หมายเหตุ : มีผู้ส่งบทความมาให้ อ่านแล้วประทับใจมาก เห็นว่า เป็นเรื่องที่ดี จึงนำมาให้ได้อ่านกัน (ขอโทษที่ไม่ทราบชื่อผู้เขียน) แต่จำเป็นที่จะต้องออกตัวไว้ก่อนว่า ผมไม่ใช่ผู้เขียน ได้แชร์ต่อมาอีกที
ม.ล.ชาญฌชติ ชมพูนุท
8 กุมภาพันธ์ ชมพูนุท
โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ต้องขอบคุณพล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา ที่พูดถึงโรงเรียนนี้เมื่อวันก่อน
เพราะถือเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ที่ทรงพลังมาก ใช้งบโฆษณา 10ล้านยังทำไม่ได้ขนาดนี้เลย
เพราะแค่พล.อ.ประยุทธ์ สั่งจับตา เราก็รู้แล้วว่าโรงเรียนนี้น่าสนใจ ต้องไม่ใช่โรงเรียนแบบ “อำนาจนิยม” แน่ๆ
จากนั้นไม่กี่วันคนหันมาสนใจว่าโรงเรียนนี้สอนกันแบบไหน คนระดับนายกรัฐมนตรีถึงสั่งให้จับตามอง
และเมื่อทุกคนเข้าไปอ่าน เข้าไปศึกษา ผมเชื่อว่าทุกคนจะตกใจ เพราะนี่คือ “โรงเรียนในฝัน” ของคนจำนวนมาก
หลายคนคงรู้สึกว่าทำไมรุ่นเราถึงไม่มีโรงเรียนแบบนี้ หรือเสียดายที่ไม่ได้ส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนนี้
ผมเพิ่งรู้จักโรงเรียนนี้จากโพสต์ของคุณวีรพร นิติประภา
นักเขียนซีไรท์ เธอได้รับเชิญไปสอนในโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สิ่งที่คุณวีรพรประทับใจมากที่สุด คือ
นักเรียนทุกคนตั้งใจฟัง
และ”กล้าสบตากับเธอ” “น้องๆ
ที่นี่สบตาเราค่ะ เขาไม่หลบตาผู้ใหญ่ เขามองกลับมาตรงๆ นิ่งๆ สุภาพ
ม่านตาเปิดกว้าง
เรื่องนี้สำคัญมากค่ะ เด็กไทยไม่เหมือนเด็กอื่นๆ ในโลก
จะเรียกได้ว่าผิดมนุษย์มนาก็ได้ เด็กไทยหลบตาผู้ใหญ่ตลอดเวลา เขาไม่มองดูคุณ
และแน่นอนเขาไม่เห็นคุณ เขาไม่สนใจจะมองเห็นคุณ แต่ที่แย่กว่าอะไรทั้งหมด
นั่นทำให้เรามองไม่เห็นพวกเขาด้วย เขาไม่อยากให้เราเห็นเขา เรามองไม่เห็นตาเขา
เราไม่มีโอกาสรู้เลยว่าเด็กที่อยู่ข้างในรู้สึกหรือคิดอะไร
ที่นี่โรงเรียนสามารถทำให้เด็กๆ สบตาผู้ใหญ่ได้ “ เป็นมุมมองที่คมคายแบบ “ซีไรท์” อ่านจบก็สนใจ
แต่ยังไม่ได้สนใจมากเท่ากับตอนที่พล.อ.ประยุทธ์ พูดถึงโรงเรียนนี้
ผมรีบหาข้อมูลของโรงเรียนและพบบทสัมภาษณ์เต็มๆของ
รศ.ดร.อนุชาติ พวงสำลี
ประธานบริหารโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยิ่งอ่านยิ่งประทับใจ อยากให้ทุกคนได้อ่านกันเต็มๆ อ่านจบแล้วอย่าลืมขอบคุณพล.อ.ประยุทธ์
ด้วยนะครับ ผมเชื่อว่าเปิดรับนักเรียนรุ่นใหม่เมื่อไร คิวยาวแน่นอน
………
รศ.ดร.อนุชาติบอกว่าที่ผ่านมาการศึกษาคือความทุกข์ของแผ่นดิน
ใครที่ผ่านระบบการศึกษาหรือใครที่เกี่ยวข้องกับการศึกษามีความทุกข์ทั้งสิ้นในรูปแบบต่างๆ
กัน ผู้เรียนเองซึ่งเป็นปลายน้ำที่สุดก็ทุกข์หนัก เด็กไม่อยากมาโรงเรียน
การเรียนหนังสือเป็นเรื่องขมขื่นทรมานที่สุดในชีวิต “เมื่อเราพูดถึงคำว่าการทำโรงเรียนจึงไม่ใช่การสอนหนังสือแต่มันเป็นการพูดถึงการปั้นระบบนิเวศหนึ่งอันขึ้นมา” “ต้องเปลี่ยนจากมุมที่เล็กที่สุด
