ขนาดเราเพิ่งรู้ .....แล้วเด็กรุ่นใหม่ก็คงจะไม่รู้ ? ประวัติความเป็นชาติไทย โดย Somkiat Osatsapa

วันอังคารที่ 22 กันยายน 2020 เวลา 16:29 น. ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท ประชาสัมพันธ์ - ประชาสัมพันธ์
พิมพ์

ขนาดเราก็เพิ่งรู้!!!...แล้วเด็กรุ่นใหม่ก็คงจะไม่รู้เพราะไม่มีการบอกเล่าสั่งสอนกัน  ช่วยกันแชร์ประวัติความเป็นชาติไทยกันครับ..,.

Somkiat Osotsapa

ประวัติศาสตร์ไทยก่อนยุคพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ และการต่างประเทศของพระองค์ท่าน 

บทความแรกในปี 2562

ปีนี้เริ่มด้วยประวัติศาสตร์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และทดแทนความรู้สึกที่ไม่ได้ฟังพรปีใหม่จากพระองค์ท่าน

คณะราษฏร์เอารถถังสองคันไปจับเด็กนักเรียนเป็นตัวประกัน ยืดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองได้สำเร็จในปี 2475  ปีต่อมาก็ปฏิวัติกันเอง คณะราษฏร์ครองอำนาจถึง 25 ปี จนถึงปี 2500 หนึ่งปีต่อมาฝ่ายทหารของคณะราษฏร์ยึดอำนาจโดยเด็ดขาด หลังจากนั้นการเมืองไทยก็วุ่นวายไม่ทีที่สิ้นสุด ทะเลาะกันเอง ไม่มีแผนเศรษฐกิจ ที่มีก็จะให้ไทยเป็นคอมมิวนิสม์ให้ได้ ลอกตำราฝรั่งเศสมาทั้งดุ้น ไม่มีบริบทของไทย ขาดการวิเคราะห์สังคม ปี 2480 เริ่มทำลายการศึกษา ปิดการศืกษามัธยมปลายของโรงเรียนต่างๆ หาว่า"เจ้าสร้างขื้น " ลามไปปิดทุกโรงเรียนที่มีมัธยมปลายทั่วประเทศ ทุกจังหวัด รวมถึงโรงเรียนเอกชน นักเรียนจากต่างจังหวัดที่จะมาเรียนในกรุงเทพ ต้องมาอาศัยวัด เกิดเด็กวัดขึ้น การเรียนสองภาษาถูกทำลาย มิฉะนั้นเด็กไทยจะพูดอังกฤษได้เหมือนเด็กมาเลย์ การสอนภาษาจีนถูกห้ามขาด คนไทยจึงเสียโอกาสไปมาก คนที่มีฐานะ มีวิสัยทัศน์ส่งลูกไปเรียนฮ่องกง ปีนัง ใต้หวัน ได้ดีกันมาก มีบทบาทในการสร้างธุรกิจให้ประเทศ ความขาดวิสัยทัศน์ของผู้นำล้วนๆ

นักเรียนทุนที่ส่งไปศึกษาในรัชกาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๖ จำนวน 536 คน ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงาน จับไปขังเกาะบ้าง ดิคชันนารี่ภาษาอังกฤษเล่มแรกเขียนในคุก แล้วลักลอบนำออกมาตีพิมพ์ กำลังคนที่สร้างขึ้นเพื่อสร้างชาติถูกทำลาย ประเทศไทยถูกทำลายไปด้วย ยี่สิบห้าปี ทำลายประเทศได้จริงๆจนวันนี้ เรายังมีปัญหาเอกสารสิทธิ์ที่ดิน การวางผังเมือง การพัฒนาวิทยาศาสตร์ การศึกษา ภาษาศาสตร์ ประวัติศาสตร์โรงเรียนถูกทำลาย ประวัติจังหวัด ชุมชนถูกทำลายไปด้วย  ทำลายคน คือทำลายผู้จะสร้างประวัติศาสตร์ ทำลายโรงเรียนคือทำลายประเทศ

