๙ พระราชดำรัส
"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" ประทับในใจราษฎร์
Published on: 19 ต.ค. 2559 05:24
นับแต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมจักรีวงศ์
ขึ้นครองราชสมบัติเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2489 พระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยหลักทศพิธราชธรรม
ทรงยึดมั่นในพระปฐมบรมราชโองการและพระราชสัตยาธิษฐาน
เพื่อประโยชน์สุขของปวงอาณาประชาราษฎร์ และชาติบ้านเมืองเป็นอเนกประการ
รัชกาลที่
9 ทรงเป็นกษัตริย์นักพัฒนาอย่างแท้จริง
ทรงอุทิศกำลังพระวรกายและกำลังสติปัญญา ปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ
โดยเฉพาะการเสด็จเยี่ยมราษฎรทั่วทุกภูมิภาค
เป็นผลให้ทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของราษฎรที่ต้องเผชิญกับปัญหาการทำกิน
และการดำรงชีพที่ต้องพึ่งพาอาศัยธรรมชาติเป็นสำคัญ
ด้วยเหตุนี้จึงทรงคิดค้นทางเลือกใหม่ให้แก่เกษตรกรเพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างเข้มแข็งเรียกว่า
“เกษตรทฤษฎีใหม่”
นอกจากนี้ยังทรงมีพระราชดำริแก้ไขบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ
ของราษฎร ซึ่งต่อมาปรากฏเป็นโครงการอันเนื่องมาจาก
พระราชดำริมากกว่า
4,000 โครงการ
โดยทรงมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน
และการอยู่อย่างสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
ด้วยเหตุนี้
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จึงครอบคลุมชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวทุกด้าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเกษตร ชลประทาน ที่ดิน ป่าไม้ ประมง และปศุสัตว์
กระทั่ง
พ.ศ.2540 ประเทศไทยประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
พระองค์พระราชทานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทรงชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตให้แก่ราษฎร
เพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความมั่นคงและยั่งยืน ความพอเพียงมีคุณลักษณะ 3 อย่างคือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว
หากนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาสังคมและทรัพยากรบุคคลอย่างมั่นคง ยั่งยืน และสงบสุข
จึงได้อัญเชิญพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมจักรีวงศ์ เพื่อเป็นแง่คิดและข้อเตือนใจแก่พสกนิกรชาวไทย
๑.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงมีความเข้าใจกฎหมายและปรัชญากฎหมายอย่างลึกซึ้ง
ทรงให้ความสนใจต่อกฎหมายและหลักความยุติธรรมเป็นอย่างมาก
เพราะเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้พสกนิกรอยู่ร่วมสังคมกันได้อย่างผาสุก
“…กฎหมายเป็นเครื่องมือในการรักษาความยุติธรรม
ความยุติธรรมจึงควรมาก่อนและอยู่เหนือกฎหมาย
และการใช้กฎหมายนั้นจะต้องใช้เพื่อรักษาความยุติธรรมมิใช่เพื่อรักษาตัวกฎหมาย…”
๒.รัชกาลที่ 9 ทรงเตือนถึงความบกพร่องของคนเก่งไว้ในพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2532 ว่า
“ข้อหนึ่ง
บกพร่องในความคิดพิจารณาที่รอบคอบและกว้างไกล
