เหตุที่พุทธศาสนาสูญสิ้นที่อินเดีย

วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม 2020 เวลา 14:12 น. ป.อ.ปยุตโต บทความ - สังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์
พิมพ์

อินเดียเจอมาแล้ว...ไทยอย่าเป็นรายต่อไป!! ป.อ. ปยุตโต ชี้ชัด "ใครทำให้พุทธอินเดียถึงกาลอวสาน?" ... พุทธไทยรู้แล้วอย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย!!

เหตุที่พุทธสูญสิ้นที่อินเดีย


มูลเหตุแห่งการเสื่อมสูญของพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดียนั้นมีหลากหลายความเห็นจากปราชญ์และนักวิชาการ ซึ่งล้วนแต่มีเหตุผลและความเป็นไปได้ทั้งสิ้น  โดยเฉพาะปราชญ์ทางด้านพุทธศาสนาอย่างสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตโต) นั้น ท่านได้กล่าวถึงสาเหตุที่สำคัญไว้หลายอย่าง โดยมีการสรุปไว้เป็นข้อ  ดังนี้

๑. ใจกว้างจนลืมหลัก เสียหลักจนถูกกลืน

เหตุอันแรกที่เห็นได้คือ ชาวพุทธเราใจกว้าง แต่ศาสนาอื่นเขาไม่ใจกว้างด้วย  นี่เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้พุทธศาสนาสูญสิ้นไป  เพราะว่าเมื่อพุทธศาสนาเกิดขึ้นนั้นก็สอนเพียงแต่หลักธรรมเป็นกลางให้คนประพฤติดี ทำความดี  จะนับถือหรือไม่นับถือก็ไม่ได้ว่าอะไร  ถ้าเป็นคนดีแล้วก็ไปสู่คติที่ดีหมด  ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นชาวพุทธจึงจะไปสวรรค์ได้  หรือว่าชาวพุทธที่มานับถือแล้วทำตัวไม่ดีก็ไปนรกเหมือนกัน

เมื่อชาวพุทธได้เป็นใหญ่ เช่นอย่างพระเจ้าอโศกมหาราชครองแผ่นดิน ก็อุปถัมภ์ทุกศาสนาเหมือนกันหมด  แต่ผู้ที่ได้รับอุปถัมภ์เขาไม่ได้ใจกว้างตามด้วย  เพราะฉะนั้นพวกอำมาตย์พราหมณ์ของราชวงศ์อโศกเองก็เป็นผู้กำจัดราชวงศ์อโศก  จะเห็นว่าอำมาตย์ที่ชื่อปุษยมิตรก็ได้ปลงพระชนม์พระเจ้าแผ่นดินที่เป็นหลานของพระเจ้าอโศก แล้วตั้งราชวงศ์ใหม่ที่กำจัดชาวพุทธ แต่ก็กำจัดได้ไม่เสร็จสิ้น มีมาเรื่อย  จนกระทั่งถึงพระเจ้าหรรษวรรธนะครองราชย์ อำมาตย์ฮินดูก็กำจัดพระองค์เสียอีก  ก็เป็นมาอย่างนี้ จนในที่สุด มุสลิมก็เข้ามาบุกกำจัดเรียบไปเลยเมื่อ พ.ศ. ๑๗๐๐

ในด้านหนึ่ง ความใจกว้างของชาวพุทธนั้นบางทีก็กว้างเลยเถิดไปจนกลายเป็นลืมหลักหรือใจกว้างอย่างไม่มีหลัก ไม่ยืนหลักของตัวไว้  กว้างไปกว้างมาเลยกลายเป็นกลมกลืนกับเขาจนศาสนาของตัวเองหายไปเลย  ที่หายไปให้เห็นอย่างชัดเจนก็คือไปกลมกลืนกับศาสนาฮินดู  ตอนที่มุสลิมยังไม่เข้ามา ศาสนาพุทธเราก็อ่อนมากแล้ว เพราะไปกลมกลืนกับศาสนาฮินดูมาก ปล่อยให้ความเชื่อของฮินดูเข้ามาปะปน

๒. คลาดหลักกรรม คลำไปหาฤทธิ์

ในทางพุทธศาสนานั้นจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าก็มีฤทธิ์เหมือนกัน เป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งในบรรดาปาฏิหาริย์สาม  แต่ต้องยืนยันหลักไว้เสมอว่า ปาฏิหาริย์ที่สำคัญที่สุดคือ "อนุศาสนีปาฏิหาริย์" ปาฏิหาริย์ที่เป็นหลักคำสอน  ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ที่เป็นการแสดงฤทธิ์ต่าง   ในทางพุทธศาสนาให้ถือการกระทำของเราเป็นหลัก  ส่วนฤทธิ์หรือเทพเจ้านั้นจะมาเป็นตัวประกอบหรือช่วยเสริมการกระทำของเรา  จะต้องเอาการกระทำของตัวเองเป็นหลักเสียก่อน  ถ้าหากว่าเราไม่เอาการกระทำหรือกรรมเป็นหลัก เราก็จะไปหวังพึ่งการดลบันดาลของเทพเจ้า หวังพึ่งฤทธิ์ของผู้อื่นมาทำให้ ไม่ต้องกระทำด้วยตนเอง ก็งอมืองอเท้า มันก็มีแต่ความเสื่อมไป

