Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

คุณภาพกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบอาจเป็นคนละสิ่ง

พิมพ์ PDF

สภามหาวิทยาลัยมหิดล ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ มีวาระเรื่อง การจัดการศึกษานอกที่ตั้งของหลักสูตรการจัดการมหาบัณฑิตและหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต วิทยาลัยนานาชาติ เข้าสู่การพิจารณา

เราเรียกหลักสูตรแรกอย่างง่ายๆ ว่า MM และหลักสูตรหลังว่า MBA

ที่ต้องเอาเรื่องนี้มาพิจารณา ก็เพราะมีข่าวในสื่อมวลชนว่า เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านหนังสือพิมพ์และลงข่าวว่า จากการตรวจประเมินการจัดการศึกษา นอกสถานที่ตั้งจำนวน ๕ สถาบัน ๖ ศูนย์ ๑๕ หลักสูตร มีหลักสูตรทั้งสิ้น ๑๑ หลักสูตรที่ไม่ผ่านการประเมิน โดยใน ๑๑ หลักสูตรนี้ มีหลักสูตรการจัดการมหาบัณฑิต และหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต ของวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล รวมอยู่ด้วย

ดัง ข่าวนี้

หน้าที่ของสภามหาวิทยาลัยคือ ดูแลและรับผิดชอบ ว่ามหาวิทยาลัยจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ และในกรณีของมหาวิทยาลัยมหิดล มีคุณภาพสูง ไม่ใช่แค่มีคุณภาพระดับธรรมดาๆ สภามหาวิทยาลัยจึงขอให้ฝ่ายบริหารรายงานอีกครั้งหนึ่งว่า วิทยาลัยนานาชาติ จัดการศึกษาของหลักสูตรทั้งสอง ที่ศูนย์บัณฑิตศึกษาอาคารสาธร ซิตี้ ทาวเวอร์อย่างไร

เมื่อฟังแล้ว คณะกรรมการสภามีมติว่า การจัดการศึกษาระดับปริญญาโท นอกที่ตั้งทั้งสองหลักสูตร มีคุณภาพสูง โดยที่ฝ่ายจัดการหลักสูตรกำลังดำเนินการขอการรับรองมาตรฐานนานาชาติจาก AACSB (Association to Advance Collegiate Schools of Business) ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยอยู่ในขั้นตอนรอการเข้ามาตรวจสอบโดยคณะ Peer Review ของ AACSB

คือเรามีเป้าหมายคุณภาพสูงตามมาตรฐานานาชาติ ที่ตรวจสอบได้ เน้นคุณภาพที่นักศึกษา หรือบัณฑิตได้รับ

แต่ สกอ. บอกว่าสองหลักสูตรนี้ไม่ผ่านการประเมิน เพราะวิทยาลัยนานาชาติไม่ได้จัดการศึกษาสอง หลักสูตรนี้ ณ ที่ตั้งด้วย จึงไม่ผ่านเกณฑ์ของ กกอ./สกอ.

จึงขอประกาศให้สาธารณชนทราบว่า สภามหาวิทยาลัยมหิดล ขอรับรองว่า หลักสูตรทั้งสอง ที่จัด ณ อาคารสาธร ซิตี้ ทาวเว่อร์ มีคุณภาพสูง แม้จะไม่ผ่านเกณฑ์ประเมินของ สกอ.

และขอชี้แจงว่า เกณฑ์ประเมินของ สกอ. ไม่ได้ดูที่คุณภาพของการจัดการศึกษา แต่ดูว่าปฏิบัติตาม เกณฑ์ที่ตนกำหนดหรือไม่ โดยที่เกณฑ์ส่วนที่สองหลักสูตรนี้มีปัญหา คือ ไม่มีการจัดการศึกษาสองหลักสูตรนี้ ณ ที่ตั้ง

