Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

บทเรียนในการดำเนินชีวิตของผู้สูงวัน ตอนที่ ๑๐

พิมพ์ PDF

บทเรียนในการดำเนินชีวิตของผู้สูงวัย ตอนที่ ๑๐ พ.ศ.๒๕๕๓


ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม-ธันวาคม ๒๕๕๓ แปดเดือนของการทำงานอิสระ นึกว่าจะมีเวลาว่างมากกว่า ชีวิตลูกจ้าง ที่ไหนได้แทบไม่มีเวลาเลย เข้าร่วมงานประชุม งานอบรม งานสัมมนา เกือบทุกวัน และบางวัน มีงานซ้อนกันหลายงาน เมื่ออยู่บ้านก็ต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ผู้เขียนไม่เคยปล่อยเวลาว่าง ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมไม่ว่าจะเป็นการประชุมระดมความคิดเห็น ประชุมรับฟังนโยบาย หรือเข้าร่วมงานอบรมสัมมนาต่างๆ ผู้เขียนเข้าร่วมเกือบทุกงานที่ได้รับเชิญยกเว้นที่มีงานซ้อนกันก็จะเลือกงานที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์มากที่สุด จากการเข้าร่วมงานต่างๆเหล่านี้ ทำให้ผู้เขียนได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย ได้สร้างเครือข่ายและคนรู้จักคนใหม่ๆจากวงการต่างๆ ผู้เขียนเริ่มเป็นที่รู้จักในวงราชการและสถาบันการศึกษามากขึ้น จากสถานะที่ผู้เขียนได้รับเกียรติรับการแต่งตั้งให้เป็น กรรมการบริหารมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ และอนุกรรมการด้านธุรกิจบริการ ของสภาหอการค้า ทำให้ได้รับเชิญเป็นวิทยากรหลายเวทีด้วยกัน

ชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากการทำงานที่มีลูกน้อง มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ได้จากบริษัท ต้องการใช้เครื่องมืออะไรก็ซื้อมาใช้ด้วยเงินของบริษัท ได้รับการสนับสนุนจากเจ้านาย ทำงานโดยไม่ต้องคิดถึงรายได้ พอสิ้นเดือนก็รับเงินเดือน บริหารรายจ่ายไม่ให้เกินรายได้จากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว เนื่องจากผู้เขียนทำงานอย่างอิสระสามารถบริหารงาน บริหารเวลาได้เองอย่างเต็มที่ ทำให้ทุ่มเทกับงานตลอดเวลา ไม่มีวันหยุด ทำทุกวัน ทุกเวลา ไม่เคยคิดที่จะหารายได้พิเศษ หรือขอเงินเดือนขึ้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากผู้เขียนทำงานเพื่อสังคม ควบคู่ไปกับทำงานประจำ ทำให้บางครั้งมีรายได้พิเศษจากการได้รับเชิญเป็นวิทยากรบ้างแต่ไม่มากนัก เดิมเคยรับเป็นครูสอนให้กับนักศึกษา ปวส ของวิทยาลัยพณิชยการแห่งหนึ่ง แต่ตอนหลังต้องขอยกเลิกเนื่องจากการสอนประจำทำให้ ติดขัดเรื่องเวลาบ่อยๆเนื่องจากบางครั้งมีงานในเวลาที่ตรงกับเวลาสอน ถ้าไปสอนก็เสียงาน ถ้าไปงานก็ไม่ได้ไปสอน ไม่ยุติธรรมกับนักศึกษา

หลังจากตัดสินใจไม่กลับไปทำงานประจำอีก ได้หันมามุ่งงานสังคมที่เคยทำไว้ก่อนในขณะที่ยังทำงานประจำอยู่ ได้แก่งานของ "ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์" เดิมเป็นโครงการของคณะบุคคล เป็นโครงการสร้างโอกาสให้กับคนที่ขาดโอกาส หลังจากดำเนินงานมาระยะหนึ่ง เห็นว่าจำเป็นจะต้องจัดตั้งเป็นนิติบุคคล ผู้เขียนและเพื่อนๆที่ร่วมโครงการได้นำโครงการไปเสนอ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ และหวังที่จะนำโครงการนี้เข้าไปอยู่ภายใต้ "มูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ" ที่ ท่าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ เป็นเลขาธิการ (มูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ เป็นมูลนิธิฯที่จัดตั้งโดยคณะรัฐบาล) ท่าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ให้ความเมตตา กับผู้เขียนมาก ท่านได้ดึงผู้เขียนเข้าไปเป็นทีมงานของท่าน แต่งตั้งให้ผู้เขียนเป็นกรรมการบริหารมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ ให้โอกาสผู้เขียนได้เรียนรู้ในงาน HR และได้มอบหมายงานให้ผู้เขียนเข้าร่วมเป็นวิทยากรขบวนการในงานอบรมและสัมมนาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ท่านเป็นผู้ที่ทำให้ผู้เขียนกล้าที่จะขึ้นเวที ครั้งหนึ่งท่านให้ความไว้วางใจ โดยมอบหมายให้ผู้เขียนเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องการท่องเที่ยวของประเทศไทย ให้กับคณะรัฐบาลพม่า ที่ประเทศพม่า ผู้เขียนไม่กล้ารับงานนี้ เพราะเป็นงานระดับชาติ แถมต้องบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ (ผู้เขียนไม่เคยมีประสบการณ์ ในการขึ้นบรรยายในเวทีใหญ่ๆระดับประเทศถึงแม้นจะเป็นภาษาไทยมาก่อน) อย่างไรก็ตาม ท่าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ให้ผู้เขียนจัดเตรียมเอกสารบรรยายและแจ้งว่าท่านจะขึ้นเวทีร่วมกับผู้เขียน ไม่ต้องกลัวท่านจะเป็นวิทยาหลักให้เอง และผู้เขียนคอยเสริมท่าน อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้เขียนจัดทำเอกสารการบรรยายให้ท่าน ศ.ดร.จีระหงส์ลด่รมภ์ พิจารณา ท่านก็ว่าดี และไม่ว่าอย่างไร

