ชีวิตที่พอเพียง : ๑๙๖๙. วันศักดิ์สิทธิ์

วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2013 เวลา 00:00 น. ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท บทความ - การศึกษา
พิมพ์

วันที่ ๔ ก.ค. ๕๖ เป็นวันพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยมหิดล ประจำปี ๒๕๕๕  โดยปีนี้จัดที่หอประชุมกองทัพเรือเช่นเคย  และพิธีก็จัดอย่างขลัง หรือศักดิ์สิทธิ์ เหมือนเดิม

ผมถือเป็นวันที่ผมทำหน้าที่ร่วมให้ความสุขแก่บัณฑิตและญาติมิตร  ถือเป็นวันสำคัญของบัณฑิตใหม่  และเป็นสร้างความประทับใจในความเป็นลูกมหิดล  ซี่งทีมจัดงานทำได้ดีมากเช่นเคย

ได้เคยเล่าแล้วที่นี่และที่นี่ว่าผมมีหน้าที่ปรากฏตัวรับเสด็จ และนั่งเป็นสักขีพยานในพิธี  ซึ่งเป็นงานที่ผมไม่ชอบ  ผมไม่ชอบพิธีกรรม  ไม่ชอบการเข้าเจ้าเข้านายหรือผู้ใหญ่  คงเป็นเพราะผมเกิดมาเป็นคนบ้านนอกคอกนา  จึงติดชีวิตง่ายๆ ไม่มีพิธีรีตอง  ไม่ชอบพิธีรีตองต่างๆ แต่งานนี้ผมไปทำหน้าที่อย่างเต็มใจ  ถือเป็นการรับใช้บัณฑิตของมหาวิทยาลัย

บทบาทชัดเจนที่สุดของผมคืออ่านคำกล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ  และถวายรายงานสั้นๆ เพียง ๒-๓นาที

งานวันนี้มีการปรับปรุงให้เร็วขึ้น โดยมีเป้าหมายนาทีละ ๓๒ คน  โดยมีการซ้อมไว้แล้ว  โดยทางเจ้าหน้าที่ ของสำนักพระราชวังมาบอกว่า ให้ตัดการเอางานออก  บัณฑิตเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ โดยไม่ต้องเอางาน เพื่อให้เร็วขึ้น

ตามเป้าคาดว่าช่วงเช้ามีผู้เข้ารับ ๓,๐๐๑ คน  และช่วงบ่าย ๒,๙๘๔ คน  น่าจะใช้เวลาช่วงละ ๑๐๐ นาที  มีเวลาพักครึ่ง ๒๐ นาทีได้สบาย  ตอนเช้าเริ่ม ๙ น. ก็เลิก ๑๑ น.  บ่ายเริ่ม ๑๓ น. เลิก ๑๕ น.  ปรากฏว่าช่วงเช้าเลิกเอา ๑๑.๓๕ น.  เพราะบัณฑฺตเดินเข้าไปรับช้า  ผมได้ยินอาจารย์ผู้ควบคุมพิธีการบอกบัณฑิตกลุ่มบ่ายว่า  ช่วงเช้าผิดแผน และได้ไปถามบัณฑิตที่รับช่วงเช้าแล้วว่าทำไมจึงช้า  ได้คำตอบว่า รับแล้วต้องนิ่งไว้อึดใจหนึ่ง กลัวรูปไม่สวย  อาจารย์ท่านบอกว่า ไม่ต้องกลัวรูปไม่สวย  เพราะถ่ายพร้อมกันตั้ง ๕ กล้อง  ให้รับแล้วขยับตัวถอยกลับทันที  ช่วงบ่ายจึงเสร็จเวลา ๑๕ น. พอดี

ตอนเที่ยงอาจารย์วิมมาแซวผมว่า ตาปกติดีใช่ไหม  เพราะในพิธีนี้ปีที่แล้วตาผมบอดไปข้างหนึ่ง ดังเล่าในบันทึกนี้ เลยมีคนแซวต่อว่า เพราะปีนี้มีหมอตามาอยู่ด้วย  ตาจึงไม่เกเร ปีนี้เป็นปีแรกที่ อ. วิม (ศ. พญ. วณิชา ชื่นกองแก้ว) หมอตาประจำตัวผม มาร่วมพิธีในฐานะรองอธิการบดี

ระหว่างที่บัณฑิตปฏิญาณตน “...จะใช้ศิลปะวิชาการ แต่ในทางที่เป็นคุณประโยชน์  ไม่เกลือกกลั้วในโทษ อกุศลกรรมชั่วร้าย  จะขยายเกียรติคุณแห่งหมู่คณะ และวิชาชีพให้ไพศาล  จะสมานสามัคคี พลีประโยชน์ตนเพื่อส่วนรวม  จะยึดมั่นในคำปฏิญาณนี้ไว้ยิ่งกว่าชีวิต” ผมนึกในใจว่า หากบัณฑิตทุกคนหมั่นระลึกถึงและปฏิบัติตามคำปฏิญาณนี้จริงๆ  บ้านเมืองของเราจะน่าอยู่กว่านี้มาก

พระราโชวาทในปีนี้ยาวกว่าปีที่แล้ว  แต่สาระไปในทำนองเดียวกัน คือกล่าวให้สติในการทำงาน  ปีนี้ตามการตีความของผมทรงแนะนำให้ทำ PDCA  คือให้ตระหนักว่าการทำงานย่อมมีอุปสรรค หรือต้องปรับปรุงต่อเนื่อง  หากรู้จักพัฒนางานของตนอยู่อย่างสม่ำเสมอ ชีวิตก็จะประสบความสำเร็จ  นี่เป็นการสรุปความของผมนะครับ  พระราโชวาทไพเราะกว่ามาก

ช่วงบ่ายผมลองเอาโทรศัพท์ Galaxy Note II มาถ่ายรูปแถวบัณฑิตที่สวมครุยและเครื่องแบบแตกต่างกัน  เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองนั่งหลับ  จึงนำมาให้ดู

 

วิจารณ์ พานิช

๔ ก.ค. ๕๖

ตัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/545092

 

 



บรรยากาศภายในห้องพิธี ถ่ายจากด้านบนเวที



กองลำเลียงปริญญาบัตร



บัณฑิตช่วงเช้ากล่าวคำปฏิญญาณ


แถวคณาจารย์เข้ารับรางวัลมหาวิทยาลัยมหิดล



บนเวทีช่วงบ่าย



เต๊นท์ญาติของบัณฑิต



แถวผู้รับปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต ของวิทยาลัยนานาชาติ



แถวผู้รับปริญญาดุริยางคศาสตรบัณฑิต



พยาบาลศาสตรบัณฑิต (วิทยาลัยพยาบาลทหารบก)



พยาบาลศาสตรบัณฑิต (วิทยาลัยพยาบาลทหารเรือ)



พยาบาลศาสตรบัณฑิต (วิทยาลัยพยาบาลทหารอากาศ)



พยาบาลศาสตรบัณฑิต (คณะพยาบาลศาสตร์เกื้อการุณย์ ม. กรุงเทพมหานคร

แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2013 เวลา 11:47 น.