Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

ผู้เป็นเจ้าของการเรียนรู้ : ๓. นักเรียนนักเขียน

พิมพ์ PDF

บันทึกชุดผู้เป็นเจ้าของการเรียนรู้รวม ๖ตอนนี้ ตีความจากหนังสือ Who Owns the Learning? : Preparing Students for Success in the Digital Ageโดย Alan November ซึ่งผมตีความว่า เป็นเรื่องการใช้ digital technology ช่วยให้เกิด active learning หลากหลายรูปแบบ    ทำให้เปลี่ยนแปลงบทบาทของนักเรียน เป็นผู้ทำงานสร้างสรรค์ หรือสร้างความรู้เพื่อการเรียนรู้ของตน   ครูเปลี่ยนไปทำหน้าที่ โค้ช หรือ “คุณอำนวย” (learning facilitator)

บ่อยครั้งที่นักเรียนเรียนรู้ได้ดีกว่า หากเรียนจากเพื่อนนักเรียนด้วยกันเอง    และหลักการเรียนรู้ตาม Learning Pyramid คือ คนเราเรียนรู้ได้ดีที่สุดจากการสอนคนอื่น

หลักการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑   และการเรียนรู้แบบ active learning   ก็คือ นักเรียนต้องมีบทบาท สำคัญ ในการจัดการเรียนรู้ของตนเอง และของเพื่อนๆ    รวมทั้งเผื่อแผ่ออกไปนอกชั้น นอกโรงเรียน และนอกประเทศ ด้วย    ครูเปลี่ยนไปทำหน้าที่ โค้ช และ “global publisher”

ในตอนที่ ๓ นี้ ตีความจากบทที่ 3 The Student as Scribe   เป็นเรื่องการจัดการบันทึก จากการฟังการบรรยายของชั้นเรียน    โดยนักเรียนผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่จดและจัดทำบันทึกของแต่ละคาบเรียน ออกเผื่อแผ่แก่เพื่อนในชั้น และแก่โลก    นักเรียนในชั้นจะมีบันทึกการฟังการบรรยายที่ครบถ้วนถูกต้องสมบูรณ์     ให้นักเรียนทุกคนใช้ทบทวนการเรียน    และยังเผื่อแผ่ให้แก่เพื่อนในห้องเรียนอื่น    และแก่โลกด้วย

เป็นการแก้ปัญหาเด็กจดไม่ทัน    และเป็นการฝึกการทำงานเป็นทีม ไปในตัว

นักเรียนคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ “เข้าเวร” รับผิดชอบการบันทึก ก็ยังคงจดการบรรยายตามเดิม    แต่จะมีนักเรียน ๑ หรือ ๒ คน ทำหน้าที่ทีมบันทึก    แล้วภายใน ๒ - ๓ วัน ทีมบันทึกก็จะนำบันทึกฉบับร่างขึ้น บล็อก ของชั้นเรียน    เพื่อให้เพื่อนนักเรียนและครูช่วยกันปรับปรุงแก้ไข    แล้วภายใน ๑ สัปดาห์ บักทึกการบรรยายฉบับสมบูรณ์ ก็จะอยู่ใน บล็อก หรือระบบฐานข้อมูลแบบอื่นในระบบ ไอซีที ของชั้นเรียน    เป็นบันทึกถาวรให้นักเรียนทุกคนเข้าดูได้ตลอดเวลา    รวมทั้งเผื่อแผ่แก่โลกด้วย

ผมขอหมายเหตุว่า ในหนังสือระบุว่าเป็นการจดการบรรยาย    แต่ผมเห็นต่าง ผมเห็นว่าการเรียนสมัยนี้ การบรรยายต้องมีน้อยมาก    แทนด้วยกระบวนการที่นักเรียนเป็นฝ่ายลงมือทำเป็นส่วนใหญ่    การจดบันทึก ของนักเรียนควรเปลี่ยนเป็นบันทึกกิจกรรมการเรียน ของทุกคาบเรียน    โดยนักเรียนที่รับผิดชอบทำบันทึก อาจไปค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อทำให้สาระในบันทึกมีความครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