พอถึงวันขึ้นบรรยาย ท่าน ศ.ดร.จีระ ให้ผู้เขียนขึ้นเวทีเพียงคนเดียว โดยมีท่านอยู่หน้าเวทีคอยฟัง เป็นอีกประสบการณ์ที่ได้รับ ผู้เขียนไม่ค่อยประทับใจกับการบรรยายของผู้เขียนนัก ควรจะทำได้ดีกว่านี้ แต่ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีเป็นการเริ่มต้นความกล้าของผู้เขียน หลังจากนั้นก็ได้ติดตามและเป็นทีมงานของ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ตลอดมา ไม่มีเงินเดือนประจำ แต่ท่านก็พยายามให้ผู้เขียนเข้าร่วมเป็นทีมงานในการอบรมและสัมมนาระดับผู้บริหารทั้งองค์กรภาครัฐ และองค์กรวิสาหกิจใหญ่ๆของประเทศไทย การเข้าร่วมเป็นทีมงานทำให้ผู้เขียนมีโอกาสได้เรียนรู้จากวิทยากรระดับชาติที่มาร่วมเป็นวิทยากรโดย ศ.ดร.จีระ เชิญมาเป็นผู้บรรยาย

ผู้ให้การสนับสนุนอีก ๒ ท่านได้แก่ คุณพรศิลป์ พัชรินทร์ -ตนะกุล และคุณฉัตรชัย มงคลวิเศษไกวัล ที่ได้ให้เกียรติ เชิญผู้เขียนเข้าร่วมเป็นคณะอนุกรรมการด้านธุรกิจบริการ ของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในวาระปี ๒๕๕๒-๒๕๕๓ ทำให้ผู้เขียนมีโอกาสได้เข้าร่วมประชุม และร่วมงานสัมมนาต่างๆเกี่ยวกับ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ได้รับเชิญเป็นที่ปรึกษากรมเจรจาการค้า ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิด้านการท่องเที่ยว

ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม-ธันวาคม ๒๕๕๓ แปดเดือนของการทำงานอิสระ นึกว่าจะมีเวลาว่างมากกว่า ชีวิตลูกจ้าง ที่ไหนได้แทบไม่มีเวลาเลย เข้าร่วมงานประชุม งานอบรม งานสัมมนา เกือบทุกวัน และบางวัน มีงานซ้อนกันหลายงาน เมื่ออยู่บ้านก็ต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ผู้เขียนไม่เคยปล่อยเวลาว่าง ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมไม่ว่าจะเป็นการประชุมระดมความคิดเห็น ประชุมรับฟังนโยบาย หรือเข้าร่วมงานอบรมสัมมนาต่างๆ ผู้เขียนเข้าร่วมเกือบทุกงานที่ได้รับเชิญยกเว้นที่มีงานซ้อนกันก็จะเลือกงานที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์มากที่สุด จากการเข้าร่วมงานต่างๆเหล่านี้ ทำให้ผู้เขียนได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย ได้สร้างเครือข่ายและคนรู้จักคนใหม่ๆจากวงการต่างๆ ผู้เขียนเริ่มเป็นที่รู้จักในวงราชการและสถาบันการศึกษามากขึ้น จากสถานะที่ผู้เขียนได้รับเกียรติรับการแต่งตั้งให้เป็น กรรมการบริหารมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ และอนุกรรมการด้านธุรกิจบริการ ของสภาหอการค้า ทำให้ได้รับเชิญเป็นวิทยากรหลายเวทีด้วยกัน

หันมาทบทวนเรื่องรายได้ สรุปรายได้ทั้งปี ๒๕๕๘ มีรายได้รวม ๕๕๕,๕๕๘ บาท เป็นรายได้จากงานประจำ ๓๓๑,๗๕๐ บาท (มกราคม-เมษายน) ที่เหลือเป็นค่าวิทยากร และค่าสอนหนังสือ (มกราคม-ธันวาคม) มีหนี้สิน ๖๑๖,๔๘๓ บาท ทรัพย์สินประมาณ ๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท

โปรดติดตามตอนต่อไป การดำเนินชีวิตในปี ๒๕๕๔

 

บทเรียนการดำเนินชีวิตของผู้สูงวัย ตอนที่ ๙

พิมพ์ PDF

บทเรียนในการดำเนินชีวิตของผู้สูงวัย ตอนที่ ๙ (๒๕๕๓-๒๕๕๘)

เดือนเมษายน ๒๕๕๘ เป็นเดือนครบรอบ ๕ ปี ของการสิ้นสุดชีวิตรับจ้าง ผู้เขียนลาออกจากการเป็นผู้บริหารระดับสูงของโรงแรมแห่งหนึ่งที่อยู่มานานกว่า ๑๕ ปี เพื่อไปทำงานให้กับสามีของผู้ที่เคยมีอุปการคุณกับผู้เขียน  หลังจากเข้าไปทำงานที่ใหม่ได้ ๒ เดือน  ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ ผู้เขียนจึงขอถอนตัวออกมา  เมื่อเดือน เมษายน ๒๕๕๓ อายุ ๖๐ ปี ๒ เดือน ความจริงยังไม่คิดที่จะลาออกจากงานประจำ เนื่องจากยังมีภาระค่าใช้จ่ายประจำในแต่ละเดือน ลูกสาว ๒ คน จบการศึกษาและมีงานทำแล้ว แต่ยังเพิ่งเริ่มตั้งตัว  ส่วนลูกชายคนเล็ก ยังศึกษาอยู่ ภรรยาก็รับราชการเงินเดือนน้อย