เราไม่รู้หรอกว่าเด็กจะรอดหรือไม่รอด แต่เราเชื่อว่าถ้าเราใส่ภูมิคุ้มกันให้มากเท่าไหร่มันจะไปได้เยอะเท่านั้น
เราเชื่อว่าถ้าเราปลูกฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความดีอยู่ในตัวลึกเท่าไหร่มันก็จะยิ่งคงทนเท่านั้น
แล้วมันจะไปปรับตัวเองในสังคมวงกว้าง” มากไปกว่านั้น เราทุกคนรู้ดีว่าโลกมันเปลี่ยนแล้ว
เปลี่ยนเร็วขึ้นทุกวัน จำเป็นต้องสร้างโมเดลการเรียนรู้ใหม่
“เราไม่รู้ว่าโมเดลใหม่มันไปรอดหรือไม่รอดนะ
แต่เรารู้อยู่แล้วว่าโมเดลเก่าพาสังคมล้มเหลว เราไม่ทำ”
หลักสูตรเป็นอย่างไร?
เราร่างหลักสูตรกันบนความฝัน เราเต็มที่ ไม่ใช้รายวิชาของ
สพฐ. ทั้งหมด แต่ดูเป็นตัวอย่าง ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้หลักการไม่ใช่ทฤษฎี
แต่เน้นการเกิดประสบการณ์ตรง ที่นี่ไม่ใส่เครื่องแบบ
ไม่สนใจเรื่องทรงผมแต่เราต้องคุยกันก่อนนะว่าทำไมเด็กไม่ต้องใส่เครื่องแบบ
ต้องตั้งคำถามกันเองเพื่อตรวจสอบว่าเราเข้าใจตรงกันไหม
นั่นเพราะเราไม่เชื่อว่าการแต่งเครื่องแบบคือคำตอบ เราไม่ใช้เครื่องแบบ
เรามีเสื้อยืดตราโรงเรียน 2
ตัวใส่เฉพาะวันอังคารและศุกร์ที่มีตลาดนัด เพื่อแยกแยะเด็กของเรากับคนภายนอก
เนื่องจากโรงเรียนไม่มีขอบรั้วที่มิดชิด นอกจากนั้น
ก็ใส่ในวันที่มีพิธีการหรือออกนอกสถานที่ดูงาน
เราไม่มีวิชาลูกเสือเนตรนารี เราไม่สอนวิชาชื่อพระพุทธศาสนา
เด็กไม่ต้องมายืนเคารพธงชาติตอนเช้า ไม่มีสวดมนต์ตอนเช้า แต่เรามีคำตอบในการอธิบายสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เราจะสร้างเด็กแบบไหน
เราจะใช้อะไรมาเป็นกติกาในการออกแบบความมีระเบียบวินัยให้เด็กซื้อหรือบายอินกับเรา
ยกตัวอย่าง
แทนที่จะยืนอบรมหน้าเสาธง สวดมนต์ตอนเช้า
เรามีชั่วโมงโฮมรูมที่เราให้คุณค่าและความสำคัญกับ 30 นาทีของทุกวัน นี่จะถือเป็นนาทีทองที่เด็กๆ
ในแต่ละห้องจะมาพบกับครูประจำชั้น 2 คน
นอกจากจะเป็นการสื่อข้อมูลข่าวสารของทางโรงเรียน ครูประจำชั้นจะพาเด็กคุย
ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ หรือทำกิจกรรมเล็กๆ
ปรับจูนสมาธิเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่การเรียนคาบที่ 1 ส่วนการสวดมนต์นั้นก็สามารถฝึกฝนทำได้อยู่แล้วในคาบเรียนวิถีศรัทธา เราไม่เคร่งครัดเรื่องทรงผม
เด็กมัธยมที่นี่ประมาณ 30% ย้อมสีผม
จะย้อมสีอะไรก็ปล่อยเขา การแต่งตัวก็มีบ้างที่เกินพอดี
เช่น
ใส่กางเกงขาสั้นเกินก็ให้ครูกับเด็กเขาคุยกันเองว่าอันนี้คือสิ่งที่คุณครูไม่สบายใจนะ
อิสระแค่ไหนก็ตาม มันสามารถอยู่ได้ด้วยการที่เด็กต้องรู้สึกว่าเขาดูแลตัวเองได้
รู้จักรักษาความสะอาด
มีวิธีที่จะสร้างสิ่งแวดล้อมแบบ “อิสระแต่เขาควบคุมตัวเอง”
ในโรงเรียนได้อย่างไรบ้าง?
