การทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐

วันศุกร์ที่ 04 ธันวาคม 2020 เวลา 14:09 น. ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท ประชาสัมพันธ์ - ประชาสัมพันธ์
พิมพ์

ร.10 ทรงงานแบบเก็บเงียบ

ด้วยนัยยะแห่งปัญหา อันซ่อนเร้น เกาะกิน จนฝั่งรากลึก  แต่ถูกบางคนเอาไปบิดเบือนเพื่อหากิน”

ที่คุณหรือใคร...อาจไม่เคยรู้มาก่อน
.....................................
ในหลวง กำลังสั่งเก็บกวาดบ้าน แต่ถูกใส่ความว่า ไม่ทำอะไรเลย แถมจะกินรวบ

การทรงงานของในหลวงรัชกาลปัจจุบัน มีสไตล์เป็นของพระองค์เอง คือ การทำงานหนัก แต่พูดน้อย หรือ ไม่พูดเลย

จึงถูกไอ้โม่ง ฝ่ายต่อต้านเอาไปบิดเบือน เพื่อให้ร้ายว่า ในหลวงกระทำการมิชอบ

ทุกอย่างที่พระองค์ทำ  มีนัยยะแห่งปัญหา ที่ซ่อนเร้น และ ฝังลึก เกาะกินราชสำนักมาเนิ่นนาน

ตลอดเวลา ๔ ปีที่ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ขึ้นครองราชย์สมบัติ มีข่าวการกวาดล้าง จับกุม และเปลี่ยนแปลง โยกย้ายข้าราชการและ สำนักงานในพระองค์ หรือในราชสำนัก เช่น การแต่งตั้งบิ๊กแดง อดีต ผบ.ทบ. รวมทั้งอดีต ผบ.ตร., ผบ.ทอ.,ผบ.ทร.” เป็นราชองครักษ์

การย้ายกรมทหารเข้ามาอยู่ภายใต้สำนักงานในพระองค์ หรือ ที่เป็นดราม่าใหญ่สุดคือ การรวมสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่ฝ่ายต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ เอาไปเล่นเกมส์การเมือง เพื่อโจมตีให้ร้ายอย่างจาบจ้วง ต่อในหลวงรัชกาลปัจจุบันและ ลามไปถึงในหลวงรัชกาลก่อน
ในทำนองว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ จะกินรวบ ทั้งเงินงบประมาณแผ่นดิน จากภาษีของประชาชน และทรัพย์สมบัติจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

ทั้งที่ความจริง ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ พยายามล้างบาง กับการคอรัปชั่นที่เกาะกินราชสำนัก เช่น ในสำนักงานทรัพย์สินฯ มาเนิ่นนาน เพื่อให้เกิดความเที่ยงตรง และโปร่งใส ในการบริหารจัดการ

สาเหตุที่ในหลวงต้องทำการล้างบางอย่างเงียบๆ  ทั้งที่สิ่งที่ทำนั้น เป็นงานใหญ่ยักษ์  และ ยุ่งยากมาก เพราะมีเครือข่าย คอรัปชั่นที่เกาะกินภายใน เป็นบุคคลที่ทรงอำนาจและ มีเครือข่ายเป็นเหมือนใยแมงมุม

การที่จะเอ่ยปากอะไรออกไป อาจมีผบกระทบ ต่อบุคคลอันเป็นที่รักและเคารพ ที่เคยจงรักภักดี รวมทั้งกระทบต่อแผนการดำเนินการได้

พระองค์จึงอยู่ในอาการที่ชาวบ้านอย่างเรา เรียกว่า กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ที่สำคัญ คือการล้างบางใหญ่ครั้งนี้ส่งผลถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตของพระองค์ ถึงขั้นมีข่าวรั่วเรื่องการลอบปลงพระชนย์