ภรรยาได้เตือนให้ผู้เขียนทำสัญญากับผู้ที่มาติดต่อให้ผู้เขียนไปทำงานด้วย แต่ด้วยความเชื่อมั่นตัวเอง จึงไม่ได้สนใจเรื่องสัญญา  ทำให้ทุกอย่างผิดแผน ได้มีการทบทวนระหว่างที่ทำงานอยู่ที่เก่า เงินเดือนถือว่าไม่น้อยจนเกินไป แต่ก็ไม่มากพอกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น (ผู้เขียนทำงานด้วยความรักและสนุกกับการทำงาน จนลืมนึกถึงเงินเดือนตัวเอง ผู้เขียนไม่ได้รับเงินเดือนขึ้นตลอดเวลา 10 กว่าปี ทั้งๆที่ลูกน้องของผู้เขียนได้เงินเดือนขึ้นทุกปี) ผู้เขียนได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของ บริหารงานอย่างกับเป็นเจ้าของเอง ทราบว่าผู้เขียนมีหุ้นส่วนอยู่ในบริษัทด้วย แต่ไม่เคยทราบ ว่ามีหุ้นจำนวนเท่าไหร่และมีมูลค่าเท่าใด เมื่อผู้เขียนลาออก เจ้าของขอให้ผู้เขียนลงนามโอนหุ้นลอย ให้กับเจ้าของ ผู้เขียนก็ลงนามให้โดยไม่ได้เรียกร้องใดๆ

จากการทบทวนเรื่องราวต่างๆทั้งหมดทำให้ผู้เขียนตัดสินใจที่จะไม่ไปทำงานประจำให้กับใครอีกแล้ว หันมาตั้งเป้าที่จะเป็นวิทยากร และที่ปรึกษาอิสระ รับบรรยายและให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการด้านโรงแรมและการท่องเที่ยว  โดยคิดเงินค่าตอบแทนไม่มากนัก องค์กรละสองหมื่นบาท ต่อเดือน ถ้าได้ ๓ องค์กร ผู้เขียนก็จะมีรายได้เดือนละ หกหมื่นบาท พอกับค่าใช้จ่ายประจำเดือนของผู้เขียน เหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่ผู้เขียนคิด โดยมีปัจจัยต่างๆดังนี้

ช่วงที่ผู้เขียนทำงานประจำเป็นผู้บริหารงานขององค์กร  ผู้เขียนมีลูกน้องช่วยทำงานประจำ มีเครื่องไม้เครื่องมือครบเครื่อง ผู้เขียนมีเวลาทำสิ่งต่างๆได้มากมาย  คิด วางแผน สั่งงาน ติดตามงาน ออกสังคม เพิ่มเติมความรู้ และเนื่องจากผู้เขียนมีประสบการณ์ในการทำงานในสายอาชีพมาเป็นเวลานาน จึงเชียวชาญและชำนาญงาน รู้ปัญหา และแนวทางต่างๆ สามารถมองเห็นภาพต่างๆได้อย่างชัดเจน เป็นที่ยอมรับของคนในวงการ มีเจ้านายให้การสนับสนุน และข้อสำคัญ ทำงานได้อย่างเต็มที่พอสิ้นเดือนก็ได้รับเงินเดือน ทุ่มเทกับงานของบริษัทได้อย่างเต็มที่  

พอมาทำงานอิสระ  เราต้องทำเองทุกอย่าง ต้องพิมพ์หนังสือเอง ติดต่อและค้นหาทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่มีผู้ช่วย งานวิทยากร และงานที่ปรึกษา ถือเป็นงานใหม่ของผู้เขียน คนยังไม่รู้จัก ยังเป็นมือใหม่หัดขับ ไม่ใช่วิทยากร และที่ปรึกษามืออาชีพ ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป  งานที่ได้ล้วนเป็นงานที่เขาติดต่อเข้ามา และไม่ได้ตั้งราคาตัวเอง ใครเชิญมาก็ไป ไม่ได้พูดถึงค่าตอบแทน งานที่ได้รับเชิญส่วนมากเป็นงานฟรี  จะต้องค้นคว้าหาความรู้เพิ่ม ยังโชคดีที่ผู้เขียนยังมีตำแหน่งเป็นกรรมการอยู่ในคณะกรรมการด้านธุรกิจบริการของ สภาหอการค้า จึงได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมกับกรมเจรจาการค้า และหน่วยงานราชการอื่นๆ ทำให้มีคนรู้จัก และมีโอกาสได้แสดงตัวบ่อยๆ นอกเหนือจากนั้น ยังเป็นกรรมการเลขาธิการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุย์ และเป็นประธานกรรมการวิทยาลัยพณิชยการอินทราชัย งานด้านการท่องเที่ยวและโรงแรมค่อยๆหายไป ทั้งๆที่ได้เขียนบทความมากมายเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและโรงแรม มีแต่คนนอกวงการที่สนใจจะสร้างโรงแรม ติดต่อเข้ามาขอคำปรึกษา ได้ให้คำปรึกษาในเบื้องต้นโดยไม่ได้คิดค่าตอบแทน ใดๆทั้งสิ้น ส่วนคนในวงการไม่มีใครติดต่อเข้ามา อาจเป็นได้ที่ไม่ทราบจะติดต่อที่ไหน เนื่องจากผู้เขียนไม่ได้เข้าไปในวงจรของธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมอีกเลยหลังจากลาออกจากงานเดิม ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ หนึ่งในการหาความรู้คือการเข้าร่วมงานสัมมนา และงานอบรมต่างๆ ผู้เขียนจะเข้าร่วมงานสัมมนาและงานอบรมต่างๆทุกงานที่ได้รับเชิญ นอกจากติดงานอื่นที่รับเชิญไว้ก่อนหน้า  แทบไม่มีเวลาว่าง ทำงานหนักกว่าเป็นพนักงานกินเงินเดือน แรกๆก็ไม่ได้คิดอะไรเนื่องจากยังมีเงินเหลือบ้าง แต่พอผ่านไปเดือนก็แล้ว ปีก็แล้ว  รายได้หายไปเป็นจำนวนมาก        ถึงแม้นภาระค่าใช้จ่ายจะน้อยลง เนื่องจาก ลูกทั้งสามคนเรียนจบ และต่างมีงานทำ ภาระค่าใช้จ่ายได้แก่  ค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าซ่อมแซมบ้าน ค่าซ่อมแซมรถยนต์ ค่าน้ำมันรถ ค่าอาหารของคนและค่าใช้จ่ายของสัตว์เลี้ยง เช่นอาหาร และค่ารักษาพยาบาล  ซึ่งไม่มากนัก    แต่ปัญหาอยู่ที่รายได้น้อยกว่ารายจ่าย  หรือบางเดือนมีแต่รายจ่ายแต่ไม่มีรายได้  

อะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของผู้สูงวัย ที่ลาออกจากงานที่มีเงินเดือนประจำเกือบเดือนละ แสนบาท เมื่ออายุครบ ๖๐ ปี โดยมีภาระค่าใช้จ่ายที่ติดตามมาประมาณเดือนละ สามหมื่นบาท  เวลาผ่านไป ห้า ปี อะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของผู้เขียน ผู้เขียนได้เจออุปสรรค์ และแก้ไขปัญหาการดำเนินชีวิตผู้สูงวัยของผู้เขียนอย่างไร โปรดติดตามอ่านตอนต่อไปในเร็วๆนี้

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

๑๒ เมษายน ๒๕๕๘


 

ประสบการณ์ชีวิตของ ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท บทเรียนการดำเนินชีวิตผู้สูงวัย ตอน ๗ "เพื่อน คู่ครอง ชีวิตครอบครัว

พิมพ์ PDF

บทเรียนการดำเนินชีวิตผู้สูงวัย ตอน ๗ : เพื่อน คู่ครอง ชีวิตครอบครัว (ประสบการณ์ชีวิตของ ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท)


รักผู้หญิง ๓ คน แต่ไม่ได้แต่งงาน กลับไปแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่เคยคาดฝัน ก็ต้องถือว่าไม่ใช่เนื้อคู่ถึงรักกันอย่างไรก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน

ผู้เขียนมีเพื่อนมากเนื่องจากเข้ากับคนง่ายไม่เลือกและแบ่งชนชั้น แต่มีเพื่อนสนิทจริงๆไม่มากนัก เนื่องจากผู้เขียนเป็นคนจริงใจ และไม่ปกปิด คบกันไม่กี่ครั้งก็จะทราบว่าใครจริงใจกับผู้เขียนบ้าง ผู้เขียนไม่เคยเอาเปรียบใคร แต่ก็จะไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบผู้เขียนเช่นกัน ผู้เขียนยินดีและเต็มใจทำทุกอย่างให้กับคนทุกคนที่เห็นคุณค่า ดูเหมือนคนโง่ ปล่อยให้คนอื่นเอาเปรียบ

ผู้เขียนมีครอบครัวที่อบอุ่น คุณพ่อรับราชการ ตำแหน่งสุดท้ายเป็นข้าราชการพลเรือนชั้นพิเศษ ตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนคุณแม่เป็นแม่บ้าน มีพี่น้องด้วยกัน ๔ คน ผู้เขียนเป็นลูกชายคนโต คุณพ่อและคุณแม่ไม่ได้รับมรดกตกทอดจากคุณปู่ คุณตา คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงลูก ๔ คนเป็นอย่างดี ไม่ได้น้อยหน้าใคร ถึงแม้นเงินเดือนคุณพ่อจะไม่พอกับการเลี้ยงภรรยาและลูกๆอีก ๔ คน ต้องกู้หนี้นอกระบบ เสียดอกเบี้ยง สูง บางครั้งผู้เขียนและน้องๆต้องหยุดเรียนเนื่องจากคุณพ่อไม่มีเงินให้ไปโรงเรียน โชคดีที่คุณพ่อมีน้องสาว ๒ คน และน้องชาย ๑ คน ที่ให้ความช่วยเหลือครอบครัวของผู้เขียน ถึงแม้นจะไม่สามารถช่วยด้านเงินทองได้มากนัก แต่ก็ช่วยเรื่องสถานที่ศึกษาเล่าเรียนให้กับผู้เขียนและน้องๆอีก ๓ คน โดยเฉพาะตัวผู้เขียนเองได้รับการช่วยเหลือจากอาเขย จนสามารถได้เข้าเรียนวิชาชีพที่วิทยานุกรณ์วิทยาลัย และโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ จนทำให้ผู้เขียนมีความรู้จนสามารถเข้าทำงานที่มั่นคงได้ คุณอาเป็นผู้ฝากให้ผู้เขียนเข้าทำงานครั้งแรกขณะที่ผู้เขียนยังศึกษาอยู่ในปีที่สอง

เมื่อผู้เขียนมีรายได้ ทำให้สถานะทางครอบครัวดีขึ้น รายได้ของคุณพ่อและผู้เขียนพอเพียงกับรายจ่ายของครอบครัว ไม่ต้องกู้หนี้ยืมสินกับใครอีก สามารถใช้หนี้สินที่คุณพ่อยืมมาได้หมดสิ้น ผู้เขียนซื้อรถยนต์ และซื้อบ้านเป็นของตัวเอง นำคุณพ่อ คุณแม่ และน้องๆอีกสามคนมาอยู่รวมกันในบ้านหลังแรกของครอบครัว น้องๆทุกคนเรียนจบ และมีงานทำ