เท่ากับเป็นการฝึกการจับใจความ การเขียน การใช้ถ้อยคำ และอื่นๆ

ตัวอย่างของครูที่ทดลองใช้วิธีการฝึกฝนเรียนรู้แบบนี้ในศิษย์ของตนคือ Darren Kuropatwa ครูคณิตศาสตร์ ที่โรงเรียน McIntyre Collegiate High School เมือง Winnipeg  รัฐ Manitoba  แคนาดา     ซึ่งผมเข้าใจว่าเวลานี้ไม่ได้ทำงานที่นั่นแล้ว    หนังสือ Who Owns the Learning? อ้างประสบการณ์ของครู ดาเรน ตอบข้อสงสัยหลายข้อว่า การให้เด็กผลัดกันจัดทำบันทึกชั้นเรียนดีจริงหรือ มีข้อเสียบ้างไหม    เด็กจะพากันละเลย ไม่จดบันทึกของตนเอง รอแต่จะใช้บันทึกฉบับสมบูรณ์ของชั้นเรียนไหม

คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับครูสร้างแรงบันดาลใจในการเรียน สร้างความรับผิดชอบในการเรียนของตนเอง ของนักเรียน    รวมทั้งส่งเสริมให้นักเรียนช่วยกัน อย่างกรณีชั้นเรียนของครูดาเรน   นักเรียนตกลงกันให้ทุกคน แบ่งปันบันทึกของตนเอง ขึ้นระบบ ไอซีที ของชั้นเรียน    ซึ่งในกรณีนี้ใช้ Google doc    แล้วทีมนักเรียน ที่รับผิดชอบเขียนบันทึกฉบับสมบูรณ์ ใช้บันทึกเหล่านั้นตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ ของบันทึกฉบับสมบูรณ์ โดยครูดาเรนคอยให้คำแนะนำ และให้ความเห็นชอบให้นำลงใน บล็อก ของชั้นเรียนได้

เมื่อนักเรียนคุ้นเคย หรือมีความมั่นใจในการทำบันทึกการเรียนในชั้นเรียนแล้ว    ต่อไปเมื่อมีกิจกรรมอื่นๆ ในโรงเรียน หรือในชุมชน    ครูและนักเรียนอาจตกลงกันมอบหมายหรือหาอาสาสมัคร ทำหน้าที่ “ผู้สื่อข่าว” บันทึกรายงาน เหตุการณ์และข้อเรียนรู้จากกิจกรรมนั้นๆ ออกเผยแพร่    เพื่อทำประโยชน์แก่เพื่อนนักเรียน แก่ชุมชน และแก่โลก    นักเรียนก็จะได้รับการฝึกฝนการทำความเข้าใจ การจับประเด็น การบันทึกเพื่อนำเสนอให้ตรงความจริง และน่าสนใจ    รวมทั้งได้ฝึกฝนงอกงามจิตสาธารณะ    จะเห็นว่าครูสามารถใช้หลักการ “นักเรียนเป็นผู้สร้าง(สรรค์)” ออกแบบการเรียนรู้ให้แก่ศิษย์ได้อย่างไม่จำกัด    โดยใช้หลักการ “เรียนรู้จากเหตุการณ์ในชีวิตจริงในปัจจุบัน”

เมื่อนำมาเชื่อมโยงกับวิทยุชุมชนในท้องถิ่น    ครูอาจร่วมมือกับผู้ดำเนินรายการวิทยุชุมชน ให้เข้ามาเป็น “สหมิตรครู” (co-educator)   ร่วมกันฝึกฝนให้นักเรียนป็นผู้สื่อข่าว นำมาออกวิทยุชุมชน    สหมิตรครูช่วยอบรม กล่อมเกลานิสัยรับผิดชอบ มีความแม่นยำ และเคารพสิทธิมนุษยชน    รวมทั้งเอาบางเรื่องมาเป็นโครงงาน เพื่อการเรียนรู้เชิงลึกและเชื่อมโยง