แต่ธนาธร และพวก กลับนำ”ความพยายามที่ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงการทำงานให้โปร่งใส และล้างบางภายในราชสำนัก และ ในสำนักทรัพย์สินฯให้สะอาด “ ไปเป็นเกมส์การเมือง ว่าในหลวงจะกินรวบสมบัติของชาติไทย ทั้งๆ เป็นสมบัติของสถาบันฯ ที่ถูกยำมาตลอดหลายสิบปี ทั้งจากภายนอก และภายในของสำนักทรัพย์สินฯ

หนึ่งในตัวอย่างที่พอจะยกมาให้เห็นภาพคือ การทุจริตในสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
.......................................
ในขณะที่ นายธนาธร ผู้เป็นพี่ชาย พยายามโจมตีสถาบันฯ ด้วยการโจมตีว่า สำนักงานทรัพย์สินมีความไม่ชอบมาพากล

ตัวน้องชายธนาธร ก็แอบยัดเงินใต้โต๊ะถึง 20 ล้านบาทให้กับคนในของสำนักทรัพย์สินฯ เพื่อหวังจะฮุบสัมปทานที่ดิน ทำเลทองย่านชิดลม”

เขาคือ สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ น้องชายของธนาธร เป็นนักพัฒนาที่ดิน

หลังจากธนาธร ลาออกจากบริษัทไทยซัมมิท เพื่อลงสนามการเมือง นายสกุลธร ก็ก้าวเข้ามารับตำแหน่งแทนธนาธร

เมื่อปี 2560 เกิดคดีที่นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ยัดเงินใต้โต๊ะถึง 20 ล้านบาทให้กับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ โดยหวังจะฮุบสัมปทานที่ดินทำเลทองย่านชิดลม เพื่อนำมาพัฒนาที่ดิน บริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม) ซึ่งกำลัง จะหมดสัญญาเช่า
แต่สถานการณ์พลิกล็อก กลับกลายเป็นว่า สกุลธร โดนหลอกอีกที
โดยจำเลยในคดีนี้มี 2 คน คือนายประสิทธิ์ อภัยพลชาญ และ นายสุรกิจ ตั้งวิทวนิช คนหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และ อีกคนหนึ่งเป็นเหมือนคนกลาง ที่คอยประสานงาน
โดยการให้จําเลยที่ ๑ ซึ่งดํารงตําแหน่ง เจ้าหน้าที่บริหารโครงการ ระดับ บ.๔ แผนกโครงการธุรกิจ ๑ กองโครงการธุรกิจ ๑ ฝ่ายโครงการพิเศษ สํานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับ

โดยจําเลยที่ ๑ ได้เป็นผู้ลงนามด้วยการปลอมลายมือชื่อ นายสุรพล เล็กเลิศผล โดยมีใจความสําคัญว่า บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด ได้ผ่านการพิจารณา คุณสมบัติของผู้ลงทุนในเบื้องต้นแล้ว สํานักงานทรัพย์สินฯ จึงขอให้นายสกุลธร ยื่นแผนการพัฒนาพื้นที่ และ การลงทุนโดยจะเป็นการทําสัญญาเช่า กับสํานักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ระยะยาว
ในขณะที่จําเลยที่ ๒ ซึ่งทำตัวเหมือนหน้าหน้าคนกลาง ร่วมกันกระทําความผิด ซึ่งสร้างความเสียหายแก่ สํานักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์  บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด นายสุรพล เล็กเลิศผล ผู้อื่นและประชาชน
............................................
เมื่อนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ เชื่อว่าสํานักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ มีที่ดินแปลงดังกล่าวให้เช่าจริง จึงให้จําเลยที่ ๒ ดําเนินการติดต่อประสานงาน และ อํานวยความสะดวก เพื่อให้ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด ได้สิทธิการเช่าที่ดินแปลงดังกล่าวโดยมีค่าตอบแทน จํานวน ๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ใช่แล้ว ห้าร้อยล้านอ่านไม่ผิด)

