Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

เชิญชมรายการย้อนหลัง เปลี่ยน เป็น เปลี่ยน ออกอากาศวันที่ 13 กรกฎาคม 2559

พิมพ์ PDF

แก้ไขล่าสุด ใน วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฏาคม 2016 เวลา 22:37 น.
 

คำถามจาก ศ.กิตติคุณ รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ถึง 14 นศ.และนักเคลื่อนไหวที่อ้างประชาธิปไตย

พิมพ์ PDF

หลังเหตุการณ์การเคลื่อนไหวต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. โดยนักเคลื่อนไหวรวมถึงนักศึกษาส่วนหนึ่ง กระทั่งถูกเจ้าหน้าที่จับกุมในข้อหาขัดขืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ  ล่าสุด  โลกออนไลน์มีการเผยงานเขียนชื่อบทความ”อย่ายอมให้ไทยตกเป็นทาสของประชาธิปไตยจอมปลอมอีกเลย” โดย ดร.เขียน ธีระวิทย์  ศาสตราจารย์กิตติคุณ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ วิพากษ์วิจารณ์ นักเคลื่อนไหวตามแนวทางประชาธิปไตย รวมถึงตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ต่อการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ของนักศึกษากลุ่มดังกล่าว มติชนออนไลน์เห็นว่าเป็นบทความที่นำเสนอความเห็นที่เเตกต่าง จึงขออนุญาตนำมาเสนอ มีรายละเอียดดังนี้

ระบอบประชาธิปไตยจอมปลอมของไทย ได้ผลิตครูบาอาจารย์-นิสิตนักศึกษาที่ไร้คุณธรรม – ไม่รู้อะไรผิดอะไรถูกออกมามากมาย พวกนี้รู้ปัญหาและชอบมองปัญหาแคบๆ ด้านเดียว ขาดจิตสำนึกที่จะพิจารณาว่าการทำงานการเมืองของพวกเขาจะมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ส่วนรวมอย่างไร หรือไม่ สื่อมวลชนก็มีคุณภาพตกต่ำเช่นเดียวกัน พวกนิสิตนักศึกษา-อาจารย์ และสื่อมวลชนที่ออกมาเคลื่อนไหวส่งเสริมประชาธิปไตยจอมปลอมนั้นอาจจะมีจำนวนน้อย แต่พวกเขาสามารถทำให้บ้านเมืองปั่นป่วนได้

ปัญหาการเมืองเรื่องร้อนของไทยตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม จนถึงปัจจุบันคือ การเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา นำโดย “กลุ่มดาวดิน” ผู้สนับสนุน และพันธมิตร พวกเขาได้ทำกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลในเชิงสัญลักษณ์อย่างต่อเนื่อง เลือกเอาวันครบรอบหนึ่งปีของการรัฐประหารและวันครบรอบ 83 ปี ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย แกนนำได้ถือโอกาสนี้ยกระดับ “กลุ่มดาวดิน” ให้เป็น “ขบวนการประชาธิปไตยใหม่” โดยการจุดชนวนการต่อต้านรัฐบาลทหารมาเป็นประกาย ประกาศตัวไม่ยอมรับอำนาจของรัฐบาลทหาร และไม่ยอมทำตามกฎหมายของประเทศ พวกเขาพากันออกไปแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐบาลประยุทธ์ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และที่หอศิลป์ สยามสแควร์ และเดินแห่ป้ายต่อต้านรัฐบาลให้สื่อมวลชนทำข่าวหลายวันอย่างต่อเนื่อง

เมื่อแกนนำ 14 คนของขบวนการถูกหมายเรียก (ไม่ใช่หมายจับ) จากตำรวจให้ไปรายงานตัวที่สถานีตำรวจ พวกเขาก็พากันไปห้อมล้อมสถานีตำรวจนครบาลปทุมวันเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ใช้เครื่องโทรโข่งประกาศให้ตำรวจรับรู้ว่า พวกเขาไม่ได้มาตามหมายเรียก เพราะพวกเขาไม่ยอมรับอำนาจของรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร แต่มาแจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดีกับตำรวจที่ทำร้ายร่างกายของพวกเขาในการเข้าจับกุมพวกเขาที่หอศิลป์ 2 วันก่อนหน้านั้น

