Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

ชีวิตที่พอเพียง : ๒๑๙๐. ควงสาวเที่ยวฝรั่งเศส ๔. ลียง

พิมพ์ PDF

วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ก่อนออกเดินทาง ผมค้นใน กูเกิ้ล พบโพสต์ เที่ยวไปตามฝัน ๙ วันในฝรั่งเศส ตอนที่ ๕ ลียง จึงได้ virtual tour ก่อนไปเที่ยวจริงๆ

ที่ ลียง (Lyon) เราจองโรงแรม Athena Part-Dieu, 45 Boulevard Marius Vivier Merle สองช่วง คือ ๓๑ พฤษภาคม - ๒ มิถุนายน กับ ๔ - ๕ มิถุนายน ๒๕๕๗ สองวันแรกค่าโรงแรม ๑๓๐ ยูโร วันหลังวันเดียว ๑๑๐ ยูโร โดยสองวันระหว่างกลางเราไปเที่ยวและพักที่ อาวียง เราอาศัยฝากกระเป๋าใหญ่ไว้ที่โรงแรม Athena

เช้าวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เราออกจากโรงแรม Nouvel ลากกระเป๋าไปสถานี ที่อยู่ห่างไปเพียง ๑๐๐ เมตร ไปพบคนเมากลิ่นเหล้าฟุ้ง เห็นเราหยุดถ่ายรูปตรงสวนสาธารณะ ก็เข้ามาคุยและถ่ายรูปด้วย เราระวังตัวแจ กลัวโดนลอกคราบ

ที่สถานีรถไฟ ผมพบวิธีใช้ Wifi ฟรีของร้านขายอาหารและของจิปาถะ chez-jean โดยต้องลงทะเบียน ก่อน คงเพื่อความปลอดภัย

ตอนนี้เราเริ่มชำนาญการตรวจสอบข้อมูลรถไฟ และลู่ทางไปขึ้นรถแต่ละขบวนแล้ว เขามีป้าย กระดาษสีเหลืองเป็นขบวนรถออกประจำวัน ป้ายสีขาวเป็นขบวนรถเข้า และมีป้าย LCD พื้นสีฟ้าบอกรถออก ในช่วงเวลานั้น พื้นสีเขียวบอกเวลารถเข้า มีนาฬิกาติดอยู่เหนือป้ายรถออก กล่าวได้ว่า ป้ายต่างๆ ของสถานี รถไฟบอกข้อมูลสะดวกดีจริงๆ ปัญหาใหญ่ของนักท่องเที่ยวชราอย่างเราคือหูตาไม่ค่อยดี รวมทั้งเห็นแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจ คือสมองก็ช้าด้วย

ในรถไฟ อ๊านซี - ลิยง ปาร์ดิเยอร์ เที่ยว ๖.๕๓ น. เรานั่งรถชั้น ๑ สองคนครองทั้งโบกี้ ซึ่งจุผู้โดยสาร ๕๔ คน ตลอดเส้นทาง สาวน้อยควักเอาเสบียงอาหารที่เตรียมมาจากเมืองไทย เอามากินบนรถ สะดวกสบายมาก ผมเขียนบันทึก ช่วงที่อยู่ที่เมือง อ๊านซี ๒ วันเสร็จบนรถไฟ รถไฟตู้นี้ที่นั่งสบายมาก แต่ค่อนข้างเก่า ข้อตำหนิคือกระจก หน้าต่าง และห้องน้ำสกปรก

วิวสองข้างทางของรถไฟวันนี้ต่างจากวานนี้โดยสิ้นเชิง วานนี้เราไปเที่ยวภูเขาวิวเป็นภูเขา ยอกขาวโพลนด้วยหิมะ วันนี้วิวทุ่งราบ มีช่วงหนึ่งผ่านทะเลสาบ มีปราสาทอยู่บนเขาริมทะเลสาบหลายหลัง

สาวน้อยวางแผนเที่ยว ลียง สองวันเต็ม เพราะเป็นทั้งเมืองใหญ่ (ที่ ๒ ของประเทศ รองจากปารีส) และเป็นเมืองโบราณตั้งแต่สมัยโรมันด้วย

ถึงสถานีรถไฟ ลิยง ปาร์ดิเยอ (Lyon Part Dieu) เวลา ๙ โมงเศษ เราลากกระเป๋าไปหาทางออก ด้านที่โรงแรม อะธีนา ปาร์ดิเยอ (Athena Part Dieu) ตั้งอยู่ พอชะโงกหน้าออกจากตัวสถานีรถไฟ ก็เห็นป้ายชื่อโรงแรม เราไปฝากกระเป๋า แล้วถามเจ้าหน้าที่ต้อนรับว่า จะหาซื้อ Lyon CityCard ได้ที่ไหน เขาบอกว่าต้องไปที่ Information Center ซึ่งอยู่ที่ จตุรัส เบลเลอกัวร์ (Place Bellecour) โดยนั่งรถบัส C9 จากหน้าโรงแรมผ่านจตุรัสนั้นพอดี

เมื่อไปถึงเราตรงไปที่ Information Center ซึ่งคนมาก มีเจ้าหน้าที่ทำงานอยู่ ๔ - ๕ คน เขาให้ รายละเอียดต่างๆ ดีมาก ว่าบัตร ซิตี้การ์ดนี้ ลงเรือชมแม่น้ำโซนกับแม่น้ำโรนก็ได้ เข้าชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ได้ ขึ้นรถได้ทุกประเภท

สาวน้อยอ่านหนังสือใครๆ ก็ไปเที่ยวฝรั่งเศส เขียนโดย อดิศักดิ์ จันทร์ดวง ว่าแถวจตุรัสมีพิพิธภัณฑ์ ประวัติศาสตร์สิ่งทอ และพิพิธภัณฑ์มัณฑนศิลป์ โดยในหนังสือมีแผนที่บอกเสร็จสรรพ แต่กว่าสาวน้อย จะถามทางไปจนพบก็ถามหลายคนมาก คนที่นั่นไม่รู้จักพิพิธภัณฑ์นี้ เขาดูจากแผนที่ แต่เมื่อเราไปพบป้าย พิพิธภัณฑ์ มีประตูเก่าๆ บานใหญ่พร้อมกับเหล็กเคาะเรียก ผมเข้าไปเคาะ ก็มีสาวนนั่งบนรถยนต์บอกว่า ประตูเข้าอยู่ทางโน้น

แล้วบัตร CityCard ก็ออกฤทธิ์ และเมื่อเข้าไปชมการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ก็ยิ่งอึ้ง เพราะดูภายนอก ตึกมันโทรมๆ แต่ข้างในสุดจะยิ่งใหญ่

พิพิธภัณฑ์ทั้งสองอยู่ภายในบริเวณเดียวกัน แต่คนละตึก พิพิธภัณฑ์มัณฑนศิลป์ (The Museum of Decorative Arts) จัดแสดง Legendary Costumes : 20 years of Lyon Opera House’s artistic creation ) มีวีดิทัศน์การแสดง โอเปร่า บางเรื่อง รวมทั้งการออกแบบเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และการแต่งหน้าตัวแสดง นอกจากนั้นยังมีการจัดแสดงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายคนยุคโบราณ

ส่วนพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์สิ่งทอ (Textile Museum) ข้างนอกอาคารโทรมดูไม่ได้ แต่สิ่งทอที่จัดแสดงภายใน สุดจะอลังการ เครื่องปักเครื่องทอเป็นลวดลายสีต่างๆ งดงามสุดจะบรรยาย เขาไม่ให้ถ่ายรูป จึงไม่มีรูปมาฝาก ค้นเรื่องพิพิธภัณฑ์ทั้งสองได้ที่ www.mtmad.fr

