Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

12 เหตุผลที่ทำให้ชาวพุทธหลายคน ไม่สามารถเข้าถึงผลแห่งการปฏิบัติภาวนา!!!!!

พิมพ์ PDF

12 เหตุผลที่ทำให้ชาวพุทธหลายคน ไม่สามารถเข้าถึงผลแห่งการปฏิบัติภาวนา!!!!!

1. ถ้าไม่หายสงสัยจะไม่ทำ หมายความว่า เป็นคนที่ต้องเห็นถึงจะยอมทำ ต้องรู้ให้ได้ว่านรกมีจริง สวรรค์มีจริง ชาตินี้ชาติหน้ามีจริง ถ้าไม่เห็นด้วยตาตนเองจะไม่ยอมทำอะไรเลย ซึ่งถ้าคิดเช่นนี้ก็คงไม่ได้ทำอะไรจริงๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พิสูจน์ไม่ได้ พิสูจน์ได้แน่นอนแต่ต้องใช้เวลา ต้องพัฒนาจิตไปได้ระดับหนึ่งจึงสามารถรู้เห็นสิ่งเหล่านี้ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะขอเห็นก่อนโดยไม่ลงมือปฏิบัติ คนพวกนี้จึงได้แต่โต้แย้งในสิ่งที่ตนเองสงสัย ทำให้สูญเสียเวลาชีวิตไปเปล่าๆ

2. เห็นประโยชน์และมีความศรัทธา แต่มีข้ออ้างมากมายเพราะความเกียจคร้าน คนเหล่านี้จะชอบทำบุญมากกว่าการภาวนา เพราะทำได้ง่ายกว่า ซึ่งก็ไม่ผิด แต่การทำบุญ ทำทาน ก็ไม่ใช่ตัวที่จะทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ ถือว่าเป็นกลุ่มที่เข้ากระแสความดีแล้ว แต่ยังไปไม่ถึงตัวแก่นของพระพุทธศาสนา

3. พูดมากเกินไป หมายความว่า เมื่อหาความรู้ได้แล้ว แทนที่จะลงมือปฏิบัติ กลับนำความรู้มาโต้เถียง วิเคราะห์ เที่ยวจับผิดสำนักนั้น สำนักนี้ โดยที่ไม่ได้ลงมือพัฒนาจิตใจของตน ผลที่ตามมาก็คือ จิตใจจะยิ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ เพราะอัตตาตัวตนพอกพูน คิดว่าตนเองดีกว่าผู้อื่นเพราะรู้หลักธรรมมาก

4. ติดความดีมากเกินไป หมายความว่า มุ่งมั่นในการทำสาธารณะประโยชน์มากเกินไป ช่วยเหลือผู้อื่นจนไม่มีเวลาช่วยเหลือตนเอง เมื่อช่วยเหลือผู้อื่นไปนานๆ มักจะมีความทุกข์ตามมาในภายหลัง เพราะเก็บเรื่องความทุกข์ของผู้อื่นมาคิดจนวุ่นวายปวดหัวไปหมด สุดท้ายก็เกิดความท้อแท้ เพราะไม่เข้าใจว่า โลกคือสิ่งที่เราไปควบคุมไม่ได้

5. มุ่งอยู่กับความผิดของผู้อื่น หมายความว่า ใช้เวลาจับผิดคนทั้งโลก จนไม่มีเวลาจับผิดตนเอง วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นมากเกินไป คิดจะเปลี่ยนโลก เปลี่ยนสังคม แต่ไม่เคยเปลี่ยนตนเอง เพ่งโทษความผิดพลาดของผู้อื่น จนจิตใจตนเองขุ่นมัว ไม่มีความเบิกบานพอที่จะปฏิบัติธรรมได้เลย

6. ยึดติดกับรูปแบบ อัตลักษณ์ หมายความว่า มีความเข้าใจผิด ชอบคิดว่าการปฏิบัติธรรมจะต้องทำในวัด นุ่งขาวห่มขาว ต้องมีกฏระเบียบที่แตกต่างไปจากการใช้ชีวิตธรรมดา คนกลุ่มนี้จะติดวัดเป็นพิเศษ ชอบหาเวลาเข้าวัดไปปฏิบัติธรรม ถ้าไม่ได้ไปวัด จะรู้สึกว่า ปฏิบัติธรรมไม่ได้ สุดท้ายจึงกลายเป็นว่า ไปติดสังคมในวัด ไปหาเพื่อนคุยในวัด ซึ่งกลายเป็นกับดักอีกรูปแบบหนึ่ง

7. ทำๆเลิกๆ หมายความว่า เมื่อฟังธรรมก็เกิดความเข้าใจ เห็นคุณค่า และลงมือปฏิบัติ หากแต่เป็นพวกขี้เบื่อ มีความเพียรน้อย ทำหนึ่งเดือน หยุดสองเดือน ในการปฏิบัตินั้น ถ้าปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ผู้ปฏิบัติก็จะได้รับผลแห่งการปฏิบัติเองอย่างไม่ต้องสงสัย หลายคนปฏิบัติไปไม่ถึงจุดแห่งมรรคผล แต่กลับล้มเลิกกลางคัน ทำให้ขาดประสบการณ์ทางจิต เมื่อเลิกไป แล้วกลับมาทำใหม่ ก็เท่ากับเริ่มต้นกันใหม่ไม่จบสิ้น ที่สุดแล้วก็เกิดความท้อแท้ คิดว่าตนเองเป็นผู้ไร้วาสนาไม่อาจบรรลุธรรมได้ คนพวกนี้ก็มีไม่น้อยเลย

8. ปฏิบัติผิดวิธี หมายความว่า เป็นกลุ่มที่โชคร้าย เพราะคิดดี และต้องการทำดี แต่ไปเจออาจารย์ไม่ดี เจออรหันต์ปลอม เจอสิบแปดมงกุฏ จึงทำให้การปฏิบัติผิดทิศผิดทางไปหมด คล้ายๆกับองคุลีมาลที่ถูกอาจารย์หลอก ในข้อนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการคบหากัลยาณมิตร หาความรู้ที่ถูกต้อง ต้องหัดใช้หลักกาลามสูตร เช่นนี้ก็จะแก้ไขได้

9. ให้เวลากับทางโลกมากเกินไป หมายความว่า ไม่รู้จักการแบ่งเวลา ไม่รู้จักสร้างสมดุลย์ให้ชีวิต คนพวกนี้จะใช้ชีวิตอย่างวุ่นวายไปเรื่อยๆ ต้องสุข ต้องทุกข์ไปเรื่อยๆ อาจอยู่ห่างไกลการพัฒนาจิตใจไปเรื่อยๆ จนมีจุดเปลี่ยนของชีวิต เกิดความทุกข์ครั้งใหญ่จนทำให้เขาต้องกลับมาสร้างสมดุลย์ชีวิตอีกครั้ง เป็นผลให้เสียเวลาปฏิบัติทางจิตไปมาก บางคนมาปฏิบัติในช่วงสุดท้ายของชีวิตก็ไม่สามารถปฏิบัติได้ดี เนื่องจากสังขารไม่อำนวย นั่งไปปวดไป ทำได้ไม่เท่าไหร่ ก็ลมจับ ล้มพับไปก็มี เป็นการเสียโอกาสเพราะความชราภาพโดยแท้

10. คนจมทุกข์ หมายความว่า เป็นคนที่ไม่เห็นคุณค่าของตนเอง วันๆ เอาแต่ทุกข์ซ้ำไปซ้ำมา เหมือนพายเรือวนอยู่ในอ่าง จนเป็นคนเสพติดความเศร้า ความเหงาโดยไม่รู้ตัว นานวันเข้าก็เริ่มเป็นความเคยชินของชีวิต คนเหล่านี้จะชอบฟังธรรมะที่ปลอบประโลม ชอบให้คนอื่นปลอบ แต่ไม่ชอบช่วยตนเอง นิยมการใช้ธรรมะชั้นต้นเพื่อบำบัดทุกข์ แต่ในขั้นตอนของการปฏิบัติภาวนาจะไม่ชอบ ไม่มีกำลังใจพอที่จะเปลี่ยนตนเองได้เลย

11. คนที่มีความสุข โลกสวยงาม คิดบวกตลอดเวลา หมายความว่า เป็นพวกที่ทำอะไรก็สำเร็จไปเสียหมด มีวิธีมองโลกให้สดใสไปทุกอย่าง ถ้าความจริงไม่ดี ก็มองให้มันดีเสีย จึงไม่ค่อยได้เจอความทุกข์ เมื่อไม่ค่อยได้พบความทุกข์ จึงไม่รู้จะปฏิบัติธรรมไปทำไม เชื่อว่าตนเองจัดการทุกอย่างได้ บุคคลพวกนี้ จัดเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยง เพราะเป็นไปได้ว่า ชั่วชีวิตเขาอาจไม่ได้ลงมือปฏิบัติธรรมเพื่อลดทอนภพชาติได้เลย เป็นกลุ่มที่น่าสงสาร เพราะต้องเวียนว่ายตายเกิดไปอีกนาน

12. ฉลาดเกินไป หมายความว่า เป็นคนที่ตกเป็นทาสของความคิด ยึดติดอยู่กับการค้นหมายชีวิตเชิงปรัชญา คิดเอาเองว่า ความคิดจะทำให้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในโลกได้ คนพวกนี้จะถือความคิดเป็นใหญ่ ยึดติดอยู่กับการวิเคราะห์โดยไม่รู้ว่า มีภาวะบางอย่างที่เกินขีดความสามารถของสมองไปแล้ว คนกลุ่มนี้จะฉลาดทางโลก แต่กลายเป็นคนโง่ในทางธรรม

การเวียนว่ายตายเกิดไม่ใช่ของสนุก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่คือทุกข์แห่งการเวี่ยนว่ายตายเกิด เพราะการเวี่ยนว่ายตายเกิดนั้นเป็นที่มาแห่งทุกข์ทั้งมวล เป็นการยากมากที่ใครสักคนจะเกิดมาเป็นมนุษย์ ยิ่งยากเข้าไปอีกที่จะได้พบกับศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อเรามีคุณสมบัติครบบริบูรณ์เช่นนี้ ขอจงทำลายความโง่เขลาทั้ง 12 ประการนี้เสีย และเร่งความเพียรของตนเอง พัฒนาจิตตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อนำสันติสุขมาสู่เรา เข้าสู่นิพพานตลอดอนันตกาล

บทความของ คุณ พศิน อินทรวงค์ สาธุครับ

_/\_

Best regards,
นส.จิราภรณ์ เนื่องเจริญ *หน่อย*
Miss. Jiraporn Nuangcharoen *NOI*
Mobile:085-506-4499, 086-565-7599
081- 815-8598 ,087-134-6655
*สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ*
ธรรมทานชนะการให้ทานอื่นทั้งปวง
.....The Gift Of Dhamma Excels All Other Gifts....
Facebook: jiraporn upasika nuangcharoen

 

แผ่นดินที่สาม ประพันธ์โดย นายสมภพ จันทรประภา

พิมพ์ PDF

พระราชประวัติของพระนั่งเกล้านี้น่าสนใจอย่างยิ่ง เป็นเครื่องแสดงถึงน้ำใจของคนที่ปกครองคนเมื่อร้อยปีมานี้เอง

 

แผ่นดินที่สาม

นายสมภพ จันทรประภา ประพันธ์

รัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

จัดพิมพ์ทูลเกล้าฯถวายสนองพระมหากรุณาธิคุณ

ในพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล ทักษิณานุประทาน

ในมหามงคลเฉลิมพระเกียรติวันพระบรมราชสมภพ ครบ ๒๐๐ ปี

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

วันอังคารที่ ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๐

 

พระราชประวัติของพระนั่งเกล้านี้น่าสนใจอย่างยิ่ง เป็นเครื่องแสดงถึงน้ำใจของคนที่ปกครองคนเมื่อร้อยปีมานี้เอง

“เจ้าช่อมะกอก    เจ้าดอกมะไฟ

เจ้าเห็นเขางาม   เจ้าตามเขาไป

เขาทำเจ้ายับ      เจ้ากลับมาไย

เจ้าสิ้นอาลัย       เจ้าแล้วหรือเอย”

ใครๆที่ชอบอ่านหนังสือเก่าๆ ได้เห็นกลอนข้างบนนี้ก็จะจำได้ทันทีว่าใครแต่ง เพราะนอกจากจะแต่งสะเทือนใจอย่างยิ่งแล้ว คนแต่งยังเป็นถึงพระราชาอีกด้วย ที่มาของกลอนบทนี้ก็มาจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ท่านจะล้อคุณพุ่ม พนักงานเชิญพระแสงของท่าน

เรื่องมีอยู่ว่าคุณพุ่มคนนี้ เป็นลูกข้าหลวงเดิมของท่านที่ชื่อว่าภู่ ได้เป็นที่พระยาราชมนตรี คุณพุ่มเป็นคนมีความรู้ในทางอักษรศาสตร์ถึงแต่งโคลงกลอนได้ ซึ่งในสมัยนั้นหาผู้หญิงเก่งทางนี้ได้ยาก นอกจากจะแต่งโคลงกลอนเก่งแล้ว คุณพุ่มยังมีลักษณะที่เรียกว่า “เปรี้ยว” ด้วย ชายหนุ่มชั้นสูงจึงมาติดพันกันหลายคน จนได้สมญาว่า “บุษบาท่าเรือจ้าง” เพราะบ้านอยู่ที่ท่าเรือจ้าง แต่ชายหนุ่มที่ชนะใจคุณพุ่มนั้นก็เป็นผู้ชายที่ “เปรี้ยว” พอๆกัน คือพระปิ่นเกล้า พระนั่งเกล้าท่านรับสั่งว่า “ท่านฟ้าน้อย” “ท่านฟ้าน้อย”นี้เป็นพระอนุชาร่วมพระราชชนนีกับพระจอมเกล้าฯ ซึ่งพระนั่งเกล้าท่านรับสั่งเรียกว่า “ท่านฟ้าใหญ่”

ทั้ง ๓พระองค์เป็นพระราชโอรสของพระพุทธเลิศหล้าด้วยกัน พระนั่งเกล้าเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ แก่กว่าพระจอมเกล้า ๑๗ ปี แต่ประสูติมาแต่พระสนม ส่วนสองพระองค์นั้นเป็นเจ้าฟ้าเพราะประสูติแต่พระอัครมเหสี

