษที่ 21

พิมพ์ PDF

โครงสร้างการเรียนรู้แห่งศตวรรรษที่ ๒๑ ควรเป็นอย่างไร ผมไม่ทราบ คงต้องมีการวิจัยและปรึกษาหารือกัน ผมทราบแต่หลักการ ว่าการสอนแบบบรรยายจะต้องน้อยลงมาก ผมเดาว่าควรเหลือสัก 10-20% ของปัจจุบัน ทดแทนด้วยการเรียนผ่าน ไอซีที ด้วยตนเอง ใช้เวลาที่อาจารย์-นักศึกษาพบกัน (contact hour) ให้เกิดการเรียนรู้ที่มีคุณค่าสูง คือเรียนแบบ active learning ตามด้วย reflection ให้เกิด mastery learning และเกิดการฝึกทักษะเชิงซ้อนหลากหลายด้านในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะทักษะด้านการเรียนรู้ รวมทั้งใช้ในการประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของ นศ. แต่ละคนไปในตัว

 

 

โครงสร้างหลักสูตร และรูปแบบการเรียนรู้ ในอุดมศึกษาไทย ยังเป็นรูปแบบของศตวรรษที่ ๒๐  ยังไม่ได้รับการปรับให้เข้าสู่ศตวรรษที่ ๒๑

เรายังยึดติดอยู่กับโครงสร้างการเรียน แบบ 3 (x-y-z)  เลข 3 หมายถึง 3 หน่วยกิต  x หมายถึงจำนวนชั่วโมงบรรยายต่อสัปดาห์  y หมายถึงชั่วโมงปฏิบัติต่อสัปดาห์  และ z หมายถึงชั่วโมงศึกษาเอง (independent study) ต่อสัปดาห์   โครงสร้างนี้ เป็นโครงสร้างแห่งศตวรรษที่ ๒๐  เน้น passive learning  หรือเป็นโครงสร้างการสอน ไม่ใช่โครงสร้างการเรียน  ยังเน้นที่สาระ (content) วิชา

โครงสร้างการเรียนรู้แห่งศตวรรรษที่ ๒๑ ควรเป็นอย่างไร ผมไม่ทราบ  คงต้องมีการวิจัยและปรึกษาหารือกัน   ผมทราบแต่หลักการ ว่าการสอนแบบบรรยายจะต้องน้อยลงมาก  ผมเดาว่าควรเหลือสัก 10-20% ของปัจจุบัน  ทดแทนด้วยการเรียนผ่าน ไอซีที ด้วยตนเอง  ใช้เวลาที่อาจารย์-นักศึกษาพบกัน (contact hour) ให้เกิดการเรียนรู้ที่มีคุณค่าสูง คือเรียนแบบ active learning ตามด้วย reflection  ให้เกิด mastery learning  และเกิดการฝึกทักษะเชิงซ้อนหลากหลายด้านในเวลาเดียวกัน  โดยเฉพาะทักษะด้านการเรียนรู้  รวมทั้งใช้ในการประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของ นศ. แต่ละคนไปในตัว

นั่นคือ ห้องเรียนส่วนใหญ่ (เกือบทั้งหมด?) จะเป็น “ห้องเรียนกลับทาง”

การเรียนส่วนใหญ่ จะเรียนจากสถานการณ์ ทั้งสถานการณ์จริงและสถานการณ์สมมติ  เพื่อให้เป็นการเรียนจากการปฏิบัติ  และส่วนใหญ่ปฏิบัติเป็นทีม เพื่อให้เกิดทักษะการทำงานเป็นทีม

การทดสอบ หรือประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ เน้นประเมินทักษะทั้งด้านทักษะวิชาชีพ ทักษะชีวิต ทักษะการียนรู้ และทักษะด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร คือต้องประเมินให้ครบทั้งทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ นั่นเอง  โดยประเมินว่ามีการพัฒนาครบทั้งด้าน head, heart และ spirit  คือให้มั่นใจว่าเกิดการเรียนรู้บูรณาการ  หรือมองอีกมุมหนึ่ง เกิดการพัฒนาครบทั้ง ๕ ด้าน คือ intellectual, social, emotional, physical และ spiritual