เพราะใจร้อนเร่งจะทำการให้เสร็จโดยเร็ว เป็นเหตุให้การงานผิดพลาด
ขัดข้องและล้มเหลว”
“ข้อสอง บกพร่องในความนับถือและเกรงใจผู้อื่น เพราะถือว่าตนเป็นเลิศ
เป็นเหตุให้เย่อหยิ่ง มองข้ามความสำคัญของบุคคลอื่น
และมักก่อความขัดแย้งทำลายไมตรีจิตมิตรภาพตลอดจนความสามัคคีระหว่างกัน
“ข้อสาม บกพร่องในความมัธยัสถ์พอเหมาะพอดีในการกระทำทั้งปวง
เพราะมุ่งหน้าแต่จะทำให้ตัวเด่น ให้ก้าวหน้า เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัวเอารัดเอาเปรียบ
“ข้อสี่
บกพร่องในจริยธรรมและความรู้จักผิดชอบชั่วดี เพราะมุ่งแต่จะแสวงหาประโยชน์เฉพาะตัวให้เพิ่มพูนขึ้น
เป็นเหตุให้ทำความผิดและความชั่วทุจริตได้โดยไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือน
“… ดังนั้น นอกจากจะสอนคนให้เก่งแล้ว
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะอบรมให้ดีพร้อมไปด้วย ประเทศเราจึงจะได้คุณที่มีคุณภาพพร้อม
คือ ทั้งเก่ง ทั้งดี มาเป็นกำลังของบ้านเมือง
ให้ความเก่งเป็นปัจจัยเพื่อประคับประคองหนุนสำหรับการสร้างสรรค์
และให้เป็นความดีเป็นปัจจัยเพื่อประคับประคองหนุนนำความเก่ง
ให้เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ที่อำนวยผล เป็นประโยชน์อันพึงประสงค์แต่ฝ่ายเดียว…”
๓.แจ๊ซ
คือแนวเพลงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชโปรด
และทรงเป็นนักดนตรีแจ๊ซที่เปี่ยมด้วยพระปรีชาสามารถ บิล คลินตัน
อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวยกย่องพระองค์เป็น “King
of Jazz” พระองค์มีพระราชดำรัสครั้งหนึ่งว่า
“ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า
จะเป็นแจ๊ซหรือไม่ใช่แจ๊ซก็ตาม
ดนตรีล้วนอยู่ในตัวทุกคนเป็นส่วนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตคนเรา สำหรับข้าพเจ้า
ดนตรีคือสิ่งประณีตงดงาม และทุกคนควรนิยมในคุณค่าของดนตรีทุกประเภท
เพราะว่าดนตรีแต่ละประเภท ต่างก็มีความเหมาะสมตามแต่โอกาสและอารมณ์ต่างๆ กันไป”
๔.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
เคยกราบบังคมทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชว่า “เคยทรงเหนื่อย ทรงท้อบ้างหรือไม่” พระองค์มีพระราชกระแสตอบว่า
“ความจริงมันน่าท้อถอยหรอก
บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน
เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ”
๕.ในช่วงที่บ้านเมืองประสบปัญหาการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
พ.ศ.2512 รัชกาลที่ 9 มีพระราชดำรัสแก่นักศึกษาว่า
“… คำว่าพอสมควรนั้นเป็นหัวใจของประชาธิปไตย
เพราะว่าการเลือกตั้งก็ตาม หรือการถกเถียงอะไรทุกสิ่งทุกอย่างก็ตาม
ต้องได้ผลพอสมควรทั้งนั้น… เพราะทุกคนมีผลประโยชน์
มีความต้องการแตกต่างกัน และก็มีเสรีภาพ
ความแตกต่างกันนั้นอาจทำให้เบียดเบียนกันได้ ก็ต้องมีผลพอสมควร จึงจะมีความเรียบร้อย
มีความเงียบสงบ แต่ถ้าแต่ละคนเห็นแก่ตัว มีแต่จะเอาผลเต็มที่สำหรับตัว
เชื่อว่าอีกคนหนึ่งเขาจะเดือดร้อน ประชาธิปไตยหรือความเป็นอยู่ของสังคมของชาติ
อยู่ที่แต่ละคนมีความสุขพอสมควรจะได้ไม่เบียดเบียนกันอย่างเปิดเผย…”
หลังการเลือกตั้งใน