เราไม่ได้ดูทั้งหมด เพราะสาวน้อยเริ่มมึน เราจึงพักบ้างเดินบ้าง จนไปออก Place Gailleton ใกล้สะพาน University ข้ามแม่น้ำโรน เราเดินผ่านร้านอาหาร Pop’s Kfe Restaurant & Bar เป็นร้านเล็กๆ ตั้งโต๊ะริมถนน เวลาประมาณเที่ยงครึ่ง เราจึงกินอาหารที่ร้านนี้ กินอาหารแนะนำประจำวัน ผมกินเนื้อสเต๊ก มากับมันฝรั่งทอด สาวน้อยกินปลาทูน่า (ฝรั่งเศสเรียกทอง) มากับข้าว ผมสั่งไวน์แดงหนึ่งแก้วด้วย กินอาหารแล้วกระปรี้กระเปร่าขึ้น ก็เดินไปลงเรือล่องแม่น้ำ Lyon City Boat ที่ท่าเรือตามที่เจ้าหน้าที่ที่ Information Center แนะนำ ระหว่างเดินไปพบ Farmers’ Market ที่ริมถนนริมแม่น้ำ อยู่ในสภาพตลาดกำลังวาย พ่อค้าแม่ค้ากำลังเก็บของกลับ พื้นที่นี้หลังจากเราล่องเรือจบขึ้นมา ไม่มีร่องรอยของตลาดเลย บางช่วงมีร้านอาหารและเครื่องดื่มขึ้นมาแทน

เราไปถึงสถานที่ขึ้นเรือเวลาประมาณ ๑๓.๑๕ น. มีเครื่องหมายบอก ว่าเป็นที่ขึ้น Lyon City Boat ตรงที่มีตู้ขายตั๋วที่ยังปิดอยู่ ไม่มีป้ายอธิบายแก่นักท่องเที่ยวใดๆ ทั้งสิ้น เรารออยู่นานท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง จนเวลาประมาณ ๑๓.๓๐ น. จึงเปิดขายตั๋ว เราคิดว่า Lyon CityCard มันศักดิ์สิทธิ์ผ่านได้เลย จริงๆ แล้วต้องไปเอาตั๋วก่อน

เรือล่องไปตามลำน้ำโซน (Saone) ไปจนถึงจุดที่แม่น้ำสองสาย (คือโซน กับ โรน - Rhone) สบกัน เห็นสีแม่น้ำต่างกันชัดเจน ระหว่างทางไกด์ผู้หญิงพากษ์อธิบายเรื่องราวตึกรามและประวัติศาสตร์ของสถานที่ เป็นภาษาฝรั่งเศสตามด้วยภาษาอังกฤษ ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง เพราะมัวถ่ายรูป แล้วเรือวกขึ้นไปตามลำน้ำโรน ระยะหนึ่งก็วกกลับมาขึ้นที่ท่าเดิม (Promenade Commentees) รวมเวลาล่องเรือ ๗๐ นาที

พื้นที่บริเวณแม่น้ำสองสายมาสบกัน (เขาเรียกว่า Confluence) ได้รับการออกแบบภูมิสถาปัตย์ ให้เป็นทั้งย่านการค้าใหม่ และเป็นพื้นที่เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ มีอาคารทรงและสีแปลกตา ผมชอบใจที่เห็น คนมาพักผ่อนออกกำลังกายที่ทางเดินริมแม่น้ำ เป็นสภาพสังคมที่เป็น “สังคมสุขภาวะ” ดีกว่าวิถีชีวิตแบบนั่งๆ นอนๆ

เราได้ความรู้แกมแปลกใจว่า ในแม่น้ำยังมีเรือเก่าจอดอยู่ริมตลิ่ง เป็นบ้าน โรงแรม หรือ เกสต์เฮาส์ ด้วย อาคารเก่าริมน้ำที่เห็นสวยงามนั้น สร้างในศตวรรษที่ ๑๘ และ ๑๙ คืออายุ ๑๐๐ - ๒๐๐ ปี แต่ก็ได้รับการดูแลบูรณะ ให้ดูสวยงาม

ท่าทางสาวน้อยเหนื่อย ผมจึงชวนนั่งรถใต้ดิน (Metro) กลับโรงแรม ไปเช็คอิน และเมื่อขึ้นห้อง (๔๐๔) ก็พบว่าห้องแคบและสภาพแย่กว่าที่โรงแรม Nouvel ที่ อ๊านซีเสียอีก ผมลงไปถามว่าให้ห้องผิดเป็นห้องเดี่ยว หรือเปล่า เขายืนยันว่าเป็นห้องคู่ ผมบอกว่าทำไมให้ผ้าเช็ดตัวชุดเดียว เขาว่าเป็นมาตรฐานของที่นี่ ว่าแล้วก็หยิบผ้าเช็ดตัวอีกชุดหนึ่งส่งให้ ว่าแถมให้ กลับมาที่ห้องนึกขึ้นได้ว่าต้องใช้ Wifi เหลือบดูมีป้ายบอกว่า WIFI 9 ผมก็กดโทรศัพท์เบอร์ ๙ ขอ user name และ password ซึ่งเมื่อได้มาก็ใช้ไม่ได้

ผมจึงได้ข้อสรุปว่า จองโรงแรมกับ Booking.com โดยมีเกณฑ์เน้นใกล้สถานีรถไฟ ก็คงจะได้โรงแรม แบบนี้ คือเป็นที่ซุกหัวนอนของคนหนุ่มสาวๆ เอาสะดวกเข้าว่า ไม่เน้นคุณภาพห้องและบริการ

อย่างไรก็ตาม การเที่ยวเมือง ลียง ในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ที่มีไฮไล้ท์ ๒ ที่ คือพิพิธภัณฑ์ กับล่องเรือ รวมทั้งเดินเที่ยว ก็นับว่าน่าพอใจ และการพักในห้องที่ไม่สะดวกสบายนัก ก็ถือเป็นการบำเพ็ญตบะได้

ตอนเดินตามถนน และบนรถใต้ดิน ผมสังเกตว่า เวลานี้คนฝรั่งเศสมีหลากหลายเชื้อชาติหรือผิวสี และสาวฝรั่งเศสที่เป็นคนขาวก็ไม่แต่งตัวเก๋เหมือนตอนผมไปปารีสเมื่อกว่า ๓๐ ปีก่อน ไม่ทราบว่ามันต่างกัน เพราะยุคสมัย หรือเพราะต่างเมือง

อาหารเย็น เป็นเสบียงอาหารไทยสำเร็จรูป ที่สาวน้อยขนมาจากกรุงเทพ ก่อนกินอาหาร ผมเอาเครื่องวัดความดันโลหิต เอามาวัดทั้งสาวน้อยและผม ข่าวดีคือความดันปกติทั้งคู่


๑ มิถุนายน ๒๕๕๗ วันอาทิตย์ เรากินอาหารที่โรงแรม (จ่ายต่างหาก) แล้วออกไปเที่ยวเมืองเก่า (Vieux Lyon) แต่เช้า

กินอาหารเช้า ซึ่งดีกว่าที่คิด รวมทั้งขอ user name Wifi password มาเข้าอินเทอร์เน็ตได้เร็วมาก

กลับไปเตรียมความพร้อม สนอง gastro-colic reflex ของคนแก่ที่ห้อง แล้วออกเดินไปสถานีรถไฟ สาวน้อยต้องการตรวจสอบขบวนรถที่จะไป อาวียองพรุ่งนี้ และกลับบ่ายวันที่ ๔ ดูที่ป้ายเหลืองหาไม่พบ ไปถามการ์ดของสถานี เขาแนะให้ไปดูป้าย LCD สีฟ้า หากไม่มีให้ไปถามตามป้าย Accueil ซึ่งก็คือ Information นั่นเอง

เราต้องการรถไฟ ter ซึ่งไม่ต้องจอง จึงไม่มีค่าจอง ได้เที่ยว ๗.๒๐ น. ขากลับเที่ยว ๑๔.๑๘ หรือ ๑๖.๑๘ น. เมื่อได้เวลารถไฟออกแล้ว สาวน้อยก็สบายใจและพร้อมจะไปขึ้นรถ Metro ไปสถานี Lyon Vieux หรือเมืองโบราณลียง แล้วขึ้นรถ Funicular ไปสถานีบนสุดคือ Fourviere พอออกจากสถานีก็เจอวิหารนอเตรอดามแห่งฟูร์วีแยร์ เราเดินชมวิหารสามชั้นทั้งเดินเอง และขึ้นลงลิฟท์สำรวจเสียทั่ว เพราะไปวนเวียนอยู่แถวนี้กว่าสองชั่วโมง ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบตอน ๘ น. และมีนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งตอน ๑๐ น.

