นำเรื่อง 10 ปีย้อนหลัง มาเล่า ปัจจุบัน ยังเหมือนเดิมหรือไม่

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน 2022 เวลา 16:02 น. ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท บทความ - บทความของ ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท
พิมพ์
ทำความดีเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและสังคมในประเทศไทยต้องมีความอดทนสูง ปัญหาที่คนดีๆมีกำลังช่วยสังคมและประเทศชาติต้องเลิกล้มความคิดเพราะข้าราชการที่มีความสำนึกต่ำเอาแต่ความชอบไม่ทำอะไร ไม่ใช่สมองทำงาน

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ก่อตั้งมาแล้วเป็นเวลานานกว่า 4 ปี โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้เกิดการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แบบบูรณาการ สร้างคนให้มีคุณค่า เพื่อรองรับภาคธุรกิจ หลังจาก 4 ปีในการสร้างเครือข่าย คณะกรรมการตกลงที่จะจดทะเบียนเป็นมูลนิธิ ต้องใช้เวลาในการหาข้อมูลและดำเนินการต่างๆเป็นเวลา เกือบ 4 เดือนจึงสามารถยื่นเรื่องขอจดทะเบียนเป็นมูลนิธิกับเขตหลักสี่ ก่อนที่จะผ่านด่านนี้ต้องใช้เวลาเกื่อบเดือนในการแก้ไขข้อบังคับ จัดเตรียมเอกสารต่างๆในการจดทะเบียน ทางเขตหลักสี่ไม่มีแบบฟอร์มหรือเอกสารใดๆที่จะส่งมอบให้ผู้แจ้งความจำนงในการขอจดทะเบียน เจ้าหน้าที่ บอกสิ่งที่ผู้ขอจดทะเบียนด้วยวาจา และถ่ายเอกสารตัวอย่างบางเรื่องให้ แต่ไม่มีข้อมูลที่สมบูรณ์ จึงทำให้ต้องเสียเวลาไปพบเจ้าหน้าที่อย่างน้อย 3 ครั้ง จนสามารถยื่นเอกสารได้ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่เขตหลักสี่ได้ส่งเรื่องไปให้ สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง  (วังไชยา ) กระทรวงมหาดไทย

ประมาณเกือบ 2 อาทิตย์ ได้รับโทรศัพท์แจ้งจากเจ้าหน้าที่สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมปกครอง แจ้งให้ไปพบเพื่อชี้แจงเรื่องเอกสารที่ส่งไปขอจดทะเบียนมูลนิธิ เมื่อไปพบ ก็แจ้งว่าในข้อบังคับที่เขียนไว้ เรื่องกรรมการ ทำให้สับสน และให้ไปจัดทำใหม่ตามตัวอย่างที่ให้มา จึงได้นำมาพิมพ์ใหม่ให้เป็นไปตามตัวอย่าง และได้ส่งไปให้เจ้าหน้าที่พิจารณา ปรากฎว่ามีการพิมพ์ตกหล่น ต้องนำมาแก้ไขใหม่ ในที่สุดต้องใช้เวลา 3 วันก่อนที่จะแก้ไขข้อบังคับให้ถูกต้อง และส่งให้เจ้าหน้าที่ได้ หลังจากนั้นได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ผู้นั้นอีกว่า ที่อยู่ของสำนักงานมูลนิธิที่ระบุในข้อบังคับ ไม่ตรงกับสำเนาเอกสารใบทะเบียนบ้าน ( ที่อยู่ที่พิมพ์ไว้ในข้อบังคับเป็นที่อยู่ที่ใช้ในปัจจุบัน ซึ่งมีรายละเอียดมากกว่าในสำเนาทะเบียนบ้าน ซึ่งทางเขตเองได้มีการแก้ไขเพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ทันต่อการขยายตัวของบ้านเมือง แต่ไม่ได้เปลี่ยนสมุดทะเบียนบ้านให้ ใช้แค่หมึกเขียนเพิ่มในสมุดทะเบียนแต่ไม่มีรายละเอียดพอ เรื่องนี้เป็นเรื่องของทางการเอง แต่ก็โยนให้ประชาชนต้องเดือดร้อน โดยการต้องเสียเวลาในการนำไปแก้ไขให้ตรงกับเอกสารที่ไม่ทันกับปัจจุบัน) หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้โทรแจ้งผมว่าเอกสารทุกอย่างสมบูรณ์แล้ว จะทำเรื่องส่งให้วันนี้ (ศุกร์ที่ 2 พ.ย.2555)