การประเมินทั้งหมดนั้น ส่วนใหญ่ประเมินโดยตัว นศ. เอง  อีกส่วนหนึ่งประเมินโดยทีมอาจารย์ผู้ทำหน้าที่ “คุณอำนวย”  โดยคณะ/มหาวิทยาลัย มีกลไกตรวจสอบความแม่นยำของการประเมิน  เพื่อกำกับคุณภาพ  และมีกลไกตรวจสอบระดับชาติกำกับความแม่นยำในการประเมินของแต่ละมหาวิทยาลัยอีกทีหนึ่ง

โปรดสังเกตว่า ผมไม่เชื่อว่ากลไกสอบรวมเป็น national test ต่อผู้เรียนเป็นรายคน เป็นสิ่งที่ดี  ผมเชื่อว่ากลไกระดับชาติควรทำหน้าที่ประเมินสถาบันจะดีกว่า  ส่วนการประเมินผลสัมฤทธิ์เป็นรายคนมอบความไว้วางใจให้แก่สถาบัน  และจริงๆ แล้ว นศ. ผู้เรียนเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในการประเมิน

ความคิดของผมเป็นอุดมคติเกินไป ใช้ไม่ได้ในสภาพสังคมที่ไม่น่าไว้วางใจใครเลยหรือเปล่า ผมไม่ทราบ  แต่ผมคิดว่า เราต้องช่วยกันสร้างสังคมไทย ให้เป็นสังคมของคนที่น่าเชื่อถือ  มีความซื่อสัตย์สุจริตไว้วางใจได้  เราต้องช่วยกันทำให้บรรลุเป้าหมายนี้ให้ได้  และการศึกษาคือเครื่องมือที่สำคัญที่สุด

การวิจัย เป็นกลไกสำคัญ ต่อการจัดการการเปลี่ยนแปลงอันสำคัญยิ่งนี้

 

วิจารณ์ พานิช

๒๔ มี.ค. ๕๖

ห้องพักรับรอง อาคารประสานใจ ๑  ห้อง B 201  คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หาดใหญ่

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/535965

 

พลังประชาชน

พิมพ์ PDF

ผมได้อ่านบทความของคุณเปลว สีเงิน เห็นว่าเป็นบทความที่น่าสนใจจึงนำมาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน ขอให้อ่านอย่างมีสติ ทำความเข้าใจและหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อสร้างปัญญาให้กับตัวเรา ส่วนเรื่องการเมื่อก็ให้ติดตามอย่างใกล้ชิดอย่างมีสติ ประชาชนทุกคนต้องสนใจและเอาใจใส่เรื่องการเมื่อง คิดและกระทำอย่างสร้างสรรค์ พลังประชาชนมีอำนาจเหนือนักการเมื่อง แต่ต้องใช้อย่างมีสติและเพื่อสร้างสรรค์เท่านั้น ถ้าใช้พลังประชาชนในทางที่ผิดเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพื่อเอาชนะกัน ประเทศชาติก็จะเสียหาย
ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท
ปล. ปรากฎการณ์สามานย์ธิปไตยกินรวบชาติ