เมื่อพระนั่งเกล้าได้เสวยราชย์ คุณพุ่มได้เป็นนางเชิญพระแสง แต่มาแพ้ใจพระปิ่นเกล้า กราบถวายบังคมลาพระนั่งเกล้าไปอยู่กับพระปิ่นเกล้า อยู่ได้พักหนึ่งก็ต้องกลับเข้าวังหลวงไปเฝ้าพระนั่งเกล้าใหม่ ท่านจึงทรงกลอนบทนี้

 

พูดถึงพระนั่งเกล้า เมื่อเป็นเด็กๆ (ผู้ประพันธ์) ก็รู้แต่เพียงว่า ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ ๓ แห่งราชวงศ์จักรี ครั้งโตขึ้นมาอ่าน “พระอภัย” รู้เรื่อง ได้รู้จักสุนทรภู่ เลยรู้ต่อไปว่าท่านเคยถูกสุนทรภู่อาการดังที่เรียกกันว่า “หักหน้า” ต่อหน้าพระที่นั่ง เล่ากันว่า ครั้งหนึ่งเมื่อแต่งเรื่องสังข์ทอง พระนั่งเกล้า ฯ ทรงตอนท้าวสามลรำพึงว่า “จำจะคิดปลูกฝังเสียยังแล้ว ให้ลูกแก้วสมมาตรปรารถนา”

สุนทรภู่ทักขึ้นว่า ลูกปรารถนาอะไร เลยต้องแก้เป็น”ให้ลูกแก้วมีคู่เสน่หา” ต่อมาอีกครั้งหนึ่ง เรื่องอิเหนา พระนั่งเกล้าฯทรงว่า “น้ำใสไหลเย็นแลเห็นตัว ว่ายแหวกกอบัวอยู่ไหวไหว”

คราวนี้ทรงให้สุนทรภู่ตรวจดูก่อน สุนทรภู่ก็ไม่ทักท้วงประการใด ครั้งนำเข้าสู่ที่ประชุมหน้าพระที่นั่ง สุนทรภู่ทักขึ้นว่า”ตัวอะไร” เลยต้องแก้เป็น “น้ำใสไหลเย็นแลเห็นตัวปลา ว่ายแหวกปทุมมาอยู่ไหวไหว”

แล้วมิได้คิดอะไร ต่อมาอ่านนิราศต่างๆของสุนทรภู่จับใจ เลยพาลไปไม่ชอบพระนั่งเกล้าฯ เพราะรู้สึกว่าท่านคงดุ และคงพยาบาทคน ข่มเหงคน คนเก่งๆอย่างสุนทรภู่ ก็ไม่ทรงเลี้ยง เพราะสุนทรภู่ช่างพรรณนานัก

“สิ้นแผ่นดินสิ้นนามตามเสด็จ ต้องเที่ยวเตร็ดเตร่หาที่อาศัย” หรือว่า “อนิจจากายเราก็เท่านี้ ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย” หรือว่า “สิ้นแผ่นดินสิ้นกลิ่นสุคนธา  วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์” หรือว่า  “สิ้นแผ่นดินสิ้นบุญของสุนทร ฟ้าอาภรณ์แปลกพักตร์อาลักษณ์เดิม”

อยู่ต่อมาได้อ่านหนังสือมากขึ้นได้ความรู้ว่าในเวลาที่สุนทรภู่แสดงอาการ”ไม่สวย”ต่อพระนั่งเกล้านั้น พระนั่งเกล้าท่านไม่ใช่เจ้าเล็กเจ้าน้อยที่เดียว อำนาจก็มี เงินก็มี พวกก็มีมาก และพระพุทธเลิศหล้าก็โปรดด้วย เลยเกิดความสงสัยว่า สุนทรภู่เอาอะไรมาเก่งกับท่าน ความรู้ที่ได้จากหนังสือต่างๆนั้น ทำให้สันนิษฐานได้ว่า สุนทรภู่นั้นนอกจากพระพุทธเลิศหล้าจะโปรดแล้ว เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี คงจะโปรดด้วย และสุนทรภู่คงจะฝักใฝ่อยู่ในกรมหลวงพิทักษ์มนตรี เพราะกรมหลวงพิทักษ์มนตรีนี้ นอกจากจะกล่าวกันว่ามีอำนาจถึงเป็นผู้สำเร็จราชการแล้ว ยังทรงมีความสามารถในกระบวนฟ้อนรำอีกด้วย ท่ารำสวยๆของละครทุกวันนี้มาจากเจ้าฟ้าพระองค์นี้ ทีนี้ท่ารำนั้นต้องให้ลงคำในกลอนด้วย แล้วกระบวนแต่งให้ลงคำก็ไม่มีใครเกินสุนทรภู่ อย่างตอนสีดาผูกคอตาย แต่งกันเท่าไร คนรำก็รำไม่ได้เพราะจะตายเอาจริงๆ สุนทรภู่แก้พริบตาเดียว ตรงบทหนุมานว่า “บัดนี้ วายุบุตรแก้ได้ดังใจหมาย” ไม่มามัวตกอกตกใจ เอะอะวุ่นวายกว่าจะแก้

เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีนี้เป็นโอรสของสมเด็จพระพี่นางองค์น้อยของพระพุทธยอดฟ้า และเป็นพระอนุชาของสมเด็จพระศรีสุริเยนทร์พระอัครมเหสี จึงมีศักดิ์เป็นน้าพระองค์ใหญ่ของพระจอมเกล้าและพระปิ่นเกล้า เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของพระพุทธเลิศหล้ามาก ทรงปรึกษาหารือราชการทั่วไปทุกอย่าง จนกล่าวกันว่าเป็นผู้สำเร็จราชการก็มี

ที่าว่าสุนทรภู่ฝักใฝ่ในเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีนี้มีเค้าเพราะเมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๒ สุนทรภู่จะกลับไปวังหลังอีกก็ย่อมจะทำได้ เพราะลูกเมียก็ยังอาศัยอยู่ในวังนั้น “เจ้าข้างใน” คือ พระชายาของกรมพระราชวังหลังก็ยังอยู่ กรมหลวงเสนีย์บริรักษ์พระโอรสของกรมพระราชวังหลังก็มีบุญอยู่ จะว่าสุนทรภู่ “ไม่เหยียบวังหลังอีก”ก็ไม่ใช่ลักษณะของสุนทรภู่ ซึ่งเป็นคนมีความกตัญญูสูง จะเห็นได้จากนิราศวัดเจ้าฟ้า แต่เป็นเพราะกรมหลวงเสนีย์บริรักษ์ท่านเป็น “น้ำหนึ่งใจเดียว” กันกับพระนั่งเกล้าฯมากกว่า สุนทรภู่จึงไม่เข้าหา และในตอนปลายสุนทรภู่ก็ไปพึ่งบุญพระปิ่นเกล้าฯ “ท่านฟ้าน้อย” แปลเอาว่าสุนทรภู่ฝักใฝ่อยู่ทางเจ้านายฝ่ายสมเด็จพระศรีสุริเยนทร์พระอัครมเหสีอย่างมั่นคง ถึงแม้นตอนปลายรัชกาลสมเด็จพระศรีสุริเยนทร์จะทรงห่างเหินไม่ขึ้นเฝ้าพระพุทธเลิศหล้า ไม่ดูแลเครื่องต้น จนพระพุทธเลิศหล้าเสวยอะไรไม่ได้อยู่พักหนึ่งเพราะสมเด็จพระศรีสุริเยนทร์ทรงมีฝีพระหัตถ์เป็นเยี่ยมในทาง”กับข้าว”

เท่าที่ปรากฏ พระนั่งเกล้าไม่เคยทรงทำอะไรสุนทรภู่จนนิดเดียว ไม่สนพระทัยเท่านั้น สุนทรภู่เที่ยวร้อนตัวไปรำพันไป จนคนต่อมาสงสารสุนทรพู่กันทั้งนั้น สุนทรภู่ “ขี้เมา” ก็ว่าเพราะ “ขี้เมา”จึงเขียนได้ดี สุนทรภู่ล่วงเกินญาติผู้ใหญ่ก็ว่าอย่างสมัยใหม่ว่า”อารมณ์ศิลปิน” เคยถามผู้เฒ่าผู้แก่ถึงพระนั่งเกล้า ก็จะตอบตรงกันหมดว่าท่านชอบสร้างวัด แล้วก็เท่านั้น ดูจะเป็นพวกสุนทรพู่กันไปหมด เลยต้องมาอ่านหนังสือใหม่ อ่านที่เกี่ยวกับพระนั่งเกล้า อ่านแล้วพบว่าพระราชประวัติของพระนั่งเกล้านี้น่าสนใจอย่างยิ่ง “คน” อย่างนี้ได้อีกสัก “คน” เมืองไทยจะดีขึ้น

ท่านเป็นพระราชาที่เปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีความสามารถในทางบำบัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎรเป็นเยี่ยม พ่อค้าที่ทันกับเจ๊ก ท่านเป็นรัฐมนตรีคลังอย่างวิเศษ หาเงินเก่ง หาแล้วคนไม่เดือดร้อน หาแล้วใช้ด้วยเก็บไว้ด้วย ท่านไม่ต้องใช้หลัก “ประหยัด ประวิง ประท้วง ปฏิเสธ” การคลังของท่านไม่มีที่ติดลบ ท่านเป็นจอมทัพที่ “สะกด” แม่ทัพนายกองให้อยู่ในอำนาจ ท่านเป็นนักการเมืองที่เล่นการเมืองอย่างขาวสะอาด ทั้งๆที่มีการต่อสู้ ท่านก็ทรงต่อสู้ตามวิถีทางการเมือง และก็แน่ละ อย่างมีชั้นเชิงด้วย เหนือสิ่งอื่นใดของท่าน คือ “แผ่นดิน” ไม่ใช่ท่าน ไม่ใช่ลูกท่าน ไม่ใช่พวกพ้องของท่าน

 

 

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวประสูติเมื่อพระพุทธยอดฟ้าเสวยราชย์ได้ ๖ ปี ตรงกับวันจันทร์ เดือนสี่ แรมสิบค่ำ จุลศักราช ๑๑๕๙ ทรงพระนามว่า “ทับ”เป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า พระราชมารดาพระนามเดิมว่า “เรียม” คุณจอมมารดาเรียมนี้ เป็นธิดาคนเดียวของพระยานนทบุรี (บุญจัน) และคุณหญิงเพ็ง บ้านเดิมอยู่ตรงที่สร้างวัดเฉลิมพระเกียรติ เมืองนนท์เดี๋ยวนี้ คุณจอมเรียมได้ถวายตัวทำราชการในพระพุทธเลิศหล้าตั้งแต่ยังทรงเป็นพระเจ้าลูกเธอ และประทับอยู่บ้านเดิมของพระพุทธยอดฟ้าข้างวัดระฆัง ครั้นเมื่อพระพุทธเลิศหล้าเสวยราชย์แล้วก็ตามเสด็จเข้าไปอยู่ในพระบรมมหาราชวังในที่พระสนมเอก บังคับการห้องเครื่อง

พระนั่งเกล้านั้นพระพุทธยอดฟ้าโปรดมาก เพราะเป็นพระราชนัดดาพระองค์ใหญ่ เวลาโสกันต์โปรดเกล้าให้โสกันต์ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเป็นการพิเศษ เวลาผนวชก็ได้ทรงผนวชเฉพาะพระพักตร์ด้วย งานชิ้นแรกของพระนั่งเกล้าที่ได้ทรงทำก็คือ เข้าระงับการจลาจลที่เกิดขึ้นจากขุนนางที่ฝักใฝ่ในเจ้าฟ้ากรมขุนกระษัตรา ฯ (เจ้าฟ้าเหม็น) เจ้าฟ้าเหม็นนี้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้ากรุงธน พระธิดาของพระพุทธยอดฟ้าเป็นพระมารดา พระพุทธยอดฟ้าทรงพระเมตตาเจ้าฟ้าพระองค์นี้ พระนั่งเกล้าจับกุมพวกขุนนางที่ร่วมคิดกบฏครั้งนี้ได้หลายคน ส่วนเจ้าฟ้าเหม็นนั้นจับเวลาเสด็จเข้าพระบรมมหาราชวัง เจ้าพระยาอภัยภูธรซึ่งเป็นคนจับปล่อยให้เสลี่ยงที่ประทับมาล่วงเข้าประตูวัง อันเป็นประตูสองชั้นแล้วรีบปิดประตูทั้งสองข้าง เจ้าฟ้าเหม็นเอามือตบขาพูดติดอ่างว่า “จะจับข้าไปข้างไหน”

หน้าที่ของพระนั่งเกล้าในรัชกาลที่สองตอนแรกนั้น ทรงกำกับราชการกรมท่า คือการต่างประเทศ แต่สมัยนั้นการต่างประเทศไม่มีอะไรมาก เพราะยังไม่มีหนังสือสัญญาทางราชไมตรีกับนานาประเทศ พอดีกับเวลานั้นเงินแผ่นดินไม่พอใช้เป็นมาแต่รัชกาลที่ ๑ แล้ว พม่าขนเอาไปหมด พระพุทธเลิศหล้าจึงให้ทรงจัดการค้าสำเภาของหลวงด้วยอีกอย่างหนึ่ง ธรรมเนียมการหาเงินมาใช้ในแผ่นดินตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยามา นอกจากจะได้จากค่านาแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร พระเจ้าแผ่นดินต้องแต่งสำเภาไปค้าเมืองจีนเอากำไรมาใช้ในราชการอีกส่วนหนึ่ง สมัยนั้นไม่ห้ามเจ้านายและขุนนางทำการค้าขาย ใครมีกำลังก็แต่งสำเภาไปค้าเมืองจีน พระนั่งเกล้าท่านก็ทรงมีของท่าน ทรงทำได้ดีทั้งของหลวงและของท่านเองจนมั่งมีมาก ทั้งทางของหลวงและของท่าน พระพุทธเลิศหล้าทรงเรียกท่านว่า “เจ้าสัว” อยู่เสมอ

 

 

พระพุทธเลิศหล้าสวรรคต พระนั่งเกล้าฯ ก็ได้เสวยราชสมบัติ ว่ากันตามนิตินัยแล้วราชสมบัติควรจะตกเป็นของพระจอมเกล้า เพราะเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าราชโอรสองค์ใหญ่อันประสูติแต่พระอัครมเหสี แต่เมื่อพระพุทธเลิศหล้าสวรรคตนั้นไม่ทันได้ดำรัสสั่งมอบเวนราชสมบัติพระราชทานผู้ใด ดังนั้นพระราชวงศ์และเสนาบดีจึงต้องประชุมเลือกกันตามธรรมเนียมโบราณ การประชุมครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชนิพนธ์ไว้ว่า