เกณฑ์ข้อนี้ของ สกอ. มีความไม่แม่นยำอยู่โดยธรรมชาติ คือใช้วิธีกำหนดเงื่อนไขที่เป็น proxy ของคุณภาพ แล้วยึด proxy เป็นหลัก แม้คุณภาพโดยตรงดี แต่ตกส่วน proxy ก็ถือว่าไม่ผ่านการประเมิน

สภามหาวิทยาลัยมหิดล จึงมีมติให้ฝ่ายนายกสภาฯ (คือผม) และบริหารร่วมกันแถลงข่าว และสื่อสาร สังคมอย่างกว้างขวาง เพื่อยืนยันคุณภาพการศึกษาของทั้งสองหลักสูตร แม้จะไม่ผ่านการประเมินตามเกณฑ์ (ที่ไม่แม่นยำ) ของ สกอ.

เป็นการยืนยัน เพื่อประโยชน์สาธารณะ มากกว่าเพื่อประโยชน์ของมหาวิทยาลัยมหิดล

วิจารณ์ พานิช

๒๒ พ.ค. ๕๗

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันพุธที่ 09 กรกฏาคม 2014 เวลา 06:34 น.
 

ประเมินเพื่อมอบอำนาจ : ๙. บทส่งท้าย

พิมพ์ PDF

บันทึกชุด “ประเมินเพื่อมอบอำนาจ” (การเรียนรู้) ๑๐ ตอน ชุดนี้ ตีความจากหนังสือ Embedded Formative Assessment เขียนโดย Dylan Wiliam เพื่อเสนอใช้การทดสอบหรือการประเมินในทางบวก ต่อการเรียนรู้ โดยใช้แบบเนียนไปการกระบวนการเรียนรู้ของศิษย์ และเนียนไปกับการโค้ชศิษย์ เพื่อใช้ “การประเมินเพื่อพัฒนา” (formative assessment) ยกระดับการเรียนรู้ของนักเรียน ด้วยความเชื่อว่า การใช้ “การประเมินเพื่อพัฒนา” ที่ดำเนินการโดยครูในชั้นเรียน และดำเนินการอย่างถูกต้อง เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ต่อการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของการเรียน (learning outcomes)

บันทึกตอนที่ ๙ มาจากบท Epilogue เป็นการสรุปประเด็นสำคัญของหนังสือทั้งเล่ม ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ผมเห็นว่าผู้เขียนได้ให้ข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจเพิ่มจากในข้อความแต่ละบท จึงสรุปบทส่งท้ายมาลงบันทึก ไว้ด้วย

การศึกษาในปัจจุบัน ไม่ใช่เพื่อสร้างคนออกไปอยู่ในโลกที่มีความคงที่ เปลี่ยนแปลงน้อย อย่างในยุค เกษตรกรรม แต่ต้องสร้างคนให้เหมาะต่อการออกไปอยู่ในสังคมข้อมูลข่าวสาร ที่โลกเปลี่ยนเร็วและพลิกผัน เอาแน่นอนไม่ได้ นั่นคือต้องติดอาวุธผู้เรียนด้วย “ทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑” ซึ่งต้องฝึก ในสภาพจริง หรือเกือบจริง (authentic learning) โดยตระหนักตลอดเวลาว่า การเรียนรู้เป็นกิจกรรมของผู้เรียน ไม่ใช่ครู ทำให้เกิดได้ ครูทำได้เพียงจัดบรรยากาศให้เอื้อ

และตระหนักอยู่ตลอดเวาว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ไมใช่ ๑ + ๑ = ๒ จึงต้องการการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ซับซ้อน ที่ท้าทายครูในยุคปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง

หนังสือเล่มนี้เขียนเพื่อสังคมอเมริกันเป็นหลัก ผมจึงตัดสาระบางตอนที่เขารำพึงรำพันถึงสังคม อเมริกันออกไป แต่ก็มาสะดุดใจ เอาตอนที่เขาบอกว่า เหตุที่สหรัฐอเมริการุ่งเรืองสุดขีดในครึ่งหลัง ของศตวรรษที่ ๒๐ เพราะเขาดำเนินการนโยบายการศึกษาถูกต้อง ในขณะที่ทางยุโรปเดินผิด

