Toggle
navigation
23 ธันวาคม พ.ศ. 2563
ฤาเราจะใช้ชีวิตผิดมาตลอด
23 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 10:01 น.
เพิ่มเพื่อน
ใครที่เป็นแฟนวรรณคดีต่างประเทศ
โดยเฉพาะเคยอ่านงานเขียนของลีโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy) นักเขียนระดับอัจฉริยะชาวรัสเซียที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับวิถีชีวิตคนรัสเซียสมัยศตวรรษที่
19 คงจะจำท่อนคำพูด "ฤาเราจะใช้ชีวิตผิดมาตลอด" (What if my whole life has
been wrong) ได้ว่ามาจากหนังสือ
"มรณกาลของอีวาน อิลิช" (The Death of Ivan ILyich) วรรณกรรมเรื่องสั้นที่ตอลสตอยเขียนปี
1886 เป็นคำพูดที่อีวานตัวเอกของเรื่องรำพึงรำพันกับตัวเองช่วงที่เขาป่วยหนักอยู่ที่บ้านก่อนตายว่า
เขาอาจใช้ชีวิตผิดมาตลอดเพราะความสำเร็จที่เขาได้ทุ่มเทให้มาตลอด
ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน ฐานะในสังคม หรือความรุ่งโรจน์ของครอบครัว
ดูจะไม่มีความหมายเลย เมื่อเขาต้องมานอนรอความตายอย่างทรมานด้วยโรคที่หมอรักษาไม่ได้
เป็นความว่างเปล่าที่ตัวเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน และไม่มีใคร ไม่ว่าจะเป็นภรรยา ลูก
เพื่อน หรือหมอ ที่จะเข้าใจว่าเขาต้องการอะไรในช่วงสุดท้ายของชีวิต มีแต่กาซิม
คนรับใช้จากชนบทที่มีน้ำใจต่อเขา สงสารเขา และพร้อมช่วยเขาทุกอย่างด้วยความเมตตา
เพื่อให้เขารู้สึกดีขึ้นในวาระสุดท้ายของชีวิต
ทำให้เขาตั้งคำถามกับตัวเองว่าที่ทำมาทั้งชีวิตนี้เพื่ออะไร อะไรคือความสำเร็จ
อะไรคือชีวิต
เป็นหนังสือผลงานชิ้นเอกของตอลสตอยและเป็นหนึ่งในสามงานเขียนที่ดีที่สุดของเขารองจาก
สงครามและสันติภาพ (War
and Peace) และอันนา
คาเรนินา (Anna
Karenina)
มินิ ขยายโปรฯ ถึงสิ้นปี ให้ฟรี MSI สูงสุด
10 ปี* ที่ทุกโชว์รูมทั่วประเทศ
MINI Thailand
ลีโอ ตอลสตอย เกิดวันที่ 9 กันยายน
คศ.1828 หรือ พ.ศ. 2371 ตรงกับรัชสมัยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่สาม
เกิดในครอบครัวฐานะดี ตอนใต้ของกรุงมอสโคว เขากำพร้าพ่อและแม่ตั้งแต่เด็ก
และโตมาด้วยการเลี้ยงดูของญาติ ชีวิตวัยหนุ่มของตอลสตอยค่อนข้างระเกระกะ
จนได้แต่งงานเริ่มใฝ่หาความรู้ด้วยตัวเองและเขียนหนังสือ
เขาเขียนสงครามและสันติภาพ เมื่ออายุ 41 เขียนอันนา คาเรนินา ตอนอายุ 49
ซึ่งทั้งสองเล่มประสบความสำเร็จมาก ตอลสตอยมองงานเขียนไม่ใช่เป็นเพียงศิลปะ
แต่ต้องเป็นสื่อที่จะทำให้มนุษย์นำสิ่งที่ดีที่สุดในตนเองออกมา เช่น ศีลธรรม
และมีความเมตตา ตอนมีชีวิตอยู่ ตอลสตอยได้รับการเสนอชื่อเพื่อรับรางวัลโนเบิล
สาขาวรรณกรรมถึงห้าครั้ง ช่วงปี 1902-06 และด้านสันติภาพสามครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้รับรางวัล
ในหนังสือมรณกาลของอีวาน อิลิช
ตอลสตอยชี้ให้เห็นถึงภัยของสังคมชนชั้นกลางที่ชีวิตหมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาตำแหน่ง
ชื่อเสียง เงินทอง และฐานะทางสังคม โดยเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้คือความสำเร็จของชีวิต
แม้ลึก ๆ แล้วอาจไม่ตรงกับใจของตน อีวานตัวเอกของเรื่องก็เช่นกัน
ชีวิตอีวานไต่เต้าตามระเบียบของสังคม ระมัดระวังที่จะทำแต่ในสิ่งที่
"ถูก" เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและสังคม
แม้กระทั่งแต่งงานกับหญิงในครอบครัวดีที่เขาไม่ได้รัก
อีวานเติบใหญ่จนได้เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แต่ก็ล้มป่วยลงกะทันหันโดยตัวเขาเองไม่คาดคิด