พระบรมวงศานุวงศ์แลท่านเสนาบดี ซึ่งเป็นประธานในราชการก็ล้วนแต่เป็นผู้ชื่นชมนิยมยินดีต่อพระปรีชาญาณของพระองค์ จึงได้ปรึกษาพร้อมกันเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ยังมีพระชนมายุน้อยแลเสด็จออกทรงผนวชในพระพุทธศาสนาโดยทรงพระศรัทธาเลื่อมใสมิได้ทรงพระดำริมุ่งหมายที่จะให้มีเหตุการณ์บาดหมางในพระบรมราชวงศ์ให้เป็นการจลาจลขึ้นในบ้านเมือง ได้ทราบความชัดในพระดำริและพระประสงค์ดังนี้แล้ว เห็นว่าในเวลานั้นพระนครก็ยังตั้งขึ้นไม่สู้นาน การสงครามฝ่ายพม่าปัจจามิตรก็ยังมุ่งหมายจะทำลายล้างกรุงสยามอยู่มิได้ขาด จึงเห็นพร้อมกันว่า ถ้าอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพระชนมายุมาก แลทรงทราบพระราชกิจใหญ่น้อยทั่วถึง ทั้งในการที่จะรักษาพระนครภายในและจะป้องกันอริราชศัตรูหมู่ปัจจามิตรภายนอกได้ ในเวลาเมื่อเกิดสงครามจะเป็นเหตุให้บรมราชวงศ์และพระนครตั้งมั่นเป็นอนันตสาธารณ์สืบไปภายหน้า จึงยินยอมพร้อมกันถวายศิริราชสมบัติแด่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

ได้ลองพิจารณาดูว่าเหตุใดพระบรมวงศานุวงศ์ แลท่านเสนาบดีจึงพากันชื่นชมนิยมยินดีต่อพระปรีชาญาณของพระนั่งเกล้า จนพากันลงความเห็นไม่ถูกต้องตามนิตินัย การพิจารณานี้ก็ต้องดูว่าพระบรมวงศานุวงศ์มีพระองค์ใดบ้างที่เข้าประชุม ทรงมีความสำคัญอย่างไร และทรงมีความสัมพันธ์อย่างไรกับผู้ใด เมื่อพิจารณาถึงเรื่องนี้ก็ต้องย้อนขึ้นไปถึงแผ่นดินพระพุทธเลิศหล้าฯ ในแผ่นดินพระพุทธเลิศหล้าฯนั้น มีเจ้านายที่เป็นหลักในราชการอยู่ ๓ พระองค์ คือ

๑.สมเด็จพระอนุชาธิราชกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์

๒.สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี

๓.พระนั่งเกล้า

กรมพระราชวังบวรฯ นั้นทรงกำกับราชการแผ่นดินต่างพระเนตรพระกรรณทั่วไป กรมหลวงพิทักษมนตรีทรงกำกับกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงวัง พระนั่งเกล้าฯ ทรงกำกับกระทรวงการต่างประเทศและคลัง ครั้นเมื่อกรมพระราชวังบวรฯ สวรรคต การกำกับราชการแผ่นดินต่างพระเนตรพระกรรณทั่วไปก็ตกอยู่แก่เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี ส่วนการในกรมพระตำรวจและความรับสั่งทั้งปวงนั้นตกไปอยู่แก่พระนั่งเกล้า ต่อมาเมื่อเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีสิ้นพระชนม์ งานมหาดไทยและวังก็มาตกอยู่ที่กรมหลวงรักษรณเรศ กรมหลวงรักษรณเรศนี้เป็น”ชั้นอาว์” ของพระนั่งเกล้าฯแต่เนื่องจากด้วยพระชันษาไม่ห่างไม่ไกลกันก็ทรงคบหากันสนิทถือกันเป็นเพื่อนยาก เพราะถูกบัตรสนเท่ห์มาด้วยกันเมื่อครั้งชำระความพระราชาคณะ ๓ องค์เป็นปาราชิก ทั้ง ๓ รับเป็นสัตย์ถูกจำคุก ลูกศิษย์ของพระราชาคณะองค์หนึ่ง จึงทิ้งบัตรสนเท่ห์กล่าวหาความหยาบช้าต่อพระนั่งเกล้าฯและกรมหลวงรักษรณเรศ นอกจากกรมหลวงรักษรณเรศ ก็มีกรมหมื่นศักดิพลเสพเป็น “ชั้นอาว์” เหมือนกัน กรมหมื่นศักดิพลเสพทรงกำกับการกลาโหม ทรงรักกันมากกับพระนั่งเกล้าฯถึงกับว่าเคยให้สัตย์สาบานต่อกัน นอกจากนั้นยังมี “หัวอก” เดียวกันคือไม่ลงรอยกับเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีด้วยกันดังจะเล่าต่อไปทีหลัง ยังมีกรมหลวงเทพพลภักดิ์ พระเชษฐาของกรมหลวงรักษรณเรศ กำกับกรมพระคชบาล กรมขุนพิพิธภูเบนทร์ กำกับกรมเมือง และกรมหลวงเสนีย์บริรักษ์ ซึ่งคุมทหารของกรมพระราชวังหลังอยู่ อีก ๓ พระองค์ ที่ทรงคบหาสนิทสนมจนเห็นพระทัยกัน และทุกพระองค์จะเห็นได้ว่า คุมหน่วยกำลังอยู่ในพระหัตถ์ทั้งนั้น และท่านเหล่านี้ก็อยู่ในที่ประชุมทุกพระองค์ ที่ไม่ฝักใฝ่อยู่ในพระนั่งเกล้าและมีตำแหน่งในที่ประชุมก็คือเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ซึ่งทรงกำกับมหาดไทย ต่อจากเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี พระเชษฐา นอกจากนั้นก็เห็นจะวางตัวเป็นกลางบ้างไม่กี่คน ส่วนใหญ่ก็คงจะต้องลงความเห็นให้พระนั่งเกล้าฯ ด้วยเหตุดังจะกล่าวต่อไป คือพระนั่งเกล้าฯนั้น พระทัยบุญโปรดการทรงธรรมไม่โปรดละคร ที่หน้าวังตั้งโรงทานไว้สำหรับเลี้ยงคนยากจน วันพระก็ทรงปล่อยสัตว์ แจกเงินคนชราคนยากจน เจ้านายขุนนางที่เข้าเฝ้าพระพุทธเลิศหล้าเวลาออกจากที่เฝ้าแล้วจะแวะวังของท่านที่อยู่หน้าพระบรมมหาราชวัง มาเสวยและรับประทานอาหารแทบจะทั่วหน้าทุกวัน ทุกเวลามิได้ขาดโดยมีคุณจอมเรียม เจ้าจอมมารดาของท่านมาเป็นผู้จัดการให้ทางด้านนี้ ว่ากันว่า “คุณจอม” นั้นฉลาดเฉลียวมีสัมมาคารวะรูจักโอภาปราศรัยมีความสามารถที่จะผูกน้ำใจ ถ้าจะพูดกันอย่างสมัยนี้ก็แปลว่า พระนั่งเกล้าทรงมีความสามารถในทางหาคะแนนนิยมจากชาวบ้าน ชาวตลาด ชาววัด พ่อค้า ข้าราชการ ตลอดจนเจ้านาย

ความเป็นไปต่างๆนี้ทางฝ่ายเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีก็ทรงทราบอยู่ตลอดเวลา และทรงไม่ลงรอยกันจนถึงเนื้อความปรากฏออกมาในพงศาวดาร เมื่อครั้งตั้งเจ้าครองจำปาศักดิ์ ครั้งนั้นเจ้าอนุ เวียงจันทน์ทูลขอให้เจ้าราชบุตร (โย้) บุตรของตนได้เป็นเจ้าครองจำปาศักดิ์ พระนั่งเกล้าทรงรับเป็นธุระจัดการให้สมประสงค์เจ้าอนุ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีไม่ทรงเห็นชอบด้วยแต่ก็ทำอะไรไม่ทัน เพราะพระพุทธเลิศหล้าประทานไปแล้ว ดังนั้นพอเสด็จขึ้น เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีจึงรับสั่งทันทีในท้องพระโรงนั้นว่า อยากรู้นักว่าใครเป็นผู้จัดแจงเพ็ดทูลให้เจ้าราชบุตรเวียงจันทน์ไปเป็นเจ้าเมืองจำปาศักดิ์ แต่เพียงพ่อมีอำนาจอยู่ข้างฝ่ายเหนือก็พออยู่แล้ว ยังจะเพิ่มเติมให้ลูกมีอำนาจโอบลงมาข้างฝ่ายตะวันออกอีกด้านหนึ่ง ต่อไปจะได้ความร้อนใจด้วยเรื่องนี้ พระนั่งเกล้าทรงได้ยินแต่ก็นิ่งอยู่มิได้รับสั่งโต้เถียงอย่างใด ดังนั้นเมื่อเจ้าอนุฯเป็นขบถ พระนั่งเกล้าจึงโทมนัสที่ความมาสมจริงดังเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีได้ทำนายไว้ ที่ว่ากรมหมื่นศักดิพลเสพก็ไม่ชอบพระทัยเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีนั้น ก็ปรากฏหลักฐานจากพงศาวดารว่าเคยถูกกรมหลวงพิทักษ์ฯต่อว่าอย่างรุนแรงที่คนชั้นนั้นจะพึงว่ากล่าวกัน เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อครั้งจักกายแมงยกทัพพม่าจะมาตีไทยก็ให้กรมหมื่นศักดิพลเสพยกทัพไปขัดตาทัพอยู่ที่เพชรบุรี ทหารในกองทัพประพฤติการเกะกะแก่พลเมืองจนความทราบเข้าถึงในกรุง เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีสอบสวนจนแน่พระทัยแล้ว จึงได้มีลายพระหัตถ์ให้นำความขึ้นทูลแม่ทัพ ลายพระหัตถ์นั้นทรงเล่าถึงความเหลวแหลกของทหารในกองทัพ และลงท้ายว่าดังนี้ “ ......ด้วยเหตุว่าหาผู้เตือนสติไม่ จึงเกิดความฟุ้งเฟื่องเข้าไปถึงกรุงเทพฯดังนั้น ไม่ควรที่จะให้เกิดความเคืองใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท และอายแก่ชาวเมืองเพชรบุรีด้วยการข้างหน้ายังมีอยู่มาก ซึ่งว่ากล่าวมาครั้งนี้ใช่จะเอาความผิด นายทัพนายกองฤาก็หาไม่ ด้วยเห็นว่าพึ่งแรกออกโรงใหม่ได้พลั้งเกินไปคนละเล็กคนละน้อยแล้ว ให้พระเจ้าน้องยาเธอฯหาตัวมาพร้อมกันสะสางผ่อนปรนเสียโดยควรโดยชอบแก่ราชการ....”

พิจารณาโดยสมควรแล้วจึงไม่แปลกใจเลยว่าเหตุเจ้านายและขุนนางที่เข้าที่ประชุมจะไม่พากัน “ชื่นชมยินดีต่อพระปรีชาญาณ” ของพระนั่งเกล้าจนถึงยอมถวายราชสมบัติไป เรื่องนี้ทางพระจอมเกล้าก็รู้พระองค์ เพราะพระชนม์ขนาดนั้นก็ใช่น้อยแล้วยี่สิบปี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงฯทรงพระนิพนธ์ไว้ว่า “...ฝ่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทราบกิตติศัพท์อยู่แล้วว่าคิดกันจะถวายราชสมบัติแก่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพิจารณาเห็นว่า ถ้าพระองค์ปรารถนาราชสมบัติในเวลานั้นพระราชวงศ์แตกสามัคคีกัน อาจจะเลยเกิดเหตุร้ายขึ้นในบ้านเมือง ตรัสปรึกษาเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ซึ่งเป็นเจ้าน้าพระองค์น้อย ทูลแนะนำว่าควรจะคิดเอาราชสมบัติตามที่มีสิทธิ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ทรงเห็นชอบ ด้วยไปทรงปรึกษากรมหมื่นนุชิตชิโนรส พระปิตุลาซึ่งผนวชอยู่ กับทั้งกรมหมื่นเดชอดิศรพระเชษฐาซึ่งทรงนับถือมาก ทั้งสองพระองค์นั้นตรัสว่าไม่ใช่เวลาควรจะปรารถนา อย่าห่วงราชสมบัติดีกว่า เพราะฉะนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงฟังคำถามจึงตรัสตอบว่า “มีพระประสงค์จะทรงผนวชอยู่ต่อไป ....”

