Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

เที่ยวน้ำตกอีกัวซู สุดยอดมหัศจรรย์ธรรมชาติ หนึ่งในเจ็ดของโลก

พิมพ์ PDF

เที่ยวน้ำตกอีกัวซู สุดยอดมหัศจรรย์ธรรมชาติ หนึ่งในเจ็ดของโลก (๑) ฝั่ง อาร์เจนตินา

 

สายวันที่ ๘ พ.ย. ๕๖ คณะ ๘ คน บินจาก ริโอ เดอ จาเนโร ไป อีกัวซู ด้วยสายการบิน TAM ใช้เวลา ๒ ชั่วโมง    บนเครื่องบินเขาเสิรฟอาหารกล่องห่อซองอย่างดี   ผมเก็บไว้เป็นเสบียง    กินแต่น้ำส้มกับน้ำ

เครื่องบิน แอร์บัส A 320 ชั้นประหยัดทั้งลำ    ที่นั่ง 3 – 3 คนประมาณ 80%   มีผู้สูงอายุมาด้วยหลายคน ท่าทางบอกว่าคงจะไปเที่ยวน้ำตกเพราะสวมเสื้อกันฝน แบบครึ่งตัวกันมาหลายคน

ถึงสนามบิน อีกัวซู มีข้อแปลกคือกระเป๋ามาเร็วมาก    ใบที่มาช้าที่สุดคือของผม    เดาว่าคงจะมารอบแรกแล้วเรายังไปไม่ถึงสายพาน กระเป๋าจึงวนไป ๑ รอบ

วันนี้เป็นวันโชคดีของคณะ หลังจากเมื่อวานเป็นวันโชคร้าย ๓ ประการ   โดยผู้รับเคราะห์คือ อ. หมอภิเศก    ได้แก่ (๑) ไอโฟนตกหาย แถวชายฝั่งทะเลเมือง ริโอ   (๒) ติดอยู่ในลิฟท์โรงแรมตอนไฟดับ กดกริ่งก็ไม่มีคนมาช่วย    แต่ก็ใช้ความสามารถ ใช้มือและกำลังแขนเปิดประตูออกมาได้ หลังติดอยู่ราวๆ ๒ นาที ที่ชั้น ๑   ไฟดับตอน ๓ ทุ่มกว่า และดับอยู่นานเกือบครึ่งชั่วโมง ที่โรงแรม Linx  (๓) ข้อนี้ที่จริงเกิดเช้าวันนี้ ที่โรงแรม Linx ตอนกินอาหารเช้า    อาจารย์หมอภิเษก ฉีกซองที่คิดว่าเป็นซองน้ำตาลใส่กาแฟ แต่เป็นซองเกลือ

แต่วันนี้ ที่ อีกัวซู  อาจารย์หมอภิเศก เป็นผู้ทำให้เกิดโชคดี ๓ ประการ ต่อเนื่องกัน คือ   (๑) ได้ไกด์ และบริการนำเที่ยวดี   (๒) ได้ความรู้เรื่องประเทศละตินอเมริกา และชีวิตคนบราซิล โดยเฉพาะเกษตรกร จากไกด์   (๓) ได้ กินอาหารเย็นที่อร่อย    ที่จริงมีข้อ  (๔) ด้วย คืออากาศดี แดดจ้า แต่ก็ร้อนน้อยกว่าบ้านเรา

พอเข็นกระเป๋าออกมา อ. หมอภิเศกทำหน้าที่หาแท็กซี่ เพื่อไปโรงแรมที่จองไว้ ชื่อ San Martin ซึ่งอยู่หน้าทางเข้าป่าสงวนแห่งชาติ ที่อยู่ของน้ำตก     เจ้าที่ที่เคาน์เตอร์แท็กซี่ถามว่ากี่คน นอกจากไปโรงแรมแล้วจะไปเที่ยวไหนบ้าง    แล้วพาไปที่บริษัทนำเที่ยวที่อยู่ใกล้ๆ   ชื่อบริษัท FallsVision Receptivo (www.fallsvision.com.br)    คุณ Fabio Wandscheer ( อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน ที่น่าจะเป็นผู้จัดการ อธิบายว่าเขาบริการพาไปเที่ยวได้อย่างไร   บอกราคาต่อหัวเสร็จสรรพ    โดย อ. วิม แย้งว่า ต้องการให้วันนี้พาไปเที่ยวฝั่งประเทศ อาร์เจนตินา ก่อน   วันพรุ่งนี้ค่อยเที่ยวชมน้ำตกฝั่ง บราซิล    เขาก็จัดกำหนดการใหม่ทันที่   ตกคนละ ๑๒๓ เหรียญสหรัฐ ไม่รวมค่าลงเรือ ๗๓ เหรียญ    ผมให้ เว็บไซต์ และ อีเมล์ ติดต่อไว้ สำหรับท่านที่มีโอกาสไปเที่ยว จะได้เลือกใช้บริการ    เราลงมติว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์ต่อลูกค้าดีมาก

การเช็คอิน ที่โรงแรม ซาน มาร์ติน ใช้เวลานาน   เพราะเขามีแขกมาก และเจ้าหน้าที่ก็ทำงานไม่คล่อง