ผลจากโครงงาน อาจนำมารายงานต่อชุมชนเจ้าของเหตุการณ์    ในรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งในรายการวิทยุชุมชน  หรืออาจจัดเวทีนำเสนอ  จัดแสดงเป็นละคร  หรือทำเป็นหนังสั้น    นักเรียนจะได้เรียนรู้ ฝึกฝนทักษะที่หลากหลาย จากการนำเสนอนี้    โดยต้องไม่ลืมใช้พลัง ไอซีที สมัยใหม่ ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมภายนอก และกับโลกด้วย    โดยนำหนังสั้นขึ้น เว็บ และลง YouTube   นำรายการวิทยุขึ้น เว็บ    และถ่ายวีดิทัศน์รายการละคร ขึ้นเว็บและลง YouTube

โดยครูต้องพิจารณา ว่านักเรียนที่เรียนอยู่ชั้นใด มีวุฒิภาวะระดับใด จึงจะทำงานในระดับใดได้    และเมื่อให้ลองทำแล้ว ครูควรให้นักเรียนบันทึกเรื่องราวและข้อมูลของผลงานไว้ด้วย    โดยหากตั้งคำถามวิจัยให้เหมาะสม    ข้อมูลเหล่านี้จะนำไปสู่ผลงานวิจัยชั้นเรียนที่ยอดเยี่ยม

คำติชม หรือคำวิจารณ์ของคนในชุมชนที่ได้ฟังหรือได้ชมผลงาน    และของคนที่ได้เรียนรู้เรื่องราวผ่าน อินเทอร์เน็ต จะเป็นข้อมูลป้อนกลับ (feedback) ที่ดี ต่อนักเรียน   ช่วยกระตุ้นแรงบันดาลใจของนักเรียน   และช่วยให้การเรียนรู้ยิ่งเชื่อมโยงกว้างขวางยิ่งขึ้น    คนเหล่านี้น่าจะถือได้ว่าเป็น “สหมิตรครู” ได้ด้วย

ผลงานเหล่านี้ของนักเรียน ควรจัดเก็บเป็นฐานข้อมูลผลงานของนักเรียนอย่างเป็นระบบ    ทั้งในระบบ online และระบบ offline    ให้นักเรียนรุ่นหลังค้นคว้ามาศึกษาได้    เพื่อเด็กรุ่นหลังจะได้ทำโครงงานสร้างสรรค์ต่อยอดขึ้นไป

ประสบการณ์ของครู ในการทำหน้าที่ “คุณอำนวย” หรือ โค้ช ของการเรียนรู้ด้วยการลงมือสร้างผลงานออกเผื่อแผ่แก่เพื่อน แก่ชุมชน และแก่โลก    มีคุณค่ายิ่งต่อการทำหน้าที่ครูยุคศตวรรษที่ ๒๑   สามารถนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนครูได้ ใน PLC ของครู

ผู้เป็นเจ้าของการเรียนรู้คือนักเรียน    โดยครูก็ร่วมเรียนรู้ด้วย

 

 

วิจารณ์ พานิช

๑ ม.ค. ๕๗

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันศุกร์ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 12:29 น.
 

จดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี - มรว. ปรีดิยาธร เทวกุล

พิมพ์ PDF
ผู้บริหารประเทศที่ดีเมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะต้องตัดสินใจเพื่อประเทศชาติ ผมหวังว่าจดหมายเปิดผนึกของผมฉบับนี้จะช่วยให้ ฯพณฯ ตัดสินใจเพื่อหยุดยั้งความเสียหายที่เกิดแก่ประเทศชาติได้เสียที

จดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี - มรว. ปรีดิยาธร เทวกุล

อ่านและชม ที่นี่

วิจารณ์ พานิช

๖ ก.พ. ๕๗

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันศุกร์ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 09:11 น.
 