แบงก์ชาติในภาวะคอรัปชั่นล่มชาติ

ยิ่งลักษณ์ "ขาขึ้น" มานาน แต่ตอนนี้ส่ออาการ "ขาลง" ยังไงชอบกล เกิดเพราะแดงสาดเลือดที่ทำเนียบฯ หรือต้องมาตายเพราะแดงเลือดสาดที่ทำเนียบฯ เฮ้อ...ก็ได้แต่เอาใจช่วยอยู่ลึกๆ ช่วงนี้ พยายามซ่อนลิ้นไว้ในปากได้จะเป็นศรีกับตัว แต่บอกจะไปโชว์ "ยิ่งลักษณ์ สปีช" ในงานประชุมเรื่องน้ำที่เชียงใหม่วัน-สองวันนี้ ไม่เข็ด...ก็อย่าไปยก "อุทาหรณ์" ประชาธิปไตยมองโกเลียอีกก็แล้วกัน!
พูดถึงสปีชที่มองโกเลีย ทำเอาผมเหงาไปหลายวัน เพราะนายกฯ ขวัญใจผมหายจ้อยไปจากจอเลย เพิ่งเมื่อวาน (๑๔ พ.ค.๕๖) โผล่มาจ้อออกจอด้วยเรื่องนั้น-เรื่องนี้อีกแล้ว 
คงติดใจที่สั่งให้รัฐมนตรีคลัง "นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง" เชิญผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ สภาอุตสาหกรรม พาณิชย์ และคณะกรรมการนโยบายการเงิน ที่รู้จักกันดีในนาม กนง.มาคุยกัน เป็นทั้งการจูนคลื่น เป็นทั้งการบีบเรื่องบาทอ่อน-บาทแข็ง ที่รัฐบาลมีวิสัยทัศน์แค่ว่า 
ลดดอกเบี้ยนโยบายเมื่อไหร่ ก็จะหายแข็งเมื่อนั้น!?
แหม...ก็แม่เป็นรัฐบาลไม่ถึง ๒ ปี เล่นกู้ซะขนาดนั้น ตั้งแต่มีประเทศมาก็เพิ่งนี่แหละ กู้แบบขายบ้าน-ขายเมือง ขืนสกัดกั้นทางเดินเงินไหลเข้า แล้วเงินที่ไหนจะไหลมาให้รัฐบาลแม่คุณผลาญทันล่ะ?
จะมาโบ้ยให้ใช้มาตรการทางการเงินด้วยการลดดอกเบี้ยให้ยุ่งยากทำไม...พ่อขุนคลังกิตติรัตน์ ก็ใช้มาตรการทางการคลัง ลดดอกเบี้ยพันธบัตรเงินกู้ของกระทรวงซะเองไปเลย ง่ายๆ แบบนั้นทำไมไม่ทำ? 
ทำเมื่อไหร่ เงินนอกจากยุโรป สหรัฐ ญี่ปุ่น ที่ไหลมาหากินดอกเบี้ยก็จะลดน้อยไปเมื่อนั้น ไม่มีใครกระเทือนมาก นอกจาก ๓.๕ แสนล้าน และอีก ๒.๒ ล้านล้าน ไม่มีใครเอาเงินมาให้รัฐบาลกู้ เพราะดอกถูก แต่ถ้าลดดอกเบี้ยนโยบาย "แบงก์พาณิชย์รวย-คนฝากเงินกินดอกซวย" มันก็เท่านั้น
ก็รู้ทั้งรู้ กินอยู่กับปาก-อยากอยู่กับกู้ เจตนาสร้างข่าวให้แบงก์ชาติเป็นหมู "หวังเชือดทิ้ง" ละซี้?
แต่อะไรก็ช่าง ดูท่านายกฯ ติดใจวิธีนี้ซะแล้ว บอกให้กิตติรัตน์....เอาอีก Two Times คราวนี้ให้เชิญหน่วยงานอื่นๆ มาด้วย คือนอกจากแบงก์ชาติ กนง. สภาอุตฯ หอการค้า พาณิชย์แล้ว ให้เชิญกระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม มาร่วมถกเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภาพรวม
ทำไป-ทำมา ทั้งแบงก์ชาติ และทั้ง กนง.จะกลายเป็นหน่วยงาน "ลูกมือ-ลูกตีน" รัฐบาล ต้องทำงานภายใต้คำสั่งรัฐบาลโดยตรงไปแล้วก็ไม่รู้ ถ้าจะเอาแบบนี้ ก็สั่งให้แบงก์ชาติ กนง.เข้าประชุม ครม.ไปด้วยทุกนัดก็หมดเรื่อง?
อ่าน "ต่วย'ตูน" ว่าฮาแล้ว แต่ดูต่วย'ต่วย... ฮากว่า!
ก็ทะแม่งๆ เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน ที่ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ และ กนง.ผู้รับผิดชอบด้านกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน จะถูกฝ่ายการเมือง คือนายกฯ สั่งให้มาประชุมกับรัฐมนตรีคลัง ในเป้าหมาย....
"ต้องไปลดดอกเบี้ยลงมา เพื่อให้บาทอ่อน พวกพ่อค้าส่งออกจะได้ไม่โวย!"