เสร็จแล้ว เรานั่งรถข้ามแม่น้ำ ไปฝั่ง อาร์เจนตินา    ที่สะพาน มองไปทางหนึ่งเห็นประเทศปาราไกว ซึ่งไม่มีน้ำตก   แต่มีสินค้า อิเล็กทรอนิกส์ราคาถูก ให้คนบราซิลไปซื้อ   และให้ขบวนการลักลอบขนของหนีภาษี ทำมาหากิน    รถต้องผ่านด่านฝั่งบราซิล  ขับไปอีกหน่อย ผ่านด้าน อาร์เจนตินา    แต่ละด่านใช้เวลา ๑๐ ๒๐ นาที    ทำให้ผมนึกถึงสมัยอยู่ที่หาดใหญ่ ขับรถไปเที่ยวฝั่งมาเลเซีย ขบวนการยุ่งยากชักช้ามาก รอเป็นชั่วโมง    เป็นช่องทางคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่

ระหว่างนั่งรถ เราพบว่ามีผีเสื้อบินว่อนบนถนน   ช่วงเดือน ต.ค. - ธ.ค. เป็นฤดูผีเสื้อ   มีมากจริงๆ   คุณฟาบิโอ บอกว่า บางปีมีมากกว่านี้มาก    ผมว่าผีเสื้อช่วยให้ความสุขสดชื่นแก่นักท่องเที่ยวได้มาก    ถือเป็นทรัพยากรท่องเที่ยวทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง    นอกจากนั้นยังมีเสียงนกร้อง    นกที่ผมเข้าใจว่าคือ ไนติงเกล ร้องที่น้ำตก และที่โรงแรม ขณะที่ผมกำลังพิมพ์อยู่นี้ คือเวลา ๖.๒๐ น. เช้าวันที่ ๙ พ.ย.   เสียงไพเราะมาก    และร้องติดต่อ โต้ตอบกัน    ตอนกลางคืนก็มีเสียงจิ้งหรีด   เหล่านี้เป็น tourism assets ทางอ้อมทั้งสิ้น    ไม่ควรมองข้าม

รวมแล้ว  by Plus-HD-1.5" style="color: #0022cc; text-decoration: underline !important; background-color: transparent !important; border: none !important; display: inline !important; float: none !important; height: auto !important; margin: 0px !important; min-height: 0px !important; min-width: 0px !important; padding: 0px !important; vertical-align: baseline !important; width: auto !important;">จากโรงแรม ถึงสถานีน้ำตกฝั่งอาร์เจนตินา ใช้เวลาราวๆ ๔๕ นาที    แต่ยังไม่ถึงน้ำตกนะครับ    ยังอีก ๒ ขยัก คือนั่งรถไฟเล็ก กับเดินเท้า    นั่งรถไฟเล็กน่าจะหลายกิโล เลียบฝั่งแม่น้ำเล็กๆ    เดินเท้าบนสะพานข้ามแอ่งน้ำ ไปยังน้ำตก ๑.๒ ก.ม.  แล้วเดินกลับ    ที่น้ำตก เราได้เห็นน้ำไหลวนตกหน้าผาลงไปต่อหน้า    รวมทั้งเห็นตกหน้าผาไกลๆ    บางช่วงละอองน้ำถูกลมหอบขึ้นมาโปรยปรายสนองความครึกครื้นให้แก่ผู้ไปชม  เป็นที่สนุกสนาน    ถือเป็นการอุ่นเครื่อง หรือทำความคุ้นเคยแก่การเปียกน้ำ ก่อนจะไปลงเรืออาบน้ำตก (และน้ำแม่น้ำ)

หลังจากนั่งรถไฟเล็กกลับมาจากน้ำตกแล้ว คุณ ฟาบิโอ พาเราเดินไปประมาณครึ่งกิโล ไปลงหน้าผา ไปยังสถานีลงเรือ    วิวน้ำตกสวยงามตื่นตาไปอีกแบบ   ก่อนลงเรือผมสวมหมวกและสวมเสื้อกันฝนที่เอามาจากบ้าน    คุณฟาบิโอเตือนว่าคงไม่ช่วยมากนัก    ก่อนลงเรือจริงๆ เขาแจกถุงพลาสติคหน้าให้สวมใสสิ่งของกันเปียก    และสวมชูชีพทับเสื้อกันฝน   ผมเดินไปนั่งด้านหลังเพื่อให้ได้ที่นั่งริม กะว่าจะได้ถ่ายรูปวิวได้ชัด    ซึ่งก็ได้สมใจ และได้มากกว่าที่คิด    คือโดนน้ำมากกว่าใครๆ ในกลุ่ม    คือผมเปียกโชกทั้งตัว เพราะไม่ใช่แค่โดนน้ำตก   แต่คนขับเรือเขากระแทกเรือให้น้ำแม่น้ำกระฉอกเข้ามาโดนผมเต็มตัว เหมือนโดนเอาน้ำราดตัวสัก ๒ ปี๊บ    เปียกทั้งตัว รวมทั้งถุงเท้ารองเท้า