ความจริงพวกเขาต้องการพาตัวไปยัดเยียดให้ตำรวจจับ จะได้เป็นฮีโร่ในข่าวเหมือนผู้ก่อชนวน “14 ตุลา” (พ.ศ. 2516) แต่รัฐบาลก็รู้ทัน ไม่จับทันทีให้มีคนคอยผสมโรงเข้าร่วมจนเกิดความวุ่นวาย รอให้ผ่านไป 2 วันจึงได้หมายจับจับไปขัง เป็นอันว่าผู้ก่อการทั้ง 14 ได้ตามที่พวกเขาต้องการ เพื่อแสดงว่าตนเป็น วีรชนของชาติพวกเขาประกาศอย่างโจ่งแจ้งว่าจะไม่ขอประกันตัวออกมาสู้คดี

สื่อมวลชนหลายคนและหลายแหล่งก็เสนอข่าวตามที่พวกเขาต้องการบางรายขยายข่าวให้ครึกโครมยกเอา“นักวิชาการ” หรือ “นักวิชาเกิน” มาอ้างว่าได้พูดอย่างนั้นอย่างนี้ โดยบิดเบือนคำพูดบ้างจริงบ้าง และแถมเอาสิ่งที่ตนต้องการพูดเข้าข้างขบวนการเข้าไปบ้าง เพื่อกระพือข่าวหาพวกสนับสนุนจากภายในและภายนอกประเทศให้มากขึ้น ข้าพเจ้าอยากถาม “ฮีโร่” ทั้ง 14 – ผู้สมคบ และผู้สนับสนุนใน 8 ประเด็นต่อไปนี้

1. พวกท่านต้องการอะไร ต้องการประชาธิปไตยจอมปลอมที่มีมาก่อนถูกรัฐประหารใช่หรือไม่? ต้องการทำประเทศให้ปั่นป่วนถึงจุดที่จะมีสงครามกลางเมืองอีกใช่หรือไม่ ?

2. พวกท่านต้องการเป็น “ฮีโร่” โดยการเลียนแบบกรณี “ 14 ตุลา” ใช่หรือไม่? รัฐบาลประยุทธ์ มีอะไรที่เหมือนกับรัฐบาลถนอม-ประภาสบ้าง? มีเรื่องฉาวโฉ่ เช่นเดียวกับเรื่อง“ทุ่งใหญ่นเรศวร” หรือเปล่า?

3. การโค่นล้มรัฐบาลถนอม-ประภาส เปรียบเทียบกับการโค่นล้มรัฐบาลประยุทธ์ ถ้าทำสำเร็จ ผลจะแตกต่างกันอย่างไร? อำนาจจะเปลี่ยนมือไปให้ใคร? หลายคนที่เข้าร่วม “ขบวนการประชาธิปไตยใหม่” รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าใครจะกลับมาแพร่พันธุ์ลัทธิประชาธิปไตยจอมปลอมใช่หรือไม่?

4. พลเอกประยุทธ์ ผู้นำรัฐประหารคนปัจจุบัน ได้สัญญากับพวกท่านแล้วว่าจะเข้ามาแก้ปัญหาประเทศชาติ (หลังจากยับยั้งสงครามกลางเมืองได้แล้ว) เขาได้ทำผิดสัญญาอะไรบ้างหรือเปล่า? เขาไม่เคยบอกพวกท่านใช่ไหมว่ารัฐบาลชั่วคราวของพวกเขาเป็นประชาธิปไตย? สิ่งที่พวกท่าน รวมทั้งสื่อมวลชนออกมากล่าวโทษรัฐบาลทหารได้อย่างเกือบเสรีอย่างทุกวันนี้ ต้องถือว่าเป็นลาภมิควรได้แล้วใช่หรือไม่? ยังจะมาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเหมือนประเทศประชาธิปไตยตะวันตก กระนั้นเชียวหรือ?