วิหารนี้ตั้งอยู่บนเนินเขา เหนือแม่น้ำโซน มองลงไปเห็นเมือง ลียง ทั้งเมือง

เราเดินถามทางไปดู Roman Amphitheatre ซึ่งเดินไปไม่ไกล มีสองที่ติดกัน คือที่ใหญ่กับที่เล็ก สร้างก่อน ค.ศ. ๑๕ ปี ตามรูปที่เขาติดป้ายให้ดู โรงแสดงกลางแจ้งนี้ด้านหนึ่งหันสู่อาคารสูงหลายชั้น

เรานั่งพักในสวนกุหลาบใกล้ๆ โรงแสดงกลางแจ้ง จนเกือบ ๙ น. จึงเดินต่อ ว่าจะไปชมพิพิธภัณฑ์ แต่เปิด ๑๐ น. จึงเดินชมวิหารและนั่งพักในสวน จน ๑๐ น. จึงไปชมพิพิธภัณฑ์ ศาสนาคาทอลิค จัดแสดงโบราณวัตถุทางศาสนา มีเครื่องเงินของสันตปาปานครลียง ในปี ค.ศ. 1805 ซึ่งเป็นลุงของจักรพรรดิ์นโปเลียน เมืองนี้คงจะจงรักภักดีต่อนโปเลียนในสมัยโน้น

ใช้เวลาชมพิพิธภัณฑ์เพียง ๑๕ นาที ก็ออกมาขึ้นรถ Funicular จะไปชมพิพิธภัณฑ์โบราณคดีโรมัน แต่เราสับสนระหว่าง Roman Theatre กับ Roman Museum และสาวน้อยเดินขึ้นลงเขาไม่สะดวก เราจึงถอยกลับไปสถานี Minimes เพื่อลง Funicular ไปเมืองเก่าลียง สับสนกับทางขึ้นทางลง และป้ายบอกเวลา กว่าจะตระหนักว่า แม้จะมี ๒ ราง รถ Funicular ก็ทั้งขึ้นและลงในรางเดียวกัน แต่ต่างเวลา โดยแล่นสวนกันที่สถานีกลางทาง เราเสียค่าโง่เป็นเวลาในชีวิตคนละ ๑๐ นาที แต่ผมได้อาศัยเวลา ๑๐ นาทีนี้เขียนบันทึกด้วย mini iPad ที่สถานีนั่นเอง

ในที่สุดเราก็ไปที่สถานีเมืองเก่าลิยง และเดินไปที่จตุรัส St. Jean ระหว่างทางมีตลาดชาวนาเล็กๆ ที่จตุรัสนักศึกษาจัดงานบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคม (ไกด์บอกในภายหลัง) มีโปสเตอร์ มีเต๊นท์ขายของ และเปิดเพลง มหาวิหาร St. Jean (ภาษาอังกฤษว่า St. John's Cathedral) ดูเก่าและไม่ตกแต่งมาก ว่าสร้างตั้งแต่ปี 1079

เรานั่งกินอาหารเที่ยงตรงหน้ามหาวิหารนั่นเอง แล้วนั่งรอ guided tour ภาคภาษาอังกฤษ ที่เราจองด้วยบัตร city card เมื่อวาน วันนี้แดดดีตามเคย แต่ลมแรง นั่งรอริมถนนรู้สึกหนาว

ทัวร์นี้ไฮเทค ไกด์แจกเครื่องรับเสียง wireless ให้ลูกทัวร์ทุกคน พร้อมทั้งบอกว่าหูฟังไม่ต้องคืน ดังนั้นเราจึงได้ยินเสียงคำบรรยายดีแม้จะอยู่ไกล

สิ่งที่พิเศษสุดสำหรับทัวร์นี้คือ traboules ซึ่งหมายถึงทางเดินสาธารณะที่อยู่ในพื้นที่ส่วนบุคคล เพื่อใช้พื้นที่แคบของเมือง อยู่ร่วมกันของคนจำนวนมาก

แสดงว่าเมือง ลียง มีคนอยู่ร่วมกันหนาแน่นเป็นเมือง (urbanization) ก่อน ค.ศ. และในยุคกลาง ต่อกับยุคเรเนอซองส์ บริเวณเมืองเก่ามีคนอยู่หน้าแน่นมาก ประกอบกับเป็นพื้นที่แคบระหว่างภูเขากับแม่น้ำ (โซน) จึงเกิดระบบอาคารที่เป็นตึกหลายชั้น มีระบบบันไดเวียน ระบบพื้นที่ตรงกลางระหว่างตึก และระบบทางเดินส่วนกลาง

จบจาก ทัวร์เดินเท้ากับไกด์ ๒ ชั่วโมง สาวน้อยหมดแรง ต้องเติมพลังด้วยไอศครีม และนั่งพักขา แล้วจึงนั่งรถใต้ดินไปต่อรถราง ไปพื้นที่ Confluence ได้พบสภาพคนแน่นของรถราง และได้ไปเห็นสภาพพื้นที่ Confluence และสะพานใหม่ภาคพื้นดิน หลังจากเมื่อวานได้เห็นจากเรือล่องแม่น้ำ ได้เห็นสะพานที่ออกแบบ เลนจักรยานแยกต่างหากจากเลนรถราง ไม่มีเลนรถยนต์เลย

เรากลับสถานี ปาร์ดิเยอ ด้วยรถราง ได้ชมเมืองผ่านรถรางที่คนแน่นมาก แต่พอใกล้ถึงก็ได้นั่ง สองสถานี กลับมากินอาหารเสบียงจากกรุงเทพ และเตรียมจัดกระเป๋า เอาของไป อาวียง น้อยที่สุด

จนถึงวันนี้ อากาศดี แดดดีตลอดมา จนผิวหน้าชักจะเกรียม


๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ เราออกจาก อาวีญง กลับมานอนที่ ลียง ๑ คืน ที่โรงแรม Athena Part Dieu บริการก็ไม่ดีเหมือนเดิม คือได้ห้องแบบเดิมห่างไป ๒ ห้อง คือ ๔๐๖ และมีผ้าเช็ดตัวผืนเดียวตามเคย และเมื่อไปขอเขาก็ให้ นอกจากนั้น Wifi ที่ห้องก็ต่อไม่ค่อยติดอย่างเคย แต่หากลงไปใช้ที่ชั้นล่าง ก็ใช้ได้ดี

ผมเข้าใจว่าราคาโรงแรมที่ผมจองผ่าน Booking.com จะแพงกว่าราคาปกติของโรงแรมเล็กน้อย และทางโรงแรมก็คงจะทั้งร่วมมือกับ Booking.com และหาทางติดต่อกับลูกค้าโดยตรง อย่างโรงแรม Athena ก็บอกไว้ในเอกสารว่า เขาจะให้ราคาพิเศษ หากลูกค้าจองจากเขาโดยตรงที่ www.athena-hotel.fr

วิจารณ์ พานิช

มิ.ย. ๕๗

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

ดูภาพประกอบโปรดกด link :http://www.gotoknow.org/posts/571322

แก้ไขล่าสุด ใน วันศุกร์ที่ 11 กรกฏาคม 2014 เวลา 13:21 น.
 