ชีวิตที่พอเพียง: ๒๐๘๗. โยนิโสมนสิการระบบหลักประกันสุขภาพในประเทศไทย สู่การปฏิรูปประเทศไทย

พิมพ์ PDF

เอกสารเล่มเล็ก เรื่อง ความเหลื่อมล้ำระหว่างระบบประกันสุขภาพในประเทศไทยและ โครงการประเมินการให้บริการผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินร่วมสามกองทุนภายใต้นโยบาย เจ็บป่วยฉุกเฉิน รักษาทุกที่ ทั่วถึงทุกคนที่พิมพ์เผยแพร่โดย สวรส. ในปี ๒๕๕๖   บอกอะไรเราหลายอย่าง

คนไทยทุกคนมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มาตั้งแตีปี ๒๕๔๕    จะครบ ๑๒ ​ปี ในเดือนเมษายา ๒๕๕๗ นี้     โดยระบบที่มาทีหลังสุด และครอบคลุมจำนวนคนมากที่สุดคือระบบ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่บริหารโดย สปสช.    ส่วนระบบที่มีมานานที่สุดคือ ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ที่ผมมักเรียกว่า สวัสดิการ ๓ ชั่วโคตร    คือดูแลตัว ข้าราชการและคู่สมรส  บุตรที่ไม่บรรลุนิติภาวะ (ไม่เกิน ๓ คน)  และพ่อแม่    ซึ่งเป็นระบบที่เอื้อเฟื้อมาก และตัวข้าราชการได้ประโยชน์จริงๆ    แต่ในที่สุดรัฐบาลก็รับภาระทางการเงินไม่ไหว    จึงต้องปลดบางหน่วยงานออก ไม่ให้บุคลากรเป็นข้าราชการอีกต่อไป    ให้เป็นพนักงานราชการ    ได้สวัสดิการรักษาพยาบาลจำกัดที่ตัวข้าราชการคนเดียว    เรื่องสวัสดิการต่างๆ นั้น มันเป็นของดี    แต่ถ้าไม่มีวิธีจัดการให้พอดี ก็มีปัญหาไม่มีเงินจ่าย

 

ระบบที่มากับระบบแรงงาน คือระบบประกันสังคม

หนังสือเล่มนี้ เป็นผลงานวิจัยเปรียบเทียบสวัสดิการด้านสุขภาพของทั้ง ๓ ระบบนี้    และผมจะไม่กล่าวถึงสาระ เพราะท่านสามารถเข้าไปอ่านหนังสือหรือดาวน์โหลดเก็บไว้ใช้งานได้ ตามลิ้งค์ ที่ให้ไว้แล้ว    แต่ผมจะขอโยนิโสมนสิการ (reflect, AAR) ประเด็นที่ผมต้องการ ลปรร. กับสังคมไทย ๓ ประการ

๑. โครงการต่างๆ ของบ้านเมือง    ต้องเตรียมการประเมินเพื่อพัฒนา ไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ตอนวางแผนกิจกรรมนั้นๆ    เมื่อดำเนินการไประยะหนึ่ง ต้องมีการวิจัยเพื่อประเมินผล    โดยต้องมีทีมนักวิจัยที่แม่นยำวิชาการ และซื่อสัตย์มีความน่าเชื่อถือ (มี integrity) ไม่มีใครสั่งให้แปลงผลวิจัยได้    หนังสือเล่มนี้เป็นตัวอย่าง

สังคมไทยต้องมีองค์กรหรือหน่วยงาน ที่ทำหน้าที่ตามข้อ ๑ ในเรื่องหลักๆ ของบ้านเมืองได้   เช่นด้านเศรษฐกิจ เรามี ทีดีอาร์ไอ   ด้านสุขภาพ มี สวรส.    แต่ด้านที่สำคัญในระดับคอขาดบาดตายต่ออนาคตของบ้านเมือง คือด้านการศึกษา เราไม่มีหน่วยงาน และไม่มีการสร้างนักวิจัยตามข้อ ๑    นอกจากนั้นยังน่าจะพิจารณาจัดตั้ง สถาบันวิจัยสร้างสรรค์และตรวจสอบนโยบายสาธารณะ ตามข้อเสนอของคุณบรรยง พงษ์พานิช ที่นี่

 