การลงเรือชมน้ำตกที่นี่กับที่น้ำตกไนแอการ่าต่างกัน   วัตถุประสงค์คนละอย่าง    ที่นี่เป็นการลงไปเปียก เอามัน เอาความตื่นเต้นผจญภัย ตามสไตล์แซมบ้าบราซิล   แต่ที่ไนแอการ่าลงเรือไปชมน้ำตก ไปสัมผัสน้ำตกจากมุมด้านล่าง   และเข้าไปอยู่ใต้น้ำตกเลยทีเดียว    เรือที่ใช้ก็ต่างกัน ที่ไนแอการ่าเป็นเรือล่องแม่น้ำ แล่นเอื่อยๆ    ที่นี่ใช้เรือยาง สำหรับแล่นฉวัดเฉวียนเอาหวาดเสียว

หลังจากเปียกทั่วกันแล้ว เรือพาเราแล่นไปตามแม่น้ำไกลที่เดียว ไปขึ้นฝั่งอีกที่หนึ่ง    โดยเดินขึ้นง่ายกว่า แต่ก็ยังชันอยู่ดี    ผมต้องเดินขึ้นช้าๆ และหยุกพักบ้าง    คุณเดือน ซึ่งยังสาวอยู่ สารภาพว่า หอบเหมือนกัน    คุณฟาบิโอสั่งไว้ว่าเมื่อขึ้นจากเรือ ให้เดินขึ้นไปข้างบนและนั่งรถบรรทุกไปที่สถานีแรกที่รถจอด    เขาจะเอารถไปรับที่นั่น

พอถึงเวลา เราก็ขึ้นรถบรรทุก ที่มีที่นั่งเรียงหน้ากระดานเป็นแถวๆ    ผมเลือกนั่งแถวหน้าที่ริม เพราะเล็งว่าเป็นทำเลถ่ายภาพ    คนแคนาดาที่นั่งติดกันบอกว่าระวังนะ เขาตัวเปียก   ผมตอบว่าผมก็เปียกทั้งตัวเหมือนกัน    เขาว่าคนเรานี้แปลกดีนะ ยอมจ่ายสตางค์ตั้งแพง (๗๓ เหรียญสหรัฐ) เพื่อไปเปียก    แต่ที่จริงแล้ว ประสบการณ์นั่งเรือในลำน้ำ มีน้ำตกอยู่ข้างบน เป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่า

สำหรับผม ประสบการณ์ขึ้นรถบรรทุก นั่งไปตามทางลูกรังในป่าฝนเขต subtropical ของอาร์เจนตินา    โดยมีไกด์เจ้าหน้าที่ของป่าสงวนแห่งชาติ เป็นผู้บรรยายสองภาษา (ปอร์ตุกีส และอังกฤษ) ให้คุณค่าไม่แพ้การชมน้ำตก    ผมได้รู้จักป่าเขตกึ่งร้อนและชื้น    ซึ่งต่างจากป่าฝนเขตร้อนอย่างบ้านเรา ตรงที่มันทึบน้อยกว่า    และมี epiphyte ต้นโตๆ ตามค่าคบต้นไม้ใหญ่มากกว่า    เขาบอกว่า สำหรับป่าฝนเขตกึ่งร้อน ต้นไม้มี ๓ กลุ่ม คือไม้ใหญ่  เถาวัลย์  และต้นไม้อิงอาศัย (epiphytes) 

 

 

วิจารณ์ พานิช

๙ พ.ย. ๕๖

 

 

รถไฟเล็กกำลังพาเราไปยังจุดเดินเท้าสู่น้ำตก

 

เดินเท้าบนสะพาน ๑.๒ กม. กลางแดด สู่น้ำตก

 

น้ำที่ตกลงไปต่อหน้า

 

น้ำตกจากหน้าผาไกลออกไป

 

เห็นรุ้งกินน้ำ

 

บริเวณชมน้ำตก และอาบละอองน้ำ โปรดสังเกตละอองน้ำที่พลุ่งขึ้นมาเป็นรูปครึ่งวงกลม

 

กลุ่มผีเสื้อ

 

เรือลำก่อนเราตีวงกลับเข้าไปอาบละอองน้ำตกอีกครั้งหนึ่ง

 

ก่อนเรือออก

 

 

ถ่ายจากในเรือ

 

 

รุ้งกินน้ำ โค้งน้อย

 

เรือลำก่อนเรา เตรียมชาร์จเข้าไปอาบละอองน้ำตก  คนขับนั่งอยู่บนที่สูงหลังเรือ

 

ขึ้นรถบรรทุก

 

บนรถ

 

บนรถ

 

รถบรรทุกอีกคันสวนมา

 

ป่าฝนกึ่งเขตร้อน

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/556889

เที่ยวน้ำตกอีกัวซู สุดยอดมหัศจรรย์ธรรมชาติ หนึ่งในเจ็ดของโลก (๒) ฝั่ง บราซิล

 

