มนุษย์จะสูญพันธ์หรือไม่

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน 2013 เวลา 00:00 น. ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท บทความ - การศึกษา
พิมพ์

นิตยสาร นิวสวีก ฉบับวันที่ ๓ &๑๐ พ.ค. ๒๕๕๖ ลงพิมพ์เรื่อง Can humans survive?เขียนโดย AnnaleeNewitzน่าอ่านมาก  เขาบอกว่าสิ่งมีชีวิตในโลกนี้ได้ผ่านยุค mass extinction มาแล้ว ๕ ครั้ง

ครั้งหลังสุดคือเมื่อไดโนเสาร์สูญพันธุ์ ไปพร้อมๆ กับ ร้อยละ ๗๖ ของชนิดสิ่งมีชีวิตที่มีในโลกในขณะนั้น  และการสูญพันธ์ใหญ่ครั้งที่ ๔ เกิดขึ้น ๑๘๕ ล้านปีก่อนหน้านั้น  ในครั้งนั้น ร้อยละ ๙๕ ของชนิดของสิ่งมีชีวิตในโลกสูญพันธุ์ไป  ช่วงยุคสูญพันธุ์ใหญ่ครั้งที่ ๔ นั้น เป็นช่วงเวลาประมาณ ๑ แสนปี

ยุคสูญพันธุ์ใหญ่ครั้งที่ ๖ ของโลกกำลังเคลื่อนเข้ามาถึง ใช่หรือไม่?  แต่เป้าหมายในขณะนี้คือ มนุษย์น่าจะดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้อีกอย่างน้อย ๑ ล้านปี

ตอนนี้ มีผู้สังเกตว่า ในช่วง ๔ ปีที่ผ่านมา ผึ้งซึ่งเป็นสัตว์สังคมที่มีระเบียบวินัย เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงของวินัยภายในรัง  กลายเป็นไม่มีวินัย  ทำให้เกิดการแตกสลายของรัง ที่เขาเรียกว่า colony collapse disorderซึ่งเกิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๐  มีผลต่อรังผึ้งร้อยละ ๓๐ ของจำนวนรังทั้งหมด ทุกๆ ปี  และสงสัยว่า อาจเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ เนื่องจากโลกร้อน  และหากผึ้งสูญพันธุ์ ก็จะเกิดผลต่อเนื่องโดมิโน ต่อการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ  เนื่องจากผึ้งทำหน้าที่เป็นผู้ผสมเกสร ในระบบนิเวศ

ขอแถมตรงนี้ว่า คนขี้เถียงอย่างผมเถียงว่า  ผึ้งสูญพันธุ์ นักผสมเกสรชนิดอื่น เช่นแมลงชนิดอื่นๆ ก็เปรมสิครับ  เขาไร้คู่แข่ง เขาก็มีอาหารเพิ่มขึ้น ขยายพันธุ์ขึ้นมาทำหน้าที่ผสมเกสรทดแทนผึ้ง

กลับมาที่บทความในนิตยสาร เขาบอกว่าเวลานี้ชนิดของสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปรวดเร็วที่สุดคือ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ  หนึ่งในสามของสัตว์กลุ่มนี้กำลังจะสูญพันธุ์  และมีผู้ประมาณว่า ขณะนี้ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดสูญพันธุ์ไปปีละ ๒๗,๐๐๐ ชนิด

เมื่อไรจะถึงชตากรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์

มนุษย์เป็นสัตว์ฉลาด ย่อมดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด  และลู่ทางใหญ่ๆ มี ๒ ทาง คือทางหนึ่งทำให้อยู่รอดในโลกใบเดิมนี่แหละ  อีกทางหนึ่งหนีไปอยู่นอกโลก  เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่มาแล้ว ๑ ล้านปี  จะต้องอยู่ต่อไปให้ได้อีก ๑ ล้านปี   ต้องได้สิน่า เพราะมีตัวอย่างเผ่าพันธุ์อื่น ที่อยู่ในโลกมาแล้วตั้งพันล้านปี

วิธีง่ายๆ ตรงไปตรงมาที่สุด เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปในโลก คือควบคุมการปลดปล่อยคาร์บอนออกสู่ชั้นบรรยากาศของโลก โดยวิธีต่างๆ  โดยที่เวลานี้โลกได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว

วิธีการเปลี่ยนแปลงโลก เรียกว่า geo-engineering  ส่วนวิธีไปสร้างโลกใหม่อยู่เรียกว่าterra-forming

วิธี Geo-engineering มี ๒ วิธี คือ (๑) วิธีจัดการแสงอาทิตย์ (Solar management)  (๒)​ วิธีเอาคาร์บอนไดอ็อกไซด์ ออกจากบรรยากาศ(carbon-dioxide removal)

