Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

ข้อควรคิดเกี่ยวกับการว่าจ้างที่ปรึกษามาบริหารโรงแรม

พิมพ์ PDF

มีโรงแรมเปิดใหม่จำนวนไม่น้อยที่เจ้าของไม่ได้มีความรู้และประสบการณ์ในด้านการดำเนินธุรกิจโรงแรมมาก่อนเลย แต่กล้าที่จะลงทุนจำนวนมหาศาลในการสร้างโรงแรม/รีสอร์ทของตนเองขึ้นมา เพราะมีที่ปรึกษาที่เคยมีประสบการณ์ทางด้านงานโรงแรมมาก่อน มาช่วยให้คำแนะนำในการดำเนินธุรกิจ

ผู้ที่มีประสบการณ์ทางด้านโรงแรมที่มาเป็นที่ปรึกษาของเจ้าของธุรกิจโรงแรมส่วนใหญ่นั้น เป็นผู้ที่มีอาวุโสใกล้เคียงกับเจ้าของธุรกิจ ที่เจ้าของเห็นว่าเคยทำงานโรงแรมมานาน และมีการคุยโม้โอ้อวดสรรพคุณไว้มากมาย น่าจะมีประสบการณ์ที่สามารถนำมาใช้ในธุรกิจของตนเองได้ จึงกล้าที่จะตัดสินใจควักกระเป๋าจ่ายเป็นเงินลงทุนจำนวนมหาศาลในการทำธุรกิจโรงแรมอย่างปราศจากความรู้และประสบการณ์ ในขณะที่เจ้าของโรงแรมในปัจจุบันหลายๆ แห่งอยากจะเลิกทำธุรกิจนี้ แต่ไม่สามารถเลิกได้เพราะลงทุนไปเยอะ ก็ทู่ซี้ทำธุรกิจกันต่อไป โดยอาศัยปรับปรุงและพัฒนาการบริหารกิจการโดยใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมา เพื่อให้สามารถทำธุรกิจต่อไปได้

ความสำเร็จของการบริหารธุรกิจและการตลาดโรงแรมในอดีตเมื่อ 20 - 30 ปีก่อนหน้านี้นั้น ไม่สามารถนำมาใช้กับการบริหารธุรกิจโรงแรมและการตลาดในยุคปัจจุบันที่เป็นยุคโลกาภิวัฒน์ได้ ผู้ที่มีประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจโรงแรมที่เคยประสบความสำเร็จอย่างสูงในอดีตที่ไม่สามารถพัฒนาตนเองให้เข้ากับเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ ของการบริหารจัดการธุรกิจโรงแรมและการตลาดในยุคปัจจุบันได้ ต่างแตกกระสานซ่านเซ็นออกมาจากวงการ จะด้วยโดยการขออให้ออกเพราะไม่สามารถสนองตอบต่อแนวนโยบายใหม่ๆ ได้ หรือออกมาเองเพราะไม่สามารถปรับตัวเอง และยอมรับสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โดนคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ไฟแรงและก้าวทันเทคโนโลยี นวัตกรรมและมีความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการธุรกิจยุคใหม่ที่ได้รับการศึกษามาในระดับที่สูง มีความคล่องแคล่ว คล่องตัวมากกว่า ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญทางธุรกิจเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าบุคลากรเก่าแก่ที่ตกยุคและยึดติดกับความสำเร็จในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งคนเหล่านี้เมื่อออกมาก็ยังพยายามที่จะสร้างภาพของตนเองไว้ให้เป็นผู้ที่มีความรอบรู้ ผุ้เชี่ยวชาญ และประสบการณ์มายาวนาน และมีจำนวนไม่น้อยที่ผันตนเองมาเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้ที่มีทุนทรัพย์ที่อยากมีธุรกิจโรงแรม/ที่พักเป็นของตนเอง เพราะความยั่วยวนจากผลกำไรที่จะได้รับจากการทำธุรกิจโรงแรมที่ได้ยินได้ฟังจากเหล่าที่ปรึกษาเหล่านี้ จนในที่สุดแมลงเม่าก็บินเข้ากองไฟกันเป็นทิวแถว

ในการทดสอบวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการธุรกิจโรงแรมของผู้ที่จะรับเข้ามาเป็นที่ปรึกษานั้น ถ้าอยากทราบว่าจะช่วยนำพาธุรกิจโรงแรมของท่านไปสู่ความสำเร็จอย่างรวดเร็วได้หรือไม่นั้น ต้องทดสอบเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ในด้านการนำเอานวัตกรรมใหม่ๆ ในด้านการบริหารจัดการ และการบูรณาการเทคโนโยลียุคใหม่เข้ามาใช้งาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากร ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและขจัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และเพิ่มผลตอบแทนหรือกำไรในการประกอบการ การบริหารจัดการวิกฤติ การบริหารการเปลี่ยนแปลง การบริหารรายได้ ฯลฯ ซึ่งเป็นวิธิการบริหารจัดการธุรกิจยุคใหม่ที่ธุรกิจโรงแรมใช้กันอยู่ในปัจจุบัน หากผู้ที่จะมาเป็นที่ปรึกษาขาดวิสัยทัศน์ในเรื่องเหล่านี้แล้ว ควรที่จะต้องพิจารณาคนใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ มากกว่าการนำเอาเรื่องความสำเร็จในอดีตมาเล่าให้ฟังแต่เพียงอย่างเดียว