ชีวิตที่พอเพียง : ๒๑๘๙. ควงสาวเที่ยวฝรั่งเศส ๓. อ๊านซี

พิมพ์ PDF

อานซี มีชื่อเสียงว่าเป็นเมืองโบราณที่สวยงาม ที่อานซีเราพักสองที่ ที่แรกเป็นสถานที่ประชุม Working Group และ International Organizing Committee ของ PMAC 2015 ชื่อFondation Merieux’s Les Pensieres Conference Centre ซึ่งเราพัก ๒ คืน คืนที่ ๓ ที่อานซี เราย้ายไปพักที่โรงแรม Nouvel, 37 Rue Vaugelas, Annecy 74000 เพราะ Conference Centre อยู่ห่างเมืองและสถานีรถไฟ การเดินทางไปกลับ ไม่สะดวก และค่าที่พักก็แพงกว่าด้วย

ห้องพักที่ Les Pensieres ที่เราพัก เลขที่ ๕๑ อยู่บนชั้น ๒ หรือชั้นบนสุด เป็นอาคารเก่า ผนังบุไม้ ทั้งหมด และพื้นก็เป็นไม้ ผมชอบหน้าต่างที่มีกลอนแบบโบราณ มี ๒ ชั้น คือชั้นนอกกันลม ชั้นในกันแสง ชั้นกันแสงเป็นบานพับ ห้องน้ำเป็นแบบยืนอาบฝักบัว นับว่าสุขสบายอย่างยิ่ง ที่พิเศษคือสวนอันกว้างขวาง ร่มรื่นงดงาม และอากาศบริสุทธิ์ และอาหารเที่ยงก็อร่อย ส่วนอาหารเช้าเป็น Continental Breakfast อาหารโปรตีนเป็นไข่ต้ม ไม่มีไข่ดาว ไส้กรอก และอาหารเนื้ออย่างอื่น แต่ cereals ที่กินกับนมอร่อย เพราะมีผลไม้แห้งมากชนิด กาแฟก็อร่อยมาก โดยเฉพาะกาแฟ Espresso ชนิดเข้มข้นสุดๆ

ตอนบ่ายวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๗ คือวันที่เราไปถึง สาวน้อยกับผมเดินเล่นชมสวนของ Les Pensieres ที่สวยงามอย่างยิ่ง แต่สาวน้อยเดือดร้อนเพราะพื้นดินมันเป็นเนินเขาลาดลงสู่ทะเลสาบ อ๊านซี เขาเดินยาก เข่าไม่ดี

เราเดินออกข้างนอกกะว่าจะไปเดินที่ริมทะเลสาบ มาพบสามสาวคือ ฝน เปิ้ล แอ้ม เธอชวนนั่งรถเมล์ เข้าเมือง ไปเที่ยวเมือง ผมรีบไป เพราะอยากไปแต่ไม่รู้ว่าจะไปอย่างไร ผมบอกว่าจะเลี้ยงค่ารถเมล์ ล้วงเงินออกมา สาวๆ บอกว่านี่มันเงินสวิส ไม่ใช่เงินยูโร ลงท้ายเขาต้องออกเงินค่าโดยสารให้ก่อน คนละ ๑.๕ ยูโร (๗๐ บาท) ระยะทางประมาณ ๕ กิโลเมตร ผมได้นั่งชมวิว และไปเดินในเมือง รถเมล์สาย ๖๒ ที่เรานั่งไป ไปจอดสุดสายที่ข้างสถานีรถไฟ

เมืองต่างๆ ในยุโรป เขาเอาท่ารถเมล์มาไว้ข้างสถานีรถไฟ และเอาสถานีรถไฟและรถเมล์มาไว้ข้าง สนามบินด้วย ทำให้การคมนาคมเป็นเครือข่าย ให้ความสะดวกแก่ประชาชนคนชั้นกลางทั่วๆ ไป ผมพบภายหลังว่า รถบัสจากเจนีวา ก็มาจอดที่ท่ารถเมล์ข้างๆ สถานีรถไฟ อ๊านซีนั่นเอง

สาวน้อยคลำทางไปหาโรงแรม Nouvel ที่เราจองไว้สำหรับคืนวันที่ ๓๐ พบว่าอยู่ใกล้ๆ สถานีรถไฟนั่นเอง เราได้ไปเดินชมเมืองบริเวณใกล้ๆ สถานีรถไฟ และไปนั่งสังเกตวิถีชีวิตผู้คน ผมชอบที่เขามีเก้าอี้วางไว้ให้คน นั่งพัก ตามสวนสาธารณะ ที่อยู่ใกล้ๆ สถานี

สาวน้อยชวนไปที่สถานีรถไฟ ไปตรวจตราเวลาออกและเข้าของขบวนรถไฟที่เธอกำหนด ว่าจะเดินทางไปเมือง Chamonix เพื่อนั่งกระเช้าไฟฟ้าขึ้น Mt. Blanc ความสูง ๔ พันเมตร

เราจับรถเมล์สาย ๖๒ เที่ยว ๑๗.๑๕ น. กลับที่พัก ฝนเป็นผู้จ่ายเงินของ ๕ คน คนขับบอกว่า ต้องไปซื้อตั๋วที่สถานีรถไฟก่อน และเชิญให้เราขึ้นรถก่อน ส่วนฝนขึ้นมาทีหลัง เขาไม่รีบร้อน รอจนฝนมาพร้อมกับตั๋ว

คณะ PMAC นัดเวลาออกเดินทางไปกินอาหารเย็นบนเขา เวลา ๑๘.๐๐ น. ไปโดยรถบัสคันใหญ่ เพราะมีคนกว่า ๒๐ คน นั่งรถไป ๔๐ นาที ขึ้นเขาที่ความสูง ๑,๑๕๐ เมตร โดยที่เมือง อ๊านซี อยู่เหนือทะเล ๔๕๐ เมตร ภัตตาคารอยู่บนเนินที่รถขึ้นไปไม่ได้ ต้องเดินขึ้นไป สาวน้อยต้องใช้สามีเป็นไม้เท้า แต่ก็ขึ้นไปได้ ไม่ยากลำบากนัก ขึ้นไปแล้ววิวสวยมาก เห็นทะเลสาบอ๊านซีทั้งผืน และมีเมฆฝนบังพระอาทิตย์ ปล่อยให้ลำแสงแดดส่องลงมาเห็นเป็นลำสวยมาก

ยิ่งตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกยิ่งสวย เห็นแสงทองสาดถ่ายรูปงามมาก

สาวๆ PMAC เอารายการอาหารมาให้สั่งล่วงหน้า บอกว่าให้สั่งจาก ๓ กลุ่มกลุ่มละอย่าง คือ ออเดิฟ อาหารหลัก และของหวาน ปรากฏว่าแต่ละอย่างจานใหญ่มโหฬารกินไม่หมด อาหารหลักมีผมสั่ง cheese fondu อยู่คนเดียว หมอสุวิทย์สั่งอย่างเดียวคือเนยแข็งทอด เขาจัดให้มาทอดเอง เป็นรายการที่เอิกเกริกที่สุด และผมก็ได้รับแจกด้วย ๑ คำ ส่วนฟองดูเนยของผมได้เลี้ยงคนที่นั่งใกล้กันถ้วนหน้า ผมพบว่า เนยในฟองดูที่ต้มอยู่ตลอดเวลานั้น ยิ่งต้มไปนานจนงวด ยิ่งอร่อย อร่อยกว่าเนยทอดของหมอสุวิทย์ด้วยซ้ำไป อาหารมื้อนี้เรากินกันเหนื่อย

