ท่านนายกฯประยุทธ์ ผู้นำระดับโลก ยุควิกฤติโควิด 19

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน 2020 เวลา 11:12 น. ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท บทความ - การบริหารการจัดการ
พิมพ์

วันนี้ มีเพื่อนส่งบทความมาให้อ่านในไลน์ เนื้อหาและข้อความตรงกับสิ่งที่ผมคิด จึงขอนำมาเผยแพร่ต่อครับ
ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

Rangsl Mol

อาจารย์ศักดา เข็มทอง อดีตอาจารย์หัวหน้าผู้คุมวงดนตรีสากล โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดจันทบุรี ให้ข้อคิดที่น่าสนใจในสถานการณ์ คุณโควิด 19 เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2563 ดังนี้

ผมในฐานะที่เคยเป็นอนุกรรมาธิการรัฐสภา ตั้งแต่สมัย คุณทักษิณ เรื่อยมาจนถึง คุณยิ่งลักษณ์ เป็นนายกฯ ขอเขียนในแง่การบริหารจัดการ ของท่านนายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา หน่อยครับ ก่อนอื่นผมขอปรบมือดัง ๆ ให้ท่านก่อนว่า ความเป็นผู้นำของท่านเยี่ยมยอดครับ

ในช่วงนี้วิกฤติประเทศไทย วิกฤติโลก หนักหนาสาหัส สงครามโลกแบบไม่มีคู่ต่อสู้ โลกต้องรวมใจเป็นหนึ่ง ครับ แน่นอนคนที่หาเช้ากินค่ำ คนแรงงาน หนักที่สุด ไม่มีกิน ทุกประเทศทั่วโลกโดนเหมือนกันหมด เพียงแต่ประเทศไหนอดทน และมีน้ำใจมากกว่ากัน

สำหรับผม ยกให้ นายกฯประยุทธ์ เป็นผู้นำที่เก่งมากอันดับต้น ๆ ของโลก ณ เวลานี้ หลายคนคิดไม่ทัน เป็นการบริหารจัดการที่ฉลาด หลักแหลม มีหลักการ สุขุม เป็นขั้นตอน โดยท่านทำดังต่อไปนี้แบบง่าย ๆ นะครับ

1. การค่อย ๆ สร้างความตระหนักของคนในชาติ ให้สวมหน้ากากอนามัย การรักษาความสอาดขั้นพื้นฐาน การให้ความรู้ เรื่องโควิด พอเริ่มสร้าง ก็มีอุปสรรค คือมีการกักตุน หน้ากาก แอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ป้องกันโควิด จนเกิดเป็นคดีมากมาย เกิดดราม่า เรื่องนี้ ระยะแรก ๆ ๆ ต่อมา ก็แก้ปัญหาโดยการทำหน้ากากกันเอง จากนั้น ก็เริ่ม ล้างทำความสะอาดประเทศ เกือบทุกท้องที่ โดย อาสาสมัคร ทหาร เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เทศบาล อบต. หลายฝ่ายครับ ออกมาล้างพ่นยาฆ่าเชื้อโรค ทุกคืน

2. ท่านตั้งวอร์รูม โดยเชิญอาจารย์หมอระดับชั้นนำของเมืองไทย มาให้คำแนะนำเป็นเสนาธิการ ทางการแพทย์ช่วงนั้น มีกระแสให้ปิดประเทศ จากหลายฝ่าย แต่ท่านไม่ทำแบบนั้น ซึ่งท่านกลับทำแบบนี้ คือ ให้คุณหมอแนะนำทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค เพื่อชะลอการติดเชื้อ อย่างค่อยเป็นค่อยไปให้อยู่บ้าน 14 วัน เพื่อตรวจสอบตัวเองว่าติดเชื้อหรือไม่ ป้องกันการกระจายเชื้อใส่ผู้อื่น จากนั้นก็ออกมาตรการ ให้อยู่ห่าง สวมหน้ากากผ้า

3. มาตรการ การประกาศเคอร์ฟิว และปิดสถานบริการที่คนไปชุมนุมกันเยอะ ๆ ซึ่งค่อย ๆ ประกาศแบบ ยกระดับความเข้มข้น ผ่อนปรน ให้คนออกไปหาซื้ออาหาร หรือทำอาชีพ ได้แบบระมัดระวัง จึงไม่ต้องปิดประเทศ ทีเดียว ทำให้พี่น้องคนไทยกลับบ้านเกิดเมืองนอนได้ ยกเว้น พวกที่ทำผิดกฎหมายครับ ก็ดราม่ากันอีก คือ พวกที่กลับมาไม่ยอมปฏิบัติตาม ก็ถูกด่าว่ากันไป

4. มาตรการช่วยเหลือผู้ที่ลำบากจริง ๆ ไม่มีจะกิน แต่สามารถสื่อสารได้ ยกเว้น ผู้ตกสำรวจ ลงทะเบียนเราไม่ทิ้งกัน 5,000 บาท อันนี้ดราม่าหนักครับ มีการเปรียบเทียบเป็น เศษเงินหลังตู้เย็น มีการบุกกระทรวงการคลัง

5. หลังจาก เอาอยู่ ท่านนายกฯ รู้ว่าผลกระทบขั้นต่อมา คือ เรื่องเศรษฐกิจ เมื่อรู้ว่าทุกคนเอาชีวิตรอดละ เหลือว่าจะอยู่อย่างไรกัน ไม่รอช้าครับ ท่านรีบส่งจดหมายเชิญ นักเศรษฐกิจภาคสนามตัวจริง คือ บรรดามหาเศรษฐีเมืองไทย มาเป็นวอร์รูม หรือ เสนาธิการทางปากท้อง ว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจ ว่าด้วยเรื่องปากท้องพี่น้องประชาชน ผลกระทบที่จะเกิดตามมา อันนี้ ก็ดร่าม่าอีก ร้องแล่ แห่กระเฌอ กันใหญ่

แต่โดยรวม ๆ ผมว่าการบริหารจัดการ ท่านทำได้ดีมากครับ ดีกว่า สหรัฐอเมริกา จีน อังกฤษ อิตาลี สเปน เยอรมัน อิหร่าน สาธยายไม่ไหวครับ แม้แต่ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ยังสู้ไม่ได้เลยครับ
ผมอยากดูว่า ท่านจะทำอย่างไรต่อไป ตรงกับที่ผมคิดไหม เพราะทุกข้อถูกใจผมจริง ๆ การถอดบทเรียนนี้ สำหรับ ลูก ๆ น้อง ๆ นักศึกษา ต้องทำรายงานส่ง ก็ขอแนะนำให้ใส่ชื่อคนที่มีคุณานุประการ ในการต่อสู้วิกฤตินี้ด้วยนะครับ

อีกเรื่องที่นี่ คือ face book ไม่ใช่ fake book นะครับ ก่อนเชื่อ ก่อนแชร์ อ่านและวิเคราะห์เป็นขั้นตอน นะครับจะได้อยู่กับความจริง อย่าโกหกกัน มีแต่เสียทุกฝ่าย
Cr: ศักดา เข็มทอง