วันที่ ๙ พ.ย. ๕๖ เป็นวันชมน้ำตกจากฝั่งบราซิล   ซึ่งง่ายกว่าไปฝั่ง อาร์เจนตินามาก    เพราะอยู่ใกล้กับโรงแรมของเรานั่นเอง    รถออกไป ๕ นาทีก็ถึงทางเข้า    เราต้องลงรถไปเดินเข้าโดยแสดงบัตรผ่านคนละใบ    แล้วคุณฟาบิโอ เอารถไปรับด้านใน    คนอื่นๆ ที่ไปเอง มีรถบัสคันใหญ่จำนวนมากมายให้บริการพาไปจุดเดินชมน้ำตก    ซึ่งก็ห่างออกไปหลายกิโลเมตร

คุณฟาบิโอบอกว่า นักท่องเที่ยวที่มาชมน้ำตก อีกัวซู ฝั่งบราซิล ปีละ ๑.๕ ล้านคน    ฝั่งอาร์เจนตินามากกว่าเล็กน้อย    โดยนักท่องเที่ยวที่มาส่วนใหญ่ไปชมทั้งสองฝั่ง อย่างที่พวกเราทำ    เครื่องบินมาลงฝั่งบราซิลวันละ ๒๒ เที่ยว   ฝั่งอาร์เจนตินาวันละ ๘ เที่ยว   และฝั่งปารากวัย วันละเพียง ๑ เที่ยว ทั้งๆ ที่สนามบินของปารากวัยดีที่สุด

รถไปจอดหน้าโรงแรม Caracatas ซึ่งแปลว่าน้ำตก    ทางลงไปเดินชมน้ำตกอยู่ตรงนั้น    แล้วมีทางเดินชมวิวน้ำตกตลอดทาง    โดยภาพน้ำตกที่เห็น อยู่ทางฝั่งประเทศอาร์เจนตินา    จนสุดทางเดิน และมีบันไดลงไปยังสะพานชมน้ำตก และรับละอองน้ำตก    ช่วงนี้น้ำตกอยู่ทางฝังบราซิล    ได้ชมและรับคำอธิบายเช่นนี้ จึงเห็นชัดว่า น้ำตก อีกัวซู ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศ อาร์เจนตินา

นอกจากสะพานชมน้ำตกแล้ว ฝั่งบราซิลยังสร้างหอชมน้ำตก เป็นหอหลายชั้น   ให้เดินขึ้นบันไดไปชมและถ่ายรูปน้ำตกใกล้ๆ ในระดับต่างๆ

ผมใช้คำว่า ชมและถ่ายรูปน้ำตก”   ตามความหมายของผม    แต่คนอื่นคงไม่ได้คิดและทำอย่างผม    คือเขาถ่ายรูปตนเองกับน้ำตก   หรือถ่ายรูปคนที่เขารักกับน้ำตก    ผมไม่ได้ถ่ายรูปตนเองเลย   แต่หากพบคนในคณะเดียวกัน ผมก็หาทางถ่ายรูปให้ แบบไม่ให้รู้ตัว

ผมตาไม่ดี ไม่เห็นคนที่ชมน้ำตกทางฝั่ง อาร์เจนตินา ที่อยู่ไกลลิบๆ    เมื่อมีคนชี้จึงพอสังเกตเห็น   แต่เมื่อใช้กล้อง Canon PowerShot SX 260 ถ่ายโดยซูมเต็มที่ ๒๐ เท่า ก็เห็นแถวคนที่กำลังชมน้ำตกอยู่ทางฝั่งประเทศ อาร์เจนตินา ที่เราไปยืนชมเมื่องานนี้ชัดเจน

สำราญใจกับการชมและรับไอน้ำตก จนถึงเวลา ๑๑ น. เศษ เราก็ได้เวลาเดินทางไปสนามบิน    ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง ๓ ก.ม.   เพื่อเดินทางไป Recife ด้วยเครื่องบินของสายการบิน TAM    โดยไปต่อเครื่องที่ Sao Paolo  และนั่งรอที่สนามบิน ๔ ชั่วโมง    ผมพิมพ์บันทึกนี้เสร็จระหว่างรอที่สนามบิน Sao Paolo นี้

 

วิจารณ์ พานิช

สนามบิน Sao Paolo, Brazil

๙ พ.ย. ๕๖

 

ทางเข้าเปิด ๙ โมงเช้า  เวลา ๙.๐๕ น. คนแน่นแล้ว

 

สัมผัสแรกที่เห็นน้ำตกจากฝั่งบราซิล  น้ำตกอยู่ฝั่งอาร์เจนตินา

 

ทางเข้าเส้นทางเดินชมวิว มีป้ายต้อนรับ

 

ผมชอบเส้นทางเดินชม (และถ่ายรูป) น้ำตกฝั่งบราซิล เพราะเหมือนเดินอยู่ในป่า

 

เห็นน้ำตกสองชั้น

 

น้ำตกไหลลงแม่น้ำ

 

มีสะพานให้ลงไปชมน้ำตกใกล้ๆ และรับละอองน้ำ  ส่วนนี้เป็นน้ำตกฝั่งบราซิล

 

น้ำตกกับสะพานชมวิวและรับละอองน้ำ

 

ถ่ายจากสะพานชมวิวและรับละอองน้ำ

 

นี่ก็ถ่ายจากสะพาน

 

อีกมุมหนึ่งที่ถ่ายจากสะพาน

 

และอีกมุมหนึ่ง

 