เช้าวันที่ ๒๙ ผมออกไปวิ่งริมทะเลสาบเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ได้ทำความรู้จักสถานที่ เพื่อชวนสาวน้อย ไปเดินเล่นตอนบ่ายหลังประชุมเสร็จ สาวน้อยได้เดินไปนั่งพักไป เป็นระยะทางไปกลับประมาณ ๑ กิโลเมตร

คืนวันที่ ๒๙ เรานอนได้เต็มตา ๗ ชั่วโมงเต็ม ทางที่พักเอื้อเฟื้อจัดอาหารเช้าให้เรากินเวลา ๕.๓๐ น. เพราะเรานัดรถมารับเวลา ๖.๐๐ น. ไปส่งที่โรงแรม Nouvel ที่พัก Les Pensieres นี้ ดีทุกอย่างเสียแต่ว่า ทีวีไม่มีช่องภาษาอังกฤษเลย ที่นอนนอนสบายมาก อาจจะสบายที่สุดที่ผมเคยนอน โดยเฉพาะตัวที่นอน มันดูไม่หรูหรา แต่นอนสบาย ผ้าห่มก็ไม่หรู แต่ห่มนุ่มอุ่นสบาย

เช้าวันที่ ๓๐ รถมารอก่อนเวลา พาไปโรงแรม Nouvel ใช้เวลาไม่ถึง ๑๐ นาที เราฝากกระเป๋า แล้วเดินไปสถานีรถไฟ ซึ่งใช้เวลา ๓ นาที ไปตรวจสอบเวลา และพบว่าเที่ยวแรกที่ไป St. Gervais-Les-Fayet คือ 6.59 น. ออกที่ชาลา A ตรงหน้าสถานี เมื่อใกล้เวลาผมเดินออกไปดูลาดเลา มีป้ายบอกว่าขบวนถัดไป 6.59 ไป St. Gervais มีภาษาฝรั่งเศสเดาว่าต้องจองก่อน ผมจึงเอาตั๋ว Eurail Pass ให้เจ้าหน้าที่ที่ยืนตรงนั้น ถามว่าต้องจองไหม เขาบอกไม่ต้อง เขาจะดูแลให้

รถขบวนนี้เป็น Inter City มีแต่ชั้น 2 ที่นั่งแถวละ 2+2 รวม 10 แถวในครึ่งโบกี้ที่ผมนั่ง มีผู้โดยสาร 8 คน

ผมถ่ายรูปหน้าจอบอกสถานีระหว่างทาง เอามาเป็นข้อมูล บนรถไฟผมเปิด pocket WIFI ต่อ iPad ตรวจเส้นทางกับ iMap และ Google Map พบว่าของ Google ใช้การได้ดีกว่า ช่วยให้เข้าใจว่าเราเดินทางถึงไหนแล้ว เทคโนโลยีช่วยให้ความสะดวกได้ดีจริงๆ

ระหว่างทาง รถแล่นผ่านวิวภูเขา ไม่ค่อยมีที่ราบ เห็นยอดเขามีหิมะขาวโพลนอยู่ไกลๆ

รถไฟไปจอดที่สถานีแรก คือ La Roche Sur Foron อยู่นาน เอาหัวรถจักรออก ไปต่อท้ายขบวน แล้วแล่นไปอีกทาง ที่นั่งของเรา ที่เคยนั่งหันหน้าไปทางที่รถแล่น กลายเป็นนั่งหันหลังเราเรียกสถานีสุดท้ายว่า ฟาเย็ด เขาก็เข้าใจ

เดิมเราเข้าใจผิดว่า จากสถานี ฟแเย็ด ต้องต่อรถไฟอีกเที่ยวหนึ่งไป ชาโมนิกซ์ (Chaminix) แต่เอาเข้าจริงเป็นรถโค้ช ใช้เวลาเดินทาง ๑ ชั่วโมง ตอนแรกแล่นไปตามทางด่วน ที่ทำคล้ายสะพานยกระดับไปตามไหล่เขา แล้ววกเข้าเมืองเล็กๆ แวะรับส่งผู้โดยสารหกเจ็ดจุด ผมถ่ายรูปป้ายจุดรับส่งผู้โดยสารได้บ้างไม่ได้บ้าง ได้แก่ Servoz, .., Les Bossons, Les Moussoux, Chamonix Sud, แล้วไปจอดที่สถานีรถไฟ ชาโมนิกซ์

เราไปถามทางกลับไปกลับมา จนพบคนพูดภาษาอังกฤษได้ดี เขาอธิบายว่า คนทั่วไปเขาไป Cable car ไปที่ความสูง 1,913 เมตร ถ้าไปกระเช้าไฟฟ้า จะไปสูง 4 พันเมตร อากาศบาง อาจหายใจไม่ทัน เขาคงเห็นเราเป็นคนแก่

ในที่สุดเราก็คลำทางไปขึ้น Mont Blanc ด้วยรถไปฟ้าที่ลากด้วยสายเคเบิ้ล ดูง่ายๆ คือมีสามราง รางตรงกลางเป็นจักร เพื่อใช้เป็นตัวตตะกุยส่งรถขึ้นเขา ค่าตั๋วคนละ 29.5 ยูโร

รถคันที่เราขึ้นมี 2 โบกี้ บรรทุกได้ราวๆ โบกี้ละ 80 คน ผู้โดยสารเกือบเต็ม ใช้เวลา 20 นาทีก็ถึงสถานีปลายทาง ความสูง 1,913 เมตร โดยที่นาฬิกาผมบอกความสูง 1,885 เมตร

อากาศไม่หนาวอย่างที่คิด เสื้อหนาวตัวหนาของสาวน้อยจึงหมดโอกาสทำหน้าที่ นอกจากนั้นยังแดดจ้า คนที่ลงที่นี่เดินไปเที่ยวต่อ แต่เราดูวิว ถ่ายรูป และนั่งพัก แล้วจึงกลับรถเที่ยว 11.30 น. ลงไปถีง Chamonix ทันจับรถโค้ชเที่ยว 12.16 น. ไป ฟาแย็ดที่ขับตะบึง จนเราไปทันจับรถไฟเที่ยว 13.04 กลับอ๊านซี ขากลับรถไฟมีชั้น 1 เราจึงได้นั่งสบาย และควักเอาแซนวิชของสาวน้อยเอามากิน

เป็นอันว่าสาวน้อยกับผมได้ขึ้นชมเทือกเขาแอลป์ ตรงจุดที่มีชื่อเสียงรวม ๓ จุดแล้ว คือที่ Jungfraujoch, Matterhorn, และ Mont Blanc สองแห่งแรกอยู่ในสวิส แห่งหลังอยู่ในฝรั่งเศส ผมชอบแห่งแรกมากที่สุด อาจเป็นเพราะไปนานมากแล้ว เกือบ ๒๐ ปี เป็นช่วงที่หิมะสมบุรณ์ เห็น Glacier สมบูรณ์ แต่มาคราวนี้ ที่ Mont Blanc หิมะละลายจนเห็นแต่ทรากธารน้ำแข็ง

เราโชคดีที่ช่วงเช้าที่เราไปท้องฟ้าเปิด แดดจ้า และอากาศไม่หนาวจัด บนยอดสูง ๑,๙๑๓ เมตร อุณหภูมิน่าจะอยู่ที่ ๑๕ องศาเซลเซียสเท่านั้น กำลังเย็นสบาย

กลับมาพักที่โรงแรม Nouvel ระดับ ๒ ดาว ที่คุณภาพก็ตามนั้น ผมได้ห้อง ๑๒๕ อยู่ปลายสุด ของโรงแรม Wifi อ่อนมาก ต่อไม่ติด พนักงานแก้ปัญหาโดยพาไปใกล้ๆ ลิฟท์ ซึ่งอยู่กลางโรงแรม ให้ต่อ Wifi ที่นั่น บอกว่าหลังจากนั้นกลับไปที่ห้องจะต่อได้ ซึ่งไม่จริง ผมยอมแพ้ว่าที่ห้องผมต่อ Wifi ไม่ได้ ถ้าจะใช้ก็ต้องยอมเดินไปใช้ใกล้ๆ เคาน์เตอร์พนักงาน