การเรื่องนี้ที่จริงกลับเป็นผลดีแก่บ้านเมืองเพราะพระนั่งเกล้าก็ได้ทรงหาเงินไว้ให้มาก วัดก็สร้างไว้ให้มาก ป้อมคูประตูหอรบก็สร้างไว้ให้มาก เขมรซึ่งจะหลุดมือไปก็เอามาไว้ให้เป็นที่เรียบร้อยตลอดจนหัวเมืองมลายู ทางฝ่ายพระจอมเกล้าก็ได้ทรงมีโอกาสแสวงหาความรู้ในการต่างประเทศปรับปรุงพระพุทธศาสนา และทรงศึกษาความเป็นไปของราษฎรอย่างใกล้ชิด ความรู้ต่างๆที่ได้ทรงประสบมาเป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองในชั้นหลังเมื่อมีการเกี่ยวข้องกับต่างประเทศ ไม่มีใครรู้ว่าถ้าเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรียังไม่สิ้นพระชนม์ เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร หรือถ้าพระจอมเกล้าไม่ได้ทรงผนวชอยู่เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร

 

เมื่อพระนั่งเกล้าขึ้นเสวยราชย์ ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กรมหมื่นศักดิพลเสพ ขึ้นดำรงที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลฝ่ายหน้า สถาปนาเจ้าจอมมารดาเรียมพระราชชนนีเป็นกรมสมเด็จพระศรีสุราลัย และเมื่อกรมพระราชวังบวรสถานมงคลสิ้นพระชนม์แล้ว ก็ทรงเลื่อนกรมหมื่นเทพพลภักดิ กรมหมื่นรักษรณเรศ กรมหมื่นเสนีย์บริรักษ์ขึ้นเป็นกรมหลวงทั้ง ๓ พระองค์ กรมหมื่นพิพิธภูเบนทร์ก็เลื่อนขึ้นเป็นกรมขุน

การศึกในแผ่นดินพระนั่งเกล้าที่หนักก็มีกับญวน ที่มาของศึกก็มาจากเจ้าอนุเวียงจันทน์ เพราะเมื่องานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเลิศหล้านั้น เจ้าอนุเข้ามาเพราะเป็นคนโปรด พระนั่งเกล้าเองก็โปรด เพราะเจ้าอนุเป็นคนเข้มแข็ง เจ้าอนุได้ใจพอถวายพระเพลิงแล้ว ก่อนจะกราบถวายบังคมลา ก็เลยทูลขอครัวลาวกับหญิงสาวชื่อดวงคำกลับไปด้วย ลักษณะที่เจ้าอนุทำนั้นเข้าลักษณะที่เรียกกันว่า ”กำเริบ” พระนั่งเกล้าถึงจะโปรดก็ทรงทนไม่ได้ ไม่พระราชทานให้ เจ้าอนุก็เสียหน้ากลับไปคิดกบฏทันที ให้เจ้าราชวงษ์ผู้บุตรเป็นทัพหน้ายกผ่านโคราชลงมาถึงสระบุรี ตัวเจ้าอนุเองตั้งอยู่ที่โคราชกวาดคนส่งไปเวียงจันทน์ แต่คนที่ถูกกวาดไม่ยอมให้กวาดไปไกลฮึดสู้ขึ้นมา พอดีทางกรุงเทพฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพยกทัพขึ้นมา เจ้านายวังหลังเป็นทัพหน้า เจ้าอนุตกใจกลัวศึกขนาบ เพราะพวกครัวข้างหลังต่อสู้เข้มแข็งนัก จึงถอยไปตั้งที่หนองบัวลำพู

ทัพหน้านั้นแบ่งเป็นสองทัพ ทัพแรกเข้าตีลาวที่หนองบัวลำพูแตก แต่แล้วตกอยู่ในที่ล้อมเพราะพระยาสุโพแม่ทัพลาวโอบเข้ามา กรมหมื่นนเรศวรโยธีเข้าช่วยก็ตกอยู่ในที่ล้อมอีก พวกกรมหลวงเสนีย์บริรักษ์มาทันเข้าแก้กรมหมื่นนเรศวรโยธีได้ แล้วช่วยกันตีฝ่าวงล้อม ทัพพระยาสุโพก็แตก ทัพหน้าก็เข้ายึดเวียงจันทน์ได้

ทางจำปาศักดิ์ เจ้าพระยาบดินทร์ยกไปตีจนแตกจับตัวเจ้าราชวงษ์ได้ แต่เจ้าอนุนั้นหนีไปอยู่กับญวน ญวนก็พามาส่งไทย แต่กลับปรากฏว่าเป็นการล่อลวง เจ้าพระยาบดินทร์จึงเข้าต่อรบเป็นสามารถในพงศาวดารบันทึกไว้ว่า “ได้สู้รบกันถึงตลุมบอน เจ้าราชวงษ์แทงถูกเจ้าพระยาราชสุภาวดี(เจ้าพระยาบดินทร์)เสื้อขาดเสียดลงไปแต่อกกระทั่งถึงท้องน้อยแผลนั้นไม่ตรงเข้าไปในตัว ขาดเป็นทางลงไป เจ้าพระยาราชสุภาวดีล้มลง หลวงพิพิธน้องเจ้าพระยาราชสุภาวดีจึงวิ่งเข้าไปช่วย เจ้าราชวงษ์ฟันหลวงพิพิธตาย แล้วจะเข้าซ้ำเจ้าพระยาราชสุภาวดีอีก พอทนายยิงปืนไปถูกเข่าขวาเจ้าราชวงษ์ล้มลง พวกบ่าวก็เข้าใจว่านายตาย เข้ายกเอานายขึ้นแคร่หามหนีไป ฝ่ายเจ้าพระยาสุภาวดี(บดินทร์) ครั้นฟื้นขึ้นเอานิ้วมือแยงเข้าไปในแผล เห็นว่าไม่ทะลุเข้าไปในท้องก็เรียกเอาน้ำมันว่านมาหยอดแผล เอาผ้าพันเข้าไว้เปลี่ยนเสื้อเสียใหม่แล้วก็ขึ้นแคร่ไล่ผู้คนตามเจ้าราชวงษ์ไปในเวลานั้น จนกระทั่งถึงฝังแม่น้ำโขงก็ไม่ทัน”

ในที่สุดเจ้าอนุก็ไม่พ้นมือเจ้าพระยาบดินทร์ เมื่อคุมตัวลงมาถวาย รับสั่งให้ทำที่ประจานลงที่หน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ ทำเป็นกรงเหล็กใหญ่มีริ้วตารางล้อมรอบทั้งสี่ด้าน กลางคืนเอาไปขังไว้ทิ่มดาบ ประจานอยู่ได้ ๗-๘ วัน เจ้าอนุก็รากเลือดตายเอาศพไปเสียบประจานไว้ที่สำเหร่ เมื่อตายนั้นอายุได้ ๖๐ ปี

ผลของสงครามครั้งนั้นทำให้ความแตกร้าวระหว่างไทยกับญวนที่มีมาแต่รัชกาลที่สองชัดขึ้น เพราะญวนชั้นหลังลืมหรือจะต้องลืมว่า พระพุทธยอดฟ้าเคยมีบุญคุณแก่ องค์เชียงสือปฐมกษัตริย์ญวนอย่างไร จะเป็น “ดิ๊กว่างเด” ก็เป็นไม่ได้เต็มภาคภูมิ จึงถือเรื่องเจ้าอนุเป็นสาเหตุแสดงตบะเดชะขึ้นมา เจ้าพระยาบดินทร์ต้องทำงานหนักอยู่หลายปี เพราะถ้ารบกับญวน เขมรก็ต้องพ่วงเข้าไปด้วย รบกันจนญวนต้องราข้อขอหย่าทัพ กองทัพไทยจึงจัดการบ้านเมืองให้นักองค์ด้วงได้เป็นใหญ่ พระนั่งเกล้าโปรดให้ขุนนางคุมเครื่องยศออกไปอุปภิเษกนักองค์ด้วง เป็นสมเด็จพระหริรักษ์รามาธิบดีเจ้ากรุงกัมพูชา องค์ด้วงถวายเครื่องราชบรรณาการตามประเพณีแล้วให้องค์ราชาวดีผู้บุตรใหญ่เข้ามาพร้อมด้วยเจ้าพระยาบดินทร์เดชารับราชการฉลองพระเดชพระคุณในกรุงเทพฯ สงครามข้างญวนก็สงบตั้งแต่นั้นมา

เมื่อเจ้าพระยาบดินทร์ถึงอสัญญกรรม โปรดให้พระราชทานเพลิงที่วัดสระเกศ เจ้ากรุงกัมพูชาทราบ จึงให้ปลูกเก๋ง ๒ ห้องขึ้นที่หน้าค่ายใหญ่เมืองอุดงมีไชย แล้วปั้นรูปเจ้าพระยาบดินทร์เดชาขึ้นไว้ถึงปีก็บังสุกุลรูปเจ้าพระยาบดินทร์ทุกปีที่ศาลนี้ ชาวเขมรเรียกว่า “ศาลองค์บดินทร์” เดี๋ยวนี้ทราบว่าถูกโยกย้ายไปเสียแล้ว

ข้างพม่าเวลานั้นรบพุ่งติดพันอยู่กับอังกฤษ ทางเราเพียงแต่ส่งคนไปขัดตาทัพอยู่ตามชายแดน ไม่มีอะไรจนตลอดรัชกาล แต่กลับไปมีข้างมลายู เพราะพวกเมืองแขกทั้งปวงมีเมืองไทรเป็นต้น เป็นกบฏ เจ้าพระยาพระคลังจึงต้องยกทัพไปช่วยเจ้าพระยานคร ปราบเมืองไทร เมืองตานี เมืองกลันตัน เมืองตรังกานู ส่วนเมืองสาย เมืองระแงะ เมืองยะลาและเมืองหนองจิกนั้นเข้าหาแต่โดยดีไม่ต้องใช้กำลัง ครั้งนั้นมีแต่เมืองยะหริ่งเมืองเดียวที่ตั้งอยู่ในความสงบไม่กระด้างกระเดื่อง

การต่างประเทศนั้นก็เริ่มตั้งแต่อังกฤษปรารถนาจะผูกมิตรกับสยามเพื่อประโยชน์ทางการค้า จึงแสดงความรำลึกคุณในการที่ส่งทหารไปขัดตาทัพ เพราะทางอังกฤษถือว่าไปช่วยรบให้พม่าระบุลงในสัญญาด้วยว่าจะไม่มารบกวน นอกจากนั้นยังถวายปืนเป็นราชบรรณาการด้วย พระนั่งเกล้าไม่ไว้พระทัยในการที่จะผูกมิตร แต่พระบรมวงศ์และเสนาบดีทูลทัดทาน โดยให้เหตุผลว่า อังกฤษมีเขตแดนชิดเข้ามาแล้วถ้ามิผ่อนตามให้บ้างจะเกิดเป็นเสี้ยนศัตรูขึ้น ต่อจากนั้นก็เลยทำกับอเมริกา แต่ก็ดีกันอยู่ได้ไม่นาน เพราะพระนั่งเกล้า ท่านทนอะไรทนได้ แต่ทนให้เสียเปรียบฝรั่งทนไม่ได้ ทางพระราชไมตรีจึงไม่กินเกลียวกันอยู่จนตลอดรัชกาล ท่านเองก็ไม่ทรงประมาท เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา สร้างป้อมคูประตูเมือง ป้อมกันพระนครไว้ตามจุดยุทธศาสตร์ทุกแห่ง

แต่พระราชประวัติของพระนั่งเกล้านี้ตอนไหนๆจะมาจับใจเหมือนตอนที่เกี่ยวข้องด้วยพระจอมเกล้าไม่มี ถ้าเป็นอย่างเราๆท่านๆ ก็ต้องชมว่าท่านมี “สปิริต” อย่างวิเศษ มิใยที่คนรอบๆพระองค์จะเพ็ดทูลความเคลื่อนไหวของประชาชนที่มีต่อพระจอมเกล้า อันจะเป็นอันตรายต่อราชบัลลังก์ ท่านก็ไม่ทรงฟัง สิ่งใดควรจะเป็นอย่างใดท่านก็ทรงจัดการให้เป็นอย่างนั้น อย่างเมื่อคราวพระจอมเกล้าทรงตั้งนิกายธรรมยุติเพื่อจะแก้จริตของพระในสมัยนั้นที่บกพร่องอยู่ให้เป็นจริตของพระ ผู้คนก็เลื่อมใสพากันไปที่วัดราชาฯอันเป็นที่ประทับมากขึ้นทุกที พระนั่งเกล้าก็ทรงตั้งให้เป็นราชาคณะเมื่อจะตั้งนั้นรับสั่งว่า “ชีต้นบวชมานานแล้ว ควรเป็นราชาคณะได้” แล้วพระราชทานพัดแฉกพื้นตาดให้ทรงเป็นพัดยศ และเชิญเสด็จให้มาครองวัดบวร เพราะที่วัดราชาฯ ท่านก็ไม่ได้ทรงเป็นเจ้าอาวาส

พระนั่งเกล้าทรงระวังมากที่จะไม่ให้พระจอมเกล้าโทมนัสน้อยพระทัย เวลาเชิญเสด็จจากวัดราชา ก็จัดกระบวนแห่อย่างพระมหาอุปราช และทรงสร้าง “พระปั้นหย่า” ถวายและทรงทำนุบำรุงทุกประการ จะเสด็จประพาสต่างจังหวัด ก็พระราชทานอนุญาตซึ่งเป็นพิเศษ เพราะเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ ถ้าไม่มีราชการแล้วไม่ออกไปตามหัวเมืองเพราะเกรงระแวงผิดทางการเมือง การที่ทรงทำดังนี้ ทำให้กรมหลวงรักษรณเรศขัดเคืองเป็นอย่างยิ่ง เพราะกรมหลวงรักษฯ ทรงมีเป้าหมายในทางการแผ่นดินอยู่ในพระทัย เห็นพระจอมเกล้าเป็นที่กีดขวางอันสำคัญ จึงหาเหตุเบียดเบียนด้วยประการต่างๆเป็นต้นว่าสึกพระสุเมธ อุปัชฌาย์ของท่านบ้าง เอาข้าวต้มร้อนใส่บาตรพระธรรมยุติบ้าง พระจอมเกล้าฯ ท่านก็ทรงอดทนกับพระพักตร์ทรงทำงานตามอุดมคติของพระองค์ จนพระวัดบวรฯได้เป็นเปรียญมาก เป็นที่พอพระราชหทัยของพระนั่งเกล้า ถึงกับออกพระโอษฐ์ว่า “ถ้าวัดของชีต้นเป็นเปรียญทั้งวัดก็จะดีทีเดียว” จึงโปรดให้มีตำแหน่งในคณะมหาเถระ ผู้สอบพระปริยัติธรรมในสนามหลวงด้วย ด้วยความนับถือพระองค์เองไม่ยอมให้สิ่งที่ผิดเป็นถูก พระจอมเกล้าฯ จึงถูกพระพุทธโฆษาจารย์ล่วงเกินหยาบช้าในการสอบคราวหนึ่งความทรงทราบถึงพระนั่งเกล้าก็กริ้ว ตรัสสั่งห้ามมิให้นิมนต์พระพุทธโฆษาจารย์เข้าราชการอีก และทรงมอบการสอบพระปริยัติธรรมเป็นสิทธิขาดแก่พระจอมเกล้า

พระนั่งเกล้าทรงมีของซึ่งไม่ทรงโปรดอย่างยิ่งอยู่อย่างหนึ่งคือฝิ่น ทรงปราบอย่างเอาจริงเอาจัง ปราบอย่างได้ตัวคนขนด้วยไม่ใช่ได้แต่ของกลาง และไม่ทรงถือด้วยว่าเป็นการทำรายได้ให้แก่แผ่นดิน ปราบเรียบตั้งแต่ภาคกลางลงไปจนภาคใต้ คราวที่ใหญ่ที่สุดปราบตั้งแต่ปราณจนถึงนครฯ ฟากหนึ่ง ตะกั่วป่าถึงถลางอีกฟากหนึ่ง ไดฝิ่นดิบเข้ามา ๓,๗๐๐ หาบเศษ ฝิ่นสุก ๒ หาบ โปรดให้เผาที่หน้าพระที่นั่งสุทธสวรรย์ ครั้งนั้นพวกขี้ยาได้กลิ่นคงแทบขาดใจตาย กลักฝิ่นเอามาหล่อพระพุทธรูปซึ่งเป็นพระประธานในศาลาการเปรียญวัดสุทัศน์