จากนั้น จําเลยทั้งสองได้ร่วมกันในลักษณะ แบ่งหน้าที่กันทํา
โดยจําเลยที่ ๑ ได้แนะนําให้นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ยื่นหนังสือแสดงความจํานง ขอเช่าที่ดินต่อสํานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อเดิม) ตามช่องทางปกติ แล้วจําเลยทั้งสอง ร่วมกันเรียกรับเงินงวดแรกจํานวน ๕ ล้านบาท จากนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ และร่วมกันใช้เอกสารราชการ ที่จําเลยทั้งสองร่วมกัน ทําปลอมขึ้นดังกล่าว อ้างต่อ นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ

เพื่อให้นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ หลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริง
เมื่อนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้รับหนังสือทั้งสองฉบับดังกล่าว  จึงได้จ่ายเงินงวดที่สอง จำนวน ๕ ล้านบาท  ตามมาด้วยงวดที่สามอีก ๑๐ ล้านบาท รวม ๓ งวด จํานวนเงินรวมทั้งสิ้น ๒๐ ล้านบาท ให้แก่จําเลยทั้งสอง รับไว้สําหรับตนเองเพื่อเป็นการตอบแทน ในการที่จําเลยทั้งสอง จะร่วมกันไป ดําเนินการติดต่อประสานงาน และนําเงินส่วนหนึ่ง ไปมอบให้รองผู้อํานวยการสํานักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์

คดีนี้ จบลงด้วยคำพิพากษาจำคุก ๒ คน คือ นายหน้าและเจ้าพนักงานสำนักทรัพย์สินฯ

ส่วนนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ น้องชายนายธนาธร ยังคงลอยหน้าอยู่ในสังคม และ ดำเนินธุรกิจต่อไป

ทั้งๆ ที่ร่วมกันคอรัปชั่น ด้วยการยัดเงินใต้โต๊ะ  ถึงแม้นายสกุลธร ในที่สุด จะไม่ได้สิทธิ์ ในการเข้าไปพัฒนาที่ดิน ของสำนักทรัพย์สินฯ แต่เขาได้มีความพยายาม ที่จะซิกแซ็ก ยัดเงินใต้โต๊ะถึง 20 ล้านบาท เพื่อให้ได้สิทธิ์ในการเข้าไปบริหารจัดการที่ดิน ของสำนักงานทรัพย์สินฯ
.........................................
น้องชาย หวังจะกอบโกยผลประโยชน์ จากสำนักทรัพย์สินฯ ในขณะที่พี่ชาย นายธนาธร คือ หัวหอกเรียกร้องในปฏิรูปสถาบัน ด้วยข้อกล่าวหาอันจาบจ้วงว่า พระมหากษัตริย์กินรวบ สกนักงานทรัพย์สินฯ

ทั้งที่ความจริง ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ พยายามล้างบาง กับการคอรัปชั่นที่เกาะกิน สำนักงานทรัพย์สินฯ มานาน เพื่อให้เกิดความเที่ยงตรง และโปร่งใส ในการบริหารจัดการต่อไป

แต่นายธนาธนและพวก กลับนำความพยายาม ที่จะปรับปรุง เปลี่ยนแปลงการทำงานให้โปร่งใสและ ล้างบางการทุจริตในสำนักงานทรัพย์สินฯ ให้สะอาด ไปเป็นเกมส์การเมือง ว่าในหลวงจะกินรวบสมบัติของชาติไทย ทั้งๆ ที่เป็นสมบัติของสถาบันฯ ที่ถูกยำมาตลอดหลายสิบปี ทั้งจากภายนอกและภายใน ของสำนักทรัพย์สินฯ

ยังมีรายชื่อ อีกหลายคนที่เป็นคนใกล้ชิด ที่กระทำการคอรัปชั่นในราชสำนัก และ มุ่งร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ถ้าเอ่ยชื่อนามสกุลออกมา ทุกคนจะหงายเก๋ง เพราะท่าน จะไม่อยากเชื่อว่า เขาจะกล้ากันได้ถึงขนาดนี้

อัษฎางค์ ยมนาค