5. พวกท่านต้องการเอาต่างชาติมาเป็นพันธมิตรต่อต้านรัฐบาลของคนไทยใช่หรือไม่? พวกเขาไม่รู้ปัญหาจริงๆ ของไทยหรอก ถ้าประเทศไทยจะตกต่ำจนเป็นทาสของพวกเขา ท่านก็จะมีความสุขอยู่ภายใต้แอกของพวกเขาใช่หรือไม่?

6. สำหรับพวกที่คิดว่าจะสร้างขบวนการ “14 ตุลา” ยุคใหม่ขึ้นมา ท่านได้คิดถึงประเด็นเหล่านี้หรือเปล่า? จริงอยู่ พวกท่านอาจจะได้เปรียบผู้นำเคลื่อนไหว “14 ตุลา” เพราะอาศัยโทรศัพท์มือถือรวมพลังได้รวดเร็วกว่า แต่ข้อได้เปรียบของท่านก็คงถูกหักล้างโดยฝ่ายรัฐบาล ซึ่งคอยจับตาตรวจตราการเคลื่อนไหวของพวกท่านด้วยเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่เช่นกัน ใช่หรือไม่? นอกจากนั้นผู้นำการจัดตั้งของพวกท่านยังด้อยปัญญากว่าคนสมัย “14 ตุลา” มาก ท่านยอมรับหรือไม่? และที่สำคัญคือ ประชาชนคนไทยที่มีอารมณ์ร่วมต่อต้านรัฐบาลประยุทธ์ของท่านมีน้อยกว่าของ 40 ปีที่แล้ว เทียบกันไม่ได้ ทั้งจำนวนและคุณภาพใช่หรือไม่?

7. ท่านหวังจะให้รัฐบาลประยุทธ์ปล่อยตัวท่านโดยไม่ต้องขึ้นศาล หรือขึ้นศาลพลเรือนใช่หรือไม่? มูลเหตุที่บ้านเมืองเราปั่นป่วนวุ่นวายกันมาก่อนรัฐประหารนั้น เป็นเพราะรัฐบาลไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดใช่หรือไม่? ท่านคิดว่าพลเอกประยุทธ์จะใช้อำนาจพิเศษตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวมาตรา 44 มาระงับการทำหน้าที่ตามกฎหมายของเจ้าพนักงานกระนั้นหรือ? การนิรโทษกรรมหลังศาลตัดสินจำคุกแล้วนั่นอาจเป็นไปได้ตามหลักสากล

8. นักเคลื่อนไหวทั้งหลาย รวมทั้งสื่อมวลชนที่เป็นแนวร่วมด้วย อย่าสร้างปัญหาให้รัฐบาลชั่วคราวนี้ต้องตามแก้อีกได้ไหม? ท่านไม่กลัวหรือว่า ถ้ารัฐบาลล้มเหลวในการสร้างรากฐานประชาธิปไตยให้ประเทศ พวกเขาจะโยนความผิดมาให้พวกท่าน ทุกวันนี้ แม้จะอยู่ภายใต้รัฐบาลทหาร ท่านสามารถใช้สิทธิเสรีภาพตามครรลองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงได้อยู่แล้ว ใช่หรือไม่ ถ้าท่านไม่ทำผิดกฎหมาย หรือก่อวินาศกรรมการปฏิรูปประเทศ ?