แม่น้ำทั้งสาย ตกลงหน้าผา

เมื่อวานเราลงไปนั่งเรือในแม่น้ำแถวนี้

 

เมื่อวานเราไปยืนชมน้ำตกฝั่งอาร์เจนตินา เหมือนคนเหล่านี้

ถ่ายจากหอชมวิวฝั่งบราซิล ด้วยกล้องกำลังขยาย ๒๐ เท่า

 

หอชมน้ำตก

 

บนหอชมน้ำตก

 

หอฯ ถ่ายจากด้านบน

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/557157

เที่ยวน้ำตกอีกวาซู สุดยอดมหัศจรรย์ธรรมชาติ หนึ่งในเจ็ดของโลก (๓) พืชและสัตว์

 

ระหว่างไปเที่ยวน้ำตก อีกัวซู ในวันที่ ๘ - ๙ พ.ย. ๕๖    ผมได้ถ่ายรูปพืช/ดอกไม้ และสัตว์ไว้จำนวนหนึ่ง    จึงขอนำมา ลปรร. ด้วย

ระบบนิเวศของน้ำตกที่ใหญ่โตมโหฬารและมหัศจรรย์เช่นนี้    จะต้องแตกต่างจากระบบนิเวศของป่าฝนเขตกึ่งร้อนอย่างแน่นอน    โดยเฉพาะบริเวณที่ละอองน้ำโปรยไปถึง    ผมจึงสังเกตดอกไม้และต้นไม้ระหว่างเดินไปยังจุดชมวิว    แต่คงได้ไม่มากนัก ที่ได้มากคือภาพถ่ายสวยๆ หรือแปลกๆ

แต่ระหว่างวิ่งออกกำลังตอนเช้าวันที่ ๙ พ.๕๖  และในบริเวณโรงแรม San Martin มีดอกไม้และนกสวยๆ    จะอยู่ในบันทึกตอนต่อไป

 

 

วิจารณ์ พานิช

สนามบิน Sao Paolo, Brazil

๙ พ.ย. ๕๖

ที่สนามบินเมือง Sao Paolo

เมล็ดสีแดงสวยขาดนี้ ไม่เคยเห็น

 

ดอกหญ้าริมทางรถไฟเล็ก

 

ไม่ทราบต้นอะไร มีทั่วไปตอนเดินไปน้ำตกฝั่ง เวเนซูเอลา  ออกดอกเต็มต้น

 

เช่นต้นนี้

 

ดอกนี้งามเป็นพิเศษ ด้วยพลังแสงแดดส่อง

 

ต้นที่มีดอกเหลืองสดใสนี้พบบ่อยที่น้ำตกฝั่งอาร์เจนตินา

 

ต้นนี้พบทั้งสองประเทศ

 

ต้นนี้อยู่ที่เกาะเล็กๆ เห็นกอเดียวนี้

 

ปลาดุก อีกวาซู

 

กาน้ำผึ่งแดดหลังดำน้ำจับปลา

 

สีแดงเตะตา

 

สีม่วงก็สวย

 

ผีเสื้อเกาะกลุ่ม

 

สีขาวก็สวยได้

 

 

 

 

ตัว badger ที่เชื่อง ทางอุทยานแห่งชาติประกาศระวังมันกัด เป็นแผลเหวอะหวะ

 

 

 

 

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/557229

แก้ไขล่าสุด ใน วันพุธที่ 25 ธันวาคม 2013 เวลา 10:36 น.
 

ปฏิรูปประเทศไทยแบบถาวร (๑) โดย ศ. กิตติคุณ เดชา บุญค้ำ

พิมพ์ PDF

ปฏิรูปประเทศไทยแบบถาวร (๑) โดย ศ. กิตติคุณ เดชา บุญค้ำ

คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าความคิดฝังใน ที่ขาดวิจารณญาณที่ตนมีอยู่เป็นตัวสร้างอคติและความเดียดฉันท์ขึ้นในสังคมหรือวัฒนธรรมของตนเอง:  นักส้งคมวิทยาและนักมานุษยวิทยาได้ ชี้ให้เห็นว่านี่คือสภาวะที่กำลังเกิด  “การกั้นเขตทางวัฒนธรรม”  ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เกิดจากการคิดแบบถือพวกทางสังคม

ปฏิรูปประเทศไทยแบบถาวร (๑)  โดย ศ. กิตติคุณ เดชา บุญค้ำ

ทำความเข้าใจการคิดแบบถือพวก   อ่านได้ที่ 561219_ปัญหาของการคิดแบบถือพวกทางสังคม.pdf

วิจารณ์ พานิช

๑๙ ธ.ค. ๕๖

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

ปฏิรูปประเทศไทยแบบถาวร (๒) โดย ศ. กิตติคุณ เดชา บุญค้ำ

เรามีธรรมชาติของการรับรู้และธรรมชาติของการเชื่อโดยสัญชาตญาณ–ไม่ว่ามันจะคลาดเคลื่อนผิดเพี้ยนไปเพียงใด  แทนที่จะใช้มาตรฐานเชิงปัญญาในการคิด

