เช้าวันที่ ๑๓ พ.ค. ๕๖ ซึ่งเป็นวันจันทร์วันสุดท้ายที่พักที่เบิร์นผมออกไปวิ่งตามถนนKramgasseไปถึงบ่อหมีแล้ววิ่งกลับจึงพบว่าส่วนหนึ่งของถนนนี้ทางเท้าและหน้าร้านยกระดับจากถนนเหมือนกับที่เห็นที่เมือง ทูน เมื่อวาน แต่ถนนกว้างจึงไม่ได้สังเกตตอนผ่านในวันแรก
กินอาหารเช้าเสร็จอาบน้ำแล้วเช็คเอ๊าท์สาวน้อยเอาเอกสารนำเที่ยวที่บอกว่าหากมีสวิสพาสได้ลดค่าโรงแรมเบสเวสเทิร์น 10% จ้าหน้าที่โรงแรมบอกว่าต้องจองกับเบสเวสเทิร์นเท่านั้นแต่เราจองกับbooking.comทางบริษัทจองจึงกินส่วนต่างนั้นไปเป็นความรู้สำหรับประหยัดในการเที่ยวครั้งต่อไปและเผื่อแผ่ท่านผู้อ่านบันทึกนี้ด้วยเราให้ทางโรงแรมเรียกแท็กซี่ต้องรอรถแท็กซี่ ๒๐ นาทีคนขับใจดีพาไปส่งใกล้ๆลิฟท์และแนะนำให้ขนของลงลิฟท์สะดวกมาก
เรานั่งรถไฟ IC เที่ยว 8.34 น. จากเบิร์นไปโลซานน์ที่จริงถ้าขาดีเราไปเที่ยว 8.04 น. ทันแต่รอเพียงครึ่งชั่วโมงตอนนี้เราตรวจสอบข้อมูลรถไฟคล่องแล้วโดยไปถึงสถานีใดก็รี่ไปดูที่ป้ายสีเหลืองดูทางซ้ายที่เป็นส่วนรถออกจากสถานีนั้น (ส่วนทางขวา เป็นตารางรถเข้า) ตรวจสอบตามเวลาที่เราต้องการเดินทาง
พอรถไฟมาถึงเบิร์นคนลงเกือบหมดเราขึ้นไปนั่ง ๓ - ๔ นาทีรถจึงออกรถผ่านฟรีบวร์กระหว่างทางวิวสวยเป็นเนินเขาขึ้นลงคล้ายวันที่เรานั่งblsผ่านพื้นที่ UNESCO BioReserveไปลูเซิร์น, จากฟรีบวร์กไปโลซานน์เห็นวิวยอดเขาหิมะคลุมอยู่ไกลๆเป็นระยะๆ
จากวิวสองข้างทางที่เราผ่านทุกวันพอจะสรุปได้ว่าสวิสเป็นประเทศที่เศรษฐกิจสมดุลระหว่างอุตสาหกรรมบริการ (ท่องเที่ยวอุตสาหกรรมฝีมือ - precision industry - เช่นนาฬิกา) อุตสาหกรรมและเกษตรกรรมก้าวหน้า
ถึงโลซานน์สาวน้อยออกความคิดว่าเอากระเป๋าฝากไว้ที่สถานีค้างคืนพรุ่งนี้เช้ามาเอาไปฝากที่โรงแรมที่มองเทรอซ์เราเดินไปตามป้ายรูปกระเป๋า ไปที่เคาน์เตอร์บริการขอฝากกระเป๋า และถามเวลาทำงานวันรุ่งขึ้นคุณลุงเจ้าหน้าที่รับฝากกระเป๋าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่ฟังรู้เรื่องเขียนบอกว่า8.30 ซึ่งช้าไปเมื่อเราทำท่า (เพราะเขาพูดได้แต่ภาษาเยอรมัน) ว่าเราต้องการมาเอาเช้ากว่านั้นเขาจึงแนะนำให้ใช้ล็อกเก้อร์พร้อมกับพาไปและช่วยแลกเหรียญสำหรับหยอดให้เสร็จเรียบร้อยค่าล็อกเก้อร์ ๙ ฟรังก์เราประทับใจความเอื้ออารีนี้มาก
จับรถไฟเที่ยว 10.20 น. ไปมงเทรอซ์เพื่อจับGoldenPassLine เที่ยว 11.44 ถึงZweisimmen 13.32 น. แล้วจับเที่ยว 14.17 น.จากZweisimmenกลับMontreauxถึง 16.13 น. นี่คือแผนเที่ยวเน้นนั่งรถชมวิวเพราะสาวน้อยปวดขามากขึ้นต้องกินยาแก้ปวดตลอดแต่ถ้าไม่เดินก็ไม่ปวด
เมื่อได้นั่งGoldenLineจริงก็สมคำโฆษณาคือมันมีทั้งวิวภูเขาป่าไม้หุบเขาหมู่บ้านลำธารและยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมสลับกันไปเรื่อยๆตลอดเวลาเกือบ ๒ ชั่วโมงไม่เบื่อเลยบนรถคนมากพอควรไม่โหรงเหรงแต่ไม่แน่นตัวโบกี้รถมีที่แขวนจักรยานที่สำหรับรถเข็นคนพิการและที่นั่งคนพิการตรงทางขึ้นลงสาวน้อยบอกว่าเขามีสิทธิ์นั่งตรงนั้นแต่ที่นั่งปกติสบายกว่ามาก
ระหว่างทางรถไฟสวนกับรถไฟGoldenPassLine จากZweisimmenเห็นผู้โดยสารเกือบทั้งหมดในรถแล้วผมคิดว่าสมกับชื่อGoldenPassLine จริงๆเพราะผู้โดยสารอยู่ในวัยผมกับสาวน้อยเกือบทั้งหมด