นั่งพักในห้องจนพอมีแรง ก็ชวนกันเดินไปชมเมืองเก่า ที่เป็นมรดกโลก เป็นแหล่งนักท่องเที่ยว อาคารอยู่สองฝั่งแม่น้ำที่ไหลลงทะเลสาบ เราเดินไปจนชนทะเลสาบ มีสวนสาธารณะเก่าแก่ มีต้นไม้ใหญ่ อายุเป็นร้อยปี ร่มรื่นมาก คนมานั่งนอนพักผ่อนกันเต็ม ที่ทะเลสาบมีเรือล่องชมทะเลสาบคิดค่าบริการคนละ ๑๔ ยูโร เวลา ๑ ๙ั่วโมง เราไปเดินเล่นและนั่งพักเป็นระยะๆ แล้วกลับมาพักผ่อนที่โรงแรม

กลางคืนได้ยินเสียงตะโกนดังเป็นระยะๆ ตอนเช้าถามเจ้าหน้าโรงแรมว่าเสียงอะไร เขาบอกว่าเสียง บนถนน ซึ่งก็คือเสียงคนเมานั่นเอง

วิจารณ์ พานิช

๓๑ พ.ค. ๕๗

บนรถไฟไปเมือง ลิยง

ดูภาพประกอบโปรดกด Link:http://www.gotoknow.org/posts/571123

แก้ไขล่าสุด ใน วันศุกร์ที่ 11 กรกฏาคม 2014 เวลา 13:26 น.
 

ชีวิตที่พอเพียง : ๒๑๘๘. ควงสาวเที่ยวฝรั่งเศส ๒. เดินทาง

พิมพ์ PDF

เราเดินทางด้วยการบินไทย ไปซูริก เหมือนปีที่แล้ว คือเดินทางด้วยเที่ยวบิน TG 970 ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา ๐.๔๐ น. ของวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๗

ตอนนี้เราเปลี่ยนมาใช้บริการแท็กซี่ของคุณสุพรรณ ซึ่งบ้านอยู่ที่หมู่บ้านเอื้ออาทรใกล้ๆ บ้านผม เราไม่กวนคุณเสาร์ แม้บริการจะดีกว่า เพราะเห็นใจว่าคุณเสาร์งานมาก เกรงว่าแกจะทำงานตรากตรำเกินไป

เพราะสาวน้อยกลัวว่าคุณสุพรรณจะขับกลับบ้านไม่ทันเวลา เคอฟิว เราจึงนัดให้คุณสุพรรณมารับเวลา ๒๐.๐๐ น. ดังนั้น เวลาก่อนสามทุ่ม เราก็เช็คอินเสร็จ และผ่านเข้าไปซื้อเครื่องสำอางตามสั่งของลูกสาว คราวที่แล้วไปหาที่อเมริกาและจีนไม่ได้ มาทราบทีหลังว่ามีขายที่ร้านปลอดภาษีขาออกที่สุวรรณภูมินี่เอง และสาวน้อยก็ได้สิ่งที่ต้องการ

เพราะมาเช็คอินเร็วมาก จึงยังไม่ทราบประตูทางออก เราลงบันไดเลื่อนลงไปที่ห้องรับรองของ การบินไทย ไปนั่งอ่านหนังสือ ดื่มเครื่องดื่มและกินของว่าง รอเวลา ผมเดินไปดูจอแจ้งประตูทางออก หลายครั้ง จนเวลา ๒๓ น. ก็ยังไม่ขึ้น จึงไปถามเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ จึงรู้ว่าประตู B6 เมื่อเดินไปที่ประตู ระหว่างทางมีจอบอกประตูทางออกของเที่ยวบินต่างๆ จึงรู้ว่า จอในห้องรับรองมันเล็ก บอกข้อมูลไม่ครบ อย่างจอข้างนอก

เราไปนั่งรอที่ประตู B6 อีก ๑ ชั่วโมง จึงได้ขึ้นเครื่อง เครื่องบิน A340-600 เครื่องเก่า ไม่ทันสมัยอย่าง B777 ที่ผมนั่งไปออสโล และไป ซานฟรานซิสโก ในสองเที่ยวที่แล้ว เราได้ที่นั่ง 12E และ 12F นั่งคู่กันกลางลำ ถือเป็น aisle seat ทั้งคู่ สะดวกในการเข้าห้องน้ำ

อาหารมื้อแรก ถือเป็นอาหารค่ำได้ เพราะตรงกับเวลาสองทุ่มเศษของ ซูริค แต่มันเป็นเวลา ตีหนึ่งกว่าของกรุงเทพ เขาบริการเครื่องดื่มโดยไม่มีของขบเคี้ยว ถือว่าผิดธรรมเนียมมาก ผมดื่มยินโทนิค ของโปรด

อาหารจานแรก หรือ ออเดิฟ ประกอบด้วย ปลาทูน่าเพสโตครีม, ตับเป็ดกับวิปครีมช็อกโกเลต โดยมีผักแทรกระหว่างกลาง ออเดิฟนี้อร่อยดี ผมชอบรสขม จึงชอบตับเป็ดเป็นพิเศษ ตอนนี้ผมดื่มไวน์แดง Grand Enclos du Chateau de Cerons 2008

อาหารหลักมีให้เลือก ๔ อย่าง ผมเลือกเนื้อลูกวัวปรุงรสแบบซูริค มันฝรั่งทอดแบบซูริค และผักต่างชนิด สาวน้อยเลือกปลาแซลมอน ผมคาดว่าจะได้สเต้กเป็นชิ้นใหญ่ แต่เอาเข้าจริง เนื้อลูกวัวมาเป็นชิ้นเล็กๆ

เสิร์พที่สามเป็นเนยแข็งสองชนิดกับผลไม้สามชนิด อย่างละหนึ่งชิ้น ที่ผมลืมถ่ายรูป ตามมาด้วยขนมหวานคือ พายแบบวิส ซอสวานิลา กาแฟ และผมขอคอนญัค ซึ่งช่วยให้มึนได้ที่ โดยผมพิมพ์บันทึกนี้ระหว่างมึน

เทียบกับอาหารของสายการบิน ANA ที่ผมบินไปโตเกียว และต่อไป ซาน ฟรานซิสโก ผมชอบอาหารและบริการของ ANA มากกว่า ยื่งที่นั่ง-นอนแล้ว ต่างกันลิบ เพราะนั่นมันนอนราบได้ นี่นอนราว ๑๔๕ องศา เป็นที่นอนรุ่นเก่า

อย่างไรก็ตาม สาวน้อยนอนหลับได้มาก ผมหลับสองช่วง รวมแล้วน่าจะได้สัก ๕ ชั่วโมง โดยกินยา ลอราซีแพม ๐.๕ มิลลิกรัม

ผู้โดยสารในชั้นธุรกิจเที่ยวนี้เต็มทุกที่นั่ง ห้องน้ำ ๒ ห้องจึงไม่ค่อยพอใช้ ต้องรอกัน

ระหว่างนั่งเครื่องบิน ผมอ่านหนังสือเรื่อง Higher Education in America เขียนโดย Derek Bok ใน iPad mini หนังสือเล่มนี้ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ลินคอล์น เฉิน ประธาน China Medical Board ส่งมาให้เป็นหนังสือ เล่มในกระดาษ ตัวหนังสือเล็ก อ่านลำบากเพราะตาผมไม่ดี จึงลงทุนซื้อ eBook มาอ่านใน iPad ตอนนี้กำลังอ่านแบบอ่านผ่านๆ พอจะจับความได้ว่า เรื่องการศึกษานี้ มันซับซ้อนมาก คิดเดาเอาเองไม่ได้ จะเดาผิดบ่อย ต้องทำวิจัย จะพบความจริงแปลกๆ เช่นมีผลการวิจัยชิ้นหนึ่ง บอกว่า ในสหรัฐอเมริกา สมรรถนะสำคัญหลายอย่าง (เช่น critical thinking) ในนักศึกษาปี ๑ กับนักศึกษาปี ๔ แตกต่างกันน้อยมาก