จุดที่เสื่อมก็คือตอนที่ชาวพุทธลืมหลักกรรม ไม่เอาการกระทำของตัวเองเป็นหลัก ไปหวังพึ่งเทพเจ้า ไปหวังพึ่งฤทธิ์พึ่งปาฏิหาริย์  ตราบใดที่เรายืนหลักได้ คือเอากรรมหรือเอาการกระทำเป็นหลัก แล้วถ้าจะไปนับถือฤทธิ์ปาฏิหาริย์บ้าง ฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้นก็มาประกอบเสริมการกระทำ ก็ยังพอยอม  แต่ถ้าใครใจแข็งพอก็ไม่ต้องพึ่งฤทธิ์ ไม่ต้องพึ่งปาฏิหาริย์อะไรทั้งสิ้น เพราะพุทธศาสนานั้น ถ้าเราเอากรรมหรือการกระทำเป็นหลักแล้วก็จะยืนหยัดอยู่ได้เสมอ

๓. เฉยไม่ใช่ไร้กิเลส แต่เป็นเหตุให้พระศาสนาสิ้น

พอมีภัยหรือเรื่องกระทบกระเทือนส่วนรวม ชาวพุทธไม่น้อยมีลักษณะที่วางเฉย ไม่เอาเรื่อง แล้วเห็นลักษณะนี้เป็นดีไป  เห็นว่าใครไม่เอาเรื่องเอาราว มีอะไรเกิดขึ้นก็เฉย  ไม่เอาเรื่อง กลายเป็นดี ไม่มีกิเลส เห็นอย่างนี้ไปก็มี  ในทางตรงข้าม ถ้าไปยุ่งก็แสดงว่ามีกิเลส  อันนี้อาจจะพลาดจากคติพุทธศาสนาไปเสียแล้ว และจะกลายเป็นเหยื่อเขา  ในทางพุทธศาสนานั้น ผู้ไม่มีกิเลสท่านยุ่งกับเรื่องที่กระทบกระเทือนกิจการส่วนรวม  แต่การยุ่งของท่านมีลักษณะที่ไม่เป็นไปด้วยกิเลส คือทำด้วยใจที่บริสุทธิ์  ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ได้ทำเป็นคติไว้แล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล

กิจการส่วนรวมเป็นเรื่องที่จะต้องร่วมกันพิจารณาเอาใจใส่ นี้เป็นคติทางพุทธศาสนา  แต่ในบางยุคบางสมัยเราไปถือว่า การไม่เอาธุระ จะมีเรื่องราวกระทบกระเทือน มีภัยเกิดขึ้นกับส่วนรวม ก็ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวอะไรต่าง  แล้วเป็นว่าไม่มีกิเลสไปก็มี  อย่างนี้เป็นทางหนึ่งของความเสื่อมในพุทธศาสนา  คติที่ถูกต้องนั้นสอดคล้องกับหลักความจริงที่ว่า พระอรหันต์หรือท่านผู้หมดกิเลสนั้นเป็นผู้บรรลุประโยชน์ตนสมบูรณ์แล้ว หมดกิจที่จะต้องทำเพื่อตัวเองแล้ว จึงมุ่งแต่จะบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น ขวนขวายในกิจของส่วนรวมอย่างเต็มที่

๔. โจรเข้ามาปล้นศาสน์ เลยยกวัดให้แก่โจร

อีกอย่างหนึ่งคือการฝากศาสนาไว้กับพระ  ชาวพุทธเป็นจำนวนมากทีเดียวชอบฝากศาสนาไว้กับพระอย่างเดียว แทนที่จะถือตามคติของพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระศาสนานั้นอยู่ด้วยบริษัทสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา  ไม่ใช่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่จะต้องช่วยกัน

ทีนี้พวกเรามักจะมองว่าพระศาสนาเป็นเรื่องของพระ  บางทีเมื่อมีพระประพฤติไม่ดี ชาวบ้านบางคนบอกว่าไม่อยากนับถือพุทธศาสนาแล้ว อย่างนี้ก็มี  แทนที่จะเห็นว่าพุทธศาสนาเป็นของเรา  พระองค์นี้ประพฤติไม่ดี เราต้องช่วยกันแก้ ต้องเอาออกไป แทนที่จะคิดอย่างนั้นกลับกลายเป็นว่าเรายกศาสนาให้พระองค์นั้น  เหมือนโจรผู้ร้ายเข้ามาปล้นบ้านของเรา แทนที่จะรักษาสมบัติของเรากลับยกสมบัตินั้นให้โจรไปเสีย  พระองค์ที่ไม่ดีก็เลยดีใจ กลายเป็นเจ้าของศาสนา  เรายกให้แล้ว บอกไม่เอาแล้วศาสนานี้  เป็นอย่างนี้ก็มี  นี่เป็นทัศนคติที่ผิด  ชาวพุทธเราทั่วไปไม่น้อยมีความคิดแบบนี้ ทำเหมือนกับว่าพุทธศาสนาเป็นเรื่องของพระ เราก็ไม่ต้องรู้ด้วย

สาเหตุที่พุทธศาสนาสูญสิ้นจากอินเดียนั้นอาจจะเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง  แต่ปัจจัยสำคัญก็คือสาเหตุทั้งสี่อย่างตามที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ได้วิเคราะห์เอาไว้นี้

สำคัญกว่านั้น ประเทศที่เป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาแห่งหนึ่งของโลกในเวลานี้อย่างประเทศไทยสมควรอย่างยิ่งที่จะตระหนักและทบทวนตนเองอยู่เสมอตามที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ท่านได้ตรัสเตือนไว้ เพื่อมิให้ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับอินเดียที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดินแดนที่ให้กำเนิดพุทธศาสนา!!

ที่มา : ธรรมบรรยาย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)