ในส่วนของที่ปรึกษาทางด้านการตลาดนั้น ถ้ามีวิสัยทัศน์และประสบการณ์ทางด้านการขายผ่านบริษัททัวร์แต่เพียงอย่างเดียวนั้นเป็นเรื่องที่ล้าสมัยไปเสียแล้ว การที่รู้จักแต่บริษัททัวร์ใหญ่ๆ ที่เน้นทางด้านกรุ๊ปทัวร์แต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีความรู้และวิสัยทัศน์เกี่ยวกับช่องทางการตลาดอื่นๆ ที่หลากหลายที่มีใช้อยู่กันในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่องทางการตลาดผ่านทางช่องทางออนไลน์ และอินเทอร์เน็ต ไม่มีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับ Segmentation, Targeting และ Positioning และการใช้ช่องทางการตลาดที่หลากหลาย (Multi-channel marketing) และการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ (Integrated Marketing Communication - IMC) แต่เน้นการส่งเสริมการขายด้วยการ ลด แลก แจก แถม แต่เพียงเท่านั้น การกล่าวถึงเพียง 4P's ตามหลักการตลาดแบบดั้งเดิมแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกล่าวถึง 4C's หรือ P ตัวอื่นๆ ที่มีเพิ่มมากขึ้นในธุรกิจของอุตสาหกรรมบริการ หรือตามแนวความคิดการตลาดในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่ลักษณะของที่ปรึกษาทางการตลาดที่จะช่วยให้ธุรกิจของท่านสามารถแข่งขันได้ในปัจจุบัน ควรพิจารณาหาคนใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ที่ดีกว่า

การมีที่ปรึกษาทางด้านการบริหารจัดการธุรกิจและการตลาดที่ดี จะช่วยให้ธุรกิจโรงแรมของท่านที่ลงทุนไปอย่างมหาศาลนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี และสร้างผลกำไรจากธุรกิจได้ดีและรวดเร็วกว่าการลองผิด ลองถูก ของเจ้าของกิจการที่บริหารธุรกิจโรงแรมโดยไร้แผนธุรกิจ และแผนการตลาดที่ดี เพราะการดำเนินธุรกิจโรงแรมซึ่งเป็นธุรกิจในอุตสาหกรรมบริการนั้น แตกต่างจากธุรกิจสินค้าอุปโภค บริโภคทั่วไปเพราะต้องอาศัยการสั่งสมชื่อเสียงที่ดีของธุรกิจเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจได้ในระยะยาว

ขอบคุณครับ บังเอิญเพิ่งมาเห็น เจ้าของเวปที่ตอบข้อความที่ผมส่งถึง เวลาผ่านไปเร็วจริงๆครับ ผมเข้ามาแสดงความคิดเห็นเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2556 และ"คนโรงแรม" ได้ตอบผมเมื่อวันที่ 14 มกราคม ผมไม่ได้เข้ามาดูเลยไม่ทราบ ครับ ขอโทษด้วย ผมได้เข้าไปดูใน link ที่ให้มาแล้ว เห็นรูปก็พอจำได้ครับ แต่ยังนึกชื่อไม่ออก เราอาจจะเจอกันใน Trade show แต่คงไม่ได้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน จึงไม่ต่อยได้พบและคุยกันอย่างจริงจัง

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท Thursday, 28 March 2013 21:31

ขอขอบคุณ ม.ล.ชาญโชติ ที่ได้กรุณาเขียนคอมเม้นท์ไว้ ผู้เขียนเองก็เห็นท่านออกงาน Trade Show ต่างๆ อยู่บ่อยๆ ครับ ถ้าท่านต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับผม ดูได้ที่ http://tiny.cc/05jvqw ครับ
ผมมีบทความต่างๆ อีกเป็นจำนวนมาก ที่เขียนไว้ที่ http://www.ihotelmarketer.comhttp://wwww.ihotel2011.com และ http://www.ihoteljobs.net ครับ
ถ้าท่านมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับบทความ ข้อเขียนต่างๆ ของเรา รบกวนช่วยชี้แนะด้วยนะครับ