เราคิดว่าการให้อิสระกับสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กๆ
เพราะเขากำลังอยู่ในวัยที่กำลังค้นหาอัตลักษณ์ของตัวเอง เขาจะค้นหาไปเรื่อย
เรามีหน้าที่คอยประคับประคอง ชี้ข้อดีข้อเสียให้กับเขา
เราเปลี่ยนลูกเสือเนตรนารีเป็นวิชาอยู่รอดปลอดภัย
รื้อเนื้อหาใหม่หมด ไม่มีถักเชือกเงื่อนปมแต่ซ้อมหนีไฟให้เป็น เวลาไฟไหม้
ดับไฟเป็นไหม ปฐมพยาบาลให้เป็น
ว่ายน้ำเราก็จะไม่มุ่งเรื่องกีฬาเพื่อความเป็นเลิศแต่เอาเรื่องพัฒนาการทางด้านร่างกายก่อน
วิชาว่ายน้ำของเด็ก ม.1 เทอม 1 พอหนึ่งเทอมผ่านไปครูพละจะต้องตอบโจทย์ว่า
ถ้าเด็กตกน้ำ เด็กต้องรอดหรือจะดีขึ้นไปอีกถ้าสามารถช่วยคนอื่นได้ด้วย เอาแค่นี้
ไม่ต้องมาผีเสื้อกับผม
ส่วนเทอมต่อๆ ไปก็ค่อยพัฒนากันต่อ
ที่นี่เรามีนักกีฬาระดับแข่งขันหลายคนเหมือนกันนะ
นอกจากนี้ เราพบว่าการสอนเพศศึกษาในโรงเรียนมันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ยิ่งสอนยิ่งทำให้เด็กเก็บกด
เราจึงเปลี่ยนเป็นวิชาวัยรุ่นศาสตร์ 1-6 วัยรุ่นศาสตร์ 1 สำหรับเด็ก ม.1 เรียนเรื่อง Anatomy ให้รู้จักร่างกายตัวเอง
ทำความสะอาด ฮอร์โมน เห็นตัวเองว่าเริ่มเติบโตยังไง ร่างกายเปลี่ยนแปลงยังไง เช่น
ขนาดของอวัยวะเพศ หรือ ประจำเดือน เด็กจะได้รู้จักตัวเอง เคารพตัวเอง
รู้ว่าตอนนี้ขุ่นมัว อารมณ์ไม่แจ่มใสเพราะอะไร เป็นต้น
วัยรุ่นศาสตร์ 2 ให้รู้จักพัฒนาการด้านความสัมพันธ์กับเพื่อน
ครอบครัว สังคม มันก็จะขยับเป็นพัฒนาการตามความเป็นวัยรุ่นของเขา
พอเราวางเส้นทางแนวนี้ให้ ครูก็ไปออกแบบการสอนเอาเอง ครูจะสอนแม้กระทั่งเด็กผู้ชายจะต้องเลือกซื้อกางเกงในแบบไหน
เลือกผ้าที่ใส่แล้วสบาย ผู้หญิงจะใส่เสื้อชั้นในอย่างไร ฯลฯ
เรื่องแบบนี้จะถูกทำให้เป็นเรื่องปกติ อันนี้เรียกว่ารื้อสร้างหลักสูตรใหม่
ที่นี่จะไม่มีฝ่ายปกครอง แต่มีฝ่ายสนับสนุนนักเรียนและกิจกรรม
ถามว่าสนับสนุนอย่างไร นักเรียนตีกัน ทะเลาะกันหรือทิ้งขยะเกลื่อนโรงเรียน
ฝ่ายสนับสนุนฯ จะมีหน้าที่คอยดูแลปัญหาเรื่องพฤติกรรมทั้งหลาย เช่น เด็กๆ
กินน้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ กินตรงไหนแก้วน้ำก็วางอยู่ตรงนั้น
เลยเกิดขยะเต็มโรงเรียน มันก็จะง่ายมากถ้าประกาศว่าต่อไปนี้เด็กๆ ห้ามทิ้งขยะ
ให้เพื่อนหัวหน้าห้องจดชื่อรายงานครูเลย แต่เราเปลี่ยนวิธีการหมด
ปล่อยไปแล้วบอกแม่บ้าน “ไม่เก็บ ให้ทิ้งไว้”
ภายใน 1 อาทิตย์ขยะมันก็สะสม แล้วครูก็ไปถ่ายรูปโพสต์ลง Facebook พิมพ์ว่าทำไมโรงเรียนเราสกปรกจัง