วันเสาร์ที่ 3 ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ท่านเดิมโทรมาหา และขอโทษว่าได้ติดต่อไปที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย เขาแจ้งว่า ตามหนังสือคำมั่นสัญญา ที่ผู้แจ้งความจำนงบริจาคเงินจำนวน 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาท) เพื่อเป็นทุนจัดตั้งมูลนิธิ จำนวน 23 ท่าน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 230,000 บาท (สองแสนสามหมื่นบาทถ้วน)  พร้อมสำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน ไม่เพียงพอเพราะไม่เชื่อว่าผู้ให้คำมั่นสัญญานั้นมีฐานะมั่นคงเพียงพอหรือไม่ จึงต้องให้ส่งหลักฐานการเงินของแต่ละท่านไปให้

ผมว่าเป็นความซื่อบื้อของนิติกรท่านนั้น เป็นการทำงานแบบไม่ใช้สมอง เอาแต่ความสบายของตัวเอง ไม่ให้บริการหรืออำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่มีความตั้งใจทำประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติ  ผมกำลังขอ ชื่อ และ นามสกุลของท่านผู้นั้นอยู่ และคิดว่าจะโทรหานิติกรผู้นั้นหรือหัวหน้าเพื่อจะได้ทราบข้อเท็จจริงว่า ปัญหาจริงๆอยู่ที่ไหน ควรจะแก้ไขอย่างไร หรือปล่อยให้เป็นแบบนี้

ไม่ใช่ว่าผมจะต่อต้านหรือไม่ยอมปฎิบัติตามกฎข้อบังคับ ผมเป็นคนมีเหตุผล ไม่ต้องการให้สิ่งผิดๆผ่านไป และทำกันโดยความเคยชิน มักง่ายเอาแต่ความสบายของตัว โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนและวุ่นวายจากคนที่เขามีความตั้งใจทำความดี เพราะถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ คนดีๆพร้อมเสียสละเพื่อส่วนรวม สังคม และประเทศชาติก็จะหมดความอดทนเลยไม่อยากเปลืองตัวและเปลืองเวลากับสิ่งไร้สาระ

ข้าราชการต้องเป็นผู้ให้บริการประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่ทำประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติ ไม่ใช้คอยแต่จะสร้างเงื่อนไข และความยุ่งยากเกินความจำเป็น

ขอให้พิจารณา ข้อบังคับด้านล่างที่กล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับเอกสารคำมั่นในการบริจาคเงินทุนในการจัดตั้งมูลนิธิ เพราะถ้าผู้ที่ออกหนังสือคำมั่นบริจาคเงินไม่ทำตามหนังสือคำมั่น มูลนิธิที่ได้รับการอนุญาตให้จดทะเบียนก็ต้องสิ้นสุดการเป็นมูลนิธิ

ท่านนิติกรผู้นี้ดูหมิ่นประชาชนที่มีความตั้งใจบริจาคเงินเพื่อการทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ผมคิดว่าผมทนไม่ได้ น่าจะฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาทให้เข็ด

ข้อความในกฎข้อบังคับมูลนิธิ

 

ข้อ 41 การสิ้นสุดของมูลนิธินั้นนอกจากที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้วให้มูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลงโดยมิต้องให้ศาลสั่งเลิกด้วยเหตุต่อไปนี้

41.1 เมื่อมูลนิธิได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้ว ไม่ได้รับทรัพย์ตามคำมั่นเต็มจำนวน


 

 