ประชุมกันไปครั้งก็ติดใจ แต่ต่อจากนี้ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ และคณะกรรมการนโยบายการเงิน จะยอมเอาอีกด้วยหรือไม่ ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ นายกฯ ของผม "ต้องการ"
เรื่องอย่างนี้ "พูดยาก" นะ ถ้าจะยกบทบาท-หน้าที่ของแต่ละฝ่ายมาขึงตึง กรณีนี้ดูน่าเกลียด ที่แบงก์ชาติและ กนง.คล้ายตกเป็นเครื่องมือ "อำนาจรัฐบาล" สั่งให้หันซ้าย-หันขวา เป็นบทบาทที่เปราะบางต่อทัศนคติคนทั่วไปในด้าน "ความน่าเชื่อถือ"
แต่ถ้ามองด้วยใจกว้างๆ ไม่หยิกหย็อย-หยุมหยิม "เพื่อประโยชน์ร่วมกัน" มันก็เป็นที่เข้าใจได้ ถืองานรวมเป็นใหญ่ การมานั่งปรึกษาหารือกัน หลายหัว หลายมุมมอง หลายปัญหา หลายตำรา และหลายประสบการณ์ "เถียงเพื่อชาติ" กัน
เมื่อ "หลายปัญญา" ช่วยกันขยำปัญหา มันก็อาจเกิดประโยชน์มากกว่าคิดหยุมหยิมตรงนั้น-ตรงนี้ ขอให้แต่ละท่าน ซึ่งตามตำแหน่งแล้ว ควรต้องเป็นวิญญูชนของชาติ....ก็ควรเป็นเช่นนั้นจริงๆ
อย่างนั้น "ฉัน-เสีย..แก-ได้" ก็จะไม่มี มีแต่ "ประเทศของเรา..ความแข็งแกร่งของพวกเรา"!
แต่ข้อสำคัญ คนเป็นผู้นำคือนายกฯ ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ในสถานะอิสระของผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ และคณะกรรมการนโยบายการเงิน 
ไม่ใช่สั่งแล้วเขาก็มา ก็เลยได้ใจ นึกว่าคนในตำแหน่งผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ และในตำแหน่ง กนง.ก็เหมือนพวกไพร่รายรอบขอบกระโปรง และพวกคลานไปยกไข่แม้วทั้งหลาย
ได้ใจ...นึกว่าได้แบงก์ชาติ-กนง.เป็นเมืองขึ้นแล้ว ทั้งโต้ง ทั้งปู เลยเอากันใหญ่ ชี้นิ้วสั่งดอกขึ้น-ดอกลงตามใจชอบ ประเทศไทยกลายเป็นบริหารด้วย "รัฐบาลลอยดอก"
ทีนี้ละ เป็นได้ดอกกันไปทั้งประเทศ!
ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ท่านไปพูดในวงสัมมนาที่มาเลเซีย เมื่อปี ๒๕๐๗ ในเรื่อง "บทบาทของธนาคารกลางในโลกแห่งความตึงเครียด" เป็นภาษาอังกฤษ คุณชูศรี มณีพฤกษ์ แปลเอาไว้และผมเคยอ่าน ตอนหนึ่งท่านพูดว่า....
.........ในโลกสมัยใหม่ ธนาคารกลางเป็นสถาบันซึ่งรัฐบาลเป็นเจ้าของ ได้รับมอบอำนาจและความรับผิดชอบในการออกธนบัตร ทำหน้าที่เหมือนธนาคารของรัฐบาลและของธนาคารพาณิชย์ด้วย ธนาคารกลางสามารถสร้างและควบคุมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นเงินรูปหนึ่งได้
ธนาคารแห่งแรกคือ ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ ตั้งขึ้นในรูปบริษัทเอกชนโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะหาเงินมาใช้จ่ายในการทำสงครามกับฝรั่งเศส ต่อมาธนาคารแห่งประเทศอังกฤษและธนาคารกลางอื่นๆ ได้แยกตัวเองออกจากการเมือง
ที่ถูกแล้ว ผู้ว่าการธนาคารกลางจะต้องเป็นอิสระ และจะต้องแสดงออกให้เห็นว่าเขาเป็นอิสระจากรัฐบาล เขาดูแลนโยบายการเงิน ให้คำแนะนำ หลอกล่อด้วยคำหวาน และในบางคราวก็อาจจะถึงกับข่มขู่ (อย่างมีชั้นเชิง) รัฐบาล เพื่อชักนำให้นโยบายการหาเงินและนโยบายการคลังเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง
และหากมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงในหลักการของนโยบายกับรัฐบาล ผู้ว่าการฯ ก็พร้อมที่จะยื่นใบลาออก ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการประท้วงอย่างรุนแรงต่อนโยบายของรัฐบาล 