บนรถมีอาหารว่างและเครื่องดื่มขาย
รถไปถึงZweisimmenคนโดยสารอื่นๆเปลี่ยนรถเพื่อนั่งต่อไป Interlaken Ostแต่เราต้องการกลับ Lausanne ลงไปหาข้อมูลว่ามีรถเที่ยวที่กลับได้เร็วกว่าไหมคำตอบคือไม่มีสาวน้อยนั่งรอที่ม้านั่งผมเดินไปสำรวจบริเวณสถานีมีป้ายบอกทางไปกระเช้าขึ้นเขาหน้าหนาวคงจะเป็นแหล่งเล่นสกีแต่ตอนนี้มันเหงาๆเป็นสถานีบ้านนอกโดยแท้
ผมมีโอกาสสังเกตหลังคาอาคารสถานีพบว่าโครงทำด้วยไม้สนเขามีป่าไม้มากและโครงสร้างไม้ดูสวยงามกว่าเหล็กหรือคอนกรีตและเมื่อสังเกตบ้านคนในชนบทและอาคารโรงแรมบ้านนอกทำด้วยไม้ทั้งสิ้นรวมทั้งโรงแรมที่ผมเคยไปพักที่Grindenwaldเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้วด้วย
ระหว่างทางมีการก่อสร้างทางเพิ่มเติมเป็นระยะๆแสดงว่าทางการสวิสเขาคิดปรับปรุงเส้นทางความสะดวกและความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลาตัวโบกี้ของรถไฟGoldenPassก็ทันสมัยห้องน้ำกว้างและมีกลไกอำนวยความสะดวกครบครันประตูเปิดปิดล็อกด้วยการกดปุ่มอีเล็กทรอนิกส์และเปิดน้ำล้างมือเปิดลมเป่าด้วย sensor
เส้นทางรถไฟสายนี้ขึ้นเขาขึ้นๆลงๆความสูงอยู่เหนือระดับน้ำทะเลกว่า ๑,๒๐๐เมตร
ขากลับเราเลือกที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามกับขามาคือเท่ากับนั่งด้านขวาของรถไฟรถออก 14.25 น.รถไฟแล่นผ่านสนามบินเล็กๆถึง ๒ ที่
วันนี้โชคดีมากอากาศดีแดดจ้าตลอดวันแต่อุณหภูมิยังหนาวสำหรับเรา
เมื่อรถไฟGoldenPass Line กลับไปถึงMontreuxเรารีบไปดูป้ายเหลืองหารถไฟกลับ Lausanne พบว่ามีรถที่จะออกอีก ๓ นาทีเราต้องรีบไปที่ชานชาลา 1 สาวน้อยขาเจ็บแต่เดินได้เร็วไปถึงประตูรถกำลังจะปิดเราต้องกระแทกมันให้ไม่ปิดยังไม่ทันหาที่นั่งได้รถก็ออกใช้เวลา ๓๐ นาทีก็ถึงโลซาน
ที่สถานีโลซานผมหาi อยู่นานเพราะมันแอบอยู่ถามวิธีไปโรงแรม Nash Carlton, 4 Avenue de Courเขาบอกให้ไป Metro ทางไป Ouchy ลงที่สถานีDelicesออกจากสถานีก็ถึงโรงแรมเลยสถานี Metro ที่สถานีรถไฟข้ามถนนไปก็ถึงสาวน้อยบอกว่าให้หาลิฟท์ลงไปเพราะขาเจ็บมากขึ้นนั่ง Metro ไป ๒ ป้ายก็ถึงและพบโรงแรม Nash Carlton แต่เขาบอกว่าโรงแรมเต็มเขาจะหาโรงแรมใหม่ให้เป็นโรงแรมสี่ดาวราคาเดียวกันชื่อ Alpha - Palmiersอยู่ใกล้สถานีรถไฟเดิน ๕ นาทีถึงผมบอกว่าสาวน้อยขาเจ็บเขาจึงจ้างแท็กซี่ไปส่ง
ไปถึงโรงแรม Alpha - Palmiersเจ้าหน้าที่บอกว่าทาง Nash Carlton ไม่ได้ติดต่อมาเขาขอเวลาโทรศัพท์กลับไปสักครู่ก็เรียบร้อยได้ห้อง 335 ซึ่งกว้างขวางกว่าห้อง 312 ที่ Bern Hotel มากและWifiก็สะดวกกว่าและไวกว่าด้วยผมเข้าใจว่าบัตรเครดิต VISA สีขาวของไทยพาณิชย์คงจะขลังพอสมควรเจ้าหน้าที่ของโรงแรมดูจะเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ
เรื่องความบกพร่องของโรงแรม Nash Carlton เจ้าหน้าที่อ้างว่าเราจองทีหลังหลังจากห้องเขาเต็มแล้วและระบบ internet ของเขามีปัญหาความเป็นจริงคือผมจองผ่านbooking.comปัญหานี้ทั้งbooking.comและ Nash Carlton เสียชื่อผมคงจะไม่ใช้บริการของbooking.comอีก
วันนี้อาการปวดขาของสาวน้อยรุนแรงขึ้นแม้จะใช้ไม้เท้าช่วยแต่ยังใช้ไม่ค่อยเป็น
วิจารณ์ พานิช
๑๓ พ.ค. ๕๖
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|