คอมเมนต์คอมเมนต์ 

 
#1 ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท 2012-11-06 00:38
ผมได้ชื่อนิติกร แล้ว พร้อมกับสำเนาเอ กสารคำสั่ง เลขที่ มท ๐๓๐๗.๔/ว ๕๖๙ ลงวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ลงนามโดย นายศิวะ แสงมณี รองปลัดกระทรวงม หาดไทย จะขอยกเฉพาะข้อท ี่นิติกรผู้นั้น อ้างดังนี้

๕.การลงนามในหนังส ือให้คำมั่นเกี่ ยวกับการยกทรัพย ์สินให้มูลนิธิ ให้ผู้ที่จะยกทร ัพย์สินเป็นผู้ล งนามในฐานะผู้ให ้คำมั่นพร้อมกับ แนบรายการทรัพย์ สินต่าง ๆ เช่น สำเนาบัญชีธนาคา รที่มีชื่อผู้ให ้คำมั่น หนังสือรับรองจา กธนาคาร หรือโฉนดที่ดินก รณีทรัพย์สินที่ ยกให้เป็นที่ดิน ทั้งนี้ผู้ลงนาม ในฐานะผู้รับคำม ั่นจะต้องเป็นผุ ้ที่ได้รับการเส นอชื่อจากคณะผู้ จัดตั้งให้เป็นป ระธานกรรมการมูล นิธิ

อนึ่ง ถ้าผู้ให้คำมั่น ดังกล่าวเป็นบุค คลเดียวกันกับผู ้ที่จะต้องรับคำ มั่นให้ผู้ที่ได ้รับการเส นอชื่อจากคณะผู้ จัดตั้งให้เป็นป ระธานกรรมการมูล นิธิมอบอำนาจเป็นลายลั กษณ์อักษรให้คณะ ผู้จัดตั้งคนหนึ ่งเป็นผู้ลงนามร ับคำมั่น

จากข้อความดังกล ่าว ถือว่าเป็นการเร ียกร้องเกิดความ จำเป็น และเป็นการละเมิ ดสิทธฺิ์

ผู้แจ้งความจำนง บริจาคเงินจำนวน 10,000 บาท จำนวน 23 คน เพื่อเป็นทุนในก ารจัดตั้งมูลนิธ ิ ล้วนเป็นผู้ที่ท รงเกียรติ ทำไมจะต้องแสดงท รัพย์สินให้เจ้า หน้าที่ด้วย ถือว่าเป็นการละ เมิดสิทธฺ์ และสำเนาคำสั่งท ี่นำมาอ้างอิงก็ เป็นสำเนาตั้งแต ่ปี 2547 ผู้ลงนามในคำสั่ งก็เกษียณอายุรา ชการไปแล้ว ในข้อบังคับก็ระ บุไว้แล้วว่า ถ้ามูลนิธิได้รั บอนุมุติแล้วและ ไม่ได้รับทรัพย์ สินตามจำนวนที่แ จ้งไว้ถือว่ามูล นิธินั้นหมดสิ้น สภาพการเป็นมูลน ิธิ การให้ผู้บริจาค เงินซึ่งเป็นกรร มการผู้จัดตั้งม ูลนิธิ ต้องส่งสำเนาบัญ ชีธนาคา รถือว่าเป็นการทำเกินเหต ุ เป็นการละเมิดสิ ทธฺิ์ส่วนบุคคล ไม่เกิดผลประโยช น์ในด้านใดๆ เป็นการเพิ่มภาร ะให้กับประชาชนโ ดยใช่เหตุ

ผมได้โทรไปอธิบา ยเจ้าหน้าที่เพื ่อให้นำเหตุผลขอ งผมไปอธิบายให้ท ่านนิติกรผู้นั้ นทราบ แต่ถ้ายังดื้อดึ ง ผมอาจจะไทรไปชี้ แจงโดยตรง แต่ถ้ายังไม่ได้ ผล อาจต้องให้ทางเจ ้าหน้าที่ทำเรื่ องไปที่นิติกรท่ านนั้น และถ้านิติกรแทง เรื่องกลับมาโดย ยืนยันให้ส่งสำเ นาบัญชีธนาคา รที่มีชื่อผู้ให ้คำมั่น หนังสือรับรองจา กธนาคาร ผมอาจนำเรื่องดั งกล่าวฟ้องศาลปก ครอง