ฅนโรงแรมMonday, 14 January 2013 07:20

ขอชมผู้เขียนว่ารู้จริงทั้งด้านโรงแรม และเรื่องที่ปรึกษา อยากทราบ และรู้จักชื่อของผู้เขียน เผื่อมีอะไรจะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน หรืออาจเป็นเครือข่ายกันได้ ผมเป็นผู้บริหารโรงแรมมาหลายแห่ง ขณะนี้ได้ลาออกจากการเป็นผู้บริหารโรงแรมมาร่วม 3 ปีแล้ว แต่ไม่ใช่ออกเพราะถูกไล่ออก หรือเพราะหมดน้ำยาแล้ว แต่ออกมาเพราะต้องการช่วยธุรกิจโรงแรมไทยให้มีความเป็นมืออาชีพ สร้างผู้บริหารมืออาชีพ สร้างเจ้าของมืออาชีพ ไม่ใช่ปล่อยให้คนต่างชาติ เข้ามาแทนคนไทยจนไม่เหลือที่ให้ยืน ก็มีความเป็นห่วงโรงแรมที่บริหารเองในระบบครอบครัว หรือเจ้าของโรงแรมที่เกิดใหม่โดยไม่เข้าใจธุรกิจโรงแรม การทำธุรกิจโรงแรมไม่ใช่ของง่าย ถ้าจะให้ยั่งยืนต้องมีผู้บริหารที่เป็นมืออาชีพ ถึงแม้นเจ้าของจะบริหารเองก็ต้องบริหารแบบมืออาชีพ

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท Sunday, 13 January 2013 23:33

เห็นด้วยสุดๆค่ะ แทนที่เราจะปรับตัวรับการตลาดในยุคปัจจุบัน แต่ตอนนี้สิ่งที่เราต้องทำคือปรับตัวให้เข้ากับผู้ที่มีประสบการณ์ยาวนาน เห็นด้วยกับท่าน คิดแบบเดียวกับท่าน ทำตามท่านแนะนำ ไม่งั้นเราจะเป็นเด็กหัวแข็ง

Phutsadi Saturday, 23 June 2012 18:51

คัดลอกจากเวป http://www.ihotelguru.com/index.php?option=com_k2&view=item&id=67:hotel-consultancy

Last modified on Sat
แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2014 เวลา 19:10 น.
 

แรงงาน

พิมพ์ PDF
ามหมายของแรงงาน

ผมได้รับเชิญจากกระทรวงแรงงานให้เป็นวิทยากรปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "ตลาดแรงงานฝีมือกับโลกการค้าเสรี ในวันที่ 26 กันยายน 2555 เวลา 10.45-11.45 น

โจทย์ที่ได้มากว้างมากแถมมีเวลาแค่ 1 ชั่วโมง และไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้เข้ารับฟังเป็นใครมาจากไหน หลังจากทบทวนวัตถุประสงค์ของผู้จัดงานทำให้ตัดสินใจ พูดเรื่องความหมายของแรงงาน ก่อนที่จะเข้าเรื่องตลาดแรงงานและเชื่อมโยงไปถึงโลกการค้าเสรี

 

ค้นพบรายงานวิจัยฉบับหนึ่ง กล่าวถึงความหมายของแรงงานไว้น่าสนใจดังนี้

"แรงงานมีความสำคัญในฐานะที่เป็นปัจจัยการผลิตในการผลิตสินค้า และเป็นทุนมนุษย์ที่สามารถพัฒนาศักยภาพให้สูงขึ้นได้ ตามความหมายของแรงงานเป็นประชากรที่อยู่ในวัยทำงานที่สามารถทำงานได้โดยใช้กำลังกายและกำลังความคิดที่มีหลายระดับความรู้ ความสามารถอันเป็นประโยชน์ในทางเศรษฐกิจของประเทศชาติ ซึ่งความหมายของแรงงานมีคำที่เกี่ยวข้องหลากหลายคำ ได้แก่ กำลังคน และกำลังแรงงาน นอกจากนี้ยังมีความหมายที่แบ่งย่อยลงไปเป็น ผู้มีงานทำ ผู้ว่างงาน ผู้ที่อยู่และไม่อยู่ในกำลังแรงงาน โดยที่ผู้มีงานทำยังจำแนกได้ตามสาขาการผลิตอีหลายประเภท ซึ่งแรงงานในทุกสาขาการผลิตมีความสำคัญอย่างยิ่ง และสร้างประโยชน์ทั้งในระดับสถานประกอบการ สังคม และประเทศชาติ"

หลังจากได้ทำความเข้าใจกับข้อสรุปเบื้องต้น ผมได้สรุปความหมายของแรงงานในความเข้าใจของผมดังนี้

"แรงงานหมายถึงทรัพยากรมนุษย์ที่ผ่านการบริหารจัดการจนทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจต่อครอบครัว สังคม และประเทศชาติ"

แรงงานแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่

1  แรงงานฝีมือ (Skilled Labor) หมายถึง ผู้ที่มีความรู้ทางทฤษฎีและปฏิบัติ ทั้งนี้ ความชำนาญในงานอาชีพสามารถตัดสินใจและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงานด้วยตนเองได้

2  แรงงานกึ่งฝีมือ (Semi-skilled Labor) หมายถึง ผู้ที่มีความรู้ทางทฤษฎีและปฏิบัติที่มีความชำนาญเพียงบางส่วนของงานอาชีพ

3  แรงงานไร้ฝีมือ (Unskilled Labor) หมายถึง ผู้ที่ทำงานโดยใช้กำลังกาย ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ความชำนาญ เพียงได้รับคำแนะนำบ้างเล็กน้อยก็สามารถทำงานได้

จากการแบ่งประเภทแรงงานดังที่กล่าวไว้เบื้องต้น แสดงให้เห็นว่า กระทรวงแรงงานได้พุ่งเป้าไปที่แรงงานในภาคการผลิตสินค้า และแรงงานด้านก่อสร้างเป็นหลัก ไม่ได้เน้นถึงแรงงานที่ใช้ความคิดและแรงงานในภาคบริการที่นับวันจะมีความสำคัญมากขึ้น

กระแสสังคมไทยในปัจจุบัน เน้นให้คนไทยจบการศึกษาระดับปริญาตรีเป็นอย่างต่ำ จึงไม่สอดคล้องกับความต้องการของภาคการผลิตและก่อสร้างที่เน้นแรงงานขั้นต่ำไม่จำเป็นต้องจบปริญาตรี

พูดถึงตลาดแรงงาน ต้องกล่าวถึงตลาดแรงงานในประเทศหรือตลาดแรงงานต่างประเทศ แรงงานคนไทย หรือแรงงานต่างด้าว

นักศึกษาจบปริญญาตรีไม่สามารถหางานที่ต้องการได้  ผู้ประกอบการไม่สามารถหาแรงงานที่มีคุณภาพได้  แรงงานขาดตลาด จึงทำให้ต้องนำแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในตำแหน่งที่คนไทยไม่ต้องการทำ

สรุปได้ว่าในอนาคตประเทศไทยจะขาดแรงงาน ให้เตรียมรับแรงงานต่างด้าวในทุกระดับ แรงงานก็จะมีตำแหน่งงานมากขึ้นทั้งงานในประเทศและต่างประเทศ ประเทศไทยจะไม่ใช่ประเทศที่มีแรงงานต่ำอีกต่อไป จะต้องพัฒนาคนไทยให้มีรายได้สูง และธุรกิจบริการจะเป็นธุรกิจที่เหมาะสมกับประเทศไทย

สำหรับความหมายของ "โลกการค้าเสรี" หมายถึงโลกสมัยนี้เป็นโลกที่ไร้พรมแดน การกีดกันทางการค้าจะค่อยๆหมดไป การค้าจะเสรีมากขึ้น การค้าระหว่างประเทศจะมีความสำคัญมากขึ้น ตลาดการค้าจะเป็นตลาดโลก ค้าขายกับคนต่างชาติมากขึ้น ทำงานร่วมกับคนต่างชาติต่างศาสนา ตลาดแรงงานจะเป็นตลาดสากล อย่างไรก็ตามการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศคงไม่ง่ายอย่างที่เข้าใจ แต่ละประเทศยังคงปกป้องคนของแต่ละประเทศไม่ให้ถูกต่างชาติมาแย้งงานทำ แต่ถ้าเข้าใจถึงกลไกการตลาด และยอมรับความจริงต้องเตรียมพร้อมในการแข่งขันในเวทีสากลสำหรับผู้ประกอบการ และแข่งขันในตลาดโลกสำหรับแรงงานระดับกลางขึ้นไป

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

15 มิถุนายน 2557 (นำบทความเก่าที่เคยเขียนไว้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว มาให้อ่านเนื่องจากไม่แน่ใจว่าเคยนำมาเผยแพร่ในเวปนี้หรือยัง)

แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2014 เวลา 21:44 น.
 