ข้าพเจ้าหวังว่าท่านคงจะเห็นด้วยกับข้าพเจ้าว่า ในภาวะที่ปราศจากความจำเป็นที่จะต้องหาเงินมาใช้จ่ายในการทำสงคราม และการได้รับมอบความรับผิดชอบ พร้อมกับเครื่องมือที่มีอำนาจที่จะทำตามความรับผิดชอบ ธนาคารกลางจะมีบทบาทมากต่อที่มาของความสงบและความรุ่งเรืองของประเทศ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางจะต้องใช้หลักการอย่างกล้าหาญ และมีจินตนาการ....ฯลฯ.....
อีกตอนหนึ่ง อดีตผู้ว่าฯ แบงก์ชาติผู้มีคุณูปการแก่ชาติกล่าวว่า....
.....อย่างไรก็ตาม หลักการก็เช่นเดียวกับชาตินิยม หรือความรักชาติ ยังไม่เป็นการเพียงพอ ข้าพเจ้าขอแนะว่า เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางในประเทศกำลังพัฒนาจะต้องมีจินตนาการและความกล้าหาญมากกว่าที่เขาเคยได้รับการยกย่องมาก่อน 
และข้าพเจ้าขอบอกไว้ก่อนว่า มันเป็นงานที่ไม่ง่ายนัก มันเป็นงานที่ต้องอาศัยความเอาใจใส่ ความตื่นตัวและการฉวยโอกาส....ฯลฯ....
ครับ...เมื่ออ่านแล้วทำให้เข้าใจ สมบัติของคนเป็นผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ไม่ใช่หอคอยงาช้าง หากแต่เป็น "จินตนาการและความกล้าหาญ" ในการบริหารหลักการ และจากในเรื่อง "ศาสตร์และศิลป์แห่งการเป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง" ดร.ป๋วยท่านยังกล่าวไว้อีกว่า
"....ตำแหน่งของผู้ว่าการธนาคารชาตินี้ ในทำเนียบราชการไทยเป็นตำแหน่งที่ต่ำกว่ารัฐมนตรี และเราจำเป็นที่จะต้องติดต่อกับรัฐมนตรีอยู่ เฉพาะอย่างยิ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายเป็นผู้กำกับการงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ใช่เฉพาะแต่ผู้ว่าการเท่านั้น ผู้ใหญ่คนอื่นในธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย
เพราะฉะนั้น การติดต่อกับรัฐมนตรี เพื่อที่จะเกลี้ยกล่อมรัฐมนตรีให้ดำเนินนโยบายอย่างใดอย่างหนึ่งที่ธนาคารเห็นสมควร ก็ย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะถ้านโยบายต่างๆ ไม่ประสานกัน การดำเนินราชการแผ่นดินก็จะเป็นไปราบรื่นมิได้............
ถ้าเราไม่สามารถที่จะเกลี้ยกล่อมท่านได้ หน้าที่ของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะด้อยลงไป ความรับผิดชอบและประโยชน์ที่เราจะทำให้ก็จะเสียหายไปเช่นเดียวกัน 
เพราะฉะนั้น ในการที่จะติดต่อกับรัฐบาล จึงมีความจำเป็นที่จะต้องให้มีความเชื่อถือ ให้รัฐบาลหรือบุคคลในรัฐบาลเชื่อถือว่าเราไม่ได้เห็นประโยชน์ของส่วนตัว ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่เห็นแก่ประโยชน์ของแผ่นดิน....ฯลฯ...
ครับ...เห็นพอกล้อมแกล้มเข้าสถานการณ์ได้ ก็เลยยกสิ่งที่ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล "ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ" คนปัจจุบันมีอยู่-ทำอยู่ครบถ้วน มาให้ได้อ่าน...ก่อนพายุคอรัปชั่นจะพังชาติ

เปลว สีเงิน

 


หน้า 485 จาก 557
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5602
Content : 3043
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8585818

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า