นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เขียนเฟซบุ๊ก ส่วนตัว"Thirachai Phuvanatnaranubala"วิพากษ์โครงการจำนำข้าว ว่า...
ขณะนี้มีการถกเถียงกันมาก ว่าโครงการจำนำข้าวมีความเสี่ยงด้านทุจริตมากหรือไม่ หรือชาวนาจะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ การถกเถียงเรื่องโครงการประชานิยมแบบนี้ จึงมักจะเน้นข้อขัดแย้งกันในทางความคิดทางการเมืองเป็นสำคัญ - แต่มีประเด็นทางวิชาการเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับโครงการประชานิยมอยู่สองประเด็น ที่ประชาชนควรทราบ และเป็นประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของการเมือง - ประเด็นที่หนึ่งคือผลร้ายต่อหนี้สาธารณะ - โครงการประชานิยมนั้นทำให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งประชาชนกลุ่มนี้อาจจะเป็นผู้ที่ด้อยโอกาสก็ได้ หรืออาจจะเป็นผู้ที่ไม่ด้อยโอกาสก็ได้ - ในประเด็นว่าโครงการประชานิยมใดเป็นโครงการที่เหมาะสมหรือไม่นั้น ผมจะไม่วิจารณ์ - แต่ผมอยากจะชี้ว่า โครงการประชานิยมจะเป็นโทษแก่ประเทศหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลนำเงินจากแหล่งใดมาใช้ - หากรัฐบาลใช้วิธีเก็บภาษีเพิ่ม จะไม่เป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจ เพราะจะเป็นการเอาภาษีจากคนหนึ่ง ไปเอื้อประโยชน์แก่อีกคนหนึ่ง ซึ่งหากผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการประชานิยม รัฐบาลก็ทำได้โดยชอบ - แต่หากรัฐบาลไม่ใช้วิธีเก็บภาษีเพิ่ม รัฐบาลก็ต้องเพิ่มหนี้สาธารณะ - และในทางทฤษฎีนั้น หากมีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นๆ มากจนเกินไป เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ประเทศไทยก็อาจจะเข้าสภาวะมีหนี้ล้นพ้นตัว และอาจจะประสบปัญหาทำนองเดียวกับประเทศกรีซ - ปัญหาคือตัวเลขหนี้สาธารณะที่คำนวนตามกฎหมายนั้น มักจะเป็นตัวเลขที่ล้าหลัง เพราะกระทรวงการคลังทำบัญชีด้วยวิธีเงินสดเป็นหลัก - กล่าวคือถึงแม้ในข้อเท็จจริงรัฐบาลจะมีภาระหนี้เกิดขึ้นในอนาคตจากโครงการประชานิยมเกิดขึ้นแล้วก็ตาม แต่กระทรวงการคลังจะนับเป็นหนี้สาธารณะ ก็ต่อเมื่อมีการเคลียร์โครงการและปิดบัญชีได้แล้ว ตัวเลขหนี้สาธารณะของประเทศไทยจึงไม่ทันสมัย ไม่เป็นปัจจุบัน และไม่สะท้อนภาระที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด - ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงที่หากรัฐบาลเปิดโครงการประชานิยมโครงการแล้วโครงการเล่า อันจะมีผลทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นในอนาคต แต่นักวิเคราะห์ไม่สามารถประเมินได้ว่าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าใด - ผมจึงมีความเห็นว่า กระทรวงการคลังควรจะมีการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อหนี้สาธารณะจากโครงการประชานิยมทุกโครงการ โดยทำเป็นประจำทุกไตรมาส แล้วควรประกาศตัวเลขหนี้สาธารณะที่รวมถึงตัวเลขดังกล่าวเป็นการทั่วไปด้วยทุกไตรมาส - การประเมินตัวเลขผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นดังกล่าว กระทรวงการคลังควรใช้องค์กรที่มีความรู้ และหากไม่สามารถหาองค์กรที่ประเมินตัวเลขดังกล่าวได้ หรือหากมีปัญหาในการประเมินไม่ว่าประการใด ก็ควรจะนับภาระหนี้ทั้งหมดที่ธนาคารของรัฐไปกู้ยืมมาเฉพาะเพื่อโครงการประชานิยมนั้นๆ เป็นหนี้สาธารณะทั้งจำนวนไว้ก่อน - การดำเนินการเช่นนี้ จะทำให้การบริหารหนี้สาธารณะของประเทศไทยเป็นไปโดยโปร่งใส เป็นที่น่าเชื่อถือแก่นักวิเคราะห์สากลรวมถึงสถาบันจัดอันดับต่างๆ และจะช่วยทำให้รัฐบาลเองตระหนักถึงภาระต่อประเทศที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างครบถ้วนด้วย - ประเด็นที่สอง คือโครงการประชานิยมนั้นมีผลกระทบต่อการลงทุนภาคเอกชน - ในเรื่องนี้ ต้องอธิบายก่อนว่าการที่ประเทศจะก้าวหน้าทางเศรษฐกิจได้นั้น จะต้องมีการลงทุนภาคเอกชนมากต่อเนื่องทุกปี เพราะการลงทุนจะช่วยเพิ่มผลผลิตในอนาคต ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจเติบโต และมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น - ดังนั้น หากมีปัจจัยใดที่กระทบต่อการลงทุนภาคเอกชน ก็จะกระทบต่อศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจโดยตรง - ถามว่านักธุรกิจเอกชนที่จะตัดสินใจลงทุนขยายกิจการนั้น เขาจะพิจารณาปัจจัยใด - นักธุรกิจจะพิจารณาหลายปัจจัยครับ แต่อัตราดอกเบี้ยจะเป็นปัจจัยที่สำคัญมากปัจจัยหนึ่ง หากดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง การลงทุนก็จะน้อย หากดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ การลงทุนก็จะมาก - ส่วนการใช้เงินโดยรัฐบาลนั้น หากรัฐบาลลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ก็จะช่วยสนับสนุนให้ประเทศเติบโตในปีต่อๆ ไป - แต่รัฐบาลดำเนินโครงการประชานิยม ที่มีผลกระตุ้นให้ประชาชนใช้จ่ายในเรื่องอุปโภคบริโภคนั้น โครงการประชานิยมจะมีผลเน้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเร็วเฉพาะในปีนี้เป็นสำคัญ - ปัญหาคือการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอุปโภคบริโภคนั้น หากทำมากเกินไป ก็จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเร็ว - แต่จะมีผลกดดันเงินเฟ้อให้สูง - เมื่อนโยบายประชานิยมของรัฐบาลมีผลกดดดันเงินเฟ้อให้สูง ธนาคารแห่งประเทศไทยย่อมไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้ และย่อมมีผลกระทบต่อการลงทุนภาคเอกชน - ผมจึงมีความเห็นว่า กระทรวงการคลังควรจะมีการปรึกษากับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อประเมินว่าโครงการประชานิยมมีผลดังที่ว่านี้หรือไม่ และหากมี จะมีวิธีการลดทอนผลกระทบดังกล่าวได้อย่างไร
Tags : จำนำข้าว • ธีระชัย
|