คนไทยทุกคน ไม่ว่าจะมีฐานะและอาชีพใด มีชะตากรรมร่วมกัน แต่เรามีความต้องการและทัศนคติทางการเมืองต่างกันมากบ้างน้อยบ้าง ไม่มีรัฐบาลใดสามารถทำให้คนทุกคนพอใจในทุกสิ่งทุกอย่างได้ หลักที่รัฐบาลต้องยึดถือให้มั่นคงคือ จะต้องบังคับใช้กฎหมายที่ใช้อยู่อย่างเคร่งครัด ถ้าแก้ปัญหาโดยวิธีอะลุ่มอล่วย หรือ “ปรองดอง”ทางการเมืองเพื่อเอาใจบุคคลกลุ่มหนึ่ง บุคคลกลุ่มอื่นก็จะเกาะกลุ่มขึ้นมาประท้วงบ้าง ชะตากรรมของคนไทยทุกคนก็จะจมปรักอยู่กับ “เสรีภาพในการชุมนุม”นี่เอง พอกันทีดีไหม? ถามตัวเองว่าจะช่วยชาติช่วยแผ่นดินอย่างไรดีกว่า  อย่ายอมให้ไทยตกเป็นทาสของประชาธิปไตยจอมปลอมอีกเลย”

คัดลอกจาก http://chaoprayanews.com/blog/socialtalk/2015/07/10/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B8%A8-%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A8/

แก้ไขล่าสุด ใน วันพุธที่ 13 กรกฏาคม 2016 เวลา 12:26 น.
 

ขอเชิญร่วมงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา ประจำปี พ.ศ.๒๕๕๙ ดังนี้

พิมพ์ PDF

กรมการศาสนา ขอเชิญร่วมงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา ประจำปี พ.ศ.๒๕๕๙ ดังนี้

๑.พิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน ๗๐ รูป วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๙ เวลา ๐๗.๐๐ น ณ.ลานพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร

๒.พิธีปล่อยขบวนแห่เทียนพรรษาและเปิดกิจกรรมไหว้พระ ๙ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๙ รัชกาล วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๙ เวลา ๘.๐๐ น ณ.ลานพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร


ผู้สนใจสามารถติดต่อขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติมหรือขอเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่ สำนักสำนักพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม โทรศัพท์   ๐๒-๔๒๒๘๘๑๑ คุณประภาส โทรสาร ๐๒๔๒๒๘๘๑๓

วันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาเป็นครั้งแรกในโลก ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ทำให้โกณฑัญญะพราหมณ์ได้ดวงตาเห็นธรรมทูลขออุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์รูปแรกในโลก และเป็นวันที่บังเกิดพระรัตนตรัยครบทั้ง ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

วันเข้าพรรษา เป็นวันที่พระสงฆ์อยู่จำพรรษาตามพุทธบัญญัติตลอด ๓ เดือน ไม่จาริกไปยังที่ต่างๆ เว้นแต่มีกิจจำเป็น เป็นโอกาสที่พุทธศาสนิกชนจะได้เข้าวัดบำเพ็ญกุศลอย่างเต็มที่ นับเป็นสิริมงคลดิถีอย่างยิ่ง ที่จะได้สืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนตลอดไป

สำหรับการดำเนินการในปีนี้ กรมการศาสนา ร่วมกับคณะสงฆ์ องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายทางพระพุทธศาสนาทุกภาคส่วน กำหนดจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา พุทธศักราช ๒๕๕๙ ระหว่างวันที่ ๑๔-๒๐ กรกฎาคม๒๕๕๙ และตลอดพรรษา

หมายเหตุ :

ผมจะเข้าร่วมกิจกรรมทั้งสอง ตามจดหมายเชิญจากสำนักพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม กรมการศาสนา      ในนามของ กรรมการและเลขาธิการของมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ท่านที่สนใจจะเข้าร่วมกิจกรรมในคณะของมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ โปรดแจ้งชื่อ และที่ติดต่อของท่านมาที่ อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน  

ผู้เข้าร่วมกิจกรรมโปรดแต่งกายชุดผ้าไทยสีขาว

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 12 กรกฏาคม 2016 เวลา 17:18 น.
 