แนวทางการวิเคราะห์ปัญหาการบริหารคนในองค์กร

พิมพ์ PDF
วิเคราะห์ปัญหาการบริหารคนในองค์กร

ผมพบบทความที่น่าสนใจและคิดว่าเป็นประโยชน์ แต่ไม่สามารถค้นพบชื่อผู้เขียน จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ในบันทึกนี้ และต้องขอโทษที่ไม่สามารถแจ้งชื่อเจ้าของผลงานได้ กรณีที่ท่านเจ้าของบทความได้เข้ามาอ่านขอให้ท่านช่วยแสดงตัวด้วยครับ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าท่านผู้เขียนต้องได้รับบุญในผลงานของท่าน

แนวทางการวิเคราะห์ปัญหาการบริหารคนในองค์กร

หัวใจสำคัญของการพัฒนาบุคลากรในองค์กรต่างๆ ไม่ได้อยู่ที่ประสิทธิภาพของเครื่องมือหรือวิธีการที่นำมาใช้ในการพัฒนาเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับว่าองค์กรได้พัฒนาบุคลากรถูกที่ถูกจุดหรือไม่ ถ้าจะพูดง่ายๆแบบภาษาชาวบ้านก็คือ เกาถูกที่คัน ” หรือไม่ หลายองค์กรได้นำเอาเครื่องมือการบริหารจัดการที่ทันสมัยจากต่างประเทศเข้ามาใช้ แต่สุดท้ายปัญหาการบริหารคนก็ยังคงมีอยู่เหมือนกัน เพราะจัดยาไม่ตรงกับโรค หรือไม่ก็ไม่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของโรคคืออะไร

มีหลายองค์กรสอบถามผมว่าเราจะมีแนวทางหรือวิธีการอย่างไรบ้างที่จะสำรวจ ค้นหาและประเมินปัญหาในการบริหารคนขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับวิธีการที่หลายองค์กรนิยมใช้ในการประเมินปัญหาคือ การพูดคุยสอบถาม การสำรวจโดยใช้แบบสอบถาม การใช้กล่องรับความคิดเห็น ฯลฯ แต่สุดท้ายผู้บริหารองค์กรก็ยังรู้สึกว่าปัญหาที่ได้มามันไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริง เพราะมันไม่ตรงกับความรู้สึกของตัวผู้บริหารเอง หรือไม่ก็พอนำไปแก้ไขปัญหาแล้ว ปัญหาเรื่องคนก็ยังไม่จางหายไป

ผมคิดว่าการที่หลายองค์กรเริ่มหันกลับมามองที่การค้นหาปัญหามากกว่าการหาเครื่องมือมาแก้ไขปัญหาน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ดีขององค์กรในบ้านเราในปัจจุบันและอนาคต เพราะถ้าตราบใดที่เรายังไม่รู้ว่าปัญหาที่แท้จริงในการบริหารคนของเราคืออะไร ต่อให้ใช้เงินลงทุนไปมากเท่าไหร่ ต่อให้ใช้เครื่องมือการบริการจัดการคนสมัยใหม่อย่างไรก็คงจะไม่ได้ผล แถมยังเสียเงินเสียเวลาไปแบบไม่คุ้มค่าอีกต่างหาก

จากการที่ผมได้ให้คำแนะนำองค์กรต่างๆไป รวมถึงได้มีโอกาสเห็นแนวทางการค้นหาปัญหาขององค์กรบางองค์กร จึงอยากจะนำเสนอทางเลือกในการค้นหาปัญหาด้านการบริหารคนดังนี้

•  กำหนดกลุ่มของปัญหาที่ต้องการศึกษาวิเคราะห์

เนื่องจากปัญหาของคนมีหลายรูปแบบ ดังนั้น ถ้าต้องการให้ได้ปัญหาที่แท้จริง จึงควรจะแบ่งกลุ่มปัญหาของคนในองค์กรออกเป็นกลุ่ม เช่น ปัญหาเกี่ยวกับบรรยากาศในการทำงาน ปัญหาเกี่ยวกับผลตอบแทน ปัญหาเกี่ยวกับความผูกพันต่องานหรือองค์กร ปัญหาด้านการทำงานร่วมกัน ปัญหาชีวิตส่วนตัวครอบครัว ฯลฯ การแบ่งกลุ่มปัญหาจะช่วยให้การศึกษาปัญหาชัดเจนมากขึ้น เพราะถ้าเราศึกษาปัญหาโดยภาพรวมทำให้ไม่สามารถแยกแยะลักษณะและสาเหตุของปัญหาได้อย่างชัดเจน

•  เลือกเครื่องมือในการค้นหาปัญหา

เมื่อเราแบ่งกลุ่มของปัญหาได้แล้ว ให้ลองหาเครื่องมือในการค้นหาปัญหาว่ามีเครื่องมืออะไรบ้าง แต่ละเครื่องมือมีข้อดีและข้อจำกัดอย่างไรบ้าง เช่น การสำรวจอาจจะเหมาะสำหรับการค้นหาภาพรวมของปัญหา แต่อาจจะไม่สามารถค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาได้ การสัมภาษณ์แบบเจาะลึกอาจจะดีตรงที่ได้ข้อมูลละเอียด แต่ถ้าผู้สัมภาษณ์ไม่เหมาะสม ไม่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ถูกสัมภาษณ์ อาจจะไม่ได้ข้อมูลที่แท้จริง สุดท้ายวิธีการที่เหมาะสมอาจจะเป็นแบบผสมกันก็ได้ เช่น ช่วงแรกอาจจะใช้วิธีการสำรวจ เมื่อได้ปัญหาในภาพรวมมาแล้ว ก็ค่อยมาใช้วิธีการเจาะลงรายละเอียดของปัญหาแต่ละปัญหาย่อยอีกครั้งหนึ่ง

