ชีวิตที่พอเพียง: ๑๗๖๓. ชีวิตเข็นครก

วันพฤหัสบดีที่ 07 มีนาคม 2013 เวลา 00:00 น. ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท บทความ - การบริหารการจัดการ
พิมพ์

บ่ายวันที่ ๔ ก.พ. ๕๖  ผมไปร่วมประชุมคณะกรรมการกำกับทิศ เพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อผลการประเมิน  และข้อเสนอแนะสำหรับโครงการวิจัย  “ การประเมินการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ ภายใต้การดำเนินการของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ  ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๐- ๒๕๕๔ ”   ซึ่งก็คือการประเมินการทำงานของ สช. นั้นเอง

ผมจึงได้ตระหนักว่า งานของสช. เป็นงานเข็นครกขึ้นภูเขา  การประเมินนี้เน้นการประเมินครกและคนเข็นครก  ไม่ได้ประเมินภูเขา  ทั้งๆที่ผลงานขึ้นกับ “ภูเขา” หรือบริบทสังคมไทยด้วย

สช. ทำงานแนวระนาบกระจายอำนาจ  และมุ่งผลประโยชน์ของส่วนรวมของสังคมไทยภาพรวม  ในท่ามกลางบริบทสังคมไทย ที่เป็นสังคมอำนาจแนวดิ่ง  อำนาจรวมศูนย์มีการแก่งแย่งผลประโยชน์ส่วนกลุ่มและพลเมืองไทยมีคนกลุ่ม active citizen น้อยมาก  ที่ลุกขึ้นมาทำงานสาธารณะ ส่วนใหญ่เพราะมีประเด็นร้อนเข้ามาใกล้ตัว  ที่จะทำงานสาธารณะประเด็นเย็นเพื่อวางรากฐานสังคมมีน้อยมาก   รวมทั้งผู้คนในสังคมติดวิธีคิดแบบขาว-ดำ  ถูก-ผิด  ในขณะที่เรื่องราวต่างๆ ในสังคมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพมีความซับซ้อน และเป็นพลวัตสูง

สภาพเช่นนี้ เปรียบเสมือนการทำงานแบบเข็นครกขึ้นภูเขา   ซึ่งต้องวางยุทธศาสตร์การทำงานระยะยาว ทำต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง  ตระหนักว่า กว่าจะเห็นผลจริงจังต้องใช้เวลา ๑๐ - ๒๐ ปี  ไม่ใช่  ๕ ปี

การทำงานในสภาพที่มีข้อจำกัดเช่นนี้  ต้องการทักษะพิเศษ  ซึ่งฝ่ายบริหารสช. ทำได้ดีอย่างน่าชื่นชม    แต่ก็ยีงมีส่วนที่น่าจะปรับปรุงได้อีกมาก

สช. ทำงานพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ โดยใช้เครื่องมือ ๔ อย่างได้แก่

·  สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ

·  สมัชชาสุขภาพในพื้นที่  รวมทั้ง HIA (และcHIA, eHIA)

·  ธรรมนูญสุขภาพแห่งชาติ

·  commission

 

เพราะสช. ทำงานเพื่อสุขภาวะของคนส่วนใหญ่ของประเทศ  และทำงานในลักษณะกระจายอำนาจ    เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม  จึงอยู่ในสภาพ “เอียงข้าง” เข้าหาภาคประชาชน   ภาคราชการซึ่งเคยผูกขาดอำนาจจึงไม่สนใจเข้าร่วม  ยกเว้นจะเข้ามาปกป้องตนเอง  และภาคธุรกิจซึ่งเคยร่วมกับภาคราชการ  แสวงหาความได้เปรียบในสังคมก็ไม่อยากเข้าร่วม  ยกเว้นนักธุรกิจจิตสาธารณะซึ่งก็มีหลายคนแต่ก็ไม่ใช่ผู้ที่มีบทบาทสำคัญมากนักในองค์กรของภาคธุรกิจ  หรือบางท่านเข้ามาร่วมอย่างเอาจริงเอาจัง ก็ขัดแย้งกับเพื่อนนักธุรกิจ