ระหว่างที่ผู้เขียนทำงานอยู่ที่บริษัททัวร์รอแยล เพื่อนรุ่นน้องของผู้เขียนได้ให้แฟนเขามาพบผู้เขียนเพื่อช่วยจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินและทำวีซ่าเพื่อเดินทางไปเรียนต่อที่อเมริกากับเพื่อนผู้เขียน ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นทำให้ผู้เขียนรักกับแฟนเพื่อน ถือว่าเป็นคู่รักคนแรกของผู้เขียน (ไม่ใช่แฟนในช่วยเด็กๆ) เรารักกันมาก ผู้เขียนรู้สึกผิดที่ไปแย่งแฟนเพื่อน แต่ก็ห้ามใจไม่ได้ ผู้เขียนให้ผู้หญิงเป็นคนตัดสินใจว่าจะเลือกใครแน่ ผู้หญิงยืนยันว่าเลือกผู้เขียน แต่จะขอเดินทางไปเรียนต่อตามที่ได้วางแผนไว้ แต่ผู้เขียนไม่เห็นด้วยเพราะถ้าให้ไปอยู่กับแฟนเก่า ผู้เขียนคงรอเก้อแน่ๆ จึงขอให้ผู้หญิงยกเลิกการเดินทางถ้าเลือกผู้เขียน แต่ถ้าจะเดินทางไปตามที่ตั้งใจไว้ก็ถือว่าเลือกแฟนเก่า ผู้หญิงตัดสินใจเดินทาง เราจึงขาดการติดต่อกัน ผู้เขียนเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่ยุติธรรมกับผู้หญิงคนนั้น โดยเฉพาะได้ทราบภายหลังว่าผู้หญิงตัดสินใจยกเลิกการเดินทางที่สนามบิน และไม่ได้แจ้งให้ผู้เขียนทราบ (ไม่ใช่เนื้อคู่)

ผู้เขียนมีความพอใจผู้หญิงอีกสองคน คนแรกเป็นลูกสาวพ่อค้าระดับประเทศ ยังเป็นนักศึกษาและเข้ามาพบผู้เขียนเพื่อสอบถามเรื่องตั๋วเครื่องบิน และได้มีการนัดให้ไปพบคุณพ่อของนักศึกษาที่บ้านเพื่อจัดทำรายละเอียดการเดินทาง ในที่สุดกลายเป็นลูกค้าที่สำคัญของผู้เขียน ผู้เขียนสนิทสนมกับครอบครัวลูกค้ารายนี้มาก คุณพ่อคุณแม่ของนักศึกษา ได้มอบหมายให้ผู้เขียนพาลูกสาวและลูกชายคนเล็กไปเที่ยวในที่ต่างๆ วันลอยกระทง ผู้เขียนได้พานักศึกษาและน้องชายของนักศึกษาไปลงเรือเที่ยวลอยกระทง จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แทนที่ผู้เขียนจะลอยกระทงพร้อมกับนักศึกษาที่ไปกับผู้เขียน แต่ผู้เขียนกับไปลอยกระทงพร้อมกับผู้หญิงต่างชาติ (ผู้หญิงต่างชาติคนนี้จะมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตผู้เขียนในอนาคต) ผู้เขียนมีความพอใจกับนักศึกษาคนนี้ และเชื่อว่านักศึกษาคนนี้และครอบครัวมีความพอใจผู้เขียน และคิดไปถึงแผนแต่งงานในอนาคต

ระยะเวลาไล่เรี่ยกันผู้เขียนก็มีความสนิทสนมกับลูกสาวคนมีเงินอีกคนหนึ่ง รายนี้เป็นลูกทัวร์ไปต่างประเทศโดยผู้เขียนเป็นหัวหน้าทัวร์ หลังจากนั้นก็มีความสนิทสนมกันมาก รายนี้แทบไม่ปล่อยให้ผุ้เขียนไปสังสรรค์กับใครเลย แม่ลูกมา รับผู้เขียนไปทานข้าวกลางวันทุกวัน มื้อเย็นเลิกงานก็ไปทานข้าวที่บ้านของแม่ลูกคู่นี้ เป็นเหตุให้ผู้เขียนเริ่มห่างเหินกับนักศึกษา เมื่อผู้เขียนเดินทางไปต่างประเทศแม่ลูกคู่นี้ก็ตามผู้เขียนไปเกือยทุกครั้ง ได้มีการพาไปพบกับนายธนาคาร และไปไหนๆด้วยกัน จนคนรู้จักต่างคิดกันว่าผู้เขียนเป็นว่าที่ลูกเขย อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

ผู้เขียนได้พบกันผู้หญิงต่างชาติที่บังเอิญผู้เขียนได้เคยลอยกระทงพร้อมกับเธอเมื่อ ๑-๒ ปีก่อนหน้านี้ เธอตัดสินใจฆ่าตัวตาย เนื่องจากการผิดหวังเรื่องคู่รัก และมีปัญหากับครอบครัว แต่มีคนช่วยไว้ได้ เมื่อพบผู้เขียน ผู้เขียนได้พยายามให้ความช่วยเหลือและปลอบใจ ให้คิดถึงอนาคต และรับปากว่ามีสิ่งไหนที่ผู้เขียนช่วยได้ขอให้บอกผู้เขียนยินดีให้ความช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน หางาน หรือเรื่องอื่นๆ ระหว่างนั้นผู้เขียนจะต้องไปพบคุณพ่อที่ไปทำงานอยู่ที่จังหวัดอุดร เธอขอไปด้วย เมื่อไปถึงอุดร ผู้เขียนให้เธอพักที่โรงแรม ส่วนผู้เขียนไปพักที่บ้านคุณพ่อ ระหว่างที่จะไปบ้านคุณพ่อเธอร้องไห้ และถามว่าที่สัญญาจะช่วยเหลือเธอนั้นเป็นความจริงแค่ไหน ผู้เขียนได้ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงขอให้บอกมา เธอจึงบอกว่าให้แต่งงานกับเธอ