•  การตรวจสอบความถูกต้องของปัญหาที่ค้นหาหรือสำรวจมา

เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าปัญหาที่เราค้นหามาได้นั้นสะท้อนปัญหาที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงเปลือกนอกของปัญหา จึงควรมีการตรวจสอบความถูกต้องและน่าเชื่อถือของปัญหา อาจจะใช้บุคคลภายนอกเข้ามาช่วยดำเนินการสำรวจปัญหาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อยืนยันว่าปัญหาที่เราได้มานั้นถูกต้องจริงหรือไม่ หรืออาจจะใช้วิธีการศึกษาเชิงการวิจัยที่มีการตั้งสมมติฐานของปัญหานั้นๆตามที่เราได้ศึกษามาในเบื้องต้น และทดสอบสมมติฐานคร่าวๆโดยการศึกษาเชิงการวิจัย แต่คงไม่ต้องลงลึกที่ต้องใช้ระเบียบวิธีวิจัยอะไรมากมายนักนะครับ

•  การประเมินระดับของปัญหา

เมื่อแน่ใจว่าปัญหาในการบริหารคนขององค์กรถูกต้องและสะท้อนความเป็นจริงแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการประเมินระดับของปัญหาว่ารุนแรงมากน้อยเพียงใด ปัญหานั้นเกิดขึ้นมานานหรือยัง ปัญหานั้นๆส่งผลกระทบโดยตรงหรือโดยอ้อมต่อองค์กรอะไรบ้าง อย่างไร ระดับไหน นอกจากนี้อาจจะต้องมาจัดลำดับความสำคัญของปัญหาที่ประเมินได้ด้วยว่าปัญหาควรจะดำเนินการแก้ไขหรือพัฒนาเร่งด่วนกว่ากัน ปัญหาไหนที่ต้องแก้อีกปัญหาหนึ่งก่อนจึงจะดำเนินการแก้ไขหรือพัฒนาได้ เช่น การที่จะพัฒนาความสามารถของบุคลากรได้ จะต้องแก้ไขปัญหาชีวิตส่วนตัวของบุคลากรที่ส่งผลกระทบต่องานให้ได้ก่อน

•  จัดทำแผนการแก้ไขปัญหาหรือแผนพัฒนาบุคลากร

เมื่อรับทราบปัญหาเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องนำเอาปัญหาทั้งหมดมาจัดทำแผนการแก้ไขหรือพัฒนา แผนที่ว่านี้อาจจะจัดทำเอง หรืออาจจะลองให้ที่ปรึกษาจากภายนอกเข้ามานำเสนอแผนก็ได้ ส่วนเราจะเลือกใช้บริการหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ อย่างน้อยเราจะได้มั่นใจได้ว่าแผนที่เราจัดทำขึ้นมานั้นถูกต้อง (ตรงกับแผนที่บุคคลภายนอกนำเสนอ)

•  การดำเนินการแก้ไขหรือพัฒนาบุคลากร

เมื่อเราได้ปัญหาที่แท้จริงแล้ว จัดทำแผนการแก้ไขหรือพัฒนาเรียบร้อยแล้ว บางปัญหาเราสามารถแก้ไขได้ด้วยการตัดสินใจเชิงการบริหารจัดการ เช่น ปัญหาเรื่องผลตอบแทน ปัญหาเรื่องระเบียบข้อบังคับในการปฏิบัติงาน สถานที่ทำงาน ฯลฯ แต่บางปัญหาอาจจะต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก เช่น การพัฒนาฝึกอบรมต่างๆ และถ้าจะให้ได้ผลควรจะกำหนดขอบเขตของผู้ที่จะต้องพัฒนาฝึกอบรมให้ชัดเจน กลุ่มนี้จะต้องพัฒนาเรื่องการวางแผนงาน กลุ่มนี้จะต้องเน้นเรื่องการคิดเชิงระบบ อีกกลุ่มอาจจะต้องเน้นเรื่องการประสานงาน/ทำงานเป็นทีม ไม่ควรกำหนดเป็นระดับ เช่น พนักงานระดับนี้(ทุกคน) จะต้องเข้าอบรมหลักสูตรนั้นหลักสูตรนี้ เพราะจะทำให้ปัญหาที่ควรจะได้รับการแก้ไขหรือคนที่ไม่เก่งก็ยังคงไม่เก่งต่อไป ส่วนคนที่เก่งอยู่แล้วก็เก่งมากยิ่งขึ้น