วิธีจัดการแสงอาทิตย์มีหลากหลายวิธีโดยสะท้อนแสงอาทิตย์อย่าให้ตกลงมายังโลกวิธีหนึ่งโดยพ่น aerosol ขึ้นไปในอากาศเหนือมหาสมุทร  ไปทำให้เกิดเมฆสะท้อนแสงอาทิตย์ออกไป แบบที่เกิดขึ้นเมื่อเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ ปล่อยไอเสียเจือกำมะถันขึ้นไปในบรรยากาศก่อให้เกิดเมฆขนาดใหญ่สะท้อนแสงอาทิตย์  อีกวิธีหนึ่งคือสร้างเขม่ากำมะถัน แบบที่เกิดขึ้นจากภูเขาไฟระเบิด  ให้ขึ้นไปปกคลุมชั้นบรรยากาศชั้นบนๆ ของโลก ที่อยู่เหนือเมฆเหนือฝน  วิธีที่ก้าวหน้ายิ่งขึ้นก็คือ ปล่อย  particleX ขึ้นไปอยู่ในชั้น stratosphere เพื่อสะท้อนแสงอาทิตย์ออกไป

แต่ก็ไม่ตรงไปตรงมานะครับ  เขาว่าในชั้น สตรโตสเฟียร์มีลม  ซึ่งจะส่งผลให้หากปล่อย particle X ขึ้นไป โลกทั้งโลกเย็นลง  แต่ผืนดินผืนใหญ่ที่สุดคือ Eurasia จะอุ่นกว่าที่อื่น  นอกจากนั้น ยังสงสัยกันว่า จะมีผลทำให้ภูมิอากาศและฤดูกาลรวนเรไปอย่างไรก็ยังไม่ทราบ  แต่สงสัยว่าเกิด  และที่แน่ๆ คือ ท้องฟ้าจะไม่เป็นสีฟ้าอีกต่อไป  จะกลายเป็นสีขาว  เราจะต้องเปลี่ยนชื่อสีหรือเปล่าก็ไม่ทราบ

มีคนเตือนว่า geo-engineering จะเกิดผลดี มากกว่าผลเสียหรือเปล่า

เคยมีคนเสนอให้ใช้สาหร่ายเซลล์เดียวช่วย  เลี้ยงสาหร่ายจำนวนมากในทะเล มันจะดูดคาร์บอนไดอ็อกไซด์ในกระบวนการสังเคราะห์แสง  หวังว่าเมื่อมันตายมันจะตกลงก้นทะเล พาเอาคาร์บอนตกลงไปที่ก้นทะเล  เป็นการดูดเอา คาร์บอนออกจากบรรยากาศ  แต่เมื่อทดลอง พบว่ามันปล่อยคาร์บอนขึ้นไปในชั้นบรรยากาศด้วย  ใช้ไม่ได้

อีกวิธีหนึ่ง ใช้ก้อนหิน ชนิดหินปูน  เอามาเผาให้ได้ปูนขาว เอาไปทิ้งลงไปในทะเล  จะทำให้น้ำทะเลดูดซับ คาร์บอนไดอ็อกไซด์ ๒ เท่าของที่เป็นอยู่แล้ว  แล้ว คาร์บอนในน้ำจะค่อยๆ ตกสู่ก้นมหาสมุทร  และการใส่ปูนขาว จะช่วยลดภาวะน้ำทะเลเป็นกรด ที่เป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบันด้วย  แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะมีผลข้างเคียงอื่นๆ ตามมาอย่างไร

วิธีใช้ก้อนหินอีกวิธีหนึ่ง เรียกว่า enhanced weathering  ซึ่งเคยเกิดมาแล้วเมื่อ ๔๕๐ ล้านปีก่อน ในยุค Ordovician  ที่มีฝนตกหนัก น้ำฝนชะภูเขาจนราบ  ฝุ่นผงจากหินดูดซับคาร์บอนจากชั้นบรรยกาศ ทำให้ระดับ อ็อกซิเจนในอากาศสูงขึ้น  และโลกเย็นลงจนเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง  วิธีเลียนแบบทำง่ายๆ คือทะลายภูเขาเอามาป่น แล้วทิ้งไว้ให้สัมผัสอากาศ

ทุกวิธีของ geo-engineering มีความท้าทายที่ความพอดี  และการควบคุมไม่ให้เกิดผลไม่พึงประสงค์

ต่อไปนี้เป็นวิธีออกไปตั้งนิคมมนุษย์นอกโลก  ซึ่งจะเป็นก้าวกระโดดใหญ่ของอารยธรรมมนุษย์

สิ่งแรกที่จะต้องเอาชนะ คือของที่เราคุ้นชินที่สุด ... แรงโน้มถ่วง  เราจะส่งชิ้นส่วนสิ่งก่อสร้างนิคมนอกโลกออกไปได้อย่างไร  ที่ตอบได้แน่นอนคือ ยานที่เรียกว่าจรวด ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันยังมีแรงขับเคลื่อนและระวางบรรทุกไม่เพียงพอ  ใช้จรวดไม่ได้

นักฝันบอกว่า ต้องใช้ “ลิฟท์อวกาศ” (space elevator)  รายละเอียดเป็นอย่างไรอ่านเองนะครับฝันนี้พิลึกกึกกือมาก  แถมยังเป็นลิฟท์ถาวรสู่อวกาศอีกด้วย  อย่างนี้ผมอยากเรียกว่า “ถนนอวกาศ” มากกว่า

ต่อคำถามว่ามนุษย์จะสูญพันธุ์หรือไม่ไม่มีคำตอบ  คำตอบคือมนุษย์จะดิ้นรนสุดฤทธิ์และจะเป็นแรงขับดันให้เกิดนวัตกรรมอีกมากมาย

 

วิจารณ์  พานิช

๒๒ มิ.ย. ๕๖

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/540351