ระบบคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้า บทความของอาจารย์วิจารณ์ พานิช

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2012 เวลา 00:00 น. ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท บทความ - พัฒนาทุนมนุษย์
พิมพ์

เป็นที่ตกลงกันทั่วโลกแล้วว่า หากจะให้ผู้คนในประเทศใดๆ มีสุขภาวะดี  ประเทศนั้นต้องมี ระบบคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้า  โดยที่มตินี้ ได้รับการรับรองจากสมัชชาสุขภาพโลก  และจากสมัชชาสหประชาชาติ

แต่ละประเทศจะต้องมีระบบของตนเอง  เลียนแบบกันไม่ได้ทั้งหมด  เพราะแต่ละประเทศมีเงื่อนไขหรือบริบทแตกต่างกัน

คำว่า “คุ้มครอง” ในที่นี้หมายความว่าประชาชนได้รับความคุ้มครอง  คือเข้าถึงบริการที่จำเป็นหรือต้องการได้ อย่างเท่าเทียมกัน  และการใช้บริการนั้นไม่เกิดภาระด้านค่าใช้จ่ายต่อประชาชนผู้นั้นจนเกินกำลัง  และในขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่เกิดภาระต่อภาครัฐ หรือต่อสังคมจนเกินกำลังเช่นกัน

เรื่อง “ไม่เกิดภาระด้านค่าใช้จ่ายอย่างไม่สมเหตุสมผล” นี่แหละ ซับซ้อนอย่างยิ่ง  เป็นที่มาของการสร้างระบบที่เน้นการสร้างเสริมสุขภาพ และการป้องกันโรค (ป้องกันปัญหาที่ต้นทาง) ยิ่งกว่าเน้นการรักษาโรค(แก้ปัญหาที่ปลายทาง)

ประเทศไทยเรามี สสส. เป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่ง ในการทำหน้าที่ที่ต้นทางของระบบคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้า  และทำหน้าที่อย่างชาญฉลาด  คือเน้นให้ตัวประชาชน และชุมชนใกล้ตัวเอง เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนขบวนการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค

ระบบคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้า จึงต้องทำงานเชิงรุก และงานตั้งรับ อย่างสอดคล้องเป็นเนื้อเดียวกัน  ให้เกิดการลงทุนลงแรงน้อย ได้ผลมาก  งานเชิงตั้งรับ คือด้านรักษาโรค ก็ต้องมีทั้งระดับปฐมภูมิ รักษาโรคง่ายๆ  ทุติยภูมิ  และ ตติยภูมิ เป็นเส้นทางส่งต่อผู้ป่วยอย่างเป็นระบบ  ต้องสร้างความเข้มแข็งของทุกระดับ  และหาทางลดการใช้บริการแบบข้ามขั้นตอน เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก

ต้องมีการวางยุทธศาสตร์ วางแผนของระบบ เพื่อทำงานรับมือกับปัญหาได้ตรงเป้า  จึงต้องรู้เป้าของแต่ละประเทศ  ซึ่งในภาพใหญ่เหมือนกันหมด  คือปัญหาสุขภาพในปัจจุบันที่ก่อความสิ้นเปลืองมากอยู่ที่โรคเรื้อรัง ที่เกิดจากวิถีชีวิตที่ไม่เหมาะสม (เช่นสูบบุหรี่  ไม่ออกกำลังกาย  กินอาหารมากเกินไป)  และอยู่ที่ประชากรสูงอายุมีสัดส่วนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในการประชุมคณะกรรมการรางวัลนานาชาติ รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ  Sir Gus Nossal กล่าวว่า ราคายาและเทคโนโลยีทางการแพทย์ ไม่ได้ตั้งตามราคาต้นทุนของการผลิต  แต่ตั้งตามความสามารถของผู้ซื้อ ว่าพอใจซื้อในราคาเท่าไร  ฝ่ายผู้ซื้อเทคโนโลยีจึงต้องมีความสามารถในการประเมินความคุ้มค่าของเทคโนโลยีแต่ละชนิด  ว่าในบริบทของประเทศของตน เทคโนโลยีนั้นคุ้มค่าหรือไม่  ไม่ใช่ซื้อเทคโนโลยีตามประเทศที่พัฒนแล้ว เพื่อโชว์ความทันสมัย

โชคดีที่ประเทศไทยมีแผนงานประเมินเทคโนโลยีและนโยบายสุขภาพทำหน้าที่นี้  เป็นองค์ประกอบหนึ่งของระบบคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้า

ระบบคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้า ไม่ใช่ระบบที่หยุดนิ่ง  แต่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  มีแรงกดดัน หรืออิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ รอบด้าน  จึงต้องมีการวิจัยตรวจสอบเชิงระบบในแง่มุมต่างๆ อยู่ตลอดเวลา  สำหรับเป็นเข็มทิศชี้ทางต่อการวิวัฒนาการระบบ  ให้วิวัฒน์หรือดีขึ้น ไม่ใช่วิบัติ หรือเสื่อม

ประเทศไทยเราก็โชคดีเช่นกัน ที่มีสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) มาตั้งแต่ปี พ.ศ.​๒๕๓๕   ได้สร้างผลงานวิจัยเชิงระบบที่มีคุณประโยชน์มากมาย  ที่จริงโครงการคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้า ที่เวลานี้จัดการโดย สปสช. เป็นองค์กรหลัก ก็มาจากผลงานวิจัยของ สวรส.  รวมทั้ง สสส. และ สรพ. ก็มาจากการวิจัยของ สวรส. ทั้งสิ้น

มองจากประชาชน ผู้รับการคุ้มครอง  นักวิชาการบอกว่า ประชาชนต้องเข้าถึงบริการที่จำเป็น (Access)  อย่างเท่าเทียมกัน (Equity)  โดยที่บริการนั้นต้องมีคุณภาพดี (Quality)  ตรงคุณภาพนี้ ประเทศไทยเราก็มีสถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) ทำหน้าที่ขับเคลื่อนคุณภาพของระบบริการสุขภาพทุกระดับ

ในการประชุม 2ndGlobal Symposium on Health Systems Research (31 Oct. – 3 Nov. 2012) ที่ปักกิ่ง เมื่อวันที่ ๓๑ ต.ค. มีการนำเสนอเรื่อง การคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้าในประเทศ BRICs  คือ บราซิล  รัสเซีย  อินเดีย  และจีน  ผมประทับใจประเทศบราซิลมาก  ที่มีการวิจัยตรวจสอบการเสียดุลการค้าระหว่างประเทศ ที่เกิดจากระบบคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้าด้วย  และวางยุทธศาสตร์ลดการเสียดุลย์ลง  โดยผลิตยาและเวชภัณฑ์ขึ้นใช้เอง

ประเทศไทยเรายังขาดการวิจัยระบบ ที่ตรวจสอบขนาดและแนวโน้มของการขาดดุลการค้า ที่เกิดจากระบบสุขภาพ

 

 

วิจารณ์ พานิช

๑๔ พ.ย. ๕๕


คำสำคัญ (keywords): 551123, hitap, ihpp, UHC, ปักกิ่ง, สปสช., สรพ., สวรส., สสส.
· เลขที่บันทึก: 509774