๒ การใช้ประโยชน์หน่วยงานวิจัยที่เก่ง และซื่อสัตย์ต่อวิชาการ ยังไม่เป็นวัฒนธรรมของการเมืองและสังคมไทย    ฝ่ายการเมืองต้องการคนทำวิจัยเพื่อสนับสนุนนโยบายของตนมากกว่า     ดังกรณีที่อดีตนายกรัฐมนตรี ดร. ทักษิณ เคยกล่าวกับทีมผู้บริหาร สกว. เมื่อประมาณปี ๒๕๔๕ (ผมอยู่ในคณะด้วย) ว่า    ถ้า สกว. อยากได้งบประมาณ ก็อย่าไปคิดตั้งโจทย์วิจัยอื่น   ให้ใช้โจทย์วิจัยว่า ทำอย่างไรนโยบายของรัฐบาลจะได้ผล    และดังกรณี ทีดีอาร์ไอ ไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบของนักการเมือง ไม่ว่ารัฐบาลไหน

 

การปฏิรูปประเทศไทย ควรคำนึงถึงการสร้างระบบปัญญาของประเทศ

 

 

วิจารณ์ พานิช

๕ ม.ค. ๕๗

 

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันศุกร์ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 12:35 น.
 

ผู้เป็นเจ้าของการเรียนรู้ : ๒. นักเรียนนักติว

พิมพ์ PDF

บันทึกชุดผู้เป็นเจ้าของการเรียนรู้รวม ๖ ตอนนี้ ตีความจากหนังสือ Who Owns the Learning? : Preparing Students for Success in the Digital Ageโดย Alan November ซึ่งผมตีความว่า เป็นเรื่องการใช้ digital technology ช่วยให้เกิด active learning หลากหลายรูปแบบ    ทำให้เปลี่ยนแปลงบทบาทของนักเรียน เป็นผู้ทำงานสร้างสรรค์ หรือสร้างความรู้เพื่อการเรียนรู้ของตน   ครูเปลี่ยนไปทำหน้าที่ โค้ช หรือ “คุณอำนวย” (learning facilitator)

บ่อยครั้งที่นักเรียนเรียนรู้ได้ดีกว่า หากเรียนจากเพื่อนนักเรียนด้วยกันเอง    และหลักการเรียนรู้ตาม Learning Pyramid คือ คนเราเรียนรู้ได้ดีที่สุดจากการสอนคนอื่น

หลักการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑   และการเรียนรู้แบบ active learning   ก็คือ นักเรียนต้องมีบทบาท สำคัญ ในการจัดการเรียนรู้ของตนเอง และของเพื่อนๆ    รวมทั้งเผื่อแผ่ออกไปนอกชั้น นอกโรงเรียน และนอกประเทศ ด้วย

หนังสือเล่าเรื่องของเด็กนักเรียนหญิงชั้น ป. ๖ ที่ทำงานผลิตวีดิทัศน์ติวเพื่อนเรื่องวิธีแยกแฟกเตอร์ด้วย  ตัวเลขจำนวนเฉพาะ (prime number)     อย่างเอาจริงเอาจังและรับผิดชอบ เพื่อสอนเพื่อน และเผื่อแผ่แก่เพื่อนนักเรียนทั่วโลก ทาง อินเทอร์เน็ต    และเพื่อให้ตนเอง เรียนอย่างรู้จริง

นี่คือสภาพของการเรียนแบบผู้สร้างความรู้ หรือผู้ลงมือทำ    ในสภาพที่เป็น “การเรียนอย่างแท้จริง” (authentic learning)    ไม่ใช่เรียน/ทำหลอกๆ หรือสมมติสถานการณ์

เมื่อเอา วีดิทัศน์ ติววิธีแยกแฟกเตอร์ ไปห้อยไว้ใน อินเทอร์เน็ต   นักเรียนเจ้าของผลงานก็จะได้มีโอกาส มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนนักเรียนทั่วโลก   ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้สนใจอื่นๆ    ถึงตรงนี้ผมขอหมายเหตุว่า ครูต้อง ชวนนักเรียนเตรียมความพร้อมในการออกสู่โลกกว้างทาง อินเทอร์เน็ต   ให้รู้เท่าทันคนที่จิตวิปริต หาทางหลอกเด็ก