นั่นคือในช่วง ค.ศ. ๑๙๑๐ - ๑๙๔๐ สหรัฐฯ ลงทุนการศึกษาพื้นฐานแก่เยาวชนทุกคนจนถึงอายุ ๑๘ ปี ในขณะที่ทางยุโรปคิดว่าการลงทุนเช่นนั้นเป็นการสูญเปล่า หากไม่ใช่เป็นการเตรียมเยาวชนเข้ามหาวิทยาลัย สู้ให้เด็กอายุ ๑๕ ปีขึ้นไปเรียนอาชีวศึกษาเพื่ออาชีพไม่ได้ หนังสืออ้างผลการวิจัยชิ้นหนึ่งว่า นโยบายดังกล่าว ของสหรัฐฯ ทำให้ประเทศมีแรงงานมีฝีมือเพื่อการผลิต และทำให้มีผู้บริโภคที่การศึกษาสูง ที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ ใหม่ๆ ได้ แนวคิดเช่นนี้ จะยังใช้ได้ในยุคเกือบร้อยปีให้หลังหรือไม่?

Dylan Wiliam บอกว่า เคล็ดลับคือ ในช่วงนั้นสหรัฐฯ ลงทุนด้านการศึกษาทั่วไป โดยไม่พยายามทำนาย อนาคต เน้นว่าลงทุนมากที่การศึกษาทั่วไปแก่เยาวชนทั้งมวล มากกว่าเน้นที่อาชีวศึกษาเพื่อผลิตคนมีทักษะ จำเพาะ ข้อเขียนนี้ดูจะสวนทางกับแนวคิดในสังคมไทยในปัจจุบัน และเป็นโจทย์วิจัยเชิงนโยบายการศึกษา ที่สำคัญยิ่ง โดยต้องไม่ลืมว่า สังคมไทยกับสังคมอเมริกันต่างกันมาก ในอีกหลากหลายด้าน เวลาคิดเรื่อง นโยบายด้านใดด้านหนึ่ง คิดแคบๆ ไม่พอ ต้องคิดเชื่อมโยง

แต่ที่เป็นความจริงตรงกันหมดในทุกสังคมคือ คุณภาพครูเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด แนวความคิดว่า ครูคือครู ที่ทำหน้าที่ครูได้เหมือนๆ กัน เป็นความคิดที่ผิด เวลานี้เป็นที่รู้กันว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดที่กำหนดว่า นักเรียนจะเรียนได้ดีเพียงใด คือคุณภาพครู ในชั้นเรียนของครูดี ผลการเรียนของเด็กจากครอบครัวยากจน จะเท่าเทียมกับผลการเรียนของเด็กจากครอบครัวที่ฐานะดี

มีผลการวิจัยว่า ครูในนักเรียนอนุบาล ครูดี จะส่งผลไปถึงชีวิตตอนทำงาน นักเรียนของครูดี มีรายได้สูงกว่า และคุณภาพโรงเรียนนั้น แท้จริงแล้ว ขึ้นกับคุณภาพครูของโรงเรียนนั้น หากจะเพิ่มผลสัมฤทธิ์ ในการเรียนของเด็ก ต้องเพิ่มคุณภาพครู

แต่การเพิ่มคุณภาพครูเป็นเรื่องซับซ้อน เคยมีนักเศรษฐศาสตร์เสนอให้เลือกเก็บไว้เฉพาะครูดี คัดครูไม่ดีส่วนหางของกราฟการกระจายคุณภาพครูออกไป ทดแทนด้วยครูใหม่ที่คัดมาอย่างดี แต่วิธีนี้กว่าจะได้ผลเต็มที่ต้องใช้เวลา ๓๐ ปี

ดังนั้นในสภาพความเป็นจริง วิธีที่ดีที่สุดคือหาทางยกระดับคุณภาพครูขึ้นทั้งแผง โดยวิธีการที่พิสูจน์ แล้วว่า เกิดผลดีต่อผลการเรียนรู้ของศิษย์