บูรพาภิวัตน์ เอเชียคืออนาคต

พิมพ์ PDF

ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ :

“บูรพาภิวัตน์ เอเชียคืออนาคต”

เสาร์ที่ผ่านมาผมบรรยายให้ครูแนะแนวจากทั่วประเทศกว่าร้อยคน จัดที่โรงแรมดุสิตพัทยา โดยมหาวิทยาลัยรังสิต

ครูอาจารย์ทั้งหลายก้มหน้าทุ่มเททำงานในหน้าที่จนไม่มีเวลาติดตามความคืบหน้าหรือการเปลี่ยนแปลงของโลก ของภูมิภาคและของประเทศไปบ้าง จึงถือโอกาสนี้เล่าอะไรให้บูรพคณาจารย์เหล่านั้นฟัง

สถานการณ์โลก

1. จีนมี OBOR (One Belt One Road) เพื่อเชื่อมโลก รถไฟความเร็วสูงจากปักกิ่งสู่ลอนดอน จีนและสหรัฐมีบทบาทในประเทศไทยและอาเซียนสูงกว่าญี่ปุ่นและยุโรป

มหานโยบายต่างประเทศของจีน “One Belt One Road หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” หมายถึง เส้นทางสายไหมทางบก และทางทะเล เชื่อมยุโรปกับเอเชียเข้าด้วยกัน เป็นแนวคิดที่ทะเยอทะยานในทางบวก ถือเป็นยุทธศาสตร์ระดับโลก

ทางบก ใช้รถไฟความเร็วสูงเชื่อมจากปักกิ่ง ผ่านเอเชียกลาง ยุโรปตะวันออก ตะวันตก ไปถึงอังกฤษ และสเปน ส่วนทางทะเล ก็จะเชื่อมลงทางทะเลจีนใต้ มหาสมุทรอินเดีย ซึ่งต้องผ่านทางใต้ของประเทศไทย

2. สหรัฐเริ่มปรับสมดุลด้านการต่างประเทศ (Rebalancing) นโยบายกลับมาซบเอเชีย

จากเดิมให้ความสำคัญและไปวุ่นวายกับสงครามตะวันออกกลาง ทุบกำแพงเบอร์ลิน เหตุการณ์ 911 สงครามอิรัก อัฟกานิสถาน แล้วยังมี ISIS และสงครามในซีเรียอีก

ตอนนี้ สหรัฐอเมริกาพยายามกลับมาสู่เอเชีย Balancing to Asia โดยเฉพาะเอเชียตะวันออก และอาเซียน สหรัฐทิ้งเราไปตั้งแต่สงครามเวียดนาม ตอนนี้ต้องกลับมาเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับจีน จีนเติบโตขึ้นทุกวันในแบบก้าวกระโดด กล่าวคือ โตแบบจี้ก้นอเมริกา ขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐเท่านั้นเอง

3. ข้อขัดแย้งในทะเลจีนใต้ - ไทยเป็นตัวกลาง

จีนมีข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่ทางทะเล หมู่เกาะต่างๆ ในทะเลจีนใต้หลายจุด อาทิ ขัดแย้งกับไต้หวัน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม บรูไน ฉะนั้น จีนจึงพยายามให้อาเซียน (กัมพูชา และลาว) วางตัวเป็นกลาง เพื่อให้เกิดการเจรจาทวิภาคีกับประเทศคู่ขัดแย้ง ด้านสหรัฐอเมริกาก็พยายามใช้เวียดนามและฟิลิปปินส์มาคานอำนาจจีน

ส่วนไทยอยู่ตรงกลาง...