พลเมืองทำมาหากินได้สะดวกขึ้น ก็ทรงเพิ่มภาษีอากรซึ่งไม่เคยมีแต่ก่อนขึ้น ทำให้บ้านเมืองมีรายได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน อากรบ่อนเบี้ย อากรหวย ภาษีเบ็ดเสร็จลงสำเนา ภาษีพริกไทย ภาษีไม้ต่างๆ และอื่นๆอีกมาก ภาษีที่ไม่เป็นธรรมในสมัยนั้นก็โปรดให้เลิก คือภาษีฟองตนุ ค่าน้ำ

โดยปกติไม่โปรดเสด็จประพาสตามที่ต่างๆ การละเล่น มี โขน ละคร เป็นต้น ก็ไม่โปรด สนพระทัยแต่ทุกข์สุขของราษฎร รับฎีกาทุกโอกาส และทรงติดตามการชำระอย่างใกล้ชิด ตุลาการผู้ชำระไม่อาจพลิกแพลงได้ แต่ด้วยความที่ไม่โปรดเสด็จประพาสนี่เอง ที่ทำให้พระเจ้าลูกเธอและตำรวจมีอำนาจเที่ยวเกาะกุมราษฎรชาวบ้านมาชำระความตามอำเภอใจ แล้วฉุดบุตรหลานหญิงสาวชาวบ้านเอาไปเป็นหม่อมห้าม ทำกันอยู่เนืองๆ ราษฎรก็เกรงกลัวเพราะเห็นเป็นพระเจ้าลูกเธอไม่อาจเข้าร้องถวายฎีกา เป็นเรื่องบกพร่องเรื่องหนึ่งในแผ่นดิน ทรงทำงานอยู่เกือบตลอด ๒๔ ชั่วโมง ตั้งแต่เช้าทรงความฎีกาแล้วก็เรื่อยมาจนเที่ยงบ่าย ๑ โมง เสด็จออกทรงการช่าง ๑ ทุ่มเสด็จออกฟังรายงาน ทรงธรรมออกขุนนางอยู่จน ๒ ยามตีหนึ่ง เป็นนิจ เข้าเฝ้านั้นถ้าไม่หนาวจริงๆใส่เสื้อเข้าไปไม่ได้ไม่โปรด หน้าหนาวจึงจะสวมได้

ตอนนี้จะต้องขอแทรกเรื่องสร้างวัดสักเล็กน้อย เพราะมีคำกล่าวกันว่า พระพุทธยอดฟ้านั้นใครรบเก่งโปรด พระพุทธเลิศหล้านั้นใครแต่งกลอนเก่งก็โปรด ส่วนพระนั่งเกล้านั้นว่ากัน ใครสร้างวัดก็โปรด จึงมาถึงปัญหาว่าทำไมท่านจึงโปรดสร้างวัด สร้างไว้มากมายก่ายกองจนเป็นเหตุให้คนรุ่นใหม่บางคนบ่นว่า เมืองไทยนี้วัดมากเกินไปควรยุบเสียบ้าง ทีนี้ลองหลับตานึกถึงบ้านเมืองแต่ก่อนโดยไม่มีวัด แล้วนั่งเรือแล่นเข้ามาแต่ปากน้ำจนถึงกรุงเก่าดูสักที หน้าตาบ้านเมืองเราเป็นเมืองตามเกาะทะเลใต้ดีๆนี่เอง เพราะจะเต็มไปด้วยเรือฝากระแชง อย่างดีก็ฝากระดานหลังคามุงจากตลอดขึ้นไป ที่เมืองไทยมีหน้ามีตาพอจะออกแขกกับเขาได้บ้างก็ควรจะรู้ไว้ด้วยว่าเป็นเพราะสิ่งปลูกสร้างที่รวมกันเรียกว่าวัดนี้ด้วยสิ่งหนึ่ง อาคารก่ออิฐถือปูนหลังคามุงกระเบื้องเป็นมันวับสะท้อนแสงตะวัน ทรวดทรงสูงของตัวอาคารของหลังคา อะไรต่างๆนี้แสดงถึงความรู้และปัญญาของช่างในการก่อสร้าง ในการที่จะเก็บความร้อนไว้แต่ภายนอก ช่อฟ้า ใบระกา แสดงถึงความประณีต รักสวยรักงามและความสง่าผ่าเผย สถูป เจดีย์ที่เสียดยอดขึ้นสู่ท้องฟ้าแสดงถึงศรัทธาของเจ้าของถิ่น ความคิดนี้เป็นความคิดที่คนเจริญแล้วเขาคิดกันและเราก็ควรจะภูมิใจที่บรรพบุรุษของเราท่านก็คิดเช่นนั้น

ความพินาศฉิบหายของกรุงศรีอยุธยานั้น ประเทศทั้งหลายก็ทราบทั่วกัน ดังนั้นการสร้างราชธานีใหม่ให้เหมือนราชธานีเดิมจึงเป็นของจำเป็น เพื่อเผยให้โลกรู้ว่า สยามยังอยู่ยังไม่ล้มละลาย ยังอยู่อย่างมีเกียรติ ใครที่เคยนับถือกราบไหว้อยู่ก็ควรจะนับถือกราบไหว้ต่อไป ใครที่เคยคบค้าสมาคมในฐานะเดียวกันก็ให้รักษาฐานะนั้นไว้ อีกประการหนึ่งจะได้เป็นการทำนุบำรุงวิชาช่างของแผ่นดิน เพราะการช่างทรุดโทรมลงมากหมดตัวช่าง พม่าเอาหวายร้อยตาตุ่มพาไปหมด ถ้าทิ้งไว้วิชาก่อสร้าง แกะสลักวาดเขียนก็จะไม่มีเหลือ และนอกจากจะได้เป็นที่อยู่ที่ประกอบพิธีทางศาสนาของสงฆ์ ปัจจุบันนี้วัดยังทำหน้าที่เกินเลยออกไปอีกบ้างคือ หอพักของนักเรียนต่างจังหวัด ต่างอำเภอ ต่างตำบล

ครั้งพระนั่งเกล้าประชวรลงก็ทรงมีพระกระแสพระราชดำริถึงผู้สืบราชสมบัติ เพราะยังมิเคยทรงพระราชดำริถึงเรื่องรัชทายาทมาตั้งแต่วังหน้าสวรรคตแล้ว เพราะยังไม่แน่ในพระราชหฤทัยว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะความที่มีคนจงรักภักดีต่อพระจอมเกล้าเห็นว่า พระจอมเกล้าควรจะได้รับราชสมบัติมีมากก็ทรงทราบอยู่ พระองค์เองก็คงจะทรงเห็นตามดังนั้น ถึงแม้นจะไม่ออกพระโอษฐ์ให้ชัดออกมา เรื่องนี้ถ้าเอามาคิดดูตามประสาชาวบ้านก็ออกจะแปลก สมบัติทำมาเป็นก่ายเป็นกองแทนที่จะยกให้ลูกกลับไปยกให้น้องคนละแม่ ทั้งๆที่พระเจ้าลูกยาเธอที่เจริญพระชนม์มากแล้วก็มีอยู่หลายพระองค์ มีพระองค์โกเมน พระองค์คเนจร พระองค์ลดาวัลย์ พระองค์ชุมสาย พระองค์เปียก พระองค์อุไร พระองค์อรรณพ พระองค์อมฤตย์ พระองค์สุบรรณ พระองค์สิงหรา พระองค์ชมพูนุท จะว่าท่านไม่โปรดพระองค์เจ้าของท่านก็ว่าไม่ได้ อย่างพระองค์อรรณพที่สร้างวัดมหรรณพ์นั้นก็โปรดจนออกหน้า แต่ท่านทรงเข้าพระทัยที่จะแยกการส่วนพระองค์ออกจากแผ่นดิน ดังนั้นจึงรับสั่งให้หาพระยาราชสุภาวดี พระยาพิพัฒน์ เข้าไปในที่พระบรรทมบนพระมหามณเฑียร ตรัสว่าทรงพระประชวรครั้งนี้อาการมาก เห็นจะเป็นพระโรคใหญ่เหลือกำลังแพทย์จะเยียวยา อันกรุงเทพพระมหานครนั้น ขอบขัณฑ์เสมาอาณาจักรกว้างขวาง พระเกียรติยศก็ปรากฎไปทั่วนานาประเทศ ถ้าทรงพระมหากรุณาพระราชทานอิสริยยศมอบให้พระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งซึ่งพอพระทัยให้ขึ้นเสวยราชสมบัติแทนพระองค์ต่อไปแต่ความชอบอัธยาศัยในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์เดียวนั้น เกลือกเสียสามัคคีรสร้าวฉาน ไม่ชอบใจไพร่ฟ้าประชาชนและคนมีบรรดาศักดิ์ผู้ทำราชกิจทุกพนักงานก็จะเกิดการอุปัทวภยันตรายเดือดร้อนแด่พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย สมณชีพราหมณ์ อาณาประชาราษฎร์จะได้รับความลำบากเพราะมิได้พร้อมใจกัน ด้วยกำลังทรงพระมหากรุณาเมตตากับไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเป็นอันมาก แล้วทรงพระกรุณาดำรัสให้จดหมายกระแสพระราชโองการปฎิญาณยกพระนามพระรัตนตรัยสรณคมน์อันอุดมเป็นประธานพยานอันยิ่งให้เห็นจริงในพระราชหฤทัยแล้ว ทรงพระดำรัสยอมอนุญาตให้เจ้าพระยาพระคลัง ซึ่งว่าที่สมุหพระกลาโหม พระยาศรีพิพัฒนรัตนราชโกษา พระยาสุภาวดีว่าที่สมุหนายกกับขุนนางผู้น้อยทั้งปวง จงมีความสโมสรสามัคคีรส ปรึกษาพร้อมกันเมื่อเห็นว่า พระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดที่มีวัยวุฒิปรีชารอบรู้ราชานุวัตร เป็นศาสนูปถัมภกยกพระบวรพุทธศาสนาและปกป้องไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎร รักษาแผ่นดินให้เป็นสุขสวัสดีโดยยิ่ง เป็นที่ยินดีแก่มหาชนทั้งปวงได้ ก็สุดแท้จะเห็นดีประนีประนอมพร้อมใจกันยกพระบรมวงศ์องค์นั้นขึ้นเสวยมไหสวรรยาธิปัตย์ ถวัลยราชสืบสันตติวงศ์ดำรงราชประเพณีต่อไปเถิด อย่าได้กริ่งเกรงพระราชอัธยาศัยเลย เอาแต่ให้ได้เป็นสุขทั่วหน้า อย่าให้เกิดการรบราฆ่าฟันกันให้ได้ทุกข์ร้อนแก่ราษฎร

นี่คือน้ำใจของคนที่ปกครองคนเมื่อร้อยปีเศษมานี้เอง

เมื่อมีพระบรมราชโองการออกไปแล้วยังทรงเป็นห่วงรับสั่งให้หาพระยาศรีสุริยวงศ์ (สมเด็จเจ้าพระยาในรัชกาลที่ ๕) เข้าไปเฝ้า ถามว่าที่ประชุมหารือกันว่าอย่างไร พระยาศรีสุริยวงศ์ว่ายังไม่จัดการ เพราะเชื่อว่าจะหายประชวร จึงรับสั่งให้พระยาศรีสุริยวงศ์ขยับเข้าไปชิดพระองค์ ให้ลูบดูพระองค์ทั่วทั้งพระสรีรกาย แล้วดำรัสว่าร่างกายทรุดโทรมถึงเพียงนี้แล้ว หมอเขายังว่าจะหายอยู่ไม่เห็นด้วยเลย การแผ่นดินไปข้างหน้าไม่เห็นผู้ใดที่จะรักษาแผ่นดินได้ กรมขุนเดชเล่าท่านก็เป็นคนพระกรรณเบา ใครจะพูดอะไรท่านเชื่อง่ายๆ จะเป็นใหญ่เป็นโตไปไม่ได้ กรมขุนพิพิธเล่าไม่รู้จักการงาน ปัญญาก็ไม่สอดส่องไปได้ คิดแต่จะเล่นอย่างเดียว ที่จะมีสติปัญญาพอจะรักษาแผ่นดินได้อยู่ ก็เห็นแต่ท่านฟ้าใหญ่ท่านฟ้าน้อย ๒ พระองค์ ก็ทรงรังเกียจอยู่ว่าท่านฟ้าใหญ่ถืออย่างมอญ ถ้าเป็นเจ้าแผ่นดินขึ้นก็จะให้พระสงฆ์ห่มผ้าอย่างมอญเสียหมดทั้งแผ่นดินดอกกระมัง ท่านฟ้าน้อยเล่าก็มีสติปัญญารู้วิชาการช่างและการทหารต่างๆอยู่ แต่ไม่พอใจทำราชการ รักแต่การเล่นสนุกเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงมิทรงอนุญาต กลัวเจ้านายข้าราชการเขาจะไม่ชอบใจ จึงโปรดอนุญาตให้ตามใจคนทั้งปวงสุดแท้แต่จะเห็นพร้อมเพียงกัน การต่อไปภายหน้าเห็นแต่เอ็งที่จะรับราชการเป็นอธิบดีผู้ใหญ่ต่อไป การศึกสงครามข้างญวน ข้างพม่า ก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ข้างฝรั่ง ให้ระวังให้ดี อย่าให้เสียทีแก่เขาได้ การงานสิ่งใดของเขาที่คิดควรจะเรียนเอาไว้ก็ให้เอาอย่างเขา แต่อย่านับถือเลื่อมใสไปทีเดียว ทุกวันนี้สละห่วงใหญ่หมด อาลัยอยู่แต่วัด สร้างไว้ใหญ่โตหลายวัด ที่ยังค้างอยู่ก็มี ถ้าชำรุดทรุดโทรมไปจะไม่มีผู้ใดช่วยทำนุบำรุง เงินในพระคลังที่จับจ่ายใช้ราชการแผ่นดินอยู่สี่หมื่นชั่ง ขอสักหนึ่งหมื่นเถิด ถ้าผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน ให้ช่วยบอกแก่เขาขอเงินรายนี้ให้ทะนุบำรุงวัดที่ชำรุดและการจัดที่ยังค้างอยู่นั้นเสียให้แล้วด้วย

เราจะหวังอะไรมากไปกว่านี้ น้ำพระทัย ความเสียสละ หลักการสง่าผ่าเผย เงินสี่หมื่นชั่งนั้นท่านแจกจ่ายลูกหลานของท่านไป ใครจะว่าท่านได้ท่านก็ไม่เอาไปแจก เชื้อสายรัชกาลที่ ๓ ขัดสนเพียงใดก็พอจะเห็นกันอยู่ เงินของท่านเป็นวัด ไม่เป็นวัดก็เป็นป้อม ไม่เป็นป้อมก็เป็นกำปั่น ไม่เป็นกำปั่นก็เป็นทานแก่คนยาก ก่อนจะสวรรคตก็ทรงเป็นห่วงต่างๆห่วงพระอัฐิ พระอัยกา (พระยานนทบุรี) พระอัยกี (คุณหญิงเพ็ง) และกรมสมเด็จพระศรีสุราลัย พระราชชนนี ว่าถ้าประดิษฐานไว้ในพระมหาปราสาทต่อไปจะเป็นที่รังเกียจกีดขวางแก่ผู้ที่จะมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินใหม่ ขอให้มอบไว้แก่พระเจ้าลูกเธอพระองค์ใดๆถ้าพระราชโอรสหมดสิ้นไปก็ให้มอบแก่พระราชบุตรีรักษาไว้ ส่วนพระองค์เองก็ทรงเกรงว่า ถ้าสวรรคตในพระมหามณเฑียร ท่านผู้ใดมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินใหม่จะรังเกียจ จึงรับสั่งให้พระยาศรีพิพัฒน์คุมช่างกระทำพระแท่น และพระวิสูตรมาตั้งและกั้นในพระที่นั่งจักรพรรดิ์พิมานองค์ข้างตะวันตก แล้วเสด็จออกมาประทับและสวรรคตอยู่ที่พระแท่นทำใหม่นั้น


ต้องการฟังและชม VDO ประราชประวัติของ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 โปรดเข้าชมได้ที่ http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?