หลักการคือ ครูทำหน้าที่ดูแลว่า เนื้อหาใน “บทติว” ที่นักเรียนสร้างขึ้นนั้น ถูกต้องแม่นยำ     โดยครูทำหน้าที่ให้คำแนะนำป้อนกลับ (feedback) ต่อการทำงานของนักเรียน    โดยมีหลักการว่า ครูอย่าให้คะแนน แก่งานสร้างสรรค์    แต่ให้นักเรียนเข้าใจคุณค่าของงานของตนเอง โดยสังเกตจากการมีผู้เข้ามาเยี่ยมชม (ผ่านทาง อินเทอร์เน็ต)    และจากความเห็นของผู้มาเยี่ยมชม

ถึงตรงนี้ผมขอหมายเหตุว่า ครูต้องบอกศิษย์ว่า เขาต้องฝึกความซื่อสัตย์ ไม่ไปบอกเพื่อนๆ หรือพ่อแม่ให้เข้ามาเยี่ยมชมหลายๆ ครั้ง ด้วยเป้าหมายเพื่อนับคะแนนจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชม แข่งขันกัน    แต่ ชวนเข้ามาเยี่ยมชม เพื่อขอคำแนะนำติชมได้    ครูต้องระมัดระวัง ไม่สร้างนิสัยขี้โกงให้แก่ศิษย์ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก

นี่คือรูปแบบการเรียนรู้ที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง    นักเรียนไม่ใช่ผู้คอยรับถ่ายทอดความรู้จากครู    แต่เป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ ทดสอบการใช้ความรู้นั้นจนมั่นใจว่ารู้จริง    โดยมีครูคอยช่วยเป็น โค้ช    แล้วนักเรียนจึงทำบทเรียน (บทติว) ออกเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต

นักเรียนเป็นเจ้าของการเรียนรู้    ผ่านการสร้างสรรค์บทเรียน ออกเผื่อแผ่แก่เพื่อน และแก่โลก    ผ่านทาง อินเทอร์เน็ต   โดยนักเรียนจะได้ฝึกการใช้เทคโนโลยีสำหรับสร้างบทติวเช่น Camtasia, Jingและอื่นๆ ทำให้การเรียนคือการทำงาน   จึงเป็นการเรียนที่แท้จริง (genuine learning)    โดยนักเรียนเป็น “นักสร้างสรรค์”     และครูทำหน้าที่ผู้พิมพ์ผู้โฆษณาผลงานของนักรียนแก่โลก (global publisher)

บทติวเพื่อนของนักเรียนแต่ละทีมมีสไตล์แตกต่างกัน   โดยมีรายการตำราเรียน และแหล่งความรู้ ออนไลน์ ที่ใช้   แล้วใช้บันทึกเหล่านี้จัดทำบทติวเพื่อน ซึ่งมักเป็นวีดิทัศน์ความยาวประมาณ ๓ นาที   เริ่มด้วยการแนะนำตนเอง  วัตถุประสงค์ของบทติว   หลังสาระของบทติว จบด้วยคำกล่าวขอบคุณ และเชิญชวนแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น   นักเรียนทีมงานจะใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะให้บทติวมีความถูกต้องแม่นยำ   เพราะว่าเขาจะต้องรับผิดชอบสาระ เพื่อการเผื่อแผ่แก่เพื่อน และแก่โลก

วีดิทัศน์ติววิชาแก่ศิษย์เกิดขึ้นครั้งแรกโดยครู Eric Marcos ใช้ แทบเล็ตและโปรแกรม Camtasia ทำวีดิทัศน์อธิบายโจทย์และวิธีตอบวิชาคณิตศาสตร์ที่ศิษย์ อีเมล์ถามตอนกลางคืน   เมื่อครูอีริกเห็นว่าบทติวที่เอาไปแขวนไว้ให้นักเรียนเข้าไปศึกษาท าง อินเทอร์เน็ต เป็นที่ชื่นชอบของนักเรียน   ครูอีริกก็ทำเพิ่มและนักเรียนได้รับประโยชน์มาก   จนวันหนึ่งนักเรียนคนหนึ่งมาถามครูว่าตนจะขอทำวีดิทัศน์บทติวนั้นบ้างได้ไหม   จึงเป็นจุดเริ่มต้นการเรียนรู้ของนักเรียนโดยการทำบทเรียนวีดิทัศน์ติวเพื่อน   บทติวเหล่านี้อยู่ใน เว็บไซต์ MathTrain.TV ซึ่งเราเข้าไปดูได้    ตัวอย่างของวีดิทัศน์ติววิชาที่มีชื่อเสียงทั่วโลกคือ Khan Academy