สงครามและการชำระหนี้

หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง อำนาจของคณะราษฏร์ตกอยู่ในมือของผู้นำด้านทหาร สนใจการปลุกระดม การบริหารแบบนาซี มุสโสลินี แต่ไม่มีความรู้เรื่องสถานการณ์โลกอย่างลึกซึ้ง ผ่านมาได้ 7 ปี ก็นำประเทศเข้าทำสงครามกับเอเซียบูรพา โดยการสนับสนุนของญี่ปุ่น ในปี 2482 เรือรบทั้งสามลำที่มี จมลงในสงครามนี้ คือ เรือชลบุรี สงขลา และธนบุรี จีงไม่มีกำลังสู้การยกพลขึ้นบกของญี่ปุ่นในเวลาต่อมา

ผ่านไป 9 ปีก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 2484 ไทยประกาศเข้าข้างญี่ปุ่น คิดว่าญี่ปุ่น เยอรมันจะชนะสงคราม ถือว่าล้มเหลวในการอ่านเกมสงคราม เพราะไม่ได้คำนวณถืงขบวนการกู้เอกราชอินเดีย และอเมริกาพ.ศ. 2485 เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่กรุงเทพ และทั่วภาคกลาง เนื่องจากไม่มีเขื่อน ฝาย จืงเกิดการขาดแคลนอาหาร ของใช้ เดือดร้อนกันทั้งประเทศ ต้องเอาข้าวสารมาแจกจ่ายประชาชน ผลของสงครามทำให้ไม่มีเวลาพัฒนาอะไร โรงเรียนปิด

ในช่วงสงคราม คนไทยอดอยากมาก เพราะเงินไทยใช้แลกกับชาวโลกไม่ได้ ไม่มีของเข้ามาขายในประเทศ ไม่มีเสื้อผ้า ทำสบู่ใช้จากขี้เถ้า มีเพียงอาชีพกักตุน เกิดเศรษฐีใหม่ นายทุนไทย ที่ต่อมาเข้ายึดธนาคารในปี 2487-88 กรุงเทพถูกทิ้งระเบิดโดยเครื่องบินราว 2,500ลำ สะพานพุทธฯสะพานเดียวที่เชื่อมกรุงเทพกับธนบุรีพัง ซ่อมเปิดใช้การได้ในปี 2493 สถานีรถไฟพังหมด ตั้งแต่หัวลำโพง ธนบุรี - โกโบริตายที่นี่ บางซื่อ ทุกแห่ง รวมถืงทางรถไฟไปพม่า โรงไฟฟ้าวัดเลียบถูกระเบิด ไม่มีไฟฟ้าใช้กันซีครับ เรียกว่าระบบสาธารณูปโภค การขนส่งพังหมด เรือจมไปร่วม 100 ลำ เครื่องบินของไทยปลอดภัย เพราะข้าศืกมองไม่เห็นโดนทิ้งระเบิดข้างเดียวเพราะ ปตอ. ไทยยิงไม่ถืง

บั้งไฟแสนก็ไปไม่ถืงเหมือนกัน

สงครามจบลงในปี 2488 ไทยยอมแพ้ ต้องทำสัญญากับออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส จ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม หลังจากนั้นก็เป็นเวลาซ่อมเศรษฐกิจ และจ่ายหนี้มหาศาล หนี้สงครามเยอะมาก ต้องจ่ายข้าวให้อังกฤษ 3 ล้านตัน มีสัญญาห้ามขุด"คอคอดกระ"ด้วย ค่าเงินก็อ่อน ไม่มีรายได้ ญี่ปุ่นมาพิมพ์เงินฟรีไปมาก สมัย ร.๔ หนื่งบาทเท่ากับหนื่งปอนด์เชียวนาครับ  

เอาว่าก่อนปี 2500 ประเทศไทยจนมาก แร้นแค้น ไม่มีถนน ไฟฟ้า น้ำประปา โรงพยาบาล หมอ พยาบาล โรงเรียน คือมีบ้าง เป็นบางที่ คนส่วนใหญ่อาศัยกระต็อบหลังคามุงจากมีปัญหาว่าข้าวจะไม่พอกิน ไก่ หมูเป็นของหายาก ใช้หนี้กันยาวนาน จากปี 2475-2500 ไม่มีประวัติศาสตร์ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ มีเพียงประวัติบุคคล ใครทะเลาะกับใคร ประเทศเสียเวลา เสียโอกาสมาก ยุ่งอยู่กับการชำระหนี้ต่างชาติ

พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ขื้นครองราชย์ในปี 2489 ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก อันตรายจากคนในรัฐบาล บ้างก็แนวฮิตเลอร์ บ้างก็แนวบอลเชวิก ทรัพย์สิน เช่น ที่ดินของพระมหากษัตริย์แถวรอบวังสวนจิตร สามเสน ศาลาแดง สีลม ถูกเอาไปขายแบ่งกัน

สถิติปี 2503 ที่ฝรั่งมาสำรวจให้ UN Escap ไทยมีรายได้ต่อหัวต่ำสุดในเอเซีย ต่ำกว่า มาเลย์ 4 เท่า ต่ำกว่าเวียดนาม กัมพูชา ลาว พม่า อินเดีย ฟิลิปปินส์ แค่ 2,000 บาทต่อคนต่อปี ต่ำกว่าญี่ปุ่น 8 เท่า ญี่ปุ่นสร้างเครื่องบิน เรือรบ เหล็ก เป็นตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว

รัชกาลที่ ๙ ในหลวงของเรา ทรงพลิกฟื้นสถานะไทยกับต่างประเทศ สถานการณ์ยุคนั้นคือ

ไทยต้องการมิตรประเทศเพื่อมาป้องกันอันตรายจากภัยคุกคามรอบบ้านไทยต้องการเงินเพื่อมาลงทุนสร้างถนน น้ำ ไฟฟ้า เขื่อนกันน้ำท่วม การศืกษา โรงพยาบาลไทยต้องการให้มีการลงทุนสร้างอุตสาหกรรม และบริการ ขยายการเกษตร สร้างงานให้คนไทยต้องการการยอมรับนับถือจากต่างชาติ ให้คนลืมสงครามโลกครั้งที่สอง ไทยต้องการพัฒนาให้เท่าเทียมประเทศเพื่อนบ้าน

ในหลวงเสด็จประพาสประเทศในตะวันตก 14 ประเทศ หกเดือนเต็ม พร้อมพระราชินี มี ม.ร.ว. คืกฤทธิ์ ปราโมช เป็นแม่กองจัดการ ท่านผู้นี้เป็นแม่กองจัดการเสด็จต่างจังหวัดด้วยโชคดีของคนไทย พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ตรัสได้หลายภาษา อย่างดีมาก ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน เข้าใจขนบธรรมเนียม  วัฒนธรรม และทรง witty แบบฝรั่ง ทั้งความสง่างาม ทุกสิ่งทุกอย่างไม่แพ้ใครในโลก ทรงน่าเกรงขาม แต่นุ่มนวล และเป็นมิตร ไม่มีคนไทยคนไหนทำได้ขนาดนั้น การที่ทรงศืกษาที่สวิสนั้น คนยุโรปและอเมริกาถือว่าสุดยอดแห่งอารยธรรม  เป็นสังคมที่สร้างคนที่เข้าใจอารยธรรมหลากหลาย ทั้งสองพระองค์มีพระบุคลิกภาพที่เป็นที่ชื่นชมของคนในทุกประเทศ สมเด็จพระนางเจ้านั้น ได้ชื่อว่าเป็นพระราชินีที่สวยที่สุดในโลก รูปถ่ายลงปกหนังสือพิมพ์ ออกทีวีกันมากมาย ตอนนั้นผมเป็นเด็ก ภูมิใจมาก ทั้งสองพระองค์นั้นทรงเป็นนักการต่างประเทศ และนักการทูตที่ยอดเยี่ยมมากที่สุด ประสบการณ์นะครับ ทรงมีพระ nobility มาก การเสด็จเยือนจืงได้ความเคารพนับถือจากประมุขประเทศ หัวหน้ารัฐบาล รัฐบาลต่างประเทศ และที่สำคัญประชาชนของประเทศนั้นๆ ออกมารอรับกันเนืองแน่น ต้อนรับใหญ่โตมากๆ ข่าวกระจายจากที่หนื่งไปอีกที่หนื่ง

ในยุคนั้นสถาบันกษัตริย์ในยุโรปสูงส่งมาก นี่เป็นคุณต่อประเทศไทยที่มีสถาบันกษัตริย์