เวลาตีสี่ท้องฟ้าก็สว่างโร่แล้ว ตีห้าแดดจ้า แต่เขายังปิดหน้าต่างเพื่อไม่ให้แสงรบกวน และเสิร์พอาหารเช้า ซึ่งผมเลือก Creamed mushroom omelet มากับไส้กรอกไก่ทอด และมันฝรั่ง Lyonnaise potatoes มะเขือเทศผ่าซีกอบน้ำมันมะกอกและสมุนไพร อาหารมื้อนี้อร่อยกว่ามื้อที่แล้ว สาวน้อยกินแพนเค้ก และเอาเบคอนกับมะเขือเทศมายกให้ผม ทำให้ผมอิ่มแปร้

ผม AAR การอยู่กับปัจจุบันขณะตอนกินอาหารว่า อาหารญี่ปุ่นช่วยการเจริญสติระหว่างกินได้ดีที่สุด เพราะเขาเสิร์พอาหารต่างรสแยกกันมา ไม่คละเคล้า ทำให้ผู้รับประทานได้ฝึกแยกแยะรสของอาหารแต่ละอย่าง ซึ่งก็คือฝึกสมาธินั่นเอง ผมตีความอย่างนี้ ไม่ทราบว่าถูกหรือผิด

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า อาหารของการบินไทยขาด innovation เป็นอาหารแบบเดิมๆ ไม่ได้มี ยุทธศาสตร์ดึงดูดผู้โดยสารด้วยอาหารและเครื่องดื่ม อย่างที่ผมเคยไปพบที่สายการบินออสเตรีย สุดยอดอร่อย คือกาแฟ

การไปประชุมครั้งนี้ ทีมไทยไปกันทั้งหมด ๑๖ คน ๑๓ คนเดินทางด้วยสายการบิน ออสเตรีย มีเพียง ๓ คนที่ชวนภรรยาไปด้วย เดินทางโดยการบินไทย เข้าใจได้ง่ายว่า เพราะภรรยาบินด้วยตั๋วฟรี จากไมล์สะสมของสามี แบบเดียวกับคู่ผมนั่นแหละ การบินไทยถูกนักการเมืองเข้าไปแสวงประโยชน์ (ก็คอรัปชั่นนั่นแหละ) จนอ่อนแอ ผลประกอบการที่ขาดทุนบอกชัดเจน

เครื่องบินลงก่อนเวลา ประมาณครึ่งชั่วโมง ทั้งๆ ที่ตอนออกเสียเวลาเล็กน้อย ที่บินได้เร็วเพราะ ลมส่งท้ายแรงถึง ๔๐ ก.ม. ต่อชั่วโมง ลงจากเครื่องก็เดินไปตามป้าย ไปขึ้นรถรางภายในสนามบิน ไปผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองโดยไม่ต้องเขียนใบอะไรเลย แล้วไปรับกระเป๋าที่สายพาน ที่นั่นพบ อ. นรนิตย์ เศรษฐบุตร มาประชุมแค่ ๒ วัน

เราเดินไปตามป้ายบอกทางไปรถไฟ แล้วไปที่ช่องขายตั๋ว เอาตั๋ว Eurail Pass ไปประทับตราวันเริ่มใช้ โดยต้องมีพาสปอร์ตไปแสดง เราซื้อตั๋ว ๙ วัน ในราคา ๘๖๐ ยูโรต่อ ๒ คน จะใช้วันไหนก็เขียนวันที่ลงไปเอง แต่ต้องไม่หลังวันที่ ๒๕ ต.ค. ๒๕๕๗ ผมบอกว่าจะไปเจนีวา เขาถามว่าไปแอร์พอร์ต หรือไปซิตี้ ผมบอกไปซิตี้ เขาบอกว่าเที่ยวแรก ๗.๓๙ น. ที่ชานชาลา ๔ ผมบอกว่าเดินไม่ทัน เมียเดินช้า เขาบอกว่าเที่ยวถัดไป ๘.๑๓ น. ชาลา ๓ เรากะไปเที่ยวหลัง แต่ปรากฏว่าสองชาลานี้อยู่ติดกัน และเราก็จับเที่ยวแรกทัน สาวน้อยยังสด ยังพอเดินเร็วๆ ได้

สาวน้อยเก็บตารางรถไฟสวิสของปีที่แล้วไว้ และเอามาด้วย รถไฟเที่ยวนี้ชื่อ ICN จะไปถึงเจนีวาเวลา ๑๐.๔๒ น. เราจึงเปิดเครื่อง pocket wifi ที่ผมเตรียมซื้อและเปิด roaming มาจากเมืองไทย ต่อกับ iPad และส่ง Line ไปบอกคุณเปิ้ลว่า เราจะไปถึงเจนีวาเร็วกว่ากำหนด ที่เดิมกะว่าจะไปรถไฟเที่ยว ๙ โมงเศษ เราทำเวลาได้เร็ว ขึ้น ๒ ชั่วโมง คุณเปิ้ล Line มาบอกว่า รถจะไปรับเราเวลา ๑๑.๑๕ น. ณ จุดนัดพบคือหน้าโรงแรม Cornavin

บนรถไฟชั้น ๑ เรานั่งสองคนสี่ที่นั่ง สะดวกสบาย สาวน้อยค้นเอารายการและแผนที่ต่างๆ ที่เตรียมมา เอามาสั่งการลูกทัวร์ เรานั่งปรึกษาหารือกันอย่างสบายใจ รถไฟมีป้ายบอก Nachster Halt แปลว่าจอดครั้งต่อไป และมีประกาศเป็นภาษาเยอรมัน ตามด้วยภาษาอังกฤษ สะดวกมาก และยิ่งสะดวกที่สาวน้อยมีแผนที่เอามาดูภาพรวม ว่าเรากำลังเดินทางไปทางไหน ต่อไปจะถึงเมืองอะไร เมื่อรถจอด ป้ายจะบอกว่า Nach Geneve-Aeroport แปลว่า ไปสนามบินเจนีวา ซึ่งจะผ่านสถานีเมืองเจนีวาก่อน เราจะลงที่สถานีเมืองเจนีวา

หลังจากผ่านเมือง Biel/Bienne คำประกาศมี ๓ ภาษา เริ่มด้วยฝรั่งเศส ตามด้วยเยอรมัน และอังกฤษ และป้ายบอกสถานีถัดไปเปลี่ยนเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า Prochain arret (อ่านว่า โปรเชนนาเระ) ตอนนี้รถไฟแล่น ผ่านทะเลสาบ Biel ตามด้วยทะเลสาบ Neuchatel วิวจึงสวยมาก และเราก็เตรียมไปยึดที่นั่งฝั่งซ้ายเพื่อชมวิว ใช้ประโยชน์จากการนั่งรถไฟชั้นหนึ่งเต็มที่

โบกี้รถไฟมีปลั๊กสำหรับชาร์จไฟคอมพิวเตอร์และเครื่องใช้อีเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย ผมจึงได้โอกาส ชาร์จไฟ iPad

รถไฟจอด ๗ สถานี ก่อนถึงสถานีเจนีวา ดังนี้ Zurich, Aarau, Olten, Solothurn, Biel/Bienne, Neuchatel, Yverdon-les-Bains, Geneve

เราลงจากรถไฟแล้วลากกระเป๋าไปนั่งรอที่หน้าโรงแรม Cornavin สัก ๑๕ นาที รถก็มารับเวลา ๑๑.๐๕ น. นั่งนอกอาคารและมีลม รู้สึกเย็น

รถที่มารับเป็นรถเมอร์เซเดส คนขับเป็นคนฝรั่งเศสจากอ๊านซี บอกว่าอากาศตอนนี้หนาวกว่าปกติ อุณหภูมิ ๑๒ องศา แทนที่จะเป็น ๒๐ หรือ ๒๒ อย่างปีก่อนๆ ใช้เวลา ๔๕ นาทีก็ถึง Les Pensieres เมื่อเวลาเกือบเที่ยง ที่ทีม PMAC Coordinators ประชุมกันเกือบเสร็จ เราได้รับเชิญให้กินอาหารเที่ยงเลย

การเดินทางขาไปนับว่าราบรื่นมาก

วิจารณ์ พานิช

๒๙ พ.ค. ๕๗

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันศุกร์ที่ 11 กรกฏาคม 2014 เวลา 13:28 น.
 