และเมื่อความตายใกล้เข้ามา เขาก็เข้าใจว่าชีวิตที่ผ่านมาจริง ๆ คือโลกมายา
คนตีหน้าเข้าหากัน ไม่มีใครกล้าพูดความจริง หรือจริงใจต่อกัน
แม้แต่คนรอบข้างเขาคือ ครอบครัว และเพื่อนสนิท
ก็ไม่ตระหนักว่ากำลังอยู่ในโลกมายาเช่นกัน จนลืมว่าวันหนึ่งทุกคนก็ต้องตาย
ผมรู้จักหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่จากการอ่าน
แต่จากภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง Ikiru
กำกับโดย อาคิระ คูโรซาว่า
เป็นหนังขาวดำถ่ายทำปี 1952
ที่เนื้อเรื่องได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือมรณกาลของอีวาน อิลิช
ผมดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกสมัยเรียนปริญญาตรีที่อังกฤษ เป็นเรื่องของข้าราชการเทศบาลระดับหัวหน้างานในญี่ปุ่นที่ใกล้เกษียณชื่อ
วาตานาเบ้ (Watanabe)
ที่วัน ๆ พยายามไม่ทำอะไร
ไม่ติดสินใจอะไรแบบข้าราชการ ไม่ตอบรับที่จะแก้ไขปัญหาที่ชาวบ้านมี
วาตานาเบ้ล้มป่วยลงกะทันหันด้วยโรคมะเร็งที่หมอบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงปี
หลังลาป่วยและพยายามใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานเพื่อลืมความทุกข์ เขาก็ได้ข้อคิดว่า
ยังไม่สายเกินไปที่จะทำอะไรที่มีความหมาย จากนั้นเขาก็เปลี่ยนไป กลับมาทำงาน
และตอบรับที่จะแก้ไขปัญหาที่ชาวบ้านมีอย่างจริงจัง
คือสร้างสนามเด็กเล่นที่ชาวบ้านร้องขอ ซึ่งเขาก็ทำสำเร็จแม้จะต้องคุกเข่าฝ่าด่านความไม่รู้ร้อนรู้หนาวของระบบราชการ
ฉากตอนจบของหนังเรื่องนี้คือตัวเอกของเรื่อง
วาตานาเบ้นั่งเล่นชิงช้าเด็กอยู่คนเดียวในความมืดในสนามเด็กเล่นที่เขาผลักดันให้สร้างจนสำเร็จ
ท่ามกลางหิมะที่ตกลงมาและอากาศที่หนาวเย็นพร้อมฮัมเพลงญี่ปุ่น Gondola no Uta เสมือนจะพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองได้ทำ
ด้วยเสียงที่โหยหวลและก็สิ้นใจอยู่ตรงนั้น วันนั้น
สิ่งที่ตอลสตอยพยายามสื่อผ่านตัวเอกของเรื่องทั้ง
อีวาน และวาตานาเบ้ ก็คือชีวิตคนเป็นสิ่งที่มีศักยภาพมาก
สามารถทำประโยชน์ได้มากต่อสังคมและมนุษย์ชาติ เพียงแต่เราจะต้องรู้สึกตัวคือ
"ตื่น" และตระหนักในศักยภาพที่มี ก่อนที่จะสายเกินไป
ทำไมผมถึงเขียนเรื่องนี้วันนี่
เรื่องของเรื่องก็คือ
อาจมีคนจำนวนมากในบ้านเราในวัยเกษียณอย่างผมคือ รุ่นเบบี้บูมเมอร์ เกิดระหว่างปี
2489-2507 ทั้งในภาคราชการและภาคเอกชนที่อาจตั้งคำถามแบบนี้กับตัวเอง คือ
รู้สึกว่าตนเองประสบความสำเร็จ มีตำแหน่งหน้าที่ดีตอนทำงาน มีชื่อเสียง
มีฐานะที่ดีในสังคม และสามารถอยู่ได้อย่างสบายในวัยเกษียณ แต่ก็ไม่มีความสุข
และที่ไม่มีความสุขไม่ใช่จากเรื่องส่วนตัว แต่ไม่สบายใจมาก ๆ
กับสภาพและสถานการณ์ของประเทศขณะนี้ ที่ประเทศที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอนที่เคยภูมิใจได้กลายเป็นประเทศที่มีปัญหามาก
ไม่ว่าจะเรื่องการบริหารราชการ การทุจริตคอร์รัปชั่น ปัญหาความเหลื่อมล้ำ
การบังคับใช้กฎหมาย ความยากจน คุณภาพการศึกษา การเมือง และความแตกแยกของคนในสังคม
สิ่งเหล่านี้สวนทางกับความพยายามและความตั้งใจของคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ที่เป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อนประเทศช่วง
40 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงการทำงานทั้งหมดของพวกเขา
คำถามคืออะไรเกิดขึ้น
ทำไมประเทศเราจึงเป็นแบบนี้
ทำไมประเทศไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ตามศักยภาพที่มีทัดเทียมหรือแซงหน้าประเทศอื่น