นักเรียนสามารถใช้ความริเริ่มสร้างสรรค์ของตนเองได้อย่างไม่มีขีดจำกัด   ทั้งในด้านวิธีการนำเสนอ  วิธีตั้งโจทย์และตอบโจทย์  การเลือกใช้เครื่องมือ ไอซีที เพื่อสื่อสารบทติวเพื่อนของตน   เช่นนักเรียนทีมหนึ่งเน้นแลกเปลี่ยนผ่าน สมาร์ทโฟน และเครื่องเล่น MP 3   อีกทีมหนึ่งเน้นแลกเปลี่ยนผ่าน iPod เป็นต้น  ผมลองค้นใน App Store ของ Apple พบว่ามี App Video Maker มากมาย  และมีหลายแบบ เช่นแบบ การ์ตูน, App ScreenChomp เป็นต้น   ครูน่าจะชักชวนนักเรียนช่วยกันเลือกสักแบบ สำหรับใช้ในชั้นเรียน   หรือจะยิ่งดี หากมีบริการระดับชาติ ให้ครูและนักเรียนนำไปใช้ฟรี    ซึ่งหมายความว่ามีเว็บไซต์ระดับชาติ ให้ชั้นเรียนที่ใช้วิธีการเรียนรู้แบบ "ฟาร์มเรียนรู้ในยุคดิจิตัล" เข้าไปใช้ ซอฟท์แวร์ สำหรับทำวีดิทัศน์ และนำเสนอบทติวของตน   โดยผู้บริหารเว็บไซต์ อาจเข้าไปอ่าน และยกย่องให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ แก่ผลงานเด่น    โดยอาจจัดเป็นผลงานเด่นด้าน ...  ผลงานเด่นประจำสัปดาห์/เดือน/ปี

ผมได้ทดลอง ดาวน์โหลด screencast program ชื่อ Jing มาอ่านคำแนะนำวิธีใช้ แล้วลองนำเสนอวีดิทัศน์เรื่อง การเรียนรู้แบบรู้จริง ที่นี่ เรื่องการทำความรู้จักและใช้ ไอซีที นี้    ผมขอแนะนำครู ว่าวิธีดีที่สุดคือถามจากศิษย์  ขอร้องให้ศิษย์ช่วยสอนให้

ระบบ ไอซีที เพื่อการศึกษาระดับชาติ อาจใช้ระบบ School Wiki สำหรับเป็นฐานข้อมูลการเรียนรู้ของนักเรียน   โดยให้ตัวนักเรียนเอง (โดยการ โค้ช ของครู) เข้าไปลงบทติวเพื่อน ได้ด้วย

ครูจะไม่ทำตัวเป็น "ผู้ตรวจข้อสอบ" ให้เกรดหรือคะแนนแก่ผลงาน   เพราะจะเปลี่ยนเป้าหมายของงาน เป็นทำเพื่อคะแนนทันที กลายเป็นการเรียนปลอมๆ หลอกๆ   ไม่เป็นการเรียนแบบจริงแท้ (genuine learning)   ครูต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่า การใช้หลักการ "ทำฟาร์มเรียนรู้ในยุคดิจิตัล" เพื่อการเรียนรู้จากการลงมือทำงานของนักเรียนนั้น   นักเรียนต้องเป็นเจ้าของความคิด วิธีการ การลงมือทำ ผลงาน และการประเมินคุณภาพของผลงาน