ข้อสังเกตคือ ตอนสหรัฐรบกับโซเวียต เรียกว่า ตัดสัมพันธ์ เป็นสงครามเย็นเต็มรูปแบบ แต่กับจีน ยังค้าขายกันอยู่ มีสัมพันธ์กันอยู่ แต่ก็แข่งขันกันรุนแรง ต่อสู้ผ่านการแผ่อิทธิพลเหนือประเทศในเอเชีย

4. บูรพาภิวัตน์ - เอเชียคืออนาคต

"บูรพาภิวัตน์" คือจีนกับอินเดียผงาด เอเชียกำลังจะรวยขึ้น ทั้งจีนและอินเดีย อินเดียใกล้ไทยทางทะเล จีนใกล้ไทยทางเหนือ เพราะฉะนั้น "บ้านเราคือทำเลทอง"

นักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย 3 ล้าน แต่นักท่องเที่ยวจีน 10 ล้าน ไปไหนเจอแต่พี่จีน นักท่องเที่ยวจีนเป็นนักจ่ายเงินมือฉมัง คนจีนสนใจเครื่องสำอาง 2 ชาติ คือเกาหลีและไทย ประชากรหญิงจีนมี 700 ล้านคน ถ้าคนจีนอยากสวย หมายถึง โอกาสทางธุรกิจขนาดยักษ์

มีการเติบโตด้านเศรษฐกิจอื่นๆ อีก แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจนี้มีข้อจำกัดคือ จีนเคยออกนโยบายคุมกำเนิด เพราะฉะนั้น ในอนาคตจะกลายเป็นสังคมสูงอายุ ไม่มีวัยหนุ่มสาวใช้แรงงาน เศรษฐกิจจะชะงัก ในขณะที่ อินเดียไม่มีการคุมกำเนิด ยังเติบโตได้อีกยาว
.................................

แล้วประเทศไทย... เรามีอะไร?

หนึ่ง เราเป็นประเทศรวยทรัพยากร ไม่ได้มีแค่ข้าวหรือยางพารา เนชันแนลจีโอกราฟิกบอกว่า ป่าประเทศไทยเป็นป่าชั้นดีไม่แพ้แอมะซอน มีพื้นที่สงวนชีวมณฑลถึง 4 แห่ง หรืออย่างห้วยขาแข้ง ทุ่งใหญ่นเรศวร หรือป่าทางระนองเป็นที่ที่มีสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์อันดับหนึ่งของโลก สัตว์เดินข้ามประเทศมาจากพม่า อินเดีย ส่วนเขาใหญ่หรือก็มีสัตว์ข้ามมาจากกัมพูชา

ป่าเหล่านี้ สามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวระดับ high-end ราคาแพง นักท่องเที่ยวสีเขียวมีกำลังจ่ายมาก ถ้าทำได้จะเป็นตลาดขนาดใหญ่ แล้วรายได้เหล่านี้ จะถูกนำกลับมาพัฒนาและอนุรักษ์ป่าให้เป็นป่าชั้นหนึ่งของโลกได้

สอง เรามีสองมหาสมุทร ซ้ายมหาสมุทรอินเดีย ขวามหาสมุทรแปซิฟิก (อเมริกาก็มี 2 มหาสมุทร แอตแลนติกและแปซิฟิก)

สาม เรามีจังหวัดติดทะเล 23 จังหวัด

สี่ เรามีจังหวัดติดชายแดน 31 จังหวัด

เพราะฉะนั้น ด้านการศึกษา เด็กของเราควรรู้เรื่องเอเชียมากขึ้น เช่น เด็กทางเหนือควรรู้ภาษาจีนและพม่าจนถึงอ่านเขียนได้แตกฉาน เด็กอีสานควรพูดอ่านเขียนลาวและเวียดนามได้ ทางอีสานใต้ควรพูดเขมรได้ ส่วนทางใต้ควรพูดมลายูให้ได้ เป็นต้น เราต้องเตรียมเด็กของเราให้ข้ามไปทำงานในลาว พม่า เขมร เวียดนาม จีน

ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสำคัญ แต่... ภาษาเพื่อนบ้านก็สำคัญไม่แพ้กัน ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ได้บูมอยู่ที่ยุโรปและสหรัฐอีกต่อไป แต่บูมอยู่แถวบ้านเรา คือ ทั้งเอเชียและอาเซียน