จนเด็กๆ บอกครูเองว่า “มาช่วยกันเถอะ”
แล้วตรงนี้ก็จะเป็นโอกาสของเราที่จะชวนกันคุยต่อว่า เราจะช่วยกันทำอย่างไรดี
ถ้าเราอยากเห็นโรงเรียนของเราสะอาด ไม่รู้ระยะยาวจะเป็นยังไงนะ
แต่ว่าถึงที่สุดมันมีชมรมสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นจากเรื่องเล็กๆ แบบนี้ เราเชื่อว่าการปลูกฝังวินัย
จิตสำนึกที่ดี น่าจะทำอย่างไรให้เขาเกิดความตระหนักอย่างแท้จริง ในฐานะครู
เรามีหน้าที่สร้างกระบวนการเรียนรู้ ต้องอดทนรอคอย ประคับประคองเส้นทาง
เชื่อว่าผลลัพธ์จากกระบวนการเช่นนี้น่าจะยั่งยืนกว่าการบังคับสั่ง อีกอย่างหนึ่งที่เราปลดล็อกหลักสูตร
คือ โรงเรียนเราไม่ออกเกรด
และบอกพ่อแม่ผู้ปกครองด้วยว่าโรงเรียนนี้จะไม่สนับสนุนเรื่องการแข่งขันใดๆ
ลืมไปเลยการติดป้ายหน้าโรงเรียนว่าเด็กคนนี้ประกวดอะไร ชนะเลิศอะไรมา
หรือเป็นนักกีฬาดีเด่น พ่อแม่ที่มีลูกเป็นนักกีฬาได้ถ้วยแล้วเอามาให้โรงเรียน
เราไม่เอา อยากให้ลูกเรียนเสริมอะไร
กีฬา ศิลปะ หรือวิชาการเราไม่ห้าม เพราะทักษะบางอย่างโรงเรียนก็จัดให้ไม่ได้
ทว่าเราไม่สนับสนุนให้โรงเรียนพาไปเอง
เราไม่สนับสนุนให้พ่อแม่จ่ายเงินเพิ่มเพื่อพาลูกไปติววิชาการ
เราเชื่อว่าสาระความรู้ที่อยู่ในหลักสูตรน่าจะเพียงพอแล้ว
กับนิยามว่าเน้นกิจกรรมมากกว่าวิชาการ
เป็นปัญหาต่อโรงเรียนมากน้อยแค่ไหน ?
ลึกๆ แล้ว จะพูดอะไรก็พูดไป แต่ใน 2 ปีที่ผ่านมา
เด็ก ม.4 ม.5
ที่นี่ผ่านกระบวนการสอบ o-net
ตอนม.3
เด็กไปสอบตามความสมัครใจ ไม่บังคับ ก็ไปกัน 80% ไม่ติวล่วงหน้า มีแค่ 1
ชั่วโมงแนะนำว่าสิ่งที่จะไปเผชิญไม่เหมือนกับที่ครูเคยสอนมาเลยนะ
ข้อสอบหน้าตาเป็นอย่างนี้ แล้วลูกก็ไปทำในมุมของลูก สอบ 4 วิชา ภาษาอังกฤษ
คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทั่วไป ภาษาไทย
ปีแรกเราจุดธูปนะ ขอให้รอด ขอให้รอด (หัวเราะ)
ที่นี่เน้นเรียนภาษาไทย วรรณกรรม ภาษาอังกฤษเข้มข้น คะแนน 2 ปีที่ผ่านมาอยู่ระดับท็อปของประเทศ
คณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ลงมาหน่อยหนึ่ง แต่เกาะกลุ่มสาธิต ไม่ขี้เหร่
แต่สิ่งที่เราเห็นมากกว่าคือเด็กคนหนึ่งเขียนร้อยกรองรวมเล่มของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ
ได้ตีพิมพ์ตั้งแต่อยู่ม.3
เรื่องถ่ายทำตัดต่อวิดิโอมีเยอะมาก อีกคนเขียนการ์ตูนเก่ง
เลยให้มาช่วยครูทำสื่อการสอนสวยๆ มีความสามารถที่เขาปั้นของเขาเองเยอะมาก
นั่นแปลว่ามันมีเรื่องแบบนี้อยู่ในตัวเด็กเยอะมาก
เราคิดว่ามันเป็นมุมที่ระบบการศึกษาไม่ส่งเสริม
ถัดไป > |
---|