 

 

นวัตกรรมทางสังคมเพื่อชุมชน

พิมพ์ PDF

สรุปการบรรยายวันที่ 26 มีนาคม 2556

Panel Discussion หัวข้อนวัตกรรมทางสังคมเพื่อชุมชน (Social Innovation) กับการทำงานของ กฟผ.

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

นวัตกรรมทางสังคม (Social Innovation) มี 3 เรื่อง

1.  นวัตกรรมมี 3 ขั้นตอน

ทำอะไรใหม่

มีความคิดสร้างสรรค์

มีความรู้

2.  เปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เป็น project

3.  โครงการประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับ

ครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์

·  นวัตกรรมทางสังคมเพื่อชุมชนเป็นเรื่องใหญ่

·  สิ่งสำคัญสุดคือความสมานฉันท์ เป็นญาติผูกพันกันในฐานะคนไทย

·  คนไทยพร้อมรับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตอยู่แล้วเพราะเป็นผู้นำแสงสว่างและความเจริญมาสู่เขา แต่ทำไมคนรับไม่ได้

·  ชนบทวันนี้มีไฟฟ้า และความสะดวก นี่คือเครื่องมือในการพัฒนาและสร้างความสับสน ต้องบริหารข่าวสาร ทำเรื่องราวดีๆให้เป็นเรื่องวิเศษ เป็นหน้าที่ชาวกฟผ.ทุกคน

·  บทบาทสำคัญชาวกฟผ.

1.ทำงานในหน้าที่ให้ดี

2.ดูแลสังคมให้ดี ปัญหาสังคมคือ สังคมถูกทอดทิ้ง คนไทยทุกคนต้องดูแลสังคม ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องวิเศษ

3.ต้องเข้าไปเรียนรู้ร่วมกันกับชุมชน ให้ชุมชนบอกเรา ว่ามีปัญหาอะไร มีข้อเสนอแนะอะไร วิธีนี้จะทำให้ได้รับความไว้วางใจมากขึ้น ไม่ใช่เราให้อย่างเดียว เราได้ด้วย อย่างน้อยก็ได้ความสุข

·  เราไปสามารถไปเยี่ยมชุมชนได้รูปแบบต่างๆเช่น

1.ในรูปโครงการ

2.การอบรม ดูงาน

3.ในฐานะส่วนตัว

·  ก่อนไปมหาวิชชาลัยอีสาน ควรจะอ่านข้อมูลก่อน

·  ชาวกฟผ.ลงไปชุมชนไปสอนทำก๋วยเตี๋ยว ถือว่าทำเรื่องธรรมดาให้เป็นเรื่องวิเศษ ทำเรื่องง่ายก่อนแล้วค่อยทำเรื่องยาก

·  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะครบรอบ 100 ปี จะมอบบัณฑิต ตั้งสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติทำงานให้ชุมชน ทำโครงการ 3 วัน 3 คืน เวลาทำงานต้องได้ใจคนที่เกี่ยวข้อง

·  ชาวกฟผ.ไปในนามส่วนตัวลงชุมชน ทำอาหารร่วมกัน นำความคุ้นเคยไปติดต่อ เมื่อกลับมาแล้วก็ยังติดต่อสื่อสารกันถ่ายทอดให้ลูกหลาน

·  จากกระบวนการดังกล่าวทำให้ผมมีเครือข่ายเป็นอาจารย์จากหลายสถาบัน

·  จุดสำคัญของสังคมไทยคือความเอื้ออาทร พร้อมที่จะเข้าใจกัน

·  ปัญหาใหญ่ของเราคือเรื่องสุขภาพ ถ้าบริโภคผักปลอดสารพิษก็ช่วยได้ กฟผ.มีเทคโนโลยีไปช่วยสร้างอาหารปลอดภัยในชุมชนได้ เพราะพอมีไฟฟ้า เราก็มีปั๊มน้ำ

·  อีกปัญหาคือการทำลายพื้นที่ป่า นำป่าดงดิบมาปลูกยางพารา

·  ประเทศไทยก็ทำอะไรไม่ทันเวลา ประชุมไซเตสออกกฎคุ้มครองไม้พยุงเมื่อหมดประเทศแล้ว

·  นักวิทยาศาสตร์นาซ่ามาแนะนำให้เตรียมอาหารใต้ดินไว้ จึงปลูกเผือกยักษ์ไว้

·  ปัญหาชีวิตแก้ได้ถ้ามีการจัดการความรู้และใช้ชุดเทคโนโลยี

·  เราควรไปช่วยให้กำลังใจ ช่วยเหลือเครื่องมือแก่ชุมชน

·  ควรนำจุดแข็งคือประโยชน์ไฟฟ้า มีการประเมินคุณประโยชน์ไปเสนอต่อชุมชน

·  ปัญหาคือชาวการไฟฟ้าทำงานแล้วไม่ค่อยเก็บผลงาน

·  ท่าทีลีลาการผูกมิตรสร้างเครือข่ายกับชุมชนไม่ยาก

·  เรียนในห้องได้ความรู้ เรียนนอกห้องได้ความจริง นำความรู้มาผสมผสานกับความจริง แล้วจะรู้จริง

·  ต้องสนใจชนบทแล้วชนบทก็จะไม่ทิ้งเรา ควรมาร่วมอุปการะสังคม

·  ยุคนี้คนไทยต้องมาทำงานเชิงลึก โดยลุกออกจากที่ทำงานมาช่วยหาทางแก้ปัญหา

·  ต้องคิดใหม่ หาช่องทางใหม่ๆ พัฒนาสังคมประเทศนี้

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

·  ผมได้ไปเยี่ยมท่านครูบา

·  ความคิดท่านครูบาต้องนำไปคิดต่อ

·  ถ้ามี re-union ควรไปพบกันที่ศูนย์การเรียนรู้ของท่านที่บุรีรัมย์

ดร.เสรี พงศ์พิศ

·  ผมมาในองค์การที่มี 2 บุคลิก ด้านหนึ่งเป็นพระเอก อีกด้านเป็นผู้ร้าย

·  สังคมจะดีขึ้นถ้าเป็นสังคมการเรียนรู้ องค์กรการเรียนรู้มีน้อยมาก ความคิดสร้างสรรค์ไม่เกิด

·  ขาดความรู้มือหนึ่งที่เกิดจากกการสร้างประสบการณ์ด้วยตนเอง

·  ถ้าไม่ลงทุนการเรียนรู้และมีการวิจัยมี แค่ 0.2% ของ GDP เป็นสังคมอำนาจกับเงิน เราก็จะอยู่ในกรอบตลอด

·  การเรียนรู้ที่ดีคือ หาวิธีทุบกระถางของไม้ในกระถาง แล้วลงดิน จึงจะโตเป็นไม้ใหญ่ ไม่ต้องรอใครรดน้ำก็โตได้

·  ลุงประยงค์ รณรงค์ได้รับรางวัลแมกไซไซเพราะเป็นนำผู้ชุมชนเรียนรู้ เป็นชุมชนเข้มแข็ง ลุงประยงค์ได้รับเชิญไปพูดที่ ADB

·  CNN ยกย่องว่า ถ้าชุมชนอื่นทำได้แบบชุมชนไม้เรียงนี้ ก็จะอยู่รอดได้

·  ลุงประยงค์ทำวิจัยนำประสบการณ์มาวิเคราะห์ได้แผนแม่บทยางพาราไทย ถือเป็นนวัตกรรมจากชุมชนเรียนรู้

·  ท่านเป็นตัวอย่างว่า เงินแก้ปัญหาความยากจนไม่ได้

·  ที่แก้ปัญหาไม่ได้เพราะขาดความรู้และปัญญา

·  ยุทธศาสตร์การพัฒนาไม้เรียง

·  เริ่มต้นจากการเรียนรู้ ถ้าไม่มีการเรียนรู้ก็จะทำตามคำสั่งและงบประมาณ ถ้ามีการเรียนรู้และปัญญาก็พึ่งตนเองบริหารจัดการเป็น

·  ยุทธศาสตร์การพึ่งพาตนเองด้านอาหารและพลังงานซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด 2 เรื่อง ดินเป็นปัจจัยการผลิตอาหารที่สำคัญ

·  ผมส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกสบู่ดำ เป็นน้ำมันดีที่สุดสำหรับรถและเครื่องบิน เป็นเยื่อกระดาษยาวที่ดีที่สุดกก.ละ 500บาท ชาวบ้านไม่ทราบเพราะไม่มีใครบอก ชาวบ้านควรจะผลิตและใช้เอง ขายเยื่อกระดาษให้บ่อสร้าง

·  หนี้สินคือสิ่งที่ชาวบ้านปรับตัวไม่ได้ เพราะถูกกระตุ้นจากทุนนิยมจึงซื้อหมด

·  เราต้องการระบบชุมชนที่มีพลัง ชาวบ้านพึ่งตนเองได้

·  ระบบที่ดีคือระบบที่ทำให้คนทำถูกได้ง่าย ทำผิดได้ยาก

·  ต้องรู้จักคิดนอกกรอบบ้าง

·  อยากให้มีสังคมการเรียนรู้จึงทำงานกับชาวบ้าน

·  ผมให้ชาวบ้านทำแผนชีวิตจัดการชีวิตตนเอง  สมัยโบราณพ่อแม่บอกหมด ยุคสมัยเปลี่ยน ก็มีคนอื่นๆมาบอกทำให้สับสน การวางแผนชีวิตสำคัญมาก

·  ต่อมาทำแผนการเงิน ส่งเสริมให้ชาวบ้านออม วางแผนใช้หนี้

·  วางแผนอาชีพ ให้เลิกทำนา 300 กก ต่อไร่ ต้องเป็นผู้ประกอบการ ทำเกษตรผสมผสาน ทำไร่ได้ 1 ตันครึ่ง เรามีจุดแข็งที่ไม่มีใครแข่งได้ เช่นมีข้าวสังข์หยดมีวิตามินอีมาก ทำให้เป็นหนุ่มสาวนาน ไม่แก่ง่าย ตายยาก โลกกลับมาสนใจสุขภาพ ต้องรู้จักกระแสโลก จะได้ตอบสนองได้เหมาะสม

·  วางแผนสุขภาพ กินเป็น อยู่เป็น ไม่ต้องไปหาหมอ ยาดีที่สุดคืออาหาร โรงพยาบาลดีที่สุดคือครัว หมอที่ดีที่สุดคือตัวเรา เงินเดือนสูงขึ้นทำให้บริโภคไม่ระวัง ทำให้ไขมันสูงขึ้น

·  ถ้าคนคิดจะเรียนรู้ ก็จะไม่มีปัญหาเงินและที่ดิน ถ้าไม่มีความรู้ แม้มีเงินและที่ดินก็จะหมด

·  ต้องนำเนื้อหาชุมชนมาเรียนและมาร่วมแก้ปัญหากับชุมชน

·  ฝรั่งชื่อมาร์ตินบอกว่า คนไทยมีปัญหาวิธีคิด ประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณ์ น้ำ ดิน แดด แต่คนเข้าไปอยู่ในเมืองเพื่อรับค่าแรงวันละ 300 บาท พ่อเขารวยและมีความรู้ แต่ไม่มีความสุข แต่เขาอยากมีความสุข

·  จุดแข็งของไทย ไม่จำเป็นต้องวิ่งตามซัมซุง ซีพี แต่ผมพัฒนาระบบเศรษฐกิจของชาวบ้านกำหนดว่าปลูกอะไร ขายอะไร

·  ยิ่งคุณเรียนในตำรามาก ก็จะติดกรอบ ต้องคิดนอกกรอบให้ได้

·  ต้องทำให้ชุมชนเข้มแข็งและพึ่งตนเองได้

·  ผมให้ชาวบ้านปลูกไผ่เพื่อใช้ประโยชน์ในท้องถิ่น

·  เรายังไม่ได้นำสิ่งที่ค้นพบจากวิจัยมาใช้ให้เป็นประโยชน์

คุณสุทธิเดช สุทธิสมณ์

·  Social Innovation กฟภ.

·  ปี 2503 ก่อตั้งกฟภ.