สถานการณ์โลกสมัยใหม่ เป็นประโยชน์กับประเทศไทยมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน... ตอนสงครามเวียดนาม และยุคล่าอาณานิคม เราเป็นด่านหน้ารับสงคราม แต่ยุคนี้ เราเป็นด่านหน้าเช่นกัน แต่เป็นด่านหน้ารับเงิน

ห้า เรามีหลายเมืองที่เรียกว่าเป็นมหานครสำคัญของโลก (อันดับ 1 กรุงเทพฯ, อันดับ 9 ภูเก็ต, อันดับ 13 เชียงใหม่, อันดับ 26 พัทยา) กรุงเทพฯ ที่เรารังเกียจ คิดว่าสกปรก จำได้แต่ว่าน้ำท่วม อากาศแย่ พอสำรวจออกมา ชนะปารีส โตเกียว สิงคโปร์ ฮ่องกง เพราะฉะนั้น เราไม่ธรรมดา!

ด้านการศึกษา เราต้องทำให้สอดคล้องเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและบริการ ยอมรับก่อนเลยว่า คนไทยไม่ได้เก่งเรื่องศาสตร์แข็ง แต่เก่งศาสตร์อ่อน เช่น ศิลปะ บริการ ร้องเพลง

เราต้องสร้าง “ลัลล้า... อีโคโนมี” ชิวๆ สนุกๆ ไม่ทุกข์ไม่โศก เราต้องใช้เรื่อง “ลัลล้า” ให้เป็นเงิน

เราต้องจัดการศึกษาด้านลัลล้าให้มากขึ้น เด็กไทยขนาดสอนแต่วิชาการ ความลัลล้ายังโดดเด่นออกมาจากเด็กไทย

“ปลาต้องอยู่ในน้ำ... มันถึงจะเป็นอัจฉริยะ อย่าเอามันมาปีนต้นไม้” - การศึกษาไทยก็เช่นกัน เรายัดเยียดในสิ่งที่ไม่ใช่เราให้เด็กเราหรือเปล่า?

โลกเข้าไปสู่ Experience Economy แล้ว ไม่ได้ซื้อแค่สินค้า แต่ซื้อประสบการณ์ อาชีพเต้นกินรำกิน เอาแต่เล่น ลัลล้า พวกนี้แหละ จะกลายเป็นเงิน

เราต้องมองให้เห็นโอกาส ต่อยอดจากโอกาส ไม่ใช่เห็นแต่ปัญหา ถ้าเห็นโอกาส ไปไกลกว่า จะเห็นโอกาสได้ต้องมองโลก มองประเทศในทางบวก ครูอาจารย์ต้องเห็นก่อน ลูกศิษย์จะได้มองเห็นด้วย

ถ้าเห็นแต่ปัญหา ก็จะถูกพันธนาการด้วยปัญหา เป็นการมองโลกในแง่ร้าย

มันขึ้นอยู่กับวิธีคิด อย่างเรื่องนักท่องเที่ยวจีนก็คิดได้หลายแบบ คิดว่า “เขาเสียงดัง แย่งกันกิน” หรือ “เขามาช่วยเรา เอาเงินมาให้ประเทศเรา”

อย่ามองจีนและสหรัฐ ว่าเขายิ่งใหญ่ น่ากลัว แล้วเอาแต่หนี แต่ให้มองว่าเขาเป็นยักษ์ใหญ่ เราจะขี่หลังยักษ์และหากินหาเงินจากเขายังไง

เราต้องใจใหญ่ ต้องกล้า เราต้องฝึกให้คนรุ่นใหม่กล้า เพราะคนรุ่นเก่าใจฝ่อ ถูกสอนมาให้กลัว

พึงระลึกไว้ว่า กระแสบูรพาภิวัตน์ “เป็นคุณ” ต่อประเทศไทย

ป.ล. เรียบเรียงโดย ผศ. สมเกียรติ รุ่งเรืองวิทยะ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ขอบคุณ ดร.อนุชา เล็กสกุลดิลก ที่นำมาเผยแพร่ผ่านทางไลน์กลุ่ม iHDC

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 12 กรกฏาคม 2016 เวลา 18:29 น.
 