ๆ ในภูมิภาคที่เริ่มการพัฒนามาพร้อม ๆ กับเรา แต่เรากลายเป็นประเทศที่มีปัญหามาก
หรือคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์จะสร้างบ้านเมืองได้เพียงแค่นี้และทิ้งปัญหาไว้มากให้กับคนรุ่นหลัง
เรื่องนี้เคยมีนักการทูตต่างประเทศวิเคราะห์ว่า
ที่ประเทศเรามาถึงจุดนี้คือ มีปัญหามากก็เพราะกลุ่มคนที่มีความรู้ของประเทศไม่ทำหน้าที่
(Thai
Intelligensia has failed Thailand) คือ
สอบตกในการทำหน้าที่สาธารณะที่จะนำพาประเทศไปในทางที่ดี
ตรงกันข้ามกลับยอมรับความไม่ถูกต้องต่าง ๆ
ง่ายเกินไปจนทุกอย่างสะสมและกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่บั่นทอนประเทศในที่สุด
ฟังแล้วผมว่าหลายคนคงไม่ปฏิเสธข้อสังเกตุนี้
และคำตอบส่วนหนึ่งอาจมาจากหนังสือที่ผมเขียนถึงวันนี้ของตอลสตอยที่เรา
หมายถึงรุ่นเบบี้บูมเมอร์และคนรุ่นต่อมาที่กำลังทำหน้าที่และมีตำแหน่งขณะนี้
อาจทุ่มเทกับการแสวงหาเพื่อตนเองมากเกินไปจนลืมทำหน้าที่สาธารณะในฐานะพลเมืองของประเทศที่จะดูแลให้สิ่งที่ถูกต้องเกิดขึ้น
เราอาจยอมหรือ Compromise
กับสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรง่ายเกินไปจนปัญหาต่าง
ๆ บานปลาย และเราอาจมุ่งแต่การทำหน้าที่เพื่อส่วนตน
โดยไม่สนใจสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับส่วนรวม เหล่านี้คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
คำถามคือแล้วเราจะทำอะไรได้หรือไม่ตอนนี้
ที่ไม่มีหัวโขนแล้ว เป็นพลเมืองเต็มตัว ที่จะช่วยทำให้บ้านเมืองดีขึ้น
เรื่องนี้
ผมเคยพูดหลายครั้งว่าบ้านเมืองหรือสังคมคือ สิ่งมีชีวิต
เปรียบได้เหมือนร่างกายมนุษย์ เมื่อร่างกายเจ็บป่วย
ร่างกายคนเราก็จะมีกลไกในตัวเองที่จะรักษาซ่อมแซมให้ร่างกายหายจากการเจ็บป่วย
สังคมก็เช่นกัน เมื่อสังคมมีปัญหา สังคมก็จะมีกลไกในตนเองที่จะแก้ปัญหา
ใช้ความรู้ความสามารถที่สังคมมีร่วมกันแก้ปัญหา
แต่การแก้ปัญหาจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคนในสังคมสามารถร่วมมือกันได้
ใช้ความรู้ความสามารถที่สังคมมีช่วยกันแก้ปัญหา โดยไม่มีใครหรือกลไกใดเข้ามาปิดกั้นการร่วมมือกันของคนในสังคม
ดังนั้นอย่างที่ตอลสตอยบอก ถ้าเรา
"ตื่น" และยังไม่ตาย ก็ยังไม่สายไปที่จะทำอะไร
เรามีเวลาที่จะทำอะไรได้อีกมาก มีเวลาที่จะทำหน้าที่พลเมืองของเราให้ถูกต้อง
ไม่ยอมอะไรง่าย ๆ กับสิ่งที่ไม่ดี ช่วยกันแก้สิ่งที่ผิดให้เป็นถูก ทำเท่าที่ทำได้
แม้จะไม่มีตำแหน่งอะไรในสังคม เช่น หนึ่ง อยู่อย่างง่าย ๆ ประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย
ไม่เป็นภาระให้กับใคร สอง
เคร่งครัดที่จะทำแต่ในสิ่งที่ถูกต้องให้เป็นแบบอย่างแม้จะเพื่อตัวเอง สาม
สนใจเหตุการณ์บ้านเมืองและใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นและส่วนรวม
สามเรื่องนี้ถ้าเราทำได้ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่
เราก็จะสบายใจได้มากขึ้น ใจสงบขึ้น จะภูมิใจในสิ่งที่ได้ทำ
และจะไม่ตั้งคำถามกับตัวเองในช่วงท้ายของชีวิตว่า
เราได้ใช้ชีวิตอย่างถูกต้องหรือไม่ ซึ่งจะตรงกับใจของตอลสตอย ที่ลึกๆคิดว่า
ชีวิตที่มีความหมาย คือ ชีวิตที่อยู่เพื่อคนอื่น เหมือน อดัม สมิธ
ผู้บุกเบิกวิชาเศรษฐศาสตร์เมื่อเกือบสามร้อยปีก่อนที่คิดเหมือนกัน
ดร.บัณฑิต นิจถาวร
ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
ฤาเราจะใช้ชีวิตผิดมาตลอด
- รายละเอียด
- เขียนโดย: ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท
- หมวด: ประชาสัมพันธ์
- ฮิต: 961