ปฏิรูปประเทศไทยแบบถาวร (๒)  โดย ศ. กิตติคุณ เดชา บุญค้ำ

ทำความเข้าใจการคิดแบบถืออัตตา   อ่านได้ที่  561220_ปัญหาของของการคิดแบบถืออัตตา.pdf

วิจารณ์ พานิช

๒๐ ธ.ค. ๕๖

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

ปฏิรูปประเทศไทยแบบถาวร (๓) โดย ศ. กิตติคุณ เดชา บุญค้ำ

สามารถต้านทานการเย้ายวนใจจากอคติ  จากความรังเกียจเดียดฉันท์ที่รุนแรงที่สุดได้  ทั้งยังสามารถต้านทานการวิงวอนโอ้โลมนานาชนิดได้

ปฏิรูปประเทศไทยแบบถาวร (๓)  โดย ศ. กิตติคุณ เดชา บุญค้ำ

ทำความเข้าใจการคิดแบบมีวิจารณญาณ   อ่านได้ที่ 561221_วิสัยทัศน์สู่สังคมที่มีวิจารณญาณ.pdf

วิจารณ์ พานิช

๒๑ ธ.ค. ๕๖

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

หมายเหตุ

ผมได้อ่านบทความของอาจารย์วิจารณ์ พานิช เรื่อง "ปฎิรูปประเทศไทยแบบถาวร โดย ศ.กิตติคุณ เดชา บุญค้ำ " ซึ่งมีด้วยกัน 3 ตอน แต่ละต้อนต้องเข้าไปอ่านจาก link ที่อาจารย์นำมา post ไว้ แต่ผมทดลองกดตาม link ที่ให้มา แต่การดาวน์โหลดช้ามาก ผมไม่ได้สามารถดาวน์โหลดได้สำเร็จ ถ้าท่านใดมีเอกสารของ ศ.กิตติคุณ เดชา บุญค้ำ โปรดนำมาเผยแพร่ด้วยครับ เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ท่านที่สนใจ

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

24 ธันวาคม 2556

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2013 เวลา 18:39 น.
 

ความหลากหลายและความเป็นชุมชนในศตวรรษที่ ๒๑

พิมพ์ PDF

ปาฐกถารางวัล Johan Skytte 2006 เรื่อง E Pluribus Unum : Diversity and Unity in the Twenty-First Century. The 2006 Johan Skytte Prize Lecture   โดย Robert D. Putnam    บอกเราว่า โลกในยุคต่อไปผู้คนในแต่ละสังคมจะมีความแตกต่างหลากหลายมากขึ้น    ผลในระยะสั้นคือจะเกิดความตึงเครียด    แต่ในระยะยาวความหลากหลายนี้จะเป็นพลัง

ปาฐกถานี้เต็มไปด้วยข้อมูล ที่เป็นผลการวิจัยที่ซับซ้อน (multivariate analysis)  และต้องออกแบบอย่างดีจึงจะน่าเชื่อถือ    ผมไม่มีสติปัญญาจะประเมินความน่าเชื่อถือได้     จึงได้แต่เชื่อในชื่อ Robert Putnam

ความเป็นชุมชน หรือความรู้สึกอบอุ่นว่ามีเพื่อน มีเครือข่ายสังคม    เป็นทั้งเรื่องมีเครือข่ายจริงๆ   และเรื่องของความรู้สึก(perception)    อ่านในปาฐกถานี้แล้ว จะเห็นว่า “ความรู้สึก” ของมนุษย์นี้ มันซับซ้อน และอาจไม่ตรงตามสามัญสำนึก    เช่น อ่านตามรูปที่ ๓ - ๖ แล้วจะสรุปได้ว่า ความรู้สึกไม่ปลอดภัย ในชุมชนที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาตินั้น   ไม่ใช่ตัวการอยู่ที่คนต่างเชื้อชาติ แม้ต่อคนชาติพันธุ์เดียวกัน ก็รู้สึกไม่ปลอดภัย    และความไม่เชื่อถือ ไม่มั่นใจ (social trust ต่ำ)    ไม่ได้มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น    แต่มีต่อสถาบัน เช่นต่อรัฐบาลท้องถิ่นด้วย

ทำให้อดหวนคิดมาถึงเมืองไทยไม่ได้ว่า    สภาพบ้านเมืองของเราเวลานี้    แม้จะเป็นคนเชื้อชาติเดียวกัน    แต่ก็มีความไม่ไว้วางใจกันสูงมาก   ผมตีความว่า (ไม่ทราบตีความถูกหรือไม่) เวลานี��� social capital ในสังคมไทยตกต่ำลงอย่างน่ากลัว

ปาฐกถานี้ เริ่มต้นโดยบอกว่า การมีเครือข่าย มี social capital มีผลต่อสุขภาพของคน    ผมตีความต่อในฐานะหมอว่า    ทำให้สุขภาพจิตดี  ภูมิคุ้มกันโรคดี  เป็นโรคต่างๆ ยากขึ้น รวมทั้งโรคติดเชื้อ และโรคมะเร็ง

กลับมาที่ผลการวิจัยที่นำเสนอในปาฐกถา    เขาสรุปว่า เวลานี้คนอเมริกันรู้สึกไม่สบายใจ ที่สังคมอเมริกันมีความหลากหลาย คือมีคนต่างชาติเข้าเมืองมากขึ้น