จากการเสด็จเยือนของทั้งสองพระองค์ ต่อมาประมุข และหัวหน้ารัฐบาลเหล่านั้นก็มาเยือนประเทศไทยอีก ชื่อประเทศไทยปักสง่างามบนแผนที่โลก ต่อมา ทรงเสด็จเยือนประเทศในเอเซีย เมื่อทรงได้รับมาตรฐานระดับสูงลิ่วนั่น แถวเอเซียก็ต้อนรับยิ่งใหญ่มาก เชิงแข่งนิดๆ คนไทยภูมิใจกันสุดๆ นี่คือการทูตที่ดีที่สุดของไทย ยุคโลกสองขั้ว พระองค์ท่านช่วยให้ประเทศไทยยืนถูกข้าง ไม่ล้ม

สมัยพวกผมเรียนมหาวิทยาลัย ประธานาธิบดี กษัตริย์ หัวหน้ารัฐบาลต่างๆจะมา เมืองไทยกันถี่ยิบ สมเด็จพระนางเจ้าจะทรงตรัสในหอประชุมว่า "ข้าพเจ้าจะมีแขกมาเยือน ช่วยกันหน่อยนะ"

พวกผมก็ได้ทำประโยชน์เช่นไปยืนเข้าแถวรับบ้าง แปรอักษรบ้าง นั่งปรบมือในหอประชุมบ้าง

ใครมากล่าวหาพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านแบบไม่รู้เรื่อง  คนไทยโกรธ เพราะพวกเราถือว่าเป็นงานของเราคนไทยทั้งชาติที่ช่วยกันทำประเทศไทยได้อะไรได้รับการยอมรับจากทั่วโลก เรื่องไทยเป็นประเทศแพ้สงครามโลกครั้งที่สองร่วมกับญี่ปุ่น เยอรมัน อิตาลี่ หายไป มีเงินช่วยเหลือหลั่งไหลเข้ามา พร้อมเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เขื่อนเจ้าพระยายุคนั้น 3,500 ล้านเอง ทุนเรียนนอกเยอะมาก

ตลาดสินค้าเปิด มีการลงทุนเข้ามามาก ตั้งแต่นั้น การท่องเที่ยวก็เริ่มจากราว 1 ล้านคนมาจนปัจจุบัน เป็นยุคของการฟื้นฟูอารยธรรม วัฒนธรรม อวดแขกเมือง แพร่ไปทั่วโลก เป็นยุคที่ประมุขต่างประเทศเสด็จเยือนต่างจังหวัด เช่นเชียงใหม่ จนกลายเป็นเมืองระดับโลก เป็นจุดเริ่มต้นของการมาทำข่าวประเทศไทยไปทั่วโลกครับ คนรุ่นผมเรียนรู้จากการช่วยงานพระองค์ท่านกันทั้งประเทศ

เราจืงภูมิใจมาก ที่พระประมุขของเราทรงฉลาด เยี่ยมยอด เปี่ยมความสามารถ วันนี้ สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงเป็นพระราชินีผู้ครองราชย์ยาวนานที่สุดของโลกนะครับ

ความลับที่ไทยมีความสัมพันธ์ที่ดี เกิดอาเซียน 10 มั่นคงมานาน เพราะในหลวงครับ

จีนบอกว่าทรงเป็นผู้สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างสองแผ่นดิน พระจักรพรรดิญี่ปุ่นนั้น ใกล้ชิดกับพระราชวงศ์ไทยมาก การลงทุนญี่ปุ่นจืงมากันเพียบ ประธานบริษัทใหญ่ๆของญี่ปุ่นตัดสินใจลงทุนทันทีที่ได้เข้าเฝ้า  ทรงปิดทองหลังพระให้คนไทยมากมายจริงๆ ผู้ที่กระทำการชั่วร้ายให้สถาบันเสียหายคือ การทำลายชาติครับ เห็นทำกันมาหลายปี

กราบขอพระอภัยโทษพระองค์ท่าน  น่ะถูก แต่ความเสียหายต่อประเทศและประชาชน เอาคืนมาไม่ได้แล้ว ที่น่าประหลาด คือ ทั้งสองพระองค์ไม่เคยพูดว่าทรงทำอะไรให้ประเทศมากมายมหาศาลขนาดไหน ทรงปิดทองหลังพระ

พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ กับการต่างประเทศ บุญวาสนาของคนไทยและประเทศไทย ในสถานการณ์ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อนักข่าวต่างชาติถามในหลวงว่า ทำไมจึงไม่ค่อยยิ้ม

ทรงชี้ไปที่สมเด็จพระนางเจ้า แล้วบอกว่า

 

"That is my Smile"