สรุป แนวทางในการสำรวจ ค้นหา
วิเคราะห์และการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาบุคลากรขององค์กรควรจะทำอย่างเป็นระบบและเริ่มให้ความสำคัญตั้งแต่ขั้นตอนแรกให้มากเพราะถ้ากำหนดปัญหาผิดพลาดหรือไม่ถูกต้องแล้ว จะทำให้กระบวนการต่อๆมาไม่มีประโยชน์อะไร และการแก้ไขปัญหาอะไรก็ตามควรจะมีการกำหนดวัตถุประสงค์ ผลที่คาดหวัง ตัวชี้วัดความสำเร็จและเป้าหมายให้ชัดเจนก่อนที่จะดำเนินการแก้ไขหรือพัฒนา ถ้ายังกำหนดสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ขอแนะนำว่าอย่าเพิ่งดำเนินการเลยครับ เดี๋ยวจะเสียเงินเสียเวลาเหมือนในอดีตที่ผ่านมาอีกนะครับ สุดท้ายนี้หวังว่าทุกองค์กรจะมุ่งเน้นการสำรวจปัญหาการบริหารคนขององค์กรที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนะครับ

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2014 เวลา 21:46 น.
 

ถาม-ตอบ ปัญหาเรื่องการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทยเพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

พิมพ์ PDF
พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ต้องร่วมมือทั้ง 3 ภาคส่วน ภาคของผู้ประกอบการ ภาคแรงงาน ภาคการศึกษา ด้วยการสนุบสนุนจากภาครัฐ

คำถามจากคุณ วลัยลักษณ์ รัตนวงศ์ ( 5 มีนาคม 2554)

ปัญหาในด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทยเพื่อรองรับประชาคมอาเซียนเศรษฐกิจ  ค่อนข้างจะเป็นประเด็นใหญ่ที่ต่างก็พูดถึงกันมาก  ทั้ง ๆ ที่ ไทยเราเองก็มีทรัพยากร แหล่งธรรมชาติที่สวยงาม คนไทยก็มีใจรักในด้านบริการ แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เกิดปัญหา ท่านคิดว่าข้อใดต่อไปนี้มีผลต่อทิศทางในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทยมากที่สุด และเพราะอะไร?

  1. ปัญหาการกำหนดนโยบายของภาครัฐ ต่อ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คืออะไร  ความไม่ชัดเจน  หรือการนำนโยบายไปปฏิบัติ?

คำตอบ: ทั้งสองอย่างครับ นโยบายไม่ครอบคลุม และไม่ชัดเจน แผนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ต้องเป็นแผนที่มีการบูรณาการนำเอาส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมารวมกัน ไม่ว่าจะเป็นส่วนขององค์กรรัฐ ภาคธุรกิจ และชุมชน กำหนดเรื่องของแผนการพัฒนาทุนมนุษย์ในแต่ละอาชีพโดยทำให้เกิดทุนมนุษย์ภาคสังคมและภาคเศรษฐกิจอย่างสมดุล

สำหรับเรื่องการนำไปปฏิบัติก็เป็นปัญหาอย่างมากเพราะระบบและขบวนการปฏิบัติมักจะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในการปฏิบัติ เรามักจะมีแผนมากมายแต่ไม่ครอบคลุมอย่างที่กล่าวในเบื้องต้น จึงทำให้ไม่มีการนำไปปฏิบัติ หรือปฏิบัติไม่ได้ ในส่วนของภาครัฐมีส่วนของความเข้าใจของผู้ได้รับมอบหมายให้นำไปปฏิบัติ กำลังของหน่วยงานที่นำไปปฏิบัติ โดยเฉพาะไม่มีงบประมาณที่เหมาะสมในแต่ละกิจกรรม หรือไม่มีงบประมาณ ผู้บริหารมอบหมายงานแต่ไม่ได้ให้กำลังคนและงบประมาณที่เหมาะสม

นโยบายของภาครัฐ แบ่งออกเป็นดังนี้

1.1นโยบายระดับชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่แผนที่ 1-7 เน้นที่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้รองรับการเติบโตของระบบทุนนิยม (เศรษฐกิจนำสังคม) และเป็นแผนที่กำหนดโดยภาครัฐเป็นหลักไม่ได้ให้ความสำคัญของการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนมากนัก

ตั้งแต่แผนที่ 8- ร่างแผนที่ 11 ที่กำลังจะนำออกใช้ในเดือนตุลาคม 2554 ได้มีการปรับแผนโดยเน้นเรื่องคนเป็นหลักให้ความสำคัญในด้านคนมากขึ้น นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมมากขึ้น เน้นความสำคัญด้านสังคมนำเศรษฐกิจ (ผมเห็นด้วยเพราะเมื่อสังคมเข้มแข็งเศรษฐกิจจะตามมาเอง)