สิ่งที่ครูทำ และต้องทำเพื่อเพิ่มคุณค่าของครู คือคอยจับตาตรวจสอบความก้าวหน้าการเรียนรู้ของศิษย์   โดยตรวจสอบเป็นรายคน และประเมินการเรียนรู้ทุกด้าน (ทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑) อย่างบูรณาการ   ซึ่งผมคิดว่า เป็นการประเมินที่มีคุณค่าสูงสุดต่อศิษย์   และครูต้องฝึกฝนเรียนรู้ความแม่นยำในการประเมินนี้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต

หน้าที่สำคัญยิ่งอีกอย่างหนึ่งของครู คือคอยหมั่นสร้างแรงบันดาลใจ และตระหนักในคุณค่าของการทำงานใน "ฟาร์มเรียนรู้" ว่าจะมีคุณค่าต่อชีวิตในอนาคตของศิษย์อย่างไรบ้าง   รวมทั้งการย้ำความระมัดระวังด้านความซื่อสัตย์คุณธรรมจริยธรรม   เช่นเมื่อคัดลอกผลงานมาจากแหล่งใดต้องเคารพให้เกียรติเจ้าของผลงาน โดยการอ้างอิง   หากผลงานนั้นมีสิทธิบัตร ก็ขออนุญาตก่อนนำมาใช้ เป็นต้น

ครูต้องคอยเตือนสตินักเรียนว่า ใน "ฟาร์มเรียนรู้" นี้ การเรียนรู้เพื่ออนาคตของนักเรียนไม่ได้อยู่แค่ผลงานบทติวเพื่อนเท่านั้น   ยังอยู่ที่การฝึกมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนในทีมงาน กับเพื่อนคนอื่นๆ ในชั้นเรียน ในโรงเรียน และในโลก   เช่นต้องรู้จักฟังเพื่อน  รู้จักชื่นชมผลงานของเพื่อน  รู้จักแลกเปลี่ยนแบ่งปัน   รู้จักยอมรับความคิดเห็นหรือความเชื่อที่แตกต่างจากความเชื่อของเรา    โดยไม่ตัดสินถูกผิด   รู้จักตรวจสอบตนเอง ว่าชอบหรือถนัดด้านไหน   รู้จักตรวจสอบปรับปรุงวิธีเรียนรู้ของตนเองอยู่ตลอดเวลา  เป็นต้น

การที่นักเรียนได้ทำหน้าที่ ติวเต้อร์ ให้แก่เพื่อนๆ    และเผื่อแผ่แก่ทั้งโลก จุทำให้นักเรียนภูมิใจมาก    สร้างความมั่นใจ  ความมีอิสระ (autonomy)  มีทักษะในการเรียนแบบรู้จริง (mastery)  และมีชีวิตที่มีเป้าหมายสูงส่ง (sense of purpose)

 

 

วิจารณ์ พานิช

๓๑ ธ.ค. ๕๖

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันศุกร์ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 13:01 น.
 

ครูแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ทำและไม่ทำอะไร

พิมพ์ PDF
ไม่สอนแบบถ่ายทอดความรู้ เน้นตั้งคำถาม มากกว่าให้คำตอบ

ครูแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ทำและไม่ทำอะไร

เพื่อให้ศิษย์เรียนได้ผลสัมฤทธิ์สูง ตามเป้าหมายหลัก ๓ ประการ ที่ได้กล่าวแล้วเมื่อวันที่ ๕ ม.ค. ๕๗     และเพื่อให้ครูมีคุณค่าต่อการเรียนรู้ของศิษย์   ตามที่ได้กล่าวเมื่อวันที่ ๑๒ ม.ค. ๕๗   ครูจะต้องมีหลักปฏิบัติว่าจะทำอะไร ไม่ทำอะไร   ซึ่งจะกล่าว ๒ ตอน ในวันนี้ และในวันอาทิตย์หน้า     ชมของวันนี้ได้ที่ http://screencast.com/t/1AurNETk

วิจารณ์ พานิช

๒ ม.ค. ๕๖

 

 

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันศุกร์ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 13:28 น.
 


หน้า 389 จาก 556
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5585
Content : 3038
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8560024

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า