·  ปี 2539 SCADA

·  ปี 2547 SAP

·  ปี 2550 LO

·  ปี 2553 แผนแม่บท

·  วิวัฒนาการ

·  ยุคที่ 1 2503-2513 กฟภ.ต้องผลิตไฟฟ้าเองจ่ายไฟในเมืองใหญ่

·  ยุคที่ 2 ขยายไฟฟ้าชนบท

·  ยุคที่ 3 ขยายไปธุรกิจอุตสาหกรรม

·  ยุคที่ 4 เทคโนโลยี

·  ปัจจุบัน พัฒนาพร้อมแข่งขัน

·  นวัตกรรมไฟฟ้าชนบท

·  ตั้งแต่ปี 2510 เสนอโครงการขยายไฟฟ้า 4000 หมู่บ้าน คิดเป็นประมาณ 10% ดร.จุลพงศ์ ผู้ว่าการคนที่ 5 ไปนำเงินยูเสดและยูซ่อม ปี 2515 ทำ pre-feasibility study

·  ต่อมารัฐบาลออกแผน Accelerated Rural Electrification Program ประชาชนไม่ต้องออกเงินสมทบก่อสร้าง ได้ 6 หมื่นหมู่บ้าน

·  โครงการที่ธนาคารโลกให้เงินกู้ก็ไปทำที่อีสาน เป็นจุดเริ่มต้น แล้วก็มีการอนุมัติโครงการต่างๆ 50-60 โครงการ

·  ปัจจุบันทำได้ 74000 หมู่บ้าน

·  ทำจริงใช้เวลา 35 ปี ใช้เงินไปทั้งหมดเกือบ 5 หมื่นล้านบาท

·  ลำตะคองใช้เงิน 3 หมื่นกว่าล้านบาท

·  กฟภ.ใช้เงินอย่างประหยัดมาก

·  กฟภ.ลงทุน infrastructure น้อย

·  กฟภ.สร้างองค์กรการเรียนรู้ได้แนวคิด Peter Senge  จะทำห้องค์กรเป็นอมตะ เจริญเติบโตมีนวัตกรรม

·  แล้วนำมาทำเป็นยุทธศาสตร์

1. LO Awareness

2. Knowledge Auditing

3. Knowledge Critique

·  โครงสร้างกฟภ.

·  ระดับสูง 130 คน

·  First line manager 19000 มีการสร้างทีมพลวัตรกฟภ.ที่มีประสิทธิภาพ มีการจัดบรรยายวิชาการ ศึกษาดูงาน มีการทำ Team Learning และการทำวิจัย มีการแบ่งกลุ่มย่อยเป็นกลุ่มละ 80 คน ในแต่ละกลุ่มมีประธาน รองประธาน และกรรมการ

·  ยุทธศาสตร์และแผนแม่บทการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของกฟภ. ต้องสร้างวิสัยทัศน์ รอบรู้ เรียนรู้ มองไกลแล้วไปให้ถึง

·  สิ่งที่เป็นนวัตกรรมในสังคมเกิดจากวิสัยทัศน์ มองไกลแล้วไปให้ถึง

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

·  กฟภ.มีปัญหาคือการขยายไฟฟ้าไปชนบท ก็ทำได้ดี

·  กัมพูชา ลาว พม่า การไฟฟ้าในชนบทมีไม่ถึง 50%

·  Social Innovation กฟภ.คือการพัฒนาบุคลากร

·  ผู้ว่าการกฟภ.ไม่ต่อเนื่อง

คุณศานิต นิยมาคม

·  เราส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  สร้างความสุขคุณภาพชีวิตให้ประชาชนแต่บนเส้นทางที่ทำให้บรรลุเป้าหมายอาจกระทบชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน

·  จากการไปบางปะกง ประเด็นทางสังคมสำคัญมาก กฟผ.จะทำอย่างไรให้สังคมยอมรับ

·  ตอนแรก กฟผ.สร้างความเจริญ ตอนหลังมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อมีการดำเนินการ

·  ตอนนี้มีกระแสสิ่งแวดล้อม เราต้องมีความรับผิดชอบ ต้องไปดูแลสังคม

·  เราต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย รัฐธรรมนูญให้สิทธิประชาชน สร้างโรงไฟฟ้าต้องฟังความเห็นของประชาชน

·  เราช่วยเหลือเกื้อกูลหน่วยงาน การให้ไม่ใช่คำตอบ ต้องสร้างสังคมที่มีความยั่งยืน โครงการต่างๆต้องเน้นเรื่องนี้

·  หลายหน่วยงาน CSV สร้าง Shared Value เหนือกว่า CSR

·  สิ่งสำคัญ

·  ต้องอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืนเสมือนคนในครอบครัว ใช้วัฒนธรรมเข้าหา อ่อนน้อมถ่อมตน

·  เมื่อเร็วๆนี้เราจัด Focus Group ว่า ทำมาก คนกำกับดูแลเห็นว่าเราทำดี แต่คนนอกเขามองเห็นความตั้งใจ กฟผ.อยากสร้างโรงไฟฟ้า บางส่วนบอกว่า ทำไมไม่บริหารการจัดการไฟฟ้าให้ดีก่อน

·  ต้องเป็นผู้ฟังที่ดี เข้าใจบริบทชุมชน

·  โครงการ CSR มีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ มีโครงการที่ใช้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง

·  ต้อง Balance ภายในองค์กรและวิ่งไปหาโอกาสใหม่ ที่จะนะเป็นตัวอย่าง

·  การเข้าหาชุมชนต้องเข้าหาคนที่คนในชุมชนเชื่อถือ ท่านอาซิสเป็นประธานอิสลามที่สงขลา ท่านรองผู้ว่าการก็เข้าไปหา เข้าไปถามว่ามีอะไรที่คนในชุมชนเป็นกังวลกับการทำงานของกฟผ.ได้แล้วปรับปรุงให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน

·  การเข้าไปฟังเขาด้วยความอ่อนน้อมเป็นการให้เกียรติเขาแล้วเขาก็จะให้ความร่วมมือ

·  กฟผ.นำคนไปช่วยสนับสนุนโภชนาการและการตลาดกะปินาทับที่มีมูลค่าเพิ่มหาศาล เป็นการสร้างนวัตกรรมที่มีส่วนร่วมกับชุมชน

·  เราศึกษาพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานความร้อนใต้พิภพที่สันกำแพง เราเข้าไปทำความคุ้นเคยชุมชน เขามาปรึกษาพลังงานแสงอาทิตย์จึงทดลองทำโรงอบพลังงานแสงอาทิตย์ ใช้ตากร่มหน้าฝน มีการทำตู้อบกล้วยตากม้วนทำให้ผลิตภัณฑ์สะอาด มีราคา

·  ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล มหาวิทยาลัยสงขลานำเถ้าลอยลิกไนต์ทำปะการังเทียมมีการออกแบบมีการหมุนวนคลื่นในตัวปะการังแล้วลดแรงกระแทกคลื่นเซาะฝัง

·  กฟผ.ต้องอาศัยพวกเราทุกคนมาช่วยกันขับเคลื่อนนวัตกรรมสังคมเพราะทุกคนต้องดูแล Stakeholders แต่ละกลุ่ม ต้องสร้างนวัตกรรมใหม่ๆให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม

·  เราต้องสร้างให้สังคมรักผูกพัน เชื่อมั่นไว้วางใจ ต้องเข้าไปดูแลสังคมไทย

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

·  อยากให้กฟผ.ฝึกเรื่อง CSR ให้กับทุกคนในองค์กร

·  กฟภ.ลงทุนทำเรื่ององค์กรการเรียนรู้

·  กฟผ.ต้องพัฒนาคนแล้วคนในชุมชนต่างๆมองในแง่ดีด้วย

ช่วงแสดงความคิดเห็น

1.มีประสบการณ์อะไรที่นำจากจะนะมาใช้กับที่อื่นไม่ได้

2.จากคุณศานิตพูดที่เปรียบเทียบกฟผ.กับกฟภ. คนรักกฟภ.มากกว่า จะทำ CSR อย่างไร

การรอนสิทธิ์ชาวบ้านไม่ให้ปลูกสิ่งก่อสร้างสูง จะเข้าหาชาวบ้านอย่างไร

3. ทำไมกฟผ.ไม่สามารถสร้างในที่เดิมที่ไม่มีการต่อต้าน

4. ในอนาคต จะมีถ่านหินสะอาด 3200 เมกกะวัตต์ วางแผนว่าจะไปทำโรงไฟฟ้าในภาคใต้ มีนวัตกรรมใหม่ๆเพื่อชุมชนยอมรับกฟผ.มีบ้างไหม

5. ทั้งหมด ปัญหาที่เกิดขึ้นจากกระแสต่อต้าน กฟผ.ถูกต่อต้านมากที่สุดเพราะตามกรอบ แต่เอกชนสามารถทำได้สำเร็จก่อนเราในพื้นที่เดียวกัน อาจใช้วิธีทางเศรษฐกิจทำให้เสร็จได้ ทุกหน่วยงานในกฟผ.เคยหารือร่วมกันหรือไม่ เมื่อเดือนที่แล้วมีการประชุมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้เสนอว่าให้มีศูนย์ทำ CSR ให้ไปในทิศทางเดียวกัน ยังไม่มีการสอน คนที่ทำอาศัยประสบการณ์ล้วนๆ กฟผ.น่าจะมีตัวกลางเผยแพร่งานกฟผ.และทำโครงการให้สำเร็จแต่ละโครงการ

6. Innovation ใหม่ๆด้านการสร้างโรงไฟฟ้ามีอะไรบ้าง

ครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์

·  ควรลงไปล่วงหน้าร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชุมชน ทำการบ้านเชื่อมสัมพันธ์ล่วงหน้า ควรจ้างมืออาชีพไปช่วยประสานให้นุ่มนวลและเป็นกันเองมากขึ้น นำความรัก ความเมตตา ความเข้าใจไปก่อน ต้องให้ประชาชนตอบคำถามแทนท่าน

คุณสุทธิเดช สุทธิสมณ์

·  กฟผ.ควรถอยมาอยู่ฝ่ายเทคนิคแล้วให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้นำในการประสานกับชุมชน

·  การหาที่ดินสร้างโรงไฟฟ้า ควรให้กระทรวงพลังงานหาที่ดินให้

·  กฟผ.ควรเป็นเถ้าแก่คุมการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด

ดร.เสรี พงศ์พิศ

·  กฟผ.ก็ควรจะถอยไปตั้งหลัก สู้ด้วยยุทธศาสตร์ รบด้วยปัญญา ชนะด้วยความรู้

·  ต้องสร้างภาคีเป็นหุ้นส่วนกับชุมชน สนองความต้องการของชุมชน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ทั้งองค์กรต้องมีวิญญาณการทำงานร่วมกับชุมชน

·  อาวุธอย่างเดียวที่เหลือของคนยากคือวัฒนธรรม

·  ต้องใช้ทุนทางปัญญาและทุนทางสังคมสร้างนวัตกรรม

·  ถ้าจะตอบโจทย์ในการทำงานร่วมกับชุมชน ต้องทำงานเป็นภาคี ทำให้เกิดทุนทางปัญญาและทุนทางสังคม

·  ควรอ่านบทความของผมโลกเปลี่ยน เรียนรู้ อยู่รอดและบทความ ไฟดับ ก็ดี

·  ควรเข้าไปดูเว็บไซต์มหาวิทยาลัยชีวิต life.ac.th

คุณศานิต นิยมาคม

·  แต่ละที่บริบทไม่เหมือนกัน

·  ในอดีต ที่กระบี่ คนไม่ต่อต้านโรงไฟฟ้าเพราะมีความสัมพันธ์ที่ดี

·  การทำงานต้องบูรณาการกันไป

·  ต้องมองปัญหา ดูว่ามีใครเกี่ยวข้อง ทำตามความต้องการชุมชน จะได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ

ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

·  เรื่องชุมชนเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็ยังมีช่องทางที่จะเกิดขึ้น

·  ควรให้ผู้นำระดับกลางและระดับล่างได้เรียนแบบรุ่น 9 แค่วันเดียวจะได้คิดร่วมกัน

·  ถ้าจะทำให้เกิดความสำเร็จ ต้องร่วมกันคิดและให้โอกาสการเรียนรู้เกิดขึ้นในมุมกว้าง ควรจัดโครงการ 2 วันให้คนกฟผ.ได้คิดเกี่ยวกับอนาคตกฟผ.

·  สิ่งสำคัญคือ การจัดการการเปลี่ยนแปลงให้ได้ สถานการณ์การไฟฟ้าเปลี่ยนไปหมดแล้ว

·  ใน HR Function เรายังไม่ได้สร้าง Learning Organization

·  ฟังแล้วต้องหาประเด็นที่เกิด Value Added

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/531366

 

เทคนิคการสื่อสารกับการสื่อสารมวลชน

พิมพ์ PDF

สรุปการบรรยายวันที่ 26 มีนาคม 2556

Learning Forum หัวข้อ เทคนิคการสื่อสารกับการสื่อสารมวลชน

โดย ดร.พจน์ ใจชาญสุขกิจ

·  องค์กรในประเทศไทยเช่น เนคเทคมีการฝึกอบรมสำหรับทุกระดับในเรื่องการสื่อสาร ให้พูดได้ พูดรู้เรื่อง ให้คนเขาใจและมีคนชอบ

·  รู้จักใครต้องรู้จักให้จริง ประเทศไทยบริหารภายใต้ Connection

·  บริหารสื่อต้องเข้าใจลักษณะและบทบาทของแต่ละสื่อ ต้องเข้าใจเหตุผลเบื้องลึกว่าทำไมเขานำเสนอข้อมูลในแง่ดีหรือแง่ร้าย

·  ต้องรู้จักบริหารจัดการประเด็น รู้ว่าเรื่องใดต้องพูดเวลาไหนกับใคร

·  ต้องรู้จักผู้ฟังก่อน เรื่องที่พูดต้องเป็นเรื่องที่เขาอยากฟัง

·  องค์กรมีเรื่องราว 3 ด้าน

1.  Corporate Image เป็นสิ่งที่เราอยากเห็น

2.  Business Image เป็นสิ่งที่องค์กรทำ

·  สิ่งสำคัญคือ คนจำอะไรได้ สิ่งที่คนจำได้คือ Brand Image ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบ

กิจกรรม อะไรควรเป็น Corporate Image และ Business Image ของกฟผ.และ Brand Image ควรจะเป็นอย่างไร

กลุ่ม 1

Corporate Image

·  โปร่งใส

Business Image

·  ความมั่นคงในการผลิตไฟฟ้า

Brand Image

·  ความมั่นคงในการผลิตไฟฟ้า

กลุ่ม 2

Corporate Image

·  ผลิตไฟฟ้าเพื่อความสุขของคนไทย

Business Image

·  ผลิตไฟฟ้าขายในราคาที่เหมาะสม

Brand Image

·  ยังนึกไม่ออก

กลุ่ม 3

Corporate Image

·  โปร่งใส

·  CSR

Business Image

·  ความมั่นคง

·  ไฟฟ้าราคาถูก

Brand Image

·  ผลิตไฟฟ้าเพื่อความสุขของคนไทย

กลุ่ม 4

Corporate Image

·  ค่าไฟสมเหตุสมผล

Business Image

·  ปฏิสัมพันธ์กับชุมชน

Brand Image

·  ผลิตไฟฟ้าด้วยความโปร่งใส

กลุ่ม 5

Corporate Image

·  โปร่งใส

Business Image

·  ผลิตไฟฟ้าความมั่นคงสูง

Brand Image

·  ผลิตไฟฟ้าเพื่อความสุขของคนไทย

·  อยากให้ค้นหาเจอ เพื่อจะได้เล่าให้ผู้อื่นฟัง เป็นข้อตกลงว่า

·  แม้สื่อมวลชนมีคำถามมากมายแต่สิ่งสำคัญคือคำตอบที่อธิบายให้เขาเข้าใจ

·  สิ่งที่คนจำได้ควรจะเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับภารกิจขององค์กร