พ.ศ.2538 เมื่อบ้านเมืองมีการเลือกตั้งและนายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่
พระองค์มีพระราชดำรัสว่า
“… ระบอบประชาธิปไตยก็เป็นระบอบที่ควรจะเหมาะสมกับการปกครองประเทศ
เพราะว่าประชาชนได้มีสิทธิมีเสียงที่จะบอกชี้นำประเทศควรจะไปทางไหน มาบัดนี้มีการเลือกตั้งแล้ว
ก็หมายความว่าประชาชนได้ชี้แล้วว่าอยากได้อะไร แต่ประชาธิปไตยนั้นเป็นสิ่งมีชีวิต
จะต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ บางทีอาจจะไม่เป็นระบอบที่ดีเด่นที่สุดก็ได้
แต่ก็แล้วแต่ผู้ปฏิบัติ ถ้าผู้ปฏิบัติปฏิบัติดี
ก็สามารถที่จะปั้นให้ระบอบประชาธิปไตยก้าวหน้า ไปสู่ส่วนที่จะเป็นเป้าหมายที่สุด
คือความก้าวหน้าของประเทศ ด้วยความเห็นชอบหรือความต้องการของประชาชนทั้งประเทศ…”
๖.รัชกาลที่ 9 มีพระราชดำรัสเรื่องโลกร้อนเมื่อเกือบ
30 ปีก่อน
โดยพระราชทานในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม
2532 ความว่า
“…ได้ข้อมูลมาเกี่ยวกับเรื่องเรื่องหนึ่งซึ่งเขาเดือดร้อนกันทั่วโลก
คือความเดือดร้อนที่ทุกคนจะต้องประสบ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะได้รู้… เขาบอกว่าเพราะมีสารคาร์บอนไปในอากาศมาก จะทำให้เหมือนเป็นตู้กระจกครอบ
แล้วโลกนี้ก็จะร้อนขึ้น… น้ำแข็งจะละลายลงทะเลและรวมทั้งน้ำในทะเลนั้นจะพองขึ้น
เพราะสิ่งของที่ร้อนย่อมมีการพองขึ้น ปริมาตรก็มากขึ้น
เมื่อน้ำพองขึ้นก็จะทำให้ที่ที่ต่ำเช่นกรุงเทพฯ ถูกน้ำทะเลท่วม…
“… สิ่งที่ทำให้คาร์บอน (ในรูปคาร์บอนไดออกไซด์) ในอากาศเพิ่มมากขึ้น
มาจากการเผาเชื้อเพลิงซึ่งอยู่ในดินและจากการเผาไหม้… การเผาเชื้อเพลิง
เช่น ถ่าน ถ่านหิน น้ำมัน เชื้อเพลิงอะไรๆ ต่างๆ
เหล่านี้ทำให้คาร์บอนขึ้นไปในอากาศจำนวน 5 พันล้านตันต่อปี
แล้วก็ยังมีการเผาทำลายป่าอีก 1.5 พันล้านตัน รวมแล้วเป็น 6.5
พันล้านตัน… ถ้าไม่มีอะไรที่จะทำให้จำนวนของสารนี้ในอากาศลดลง
ก็จะทำให้สารนี้เป็นเหมือนตู้กระจกครอบ ทำให้โลกนี้ร้อนขึ้น…”
หลังจากนั้นปี
2534 คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้วันที่ 4 ธันวาคม ของทุกปีเป็น “วันสิ่งแวดล้อมไทย”
๗.เหตุการณ์ 14 ตุลาคม
2516 นับเป็นจุดเริ่มต้นบทบาทของพระมหากษัตริย์ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่
ครั้งนั้น รัชกาลที่ 9 พระราชทานพระราชดำรัสออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์และวิทยุกระจายเสียงทุกแห่งเมื่อเวลา
19.30 น. วันที่ 14 ตุลาคม 2516
ความว่า
“วันนี้เป็นวันมหาวิปโยคที่น่าเศร้าสลดยิ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย
ตลอดระยะเวลา 6-7 วันที่ผ่านมาได้มีการเรียกร้องและเจรจากัน
จนกระทั่งนักศึกษาและรัฐบาลทำข้อตกลงกันได้ แต่แล้วมีการขว้างระเบิดขวดและยิงแก๊สน้ำตาขึ้น
ทำให้เกิดการปะทะกันแล้วมีคนได้รับบาดเจ็บหลายคนความรุนแรงได้ทวีขึ้นทั้งพระนครจนถึงขั้นจลาจลและยังไม่สิ้นสุด
มีคนไทยด้วยกันต้องเสียชีวิตนับร้อย
“ขอให้ทุกฝ่ายทุกคนจงระงับเหตุแห่งความรุนแรง ด้วยการตั้งสติยับยั้ง
เพื่อให้ชาติบ้านเมืองกลับสู่สภาพปกติเร็วที่สุด
“อนึ่ง เพื่อขจัดเหตุร้ายนั้น จอมพลถนอม กิตติขจร
ได้ขอลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อค่ำวันนี้ ข้าพเจ้าจึงแต่งตั้งให้นายสัญญา
ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
“ขอให้ทุกคนทุกฝ่ายร่วมกันสนับสนุนเพื่อให้คณะรัฐบาลใหม่สามารถบริหารงานแผ่นดินได้โดยมีประสิทธิภาพเต็มเปี่ยม
และแก้ไขสถานการณ์ให้คืนสู่สภาพเรียบร้อยได้โดยเร็ว ยังความสงบสุข
ความเจริญรุ่งเรือง ให้บังเกิดแก่ประเทศและประชาชนชาวไทยโดยทั่วกัน”
๘.ในการเสด็จออกมหาสมาคมในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาเมื่อวันที่
5 ธันวาคม 2552 รัชกาลที่ 9
ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับความสำคัญของหน้าที่ซึ่งเป็นพระราชดำรัสที่น่าจดจำที่สุด
ความว่า
“… ความสุขความสวัสดีของข้าพเจ้าจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยบ้านเมืองของเรามีความเจริญมั่นคง
เป็นปกติสุข… ความเจริญมั่นคง
ทั้งนั้นจะสัมฤทธิผลเป็นจริงได้ก็ด้วยทุกคนทุกฝ่ายในชาติ มุ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มกำลังด้วยสติรู้ตัว
ด้วยปัญญารู้คิด และด้วยความสุจริตจริงใจโดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น
“จึงขอให้ท่านทั้งหลายในที่นี้
ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญอยู่ในสถาบันหลักของประเทศ และชาวไทยทุกคนทุกหมู่เหล่า
ทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนให้กระจ่าง แล้วตั้งจิตตั้งใจให้เที่ยงตรง หนักแน่น
ที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด
เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวมอันไพบูลย์เพื่อชาติบ้านเมืองอันเป็นที่อยู่
ที่ทำกินของเรา มีความเจริญมั่นคง ยั่งยืนไป…”
๙.โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริหรือสิ่งประดิษฐ์จากพระปรีชาสามารถขอพระองค์
มิใช่สิ่งที่ทำสำเร็จในชั่วข้ามคืนและปราศจากอุปสรรค
หลายงานหลายโครงการใช้เวลาหลายสิบปีศึกษาแก้ไขปัญหามาตลอดกว่า
จะประสบความสำเร็จสูงสุด
พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
พระราชทานพระบรมราโชวาท เมื่อ 27 ตุลาคม 2519 เกี่ยวกับความเพียร ตอนหนึ่งว่า
“…สิ่งที่ดีงามนั้นทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล
ไม่ดัง คือดูมันครึ แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดี ไม่ครึ
ต้องมีความอดทนเวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอนในความอดทนของตน ในความเพียรของตน
ต้องถือว่าวันนี้เราทำยังไม่ได้ผล อย่าไปท้อบอกว่าวันนี้เราทำแล้วก็ไม่ได้ผล
พรุ่งนี้เราจะต้องทำอีก วันนี้เราทำ พรุ่งนี้เราก็ทำ เดือนหน้าเราก็ทำ
ผลอาจได้ปีหน้า หรืออีกสองปี หรือสามปีข้างหน้า…”
นับตั้งแต่วันที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ กระทั่งสวรรคต
เป็นเวลา
70 ปีที่พระองค์ทรงปกครองราชอาณาจักรไทยให้มีความร่มเย็นเป็นสุข
ทรงนำประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตการณ์ปัญหาต่างๆ
ด้วยพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาญาณอันสุขุมคัมภีรภาพ
ยังผลให้ประเทศไทยมีความเจริญรุ่งเรือง มั่นคง
เป็นปึกแผ่นตลอดมาภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สสส.
คัดลอกจาก
http://www.sportringside.com/contents/8728/