ลืม Wi-Fi ได้เลย และเตรียมพบกับอินเทอร์เน็ต Li-Fi

พิมพ์ PDF

ลืม Wi-Fi ได้เลย 

และเตรียมพบกับอินเทอร์เน็ต Li-Fi


จะเป็นอย่างไรหรือ


 ถ้าเทคโนโลยี่ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทำให้อินเตอร์เน็ดเข้าถึงผู้คนกว่า 4 พันล้านคน ที่อาศัยอยู่ในที่ซึ่งไม่มีระบบโครงสร้างพื้นฐานมาสนับสนุน โดยการใช้หลอดไฟ LED ที่มีขายอยู่ทั่วไป และโซลาร์เซลล์


 ฮาราลด์และทีมงานได้บุกเบิกเทคโนโลยีใหม่ขึ้นมา ซึ่งถ่ายทอดข้อมูลได้โดยใช้แสงสว่าง

 และสิ่งนี้อาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะเชื่อมต่อความเหลื่อมลํ้าทางอินเตอร์เน็ต

 ลองมาดูซิว่าอนาคตของอินเทอร์เน็ตจะเป็นอย่างไร


Wi-Fi กำลังจะถูกแทนด้วยนวัตกรรมใหม่ ที่เรียก LI-Fi (Light Fidelity) 

มันแรงกว่าถึง 100 เท่าเชียวนะ


นวัตกรรม  Li-Fi คือเทคโนโลยีไร้สายความเร็วสูง ที่สามารถส่งข้อมูลได้เร็วกว่า Wi-Fi มากถึง 100 เท่า 

มันถูกคิดค้นมานานกว่า 4 ปีแล้ว โดย Harald Hass จากมหาวิทยาลัย Edinburgh ในปี 2011  


หลักการทำงานมันคือการส่งข้อมูลผ่านทางแสง

โดยใช้ตัวปล่อยคือหลอด LED เพียงดวงเดียว และสามารถส่งข้อมูลได้สูงสุดที่ 224 

กิกะบิตต่อวินาทีในห้องทดลอง 

 มันจึงกลายเป็นความหวังใหม่ของการใช้อินเตอร์เน็ตในยุคปัจจุบัน

 และตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลองใช้อยู่ที่เอสโตเนีย 


หลักการทำงานคือใช้หลักการเดียวกับรหัสมอสส์ โดยใช้การสื่อสารผ่านทางแสงที่สามารถมองเห็นได้คือช่วงระหว่าง 400-800 THz 


แต่เดินทางได้รวดเร็วเกินกว่าตาจะมองเห็น


 พูดง่ายๆคือมันสามารถดาวน์โหลดหนังขนาด 1.5 GB จำนวน 18 เรื่อง ได้ใน 1 วินาที เลยทีเดียว จึงเหมาะกับการใช้งานอินเตอร์เน็ตในออฟฟิศเป็นอย่างยิ่ง


นอกจากนี้ข้อดีของ Li-Fi คือการถูกรบกวนระหว่างการใช้งานเป็นไปได้ยากขึ้นกว่าแบบเดิมอีกด้วย และหวังว่าอีกไม่นาน เจ้าLi-Fi นี้จะกลายเป็นมาตรฐานการถ่ายโอนข้อมูลแบบไร้สายใหม่ของโลกต่อไป


แชร์เพื่อแบ่งปันความรู้ให้คนอื่นอ่านด้วยสิ...

https://www.ted.com/talks/harald_haas_a_breakthrough_new_kind_of_wireless_internet?language=th

ขอบคุณคุณกิตติ คัมภีระ ที่นำมาเผยแพร่ในไลน์กลุ่ม iHDC

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 12 กรกฏาคม 2016 เวลา 19:04 น.
 


หน้า 251 จาก 561
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5644
Content : 3068
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8747230

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า