ผู้เขียนเป็นคนที่รักษาคำมั่นสัญญามาก เมื่อสัญญาอะไรกับใครจะต้องทำตามสัญญา เคยโกรธคุณแม่ที่ไม่ทำตามสัญญาจึงได้กระโดดรถจนเกือบเสียชีวิต เมื่อเจอเช่นนี้ได้คิดทบทวน และเปรียบเทียบระหว่างผู้หญิงสองคน คนหนึ่งเป็นคนมีเงิน มีการศึกษา มีความพร้อมทุกอย่างสามารถหาผู้ชายดีๆที่มีความพร้อมมากกว่าผู้เขียน ส่วนอีกคนหนึ่งหมดหวังทุกอย่าง ต้องการความช่วยเหลือ ถ้าผู้เขียนปฎิเสธ ก็เท่ากับผู้เขียนได้แต่พูดเมื่อเธอต้องการความช่วยเหลือจริงๆก็ไม่ได้ เธอก็จะผิดหวังเหมือนเดิม และอาจคิดฆ่าตัวตายอีก ผู้เขียนจึงตอบตกลง และเป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนต้องโกหกคุณพ่อคุณแม่สร้างเรื่องว่ารู้จักกันมานานและจะแต่งงานกัน แต่ผู้ใหญ่ไม่เต็มใจเท่าไหร่แต่ไม่ทราบจะทำอย่างไร ในที่สุดจึงได้จดทะเบียน แต่ไม่ได้ทำพิธีแต่งงานเพราะฝ่ายหญิงตัวคนเดียวไม่มีญาติ พี่น้องในประเทศไทย ส่วนพ่อแม่ก็อยู่ต่างประเทศ และรู้สึกว่าจะตัดขาดความเป็นพ่อลูกกัน

ครอบครัวเริ่มมีปัญหาเงินที่ผู้เขียนให้กับคุณแม่เริ่มให้น้อยลง เพราะต้องไปให้ภรรยา และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาก ภรรยาเป็นผู้ที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบนักการฑูต ทราบภายหลังว่า พ่อเคยเป็นเจ้าหน้าที่สถานฑูตไต้หวันในประเทศไทย ใช้จ่ายเงินฟุ้มเฟือย เที่ยวกลางคืน มีปัญหากับคุณแม่และน้องๆ ผู้เขียนกลายเป็นลูกที่ทำร้ายจิตใจคุณแม่ เนื่องจากความเป็นคนตรง ระหว่างภรรยา และแม่ ใครผิดผู้เขียนก็ว่ากล่าวคนนั้น โดยไม่ทันคิดว่าผู้เขียนไม่มีสิทธิ์ว่ากล่าวคุณแม่ เป็นบาปอย่างมาก ครอบครัวที่มีความสุขเริ่มมีแต่ปัญหา ทะเลาะและโต้เถียงกันตลอดเวลา ความเป็นคนตรงและพูดโดยไม่คิดยิ่งทำให้ความบาดหมางระหว่าคุณแม่และภรรยาเลวร้ายเพิ่มขึ้นทุกวัน ในที่สุดก็มีลูกสาว หลังจากมีลูกภรรยาได้ทำงานโรงแรม โดยคุณแม่และน้องสาวช่วยเลี้ยงลูกให้ เมื่อลูกสาวอายุได้สอง-สามปี ผู้เขียนเริ่มคิดถึงอนาคต ผู้เขียนคิดว่าจะช่วยฉุดและดึงภรรยาขึ้นมาได้ แต่ความจริงภรรยาเป็นผู้ฉุดผู้เขียนให้ตกต่ำลง จึงยอมรับความจริงและตัดสินใจเลิกกับภรรยาอย่างเด็ดขาด หลังจากที่เคยเลิกกันและกลับมาคืนดีกันมาแล้ว ๓-๔ ครั้ง เมื่อเลิกกันจริงๆลูกสาวอยู่ในความดูแลของผู้เขียน โดยมีคุณแม่และน้องสาวเป็นผู้เลี้ยงดู ส่วนอดีตภรรยาไปมีสามีใหม่ มีลูกอีก ๒-๓ คน และก็ได้เลิกลากับสามีใหม่อีกเช่นกัน หลังจากเลิกกับผู้เขียน อดีตภรรยามีชีวิตที่ตกต่ำกว่าเดิมมาก และไม่น่าเชื่อว่าคุณแม่ที่เคยเกลียดกลับ เป็นผู้ที่ให้ความช่วยเหลืออและเป็นห่วงเป็นใย เนื่องจากเธอไม่มีที่พึ่ง และผู้เขียนเองไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเพราะกลัวจะพัวพันกันอีก สุดท้ายเธอได้คืนดีกับพ่อที่ไต้หวันและกลับไปอยู่ไต้หวัน สุดท้ายทราบข่าวจากลูกสาวว่าได้เสียชีวิตไปแล้ว