ผมได้รู้จักคำ social distance, social identity   เขาบอกว่า เมื่อคนเรามี social distance ระหว่างกันน้อย    ก็จะเกิดความรู้สึกว่ามี social identity เดียวกัน คือเป็นพวกเดียวกันทางสังคม    ผมตีความง่ายๆ ว่า หาก social distance น้อย คนเราจะรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน   หาก social distance ห่างกัน ก็จะรู้สึกว่าเป็นคนละพวก    ย้ำว่านี่เป็นความรู้สึก    และเขาบอกว่า เมื่อคนเราเปลี่ยน social identity ของตน พฤติกรรมจะเปลี่ยนด้วย

social identity นี่แหละคือเครื่องมือช่วยให้ความหลากหลายทางเชื้อชาติ กลายเป็นพลัง    โดยจะต้องมีมาตรการทางสังคม และทางอื่นๆ เพื่อสร้าง shared identity ขึ้นในสังคมนั้นๆ    คือแต่ละคนต่างก็มี identity จำเพราะของตน   และในขณะเดียวกัน ก็มี shared identity ร่วมกับคนเชื้อชาติ (หรือศาสนา หรือ ฯลฯ) อื่นด้วย

เขายกตัวอย่างความสำเร็จในการสร้าง shared identity ในสหรัฐอเมริกา    เช่น เวลานี้ในกองทัพอเมริกัน มีสภาพเป็นสถาบันที่ “บอดสี”    คือไม่มีความรู้สึกแบ่งแยกผิวสี   และยกตัวอย่างอิทธิพลของศาสนาคาทอลิก ในการสร้าง shared identity ระหว่างคนต่างเชื้อชาติ

ที่จริงสังคมไทยในภาพรวมมีความสามารถสูงในการสร้าง shared identity ระหว่างคนเชื้อชาติไทย  จีน  ไทยภูเขา    และในประวัติศาสตร์ สังคมไทยเป็นสังคมที่ผู้คนเป็นลูกผสม   ถือเป็นความสำเร็จในการสร้างกระบวนการ social assimilation ตามธรรมชาติ

เรื่องความหลากหลายและความเป็นชุมชน    มี shared social idendity ในสังคมไทย ในยุคนี้ น่าจะเป็นโจทย์วิจัยทางสังคมศาสตร์ ที่มีคถณประโยชน์ต่อสังคมอย่างยิ่ง

 

 

วิจารณ์ พานิช

๑๙ พ.ย. ๕๖

 

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2013 เวลา 19:55 น.
 

ออกกำลังพอเหมาะกระตุ้นสมอง

พิมพ์ PDF
นอกจากการออกกำลังกายอย่างจริงจังแล้ว การให้เด็กได้เคลื่อนไหวขยับตัว (เช่นตบมือ กระโดด ปรบมือเข้าจังหวะ) เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างคาบเรียน ช่วยเพิ่มสมาธิจดจ่อ

ออกกำลังพอเหมาะกระตุ้นสมอง

บทความเรื่อง Smart Jocks เขียนโดย Steve Ayan    ตีพิมพ์ในนิตยสาร Scientific American ในปี ค.ศ. 2010    และพิมพ์ซ้ำในหนังสือ The Science of Education ในปี 2012  บอกว่า การออกกำลังพอเหมาะ และสม่ำเสมอ ช่วยให้สมองดี

ที่จริงข้อสรุปนี้เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว   แต่ส่วนที่รู้เพิ่มขึ้นมาคือคำอธิบายว่า การออกกำลังไปทำอะไรให้แก่สมอง   และสมองส่วนไหนที่ดีขึ้น    รวมทั้งหลักฐานจาการวิจัยในสัตว์ทดลอง และในคน

ส่วนของสมองที่ถูกกระตุ้นคือExecutive Function (EF) ซึ่งทำหน้าที่ด้านการวางแผนและควบคุมพฤติกรรม   และการออกกำลังที่มีคุณค่าต่อสมองคือ การออกกำลังแบบ แอโรบิก    แต่จริงๆ แล้วการเคลื่อนไหวร่างกายมีประโยชน์ทั้งสิ้น

ในปี ๒๕๕๑ มีผู้รวบรวม สังเคราะห์ผลการวิจัย ๑๒ เรื่อง ที่ทดลองให้นักเรียนออกกำลังกายแล้ววัดผลที่สมองและการเรียน   สรุปได้ว่า การออกกำลังกายทำให้ความฉลาดเพิ่มขึ้น   เพิ่มความริเริ่มสร้างสรรค์ และทักษะการวางแผน   รวมทั้งเพิ่มสมรรถนะด้านคณิตศาสตร์และการอ่าน

อีกรายงานหนึ่ง รวบรวมผลการวิจัย ๑๗ เรื่อง เกี่ยวกับการจัดเวลาที่โรงเรียนให้เด็กได้ออกกำลังกาย   สรุปว่า การใช้เวลาเพื่อการออกกำลังกายทุกวัน สูงถึงวันละ ๑ ชั่วโมง    ไม่มีผลเสียต่อผลการศึกษา    กลับตรงกันข้าม คือผลการศึกษาดีขึ้น    ทั้งๆ ที่เวลาสำหรับการเรียนอ่านเขียนคิดเลขน้อยลง