ชีวิตที่พอเพียง : ๒๑๘๗. ควงสาวเที่ยวฝรั่งเศส ๑. เตรียมตัว

พิมพ์ PDF

ผมต้องไปประชุม IOC (International Organizing Committee) ของ PMAC 2015 ในวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๗ มี่เมือง อ๊านซี (Annecy) ในฝรั่งเศส เนื่องจากรู้ล่วงหน้านาน จึงชวนสาวน้อยไปเที่ยวด้วย และเนื่องจากไปฝรั่งเศสอยู่แล้ว เธอจึงเลือกไปเที่ยวเมืองทางใต้ของประเทศฝรั่งเศส ได้แก่ อ๊านซี ลียง อาวียง _ _ แถมด้วยเที่ยวสวิสแถวๆ ซูริค เพราะเราเดินทางโดยสายการบินไทย ไป-กลับกรุงเทพ-ซูริค

การเตรียมตัวมี ๔ อย่างใหญ่ๆ คือ (๑) การเดินทาง (๒) ที่พัก (๓) ฟิตร่างกาย และ (๔) เลือกที่เที่ยว เราเดินทางโดย การบินไทยชั้นธุรกิจ โดยสาวน้อยใช้ตั๋วฟรีจากไมล์สะสมของผม การเดินทางในยุโรป ทางบริษัท ดีทแฮล์ม แนะนำให้ใช้ตั๋วรถไฟ ยูเรลพาส ที่เมื่อสาวน้อยศึกษารายละเอียดแล้วก็บ่นว่า เป็นคำแนะนำที่ผิด เขาว่า สวิสพาส ดีกว่าในแง่ค่าใช้จ่าย เงื่อนไขของยูเรลพาสคือต้องซื้อตั๋วชั้นหนึ่ง ซึ่งผมว่าก็ดีเหมือนกัน เราจะได้ลองนั่งรถไฟชั้นหนึ่งบ้าง

เราจองที่พักโดยใช้บริการของ Booking.com อีก ทั้งๆ ที่ผมเคยบ่นว่าจะไม่ใช้แล้ว และเมื่อใช้ก็พบว่า เขาปรับปรุงบริการให้สะดวกขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราใช้เป็น ก็นับว่าให้ความสะดวกมาก แต่ความซุ่มซ่าม หรือยุ่งๆ เบลอๆ ของผม ก็ทำให้เลือกโรงแรมไม่ค่อยเหมาะบ้าง ถือว่าผิดเป็นครู ทำให้ได้ประสบการณ์

เพราะปีที่แล้วสาวน้อยไปขาเดี้ยง ตามที่เล่าไว้ ที่นี่ ปีนี้จึงเตรียมพร้อมด้านความฟิตของร่างกายเต็มที่ แต่ก็ต้องเลือกจองโรงแรมที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟ และต้องเตรียมหาข้อมูลว่า เมื่อออกจากสถานีรถไฟแล้ว จะเดินลากกระเป๋าไปหาโรงแรมได้อย่างไร พบว่า Booking.com เขามีที่บอกข้อมูลการเดินทาง และข้อความ “แสดงเส้นทาง” ให้เราคลิก เข้าไปเลือกว่าจะให้เขาแสดงเส้นทางจากไหนไปไหน เดินทางด้วยอะไร แล้วจะมีทั้ง แผนที่และคำอธิบาย บอกระยะทางและเวลาที่ใช้ในการเดินทางให้เสร็จ สะดวกมาก เสียแต่ว่า เมื่อ save ลงคอมพิวเตอร์ ส่วนเส้นทางในแผนที่มันหายไป ต้องใช้วิธีพริ้นท์ จึงได้มาทั้งคำอธิบายและแผนที่ ผมค้นพบวิธีค้น และนำไปบอกสาวน้อย ปรากฎว่าเธอพริ้นท์ไว้เรียบร้อยก่อนแล้ว

เรื่องเส้นทางนี้ เราสามารถใช้แผนที่ใน iPad Map ค้นหาได้ สะดวกขึ้นมาก

เราเตรียมตัวเดินทางแบบตัวเบา คือใช้กระเป๋าใบเล็ก (ขนาดเอาขึ้นเครื่องได้ แต่เราเช็คอินเข้าใต้ท้อง เครื่องบิน) เพื่อสะดวกในการเดินทางตอนขึ้นลงรถไฟ เอาเสื้อผ้าและของใช้ไปน้อยชิ้น เท่าที่จำเป็น ผมเอากางเกงไปสองตัวเท่านั้น คือนุ่งไปตัวหนึ่ง ใส่กระเป๋าเสื้อผ้าไปตัวหนึ่ง กะไปซักเสื้อผ้าที่โรงแรม เพราะที่ยุโรปอากาศแห้ง ซักผ้าแล้วแห้งง่าย และผมศึกษาวิธีทำให้เสื้อผ้าแห้งได้ง่ายโดยไม่บิดไว้ด้วย คือแขวนไม้แขวนไว้ ๑๕ นาทีให้น้ำหยดสะเด็ด แล้วใช้ผ้าขนหนูปูเอากางเกงหรือเสื้อวางราบเอาผ้าขนหนู อีกผืนวางทับ เพื่อซับน้ำจากผ้าที่ซัก แล้วจึงแขวนให้แห้ง กรณีผ้าแห้งยากอาจใช้ที่เป่าผมช่วย

คู่มือเลือกที่เที่ยว จัดการโดยสาวน้อย ใช้หนังสือ ใครๆ ก็ไปเที่ยวฝรั่งเศสโดยอดิศักดิ์ จันทร์ดวง

วิจารณ์ พานิช

๒๗ พ.ค. ๕๗

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันศุกร์ที่ 11 กรกฏาคม 2014 เวลา 13:30 น.
 

สู่คุณภาพเยาวชนในศตวรรษที่ ๒๑

พิมพ์ PDF

โครงการสตรีและเยาวชนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดการประชุมวิชาการประจำปี ครั้งที่ ๑๐ เรื่อง สตรีและเยาวชนศึกษา ยุทธศาสตร์เพื่อความเข้มแข็งของสังคมไทย และเชิญผมไปพูดเรื่อง สู่คุณภาพเยาวชนในศตวรรษที่ ๒๑

จึงนำ ppt ที่ใช้นำเสนอ มาลปรร. ที่นี่ และบันทึกเสียงการบรรยาย มา ลปรร. ที่นี่ สังเกตจากปฏิกิริยาจากผู้ฟัง แสดงว่า แนวคิดเรื่องการเรียนรู้สมัยใหม่ หรือการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ ๒๑ ยังไม่แพร่หลายในสังคมไทย

วิจารณ์ พานิช

๒๓ พ.ค. ๕๗

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันศุกร์ที่ 11 กรกฏาคม 2014 เวลา 12:44 น.
 


หน้า 340 จาก 561
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5644
Content : 3068
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8746650

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า