หลังจากหย่าล้างกับภรรยา แม่ของลูกสาวที่ผู้เขียนคิดว่าจะได้แต่งงานด้วย ได้พูดกับผู้เขียนว่าเขาพร้อมที่จะให้ผู้เขียนอยู่กับลูกสาวเขา แต่ขอให้ผู้เขียนอย่านำลูกสาวมาด้วย ไม่ใช่ว่ารังเกียจลูกสาว แต่เขาทำใจไม่ได้ และลูกสาวก็มีคุณแม่และน้องสาวผู้เขียนช่วยดูแลอยู่ ผู้เขียนปฎิเสธทันที เพราะลูกสาวขาดแม่ไปคนหนึ่งแล้วจะให้ขาดพ่ออีกคน คงเป็นไปไม่ได้ ผู้เขียนไม่สามารถเลือกหาความสุขของตัวเองโดยไม่คิดถึงความสุขของลูกสาวได้ หลังจากนั้นผู้เขียนก็ไม่ได้ติดต่อสนิทสนมกับผู้หญิงคนไหนอีกเลย

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

 

วันนี้ได้รับกำลังใจ

พิมพ์ PDF

วันนี้ได้รับกำลังใจ


ได้รับ e-mail จาก support gotoknow ส่งข้อมูลของผู้ที่ร่วมแสดงความคิดเห็นลงในบทความของผมที่เขียนใน gotoknow ข้อความที่ส่งมาถึงผมเป็นข้อความที่ให้กำลังใจกับผมเป็นอย่างมาก เขียนบทความมาก็มากหลาย เคยได้รับดอกไม้หรือคำชมมาบ้าง แต่ไม่เหมือนครั้งนี้ครับ ถึงแม้นผมจะไม่ค่อยยึดติดกับคำชมและคำตำหนิ เท่าไหร่ แต่ผมก็ยังเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่บางครั้งก็ต้องการน้ำใสที่ซึมลงไปเลี้ยงหัวใจครับ ขอบคุณครับคุณนิติกรณ์ เราเป็นกัลยาณมิตรกันครับ

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

29 มกราคม 2559

จาก: นิติกรณ์  อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน  หัวข้อ: 911 ดีใจมาก —————————————

เรื่องของท่านสนุกมาสกเลยครับ ท่านอ่านประโยคแรกที่ผมทักทายอาจนึกสงสัีย ไอ่นี่บ้า ข้าไม่ได้แต่งนิทานให้พวกแกได้อ่านให้สนุกเพลิดเพลินนะโว้ย!! แต่ครับแต่ พอดีผมกำลังรูสึกกลุ้มใจหลายเรื่อง โมโหตัวเองที่ตัดสินใจทำอะไรผิดๆ กำลัง นึกโทษตัวเอง อะไรหลายๆอย่างอยู่ แต่ผมกด็๋เผอิญไปเจอลิ้งๆนึง http://www.saraupdate.com/2771 นั่งอ่านไปได้หน่อยเดียว จบดื้อๆแบบค้างคา ต้องบอกก่อนว่าผมเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ เป็นคนไทยประเภทอ่านหนังสือไม่เกิน 5 บรรทัด แต่พอได้อ่านลิ้งข้างต้น ทำให้ผมรู้สึกค้างคาใจผู้เขียนมา ว่าเขาต้องการสื่ออะไร ก็เลยต้องหาอ่านต่อ วิธีที่ง่ายที่สุดคือ google ช่วยหา ผมเดาเล่นๆว่าเรื่องผี เรื่องสยองขวัญแน่ๆกับโรงแรมนี้ แต่ไหงไปๆมาๆกลายมาลิ้งของท่านก็ไม่รู้ ก็เลยอ่านลงมาเรื่อยๆ ความรู้สึกในขณะนั้นที่กำลังอ่านรู้สึกยากอ่านไปเรื่อยๆ ทั้งๆที่เป็นคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือเท่าใดนัก แต่วินาทีนั้นผมเหมือนถูกสะกดให้นั่งมองทุกวันคำ ทุกๆพยางค์ที่ท่านเขียน แม้แต่อ่านจบแล้วก็อยากอ่านต่ออีก มันเลยเป็นที่มาที่ทำให้เกิดการอยากสนทนากับท่านขึ้นมาครับ ถึงแม้ท่านอ่านแล้วจะไม่ตอบ หรือไม่เห็นที่ผมเขียน แต่อยากบอกว่าเรื่องราวของท่านที่นำมาถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือสนุกมากครับ ทั้งๆที่จุดประสงค์ที่ท่านเขียนผมมองว่าอยากอธิบายถึงอะไรหรือต้องการสื่อถึงอะไร แต่มันอดคิดไม่ได้จริงๆว่ามันเป็นเรื่องเล่าจากประสบการณ์จริงที่สนุกมาก ตัวผมเองท่านอาจไม่รู้หัวนอนปลายเท้าว่าไอ่เจ้าหนุเนี่ยมันใครมาบ่น หรือเห่าหอนให้ผู้ใหญ่ฟัง(ขอโทษด้วยครับกับคำบางคำที่อาจดูไม่ค่อยสุภาพนัก) ผมเองปีนี้ก็ปาเข้าไปอายุ 40ย่าง41 เกิด 9 พ.ย 17 ครับ ผมเองมีบุคคลิกคล้ายๆท่านคือมีศักดิ์ศรี ยอมหักไม่ยอมงอ รักเพื่อนพ้อง ขี้เกรงใจคน และเป็นคนตรงๆ ไม่ชอบเห็นคนเอารัดเอาเปรียบ คือรักความยุติธรรมมากครับ มาวันนี้ผมรู้สึกดีที่ได้จบเจอคนแบบท่านและถึงแม้ผมเองไม่ได้ฐานะร่ำรวยอะไร แต่การที่ผมมาจบเจอคนแบบท่านโดยบังเอิญผมรู้สึกเจอมิดแท้ผ่านตัวอักษรที่ร้อยเรียงมาเป็นคำพูดให้ผู้อ่านอย่างผมหรือใครๆได้รู้ว่าบนโลกใบนี้ยังมีคนที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร แต่จะตัดสินใจทำอะไรยึดความถูกต้องเท่านั้น