ในชั้นเรียน EF ที่ดีขึ้น ช่วยให้นักเรียนมีสมาธิอยู่กับการเรียน   รู้จักตัดสินใจว่าเมื่อไรจะจดหรือถาม   รวมทั้งรู้จักจัดเวลาทำการบ้าน    เชื่อกันว่า การออกกำลังกาย ช่วยทำให้ความจำใช้งาน (working memory) ขยายขึ้น    ความจำใช้งานหมายถึงความสามารถในการจำเรื่องราวชุดหนึ่งไว้ชั่วขณะ เพื่อใช้สมองคิดตัดสินใจ    เช่นจำตัวเลขสองสามตัว เพื่อคิดเลขในใจ

แต่การออกกำลังกาย มีผลน้อย ต่อทักษะด้านการรับรู้ (perceptual skills) เช่น การจำลักษณะสิ่งของ ความคล่องแคล่วด้านภาษา   และมีผลน้อยต่อทักษะมิติสัมพันธ์

จะให้การออกกำลังกายให้ผลดีต่อสมอง ต้องออกกำลังนานพอสมควร    ดังมีผลการทดลอง ให้เด็กอ้วน  ๙๔ คน อายุระหว่าง ๗ - ๑๑ ปี ออกกำลังแบบแอโรบิก (วิ่งเหยาะ กระโดดเชือก หรืออื่นๆ) ๕ วันต่อสัปดาห์ แบ่งเป็น ๒ กลุ่ม คือกลุ่มออกกำลังวันละ ๒๐ นาที กับกลุ่มวันละ ๔๐ นาที   มีการวัดสมรรถนะของสมองก่อนเริ่มโครงการ และหลังออกกำลังสม่ำเสมอ ๑๕ สัปดาห์   พบว่าสมรรถนะของสมองด้านการวางแผน  ด้านการมีสมาธิจดจ่อ  และด้านการจัดการข้อมูล ดีขึ้นเฉพาะกลุ่มที่ออกกำลังวันละ ๔๐ นาที   กลุ่มที่ออกกำลังวันละ ๒๐ นาที และกลุ่มไม่ทำอะไรเลย (กลุ่มควบคุม) สมรรถนะของสมองทั้งสามด้านนั้นไม่ดีขึ้น

นอกจากการออกกำลังกายอย่างจริงจังแล้ว   การให้เด็กได้เคลื่อนไหวขยับตัว (เช่นตบมือ กระโดด ปรบมือเข้าจังหวะ) เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างคาบเรียน ช่วยเพิ่มสมาธิจดจ่อ

การทดลองในหนู บอกว่าการออกกำลังช่วยเพิ่มฮอร์โมนกระตุ้นการเติบโตของสมอง คือ VEGF (vascular endothelial growth factor) และ BDNF (brain-derived neurotropic factor)    และการทดลองในคนก็พบว่า การออกกำลังช่วยเพิ่มระดับ BDNF ในเลือดของผู้ถูกทดลอง ๑๖ คน

วิจารณ์ พานิช

๑๗ พ.ย. ๕๖

,

 

 

 

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2013 เวลา 19:57 น.
 

กรรมของการบินไทย

พิมพ์ PDF
เปรียบเทียบกันไม่ได้หรอกค่ะ เขาซื้อเครื่องบินโดยไม่ต้องผ่าน ครม.

กรรมของการบินไทย

เช้าวันที่ ๒๑ ธ.ค. ๕๖   ผมไปเปลี่ยนเที่ยวบินที่ห้องบัตรโดยสารการบินไทย สนามบินสุวรรณภูมิ   ได้โอกาสคุยกับเจ้าหน้าที่ว่าบริการของการบินไทยไม่เด่นอย่างสมัยก่อน   โดยผมเล่าว่า ผมเพิ่งบินไปบราซิลด้วยสายการบิน เอมิเรตส์ บริการและเครื่องบินดีกว่าการบินไทยมาก

เธอตอบว่า "เปรียบเทียบกันไม่ได้หรอกค่ะ   เขาซื้อเครื่องบินโดยไม่ต้องผ่าน ครม."

คมเหลือเกิน สาวการบินไทย

ผมได้โอกาสยิงตรง   "ไม่ใช่การบินไทยเท่านั้นหรอกที่ย่อยยับเพราะคอรัปชั่นของนักการเมือง   บ้านเมืองของเราด้วย"   "พวกคุณควรชวนกันไปร่วมแสดงพลังต่อต้านคอรัปชั่นที่ราชดำเนินกันให้มากๆ"

"ไปกันจนแทบจะไม่มีคนทำงานแล้วละค่ะ"

สายวันนั้น อ่านข่าว นสพ. พบว่า ดร. สรจักร เกษมสุวรรณ ดีดีการบินไทยลาออก

วิจารณ์ พานิช

๒๑ ธ.ค. ๕๖

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2013 เวลา 18:24 น.
 


หน้า 408 จาก 558
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5605
Content : 3047
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8597829

facebook

Twitter


บทความเก่า