วิธีการดังกล่าวคือ การบูรณาการการประเมินเพื่อพัฒนา (formative assessment) เข้าไปในกระบวนการ เรียนรู้ประจำวัน โดยที่สามารถเพิ่มประสิทธิผลการเรียนรู้ขึ้นได้ถึงร้อยละ ๗๐ - ๘๐ โดยที่วิธีการนี้ไม่แพง ผลการวิจัยบอกว่า การจัดบูรณาการการประเมินเพื่อพัฒนา ลงทุนน้อยกว่าการลดขนาดห้องเรียน ในระดับที่ น้อยกว่ากัน ๒๐ เท่า และมีหลักฐานว่า ในปัจจุบัน การประยุกต์บูรณาการการประเมินเพื่อพัฒนาเข้าไปใน ชั้นเรียน ให้ผลต่อการยกระดับการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิผลภายใต้การลงทุนต่ำที่สุด

การประเมินเพื่อพัฒนาในห้องเรียนดำเนินการโดยใช้ ๕ ยุทธศาสตร์คือ (๑) ทำความชัดเจนระหว่างครู กับนักเรียนว่าเป้าหมายการเรียนคืออะไร และเกณฑ์วัดความสำเร็จคืออะไร (๒) ดำเนินการให้เกิดชั้นเรียน ที่มีการอภิปรายแลกเปลี่ยน การทำกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ ที่มีหลักฐานว่าเกิดการเรียนรู้ (๓) จัดให้มีการให้ ข้อมูลป้อนกลับ ที่ขับเคลื่อนการเรียนรู้ไปข้างหน้า (๔) ส่งเสริมให้นักเรียนเป็นครู หรือแหล่งเรียนรู้ ซึ่งกันและกัน (๕) ให้ผู้เรียนเป็นเจ้าของกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง

มีเทคนิคมากมายที่ช่วยส่งเสริมยุทธศาสตร์ทั้ง ๕ ข้อข้างบน โดยที่หลายเทคนิคไม่ใช่เรื่องใหม่ ครูแต่ละคนควรทดลองและเลือกเทคนิคที่เหมาะต่อสถานการณ์ของตนและใช้จนชำนาญ อย่าจับจดกับเทคนิค หรืออย่าเห่อเทคนิคใหม่ๆ จนเกินไป จุดสำคัญที่สุดคือใช้ได้ผลต่อผลการเรียนของศิษย์

คำแนะนำต่อครูคือ อาชีพครูเปิดโอกาสให้เรียนรู้ได้ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และการเรียนรู้ที่ประเสริฐสุดคือ การเรียนรู้เพื่อหาวิธีเกื้อหนุนให้ศิษย์เรียนได้ผลลัพธ์การเรียนรู้สูงและครบถ้วน

วิจารณ์ พานิช

๑๐ ม.ค. ๕๗

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันพุธที่ 09 กรกฏาคม 2014 เวลา 21:09 น.
 

ชีวิตที่พอเพียง : ๒๑๙๖. ทำน้อย ได้ผลมาก

พิมพ์ PDF

ในการประชุมสภามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง มีการนำเสนอว่ามหาวิทยาลัยดำเนินการพัฒนา ความเป็นคนดี ความเป็นพลเมืองดี ให้แก่นักศึกษาอย่างไรบ้าง

ผมนั่งฟังการนำเสนอรายละเอียดกิจกรรมยาวเหยียดและหลากหลาย พร้อมกับตั้งข้อสงสัย กับตนเองว่า สงสัยว่ากรณีนี้จะตกหลุมพราง “ทำมาก ได้ผลน้อย” ในทำนอง work hard แต่ไม่ได้ work smart แต่ผมก็ไม่ได้ตั้งข้อสังเกตนี้ เพราะเกรงว่าผู้เสนอจะเสียกำลังใจ หรือเสียหน้า ผมตั้งใจเอาไปบอกอธิการบดี ในภายหลัง