นี่คือสภาพความเป็นจริงในสังคมไทยที่เราเผชิญอยู่   และสช. ต้องทำงานพัฒนานโยบายสาธารณะด้านสุขภาพ  ในท่ามกลางความเป็นจริงนี้

ผมจึงให้ความเห็นว่าสช. ต้องยึดการทำงานแบบ evidence-based เป็นหลัก  โปร่งใสเข้าไว้   เพื่อจะได้เป็นที่ยอมรับในสังคมว่าไม่เอียงข้างฝ่ายใด  แต่มุ่งรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม  โดยที่ประเด็นต่างๆมีความซับซ้อน

เราพูดกันว่าสช. ต้องทำงานมุ่งพัฒนา evidence เพื่อการพัฒนานโยบายสาธารณะด้านสุขภาพ ให้ยิ่งขึ้น  และมีวิธีสื่อสาร  หลักฐานความรู้นี้ให้แพร่หลายกว้างขวางยิ่งขึ้น  ทั้งๆที่ที่ผ่านมาก็ทำได้ดีอยู่แล้ว

เราพูดกันว่าสช. เลือกทำงานแบบใช้“อำนาจอ่อน”คือไม่บังคับ  ใช้การพูดจากัน (สมัชชา)  และการสร้างความรู้ขึ้นใช้ก็ต้องพัฒนาทักษะในการทำงานแบบนี้ในหลากหลายระดับ

ผมมองว่าทักษะ “สื่อสารหลักฐานความรู้” (evidence communication)  สำคัญกว่าทักษะสร้างกระแสสังคม  หรือขับเคลื่อนสังคม (advocacy)  สำหรับสช.

เรื่องมาลงที่การใช้ commission ในการทำงานเฉพาะเรื่อง  ที่ยังไม่ชัดเจนว่าสช. ต้องไปเป็นคณะเลขานุการกิจ(secretariat) ของcommission หรือไม่

ซึ่งผมมีความเห็นแบบขาว-ดำว่า “ ไม่ ”   ผมเห็นว่าcommission ต้องรับงานไปแบบรับcontract out งาน   จะcontract ให้ใครภายใต้ความรับผิดชอบอย่างไร   ส่งมอบผลงานอะไร  มีเกณฑ์คุณภาพอย่างไร  ตรวจรับงานอย่างไร ฯลฯ    สช. ต้องมีทักษะในการcontract out งาน  เป็นความสัมพันธ์แบบกึ่งธุรกิจ  ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบไหว้วานหรือขอให้ช่วย

ทักษะอีกอย่างหนึ่งที่คนสช. ต้องมี  คือทักษะต่อยอดความรู้จากข้อเสนอของ commission  หรือจากผลการวิจัยที่มอบให้นักวิชาการทำ  คนสช. ต้องมีพื้นความรู้เรื่องระบบสุขภาพดี  และเรียนรู้ต่อยอดจากกิจกรรมต่างๆเพิ่มพูนขึ้นตลอดเวลา   นี่คือ learning skills   คนสช. ต้องเป็นexpert ด้านนโยบายสาธารณะด้านสุขภาพ  ที่เรียนรู้เพิ่มพูนปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพอยู่ตลอดเวลา

เหล่านี้เป็นกระบวนการเข็นครกทั้งสิ้น

ผมสรุปกับตัวเองที่บ้าน  ว่าคนสช. ต้องเป็น “นักจัดการความรู้” ด้านนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ   โดยที่สช. ต้องจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติให้แก่เจ้าหน้าที่ของสช.  เพื่อให้เจ้าหน้าทุกคนได้ฝึกฝนทักษะ จัดการความรู้ด้านนโยบายสุขภาพอย่างต่อเนื่อง  ไม่ทราบว่าสรุปถูกหรือผิด

จัดการความรู้สำหรับเอาไปสื่อสารสังคม เน้นสื่อสารอย่างมีข้อมูลหลักฐาน (evidence communication)  ไม่ใช่เน้นขับเคลื่อนสังคม (advocacy)  สรุปอย่างนี้ยิ่งไม่ทราบว่าถูกหรือผิด

 

วิจารณ์  พานิช

๕  ก.พ. ๕๖

คัดลอกมาจาก http://www.gotoknow.org/posts/521519