ปล. ที่ผมจั่วตัวกระทู้ว่า 911 ดีใจจัง เพราะเหตุผลว่า ถ้าท่านเห็นแล้วคิดว่าเป็นสแปมท่านจะไม่กดเข้า่มาอ่าน แต่ถ้าเราดวงสมพงษ์กันและเป็นกัลยาณมิตรกัน ท่านเองก็ต้องเปิดเข้ามาอ่านที่ผมเขียน (ทุกๆตัวหนังสือที่ผมเขียน ผมไม่ได้ตรวจสอบคำผิดนะครับ ถ้ามีที่ผมพิมพ์ผิดต้องขออภัยด้วยครับ ผมเขียนออกมาจากใจ)

ขอบพระคุณท่านมากครับที่อ่านจนจบ / นิติกรณ์


หมายเหตุ: ท่านได้รับอีเมลติดต่อนี้เพราะผู้ส่งเขียนผ่านฟอร์มของระบบ โดยระบบไม่ได้เปิดเผยที่อยู่อีเมลของท่านแก่ผู้ส่ง แต่หากท่านตอบอีเมลนี้ ผู้ส่งจะสามารถรู้อีเมลของท่านได้จากอีเมลที่ท่านตอบ

 

ผมเชื่อมั่น และมีศรัทธา ต่อ พล.เอก ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี

พิมพ์ PDF

ผมเชื่อมั่น และมีศรัทธา ต่อ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี


ผมเชื่อและมีศรัทธา ต่อ พล.อ.ประยุทธ นายกรัฐมนตรี

หลังจากอ่านบทความใน http://www.posttoday.com/politic/440039 (พล.อ.ประยุทธ์ เผย หากประชามติไม่ผ่านก็ต้องร่างรธน.ใหม่ ชี้รัฐธรรมนูญที่ผ่านมาต่างกันไม่กี่มาตรา ยันไม่ออกกฎหมายพิเศษ หากมาตรา61 ติดหล่ม เมื่อวันที่28 มิ.ย. เวลา 14.00น. ที่ทำเนียบรัฐบาล)

ผมมีความเชื่อมั่น พล.อ.ประยุทธ์ ว่าท่านเสียสละและทำเพื่อประเทศชาติ อย่างแท้จริง ผมอ่านข่าวที่เขียนโดยโพสต์ทูเดย์ ในเนื้อหาสาระที่ท่านประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ ผมเข้าใจและขอแสดงความชื่นชมกับท่านประยุทธ์ ข้อความชัดเจน และถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามที่ท่านกล่าว ท่านพูดได้ตรง และถูกต้องกับสิ่งที่เกิดขึ้น ท่านมีความตั้งใจอย่างเต็มที่ๆจะแก้ปัญหาให้บ้านเมือง ผมขอวิงวอนให้ประชาชนศึกษาและทำความเข้าใจในสิ่งที่ท่านพยายามทำเพื่อประเทศชาติ และให้ความร่วมมือกับท่านนายก ถ้าประชาชนยังไม่ให้ความสำคัญ ยังถือว่าธุรไม่ใช่ ฉันไม่ได้มีหน้าที่อะไร จึงปล่อยให้ท่านนายก รบ กับผู้ที่ต้องการสร้างประโยชน์ ให้กับตัวเองและพวกพร้อง เพียงลำพัง ท่านคงไม่มีกำลังต่อสู้ได้ นอกจากพวกประชาชนจะให้ความร่วมมือและเข้ามาช่วยเหลือ วิธีการช่วยเหลือที่ดีที่สุดก็คือเปลี่ยนความคิดของตัวเอง หันมาช่วยกันคิดถึงประเทศชาติ เห็นประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ให้เกียรติผู้นำ ช่วยแบ่งเบาภาระ ไม่ใช่รุมโจมตีและสร้างปัญหาให้มากขึ้น ขอให้เลิกแบ่งสีแบ่งพวก หันมาร่วมมือกัน ความเห็นต่างเป็นเรื่องของธรรมชาติ ถ้าทุกคนคิดเหมือนกันหมดนั่นน่ะไม่ใช่ธรรมชาติ ความคิดต่างเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่ายึดมั่นถือมั่นว่าความคิดของฉันถูกเพียงฝ่ายเดียว เราต้องนำความแตกต่างมาหาจุดสมดุลย์เพื่อการสร้างสรรค์ ไม่ใช่เพื่อการทำลาย ท่าน ศาสตราจารย์ กีรติ บุญเจือ ท่านก็กำลังพยายามให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนทรรศ์ทางปรัชญาที่ ๕ อยู่ ปรัชญากระบวนทรรศน์ที่ ๕ เป็นปรัชาที่จะช่วยให้สังคมโลกเป็นสังคมแห่งความสุข ประเทศไทยมีปรัชญาที่ถูกต้องและเหมาะสมอยู่แล้ว แต่ทำไมเราไม่นำมาศึกษาทำความเข้าใจและนำมาใช้ในชีวิติประจำวันของเรา ปรัชญานั้นได้แก้ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ศึกษาให้ดี จะพบของดีๆที่ประชาชนคนไทยได้รับจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือการปกครองแบบธรรมาภิบาล ประชาธิปไตย เป็นรูปแบบการปกครองที่ชาวตะวันตกตั้งขึ้น ซึ่งคนกลุ่มหนึ่งนำเข้ามาใช้ในระบบการปกครองของประเทศไทย ซึ่งล้มเหลวมาโดยตลอด หลักการปกครองที่คนไทยควรได้รับคือการปกครองแบบธรรมาภิบาล เรามีของดีอยู่แต่กลับไปใฝ่คว้าหาสิ่งจอมปลอม

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท
29 มิถุนายน 2559

 


หน้า 32 จาก 561
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5642
Content : 3067
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8740430

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า