ไม่ว่าทำอะไร ผมหมั่นฝึกฝนตนเองให้ “ทำน้อย ได้ผลมาก” คือหาจุดคานงัดให้พบ แล้วทำเรื่องนั้น เพื่อให้มันส่งแรงไปสร้างการเปลี่ยนแปลงเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ไปอีกหลายทอด ซึ่งจะทำอย่างนั้นได้ เราต้องฝึกคิด กระบวนระบบ (Systems Thinking) และมองภาพรวมว่าเป็น Complex Adaptive Systems (CAS) ที่มีคุณสมบัติ “ผีเสื้อกระพือปีก สร้างลมสลาตัน” หรือ “เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว”

ทำน้อย ได้ผลมาก จะเกิดขึ้นได้ ปณิธานความมุ่งหมาย (Purpose) ต้องชัดและมั่นคงต่อเนื่อง แล้วต้อง เปิดอิสระให้ผู้ร่วมงาน ที่มีปณิธานร่วมกัน ได้ใช้ความริเริ่มสร้างสรรค์ ณ จุดทำงานของตน ก็จะเกิดการรวมพลัง หรือสนธิพลัง ทำให้เกิดสภาพ “ทำน้อย ได้ผลมาก” ขึ้นได้

วิจารณ์ พานิช

๒๕ พ.ค. ๕๗

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันพุธที่ 09 กรกฏาคม 2014 เวลา 06:47 น.
 

ประเมินเอกสาร หรือประเมินสิ่งที่ปฏิบัติ

พิมพ์ PDF

ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิโรงเรียนรุ่งอรุณ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗ มีการรายงานผลการประเมินโรงเรียนรุ่งอรุณ โดย คณะกรรมการตรวจติดตามการประเมินผลการจัดการศึกษา โรงเรียนเอกชน ประเภทสามัญศึกษา จาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน และคณะกรรมการประเมินคุณภาพ ภายนอก ของ สมศ. สรุปได้ว่า คุณภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนรุ่งอรุณ อยู่ในขั้นดีมาก

ผู้บริหารของโรงเรียนเล่าว่า ทีมประเมินเขาถามหาคำสั่งแต่งตั้งโน่น คำสั่งแต่งตั้งนี่ เมื่อทางโรงเรียน บอกว่าไม่มี ผู้ประเมินก็งง เพราะเมื่อซักไซ้ครูในแต่ละชั้น ก็ตอบเรื่องแนวทางหรือนโยบายได้ตรงกันหมด แต่ไม่มีคำสั่ง ไม่มีเอกสารให้ผู้ประเมินเก็บไปเป็นหลักฐาน ว่าทางโรงเรียนมีการดำเนินการเรื่องนั้น

ทำให้ผมได้ตระหนักว่า ในวงการศึกษาไทย เราเน้นที่เอกสารสำหรับเป็นหลักฐาน ไม่เน้นที่การ ปฏิบัติ หากมีเอกสาร แม้จะไม่ได้ปฏิบัติ ทีมประเมินก็พอใจ เพราะมีหลักฐานให้เห็นว่ามีคำสั่งแล้ว มีคำสั่งแต่ไม่มีการปฏิบัติก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีการปฏิบัติ และได้ผลดี โดยไม่มีหลักฐานคำสั่ง ผู้ประเมินก็ลำบากใจ ต้องขอให้มีคำสั่ง

ที่ตีความนั้น ไม่ทราบว่าผมมองแง่ร้ายเกินไปหรือไม่ ผู้รู้ หรือผู้มีประสบการณ์ตรง กรุณาช่วยให้ ความกระจ่างแก่ผมด้วย

วิจารณ์ พานิช

๒๓ พ.ค. ๕๗

โรงแรม แชง กรีลา เชียงใหม่

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันพุธที่ 09 กรกฏาคม 2014 เวลา 06:51 น.
 