·  Corporate Image มาจากภารกิจและวิสัยทัศน์

·  Brand Image ควรแปลงมาจากผลสัมฤทธิ์

·  สิ่งที่คนเชื่อถือศรัทธาในแบรนด์เป็นสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาล

·  ต้นทุนชื่อเสียงมีมูลค่ามากกว่าทรัพย์สิน เนื้อหาในข่าวมันเข้าไปสู่ความทรงจำกับกลุ่มเป้าหมาย

·  บางหน่วยงานก็ตั้งสำนักงาน Digital Communication คอยดูว่ามีใครพูดถึงหน่วยงานในโลก Social Media แล้วไปอธิบายให้คนกลุ่มเหล่านั้นให้เข้าใจ

·  Social Media ก็เป็นความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบหนึ่งด้านการสื่อสาร

·  วันหนึ่งมีข้อมูลมาถึงตัวเราวันละ 500-1000 ข้อมูลโดยประมาณ แต่เราจำได้ 2-3 เรื่อง

·  เรามีช่องทางสื่อสารข้อมูล แต่ถ้าเรื่องราวของท่านไม่น่าสนใจ ก็ไม่มีประโยชน์

·  เนื้อหาที่มี Business Image,Corporate Image และ Brand Image ต้องได้รับการปรุงแต่งให้น่าสนใจ

·  ดังนั้นต้องวิเคราะห์เป้าหมายผู้รับข้อมูลและความสนใจ รวมถึงวิธีการทำงานของแต่ละสื่อ

·  ถ้าให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ ต้องเป็นเรื่องราวที่คนสนใจและมีผลกระทบต่อสังคม

·  ถ้าให้สัมภาษณ์นิตยสาร ต้องมีข้อมูลเชิงลึกเป็นพิเศษ

·  ดังนั้น Keyword สำคัญที่สุด มีความยาวไม่เกิน 30 วินาที ต้องอธิบายให้ได้ ต้องศึกษาธรรมชาติของแต่ละรายการให้ลึกซึ้ง รูปแบบการถามเป็นอย่างไร มีเวลาตอบเท่าไร ตอบสิ่งสำคัญ

·  สำนักข่าวต่างประเทศต้องการทราบคำตอบที่สะท้อนผลกระทบในระดับภูมิภาค ต้องเป็นข้อมูลผ่านการวิจัยและเป็นข้อเท็จจริง

·  Social Media ทำให้ทุกคนเป็นผู้ให้ข้อมูลได้

·  บางครั้งต้องสนใจผู้นำความคิดผู้มีอิทธิพลทางความคิดด้วย

·  สื่อแต่ละสายมีคำถามที่สะท้อนภารกิจหน่วยงานเขา ซึ่งเป็นความสนใจของเขา

·  แต่ละองค์กรก็มีข้อกำหนดในการให้สัมภาษณ์บ้าง

·  ผู้บริหารสูงสุดต้องตอบได้ทุกประเด็น

·  ถ้าเป็นรองและผู้ช่วย ตอบได้ในส่วนที่เกี่ยวกับตนเอง แต่ไม่รวมเรื่องประเด็นอ่อนไหวเช่นการเงิน

·  ถ้าเป็นระดับต่ำกว่านั้น ตอบได้ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับนโยบาย

·  ข้อควรระวัง สิ่งที่พูดไม่เป็นข่าวเพราะ ความเข้าใจไม่ตรงกันระหว่างผู้ให้ข้อมูลและนักข่าว นักข่าวสนใจประเด็นที่เป็นกระแสมากที่สุด ถ้าเรื่องนั้นเกินขอบข่ายหน้าที่ที่จะตอบ ควรจะมีข้อตกลงร่วมกันกับองค์กรว่า จะอธิบายประเด็นอ่อนไหวอย่างไรต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสื่ออย่างไร

·  การให้สัมภาษณ์ ถ้าไม่ตรงโจทย์ก็ต้องไม่มีใครสนใจ

·  ถ้าอยู่ในฐานะผู้ให้สัมภาษณ์ ต้องมีความพร้อมอธิบาย อย่าตอบในเรื่องที่ไม่รู้และไม่แน่ใจ เพราะมันเป็นชื่อเราและองค์กร

·  ต้องรู้เรา รู้เขา รู้โลก

·  ฝ่ายกลยุทธ์องค์กรแบ่งกันวิเคราะห์คู่แข่งเป็นทีม

·  ต้องรู้ว่า เราจะอธิบายหรือพูดอะไรบ้าง มันคือเนื้อหาหลักที่จะอธิบาย เราต้องศึกษาอย่างลึกซึ้งและเตรียมประเด็นที่ดีพอ

·  ควรใช้ Mindmap มาเรียบเรียงลำดับความคิด

·  เวลาพูดแล้ว ต้องเช็คความเข้าใจว่าเข้าใจตรงกันหรือไม่  ควรมีเอกสารประกอบให้

·  เราต้องมีข้อมูลของสื่อแต่ละสื่อว่าต้องติดต่อใคร (Update list) รวมทั้ง Update ความสัมพันธ์ ส่งการ์ดให้ในเทศกาลต่างๆ ส่งข้อมูลให้สื่ออย่างสม่ำเสมอ

·  ต้องเข้าใจว่า ข้อมูล Lifestyle และกระบวนการการทำงานของแต่ละสื่อ (Media Mapping)

·  อย่ามีประเด็นในการให้สัมภาษณ์มากจนเกินไป (One Message Key Message) ควรมีข้อมูลสำคัญชัดเจนเรื่องเดียว

·  เวลาให้สัมภาษณ์แล้ว ควรมีการทดสอบความเข้าใจ (Double Check)

·  ความใกล้ชิดผูกพัน นำมาซึ่งความสนิทสนมคุ้นเคย ต้องให้เวลาและความสนใจในกิจกรรมของสื่อนั้นบ้าง ส่งกระเช้าไปเยี่ยมเมื่อเจ็บป่วย

·  ต้องดูวิธีการสร้างเครือข่าย สื่อไทยไม่ทำงานโดยลำพัง รู้ว่าเขาชอบใครหรือไม่ชอบใคร

·  ความจริงใจสำคัญที่สุด อย่าคบสื่อเพราะเขามีประโยชน์ ต้องสนใจในระดับความเป็นเพื่อน

·  ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด อย่าให้ข้อมูลเท็จ ถ้าเป็นเรื่องที่คุณพูดไม่ได้ ก็บอกว่า ผู้ที่ตอบได้ดีที่สุดในเรื่องนี้คือใครอาจเป็นระดับที่สูงกว่า หรือบอกว่ายังมีข้อมูลไม่พอที่จะตอบเรื่องนี้

·  ต้องมีความสม่ำเสมอ

·  ความจริงใจสำคัญที่สุด

·  วิธีการดูแลเรื่องสื่อ

·  เชิญมาพูดอธิบาย

·  จัดแถลงข่าว ต้องมีประเด็นที่ชัดเจนพอ อย่าบ่อยเกินไปเพราะไม่น่าสนใจ ต้องสร้างบรรยากาศ มีของตัวอย่างมานำเสนอ

·  การสัมภาษณ์ ต้องดูว่าเป็นความอยากของใคร จะได้เตรียมข้อมูลได้เหมาะสม

·  ต้องรู้ว่าสื่อไหนให้ความสนใจ

·  ข่าวแจก

·  จัดกิจกรรมให้นักข่าวสนใจ

·  ในการให้สัมภาษณ์ ต้องรู้สถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น ให้พูดตามผู้ใหญ่แล้วจะไม่ผิด

·  ควรมีแผนรองรับภาวะฉุกเฉินหรือภาวะวิกฤติ

·  ปีนี้ ต้องให้ความสำคัญเรื่องสื่อมวลชน Social media และการหลอมรวมสื่อเข้าด้วยกัน

คัดลอกมาจาก http://www.gotoknow.org/posts/531366

 

Managing Self Performance

พิมพ์ PDF

สรุปการบรรยายวันที่ 26 มีนาคม 2556

Learning Forum-Activities & Game Simulation

หัวข้อ Managing Self Performance

โดย อาจารย์อิทธิภัทร ภัทรเมฆานนท์

·  การเป็น The best ต้องเปรียบเทียบกับคนอื่น แต่การเป็น great person เราสามารถเป็นได้ด้วยตนเอง

·  Competency หมายถึง กลุ่มความรู้ ทักษะและคุณลักษณะซึ่งประกอบด้วยพฤติกรรม ทัศนคติและแรงบันดาลใจที่บุคลากรจำเป็นต้องมีเพื่อปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และเพื่อให้บรรลุสำเร็จตรงตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์กร

·  เราต้องเข้าใจตัวตนเราดีก่อน

·  คุณลักษณะที่มองเห็นคือ ทักษะและความรู้

·  คุณลักษณะที่มองไม่เห็นคือ ความเข้าใจ ทัศนคติ ค่านิยม การมองตนเอง

·  คุณลักษณะหนึ่งที่สำคัญที่เป็นสมรรถนะของผู้ที่จะประสบความสำเร็จ

1.  ความมุ่งมั่นทำงานให้สำเร็จ

กิจกรรม แข่งกระโดดสูง

บทเรียน

·  สิ่งที่ทำให้คนคิดว่าตนทำได้ดีและทำได้ไม่ดี ก็คือการขาดประสบการณ์ทำให้ทำได้ไม่ดี

·  คนเดิมกระโดด 2 ครั้งเป็นการ Benchmark จะได้เป็นการพัฒนา

·  คนทำได้ดีขึ้นเพราะการตั้งเป้าหมาย

·  สิ่งที่ทำให้คนมุ่งมั่นที่จะทำให้ดีขึ้นและไปสู่เป้าหมายที่สูงกว่า ก็คือ การแข่งขัน คนชอบแข่งขันต้องทำให้ผลักดันตนเองได้

·  เคล็ดลับที่ทำให้ประสบความสำเร็จคือฝึกสภาวะจิตให้มองเห็นภาพตนเองเป็นผู้ชนะ

·  ต้องมีเป้าหมาย และลองทำอะไรบางอย่าง จะได้ข้อมูลไปปฏิบัติ

วิธีก้าวจากจุดที่คุณอยู่ข้ามไปสู่จุดที่คุณต้องการ

1.คุณต้องรับผิดชอบชีวิตตนเอง 100%

·  สูตร: รับผิดชอบต่อชีวิตคุณ 100% โดย ดร.โรเบิร์ต เรสนิก นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน

·  E (เหตุการณ์)+R (ตอบสนอง) = O (ผลลัพธ์)

·  ถ้าเรายังไม่พอใจผลลัพธ์ในปัจจุบัน เรามี 2 ทางเลือก

·  โทษเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่เกิดผลลัพธ์

·  เปลี่ยนการตอบสนองต่อเหตุการณ์

·  อย่างที่เป็นอยู่จนกว่าว่าจะได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

·  คนเราไม่ได้เกิดมาล้มเหลว ถ้าไม่ล้มเลิก

·  บางทีเรามีปัญหาการสื่อสารในองค์กร ควรเปลี่ยนปัญหาเป็นคำถามว่า ควรทำอย่างไรให้การมีประสิทธิภาพ

·  ควรจะหยุดโค้ชตอนมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง

·  สมองทำงานได้ทีละอย่าง ถ้าทำหลายอย่างจะทำให้เป็นมะเร็งและตายเร็ว ผู้หญิงมีภาระมากจึงทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน

·  เราเป็นผู้ลงมือทำไม่ใช่รอให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้น

·  ต้อง Empowerment Accountability

2.เข้าใจให้ชัดว่าทำไมคุณถึงอยู่ตรงนี้ คือ

·  เข้าใจตัวคนของคุณ

·  อะไรคือเหตุผลเบื้องหลังสิ่งที่คุณทำ

·  เห็นภาพการแสดงออกของผู้คนรอบตัวคุณอย่างไรในโลกอันสมบูรณ์แบบต่อการใช้ชีวิต

·  กิจกรรม ชมวีดิทัศน์ โจน จันได บทเรียนคือ คนเรามีสิทธิ์จะเปลี่ยนชีวิตตนเองได้ ต้องรู้จักเผชิญหน้ากับความจริง

·  คำกริยา 3 คำที่ขับเคลื่อนชีวิตมนุษย์ Be, Have, Do

·  ต้องแบ่งเวลามาคุยกันอย่างมีเป้าหมาย

·  จะประสบความสำเร็จได้ ต้องรู้ผลลัพธ์และลงมือปฏิบัติ

·  เวลาบริหารเวลาก็ต้องมีเข็มทิศชีวิตด้วย ต้องมีเป้าหมายก่อนที่จะบริหารจัดการเวลา

·  ภาวะทางจิตมีอิทธิพลต่อผลสำเร็จของการกระทำ

·  กิจกรรม Life Mapping วิเคราะห์ Discover ทำ Historical Scan หาจุดเปลี่ยนของชีวิตอย่างน้อย 5 จุดเปลี่ยน (Tipping Points Life map) แล้วจะทราบ Dream, Design และ Destiny

·  Hierarchy of Ideas

·  Chunking up คือ การคิดถึงจุดประสงค์ เจตนา ภาพรวม

·  Chunkingdown คือ การคิดถึงตัวอย่างเฉพาะเจาะจง

·  Chunkingside way คือ คิดว่ามีอะไรที่สามารถทำได้อีก  ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

·  R.P.M. เป็นการวางแผนชีวิตโดยคิดถึงสิ่งเหล่านี้

·  Result

·  Purpose

·  Massive Action Plan

·  ต้องเข้าใจว่าเป้าหมายในงานให้อะไรกับชีวิต แต่ต้องรู้เป้าหมายสุดท้ายในชีวิต

·  ต้องให้เห็นผลไม่ใช่ให้เห็นว่าเป็นแค่งานเท่านั้น

·  เมื่อรับงานมาแล้ว ถามว่าเราได้ประโยชน์อะไรจากงาน จะกลายเป็นตัวตนของเราในอนาคต

·  ควรชมลูกน้องที่คุณสมบัติที่ช่วยให้งานประสบความสำเร็จ

คัดลอกมาจาก http://www.gotoknow.org/posts/531366

 


หน้า 499 จาก 556
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5585
Content : 3038
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8559767

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า