ตำแหน่งวิชาการสายรับใช้สังคม

พิมพ์ PDF

ตำแหน่งวิชาการสายรับใช้สังคม

ผมอยากเห็นหลักการเรื่องตำแหน่งวิชาการสายรับใช้สังคม เข้าสู่การปฏิบัติเกิดผลได้จริง ผลที่ว่านี้คือ เกิดแรงจูงใจให้นักวิชาการ ทำงานวิชาการโดยที่โจทย์มาจากฝ่ายผู้ใช้ แล้วมีการเผยแพร่ผ่านวารสารวิชาการ สายรับใช้สังคม และเห็นว่า วารสารพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต น่าจะเป็นวารสารเล่มหนึ่งที่ทำหน้าที่นี้ได้

ผลที่แท้จริงคือ สังคมไทยใช้ความรู้และนวัตกรรมในการประกอบการทุกเรื่อง ทุกด้าน

จึงขอเสนอแนะให้ สกอ. สนับสนุนให้มีทีมงานทำงานขับเคลื่อนการเข้าสู่ตำแหน่งวิชาการ สายรับใช้สังคม โดยน่าจะมอบหมายให้สถาบันคลังสมองฯ ทำหน้าที่จัดการการขับเคลื่อนนี้

กิจกรรมที่ควรดำเนินการได้แก่

  • การประชุมวิชาการสายรับใช้สังคมประจำปี เชิญผู้มีผลงานเด่นมานำเสนอ และจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (๑) วิธีหาโจทย์จากฝ่ายผู้ใช้ และวิธี “เหลาโจทย์” ให้แหลมคม ทำให้เป็นทั้งงานพัฒนาและงานวิจัยในขณะเดียวกัน (๒) วิธีดำเนินการวิจัย (๓) วิธีตีพิมพ์เผยแพร่ (๔) วิธีประเมินคุณค่าต่อผู้ใช้ (๕) วิธีทำให้ผลงานมีคุณค่าทางวิชาการ คือนำไปขอตำแหน่งวิชาการได้ (๖) เชิญฝ่าย “ผู้ใช้” มาบอกความต้องการ และความร่วมมือที่จะมีให้ (๗) อื่นๆ

นำประเด็นสำคัญๆ จากการประชุม ลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ สายรับใช้สังคม

  • การประชุมปฏิบัติการ ระดมความคิด ในกลุ่ม reader ของผลงานที่ขอตำแหน่งวิชาการ สายรับใช้สังคม (เน้น knowledge application) เพื่อหาทางแยกแยะวิธีการตรวจสอบคุณภาพ ที่แตกต่างจากผลงาน วิชาการสาย “วิชาการพื้นฐาน” (เน้น knowledge discovery) การประชุมแบบนี้ควรจัดร่วมกับมหาวิทยาลัยที่เอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ และควรจัดอย่างน้อย ปีละ ๒ ครั้ง นำผลของการประชุมลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการรับใช้สังคม
  • ประชุมปฏิบัติการ “ผู้ใช้พบนักวิชาการสายรับใช้สังคม” เพื่อแสวงหาโอกาสของ ความร่วมมือ ผลการประชุมนำไปตีพิมพ์ในวารสารวิชาการสายรับใช้สังคม การประชุมแบบนี้ วารสารวิชาการรับใช้สังคมอาจจัดร่วมกับมหาวิทยาลัย

การวางรากฐานของงานวิชาการรับใช้สังคม ต้องการการจัดการที่มีการริเริ่มสร้างสรรค์ และเป็นการจัดการเชิงรุก ที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่าง ผู้มีความมุ่งมั่นทำประโยชน์แก่บ้านเมือง ผ่านงานวิชาการสายรับใช้สังคม สามารถคิดสร้างสรรค์และทดลองดำเนินการได้มากกว่าที่เสนอมา

วิจารณ์ พานิช

๖ ก.ค. ๕๗

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 07 กรกฏาคม 2014 เวลา 18:06 น.
 


หน้า 341 จาก 561
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5644
Content : 3068
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8746512

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า