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นแผนในภาพใหญ่เป็นภาพรวมของแต่ละประเทศ ผมอ่านร่างแล้ว คิดว่าแผนในภาพกว้างค่อนข้างดีแต่ยังมีเวลาในการเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ส่วนแผนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ยังไม่ชัดเจน

1.2 แผนของแต่ละกระทรวง ปัจจุบันเป็นแผนที่ปรับเปลี่ยนตามรัฐมนตรี ไม่ได้สอดรับกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เป็นแผนหลัก อย่างจริงจังและต่อเนื่อง

นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ยังมีแผนของกรม และแผนของหน่วยงาน ต่างๆ มากมาย ที่ไม่รองรับซึ่งกันและกัน ต่างแผนต่างไปคนละทาง

การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน ดังนั้นจะหวังพึงแต่แผนของภาครัฐอย่างเดียวไม่ได้ เอกชนต้องมีแผนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภาคส่วนของธุรกิจ ขององค์กร และของชุมชนแต่ละชุมชนเอง โดยภาครัฐต้องเน้นที่แผนพัฒนาคนของภาครัฐเป็นสำคัญ ตั้งแต่ข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการพัฒนาทุนมนุษย์ (ทรัพยากรมนุษย์) เพื่อให้เน้นเรื่องการมีจริยธรรม คุณธรรม และการให้การสนับสนุนภาคเอกชนและชุมชนเป็นหลัก สร้างและพัฒนาทุนมนุษย์ในภาครัฐให้มีทุนสังคมมากๆ การสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณค่าจะเกิดผลสำเร็จได้ภาคเอกชนต้องเป็นตัวขับเคลื่อน ภาครัฐเป็นผู้ให้การสนับสนุน

การนำนโยบายไปปฏิบัติยิ่งเป็นปัญหาหนักเพราะเมื่อตัวแผนนโยบายเองมีปัญหา การนำไปปฏิบัติก็ยิ่งมีปัญหา เพราะปฏิบัติกันไปคนละทิศละทาง เสียเงินงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์ กิจกรรมที่ควรจะได้รับการสนับสนุนก็ไม่ได้ งบประมาณถูกใช้ไปกับกิจกรรมที่ง่ายๆเพื่อให้เกิดผลงานว่าได้ทำแต่ไม่ได้คำนึงถึงผลของความสำเร็จของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างแท้จริง จึงทำให้คุณภาพทรัพยากรมนุษย์ไม่ได้รับการพัฒนาให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ

 

 

2.ปัญหาเรื่องของค่าแรงของไทย

คำตอบ : จริงๆค่าแรงงานที่เรากำหนดกันเป็นสิ่งที่ผิดพลาด เพราะไม่ได้คำนึงถึงความจริง เรามีการกำหนดเฉพาะค่าแรงของแรงงานไร้ฝีมือ คิดว่าถ้าแรงงานต่ำจะทำให้ภาคการลงทุนในประเทศขยายตัว แต่ไม่ได้คิดถึงค่าครองชีพที่แท้จริง เศรษฐกิจของประเทศไม่ได้อยู่ที่แรงงานขั้นต่ำ  รายได้ของมนุษย์เงินเดือนมีความสำคัญกับแรงจูงใจ และเป็นส่วนที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ไทย?

เรื่องค่าแรงขั้นต่ำเป็นเพียงการกำหนดอัตราค่าแรงขั้นต่ำสำหรับแรงงานไร้ฝีมือ จริงๆการแก้ปัญหาเรื่องค่าจ้างที่เหมาะสมและถูกต้อง จะต้องทำให้เกิดสภาวิชาชีพบริการ เพื่อให้มีองค์กรที่มาขับเคลื่อนในการสร้างมาตรฐานแรงงานและกำหนดอัตราที่เหมาะสม ในแต่ละธุรกิจ

การกำหนดอัตราค่าแรงงานขั้นต่ำมีขึ้นเพื่อให้ประโยชน์ในการคำนวณค่าแรงให้กับผู้ประกอบการโดยเฉพาะภาคการผลิต ฝ่ายตัวแทนของผู้ประกอบการพยายามกดค่าแรงขั้นต่ำเพราะต้องการให้ทุนการผลิตต่ำ รัฐก็ไม่ต้องการให้ค่าแรงสูงเพราะกลัวว่าต่างชาติจะไม่มาลงทุน แต่ในความเป็นจริง แรงงานที่มีฝีมือถูกจ้างในราคาที่สูงกว่าแรงงานขั้นต่ำหลายเท่า อีกตัวที่เกี่ยวข้องกับค่าแรงขั้นต่ำคือการจ่ายค่าชดเชยของผู้ประกอบการที่เลิกจ้าง เป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการเอาเปรียบแรงงาน

 

 

3. ปัญหาความรู้ความสามารถของคนไทย?

คำตอบ : คนไทยเป็นคนที่มีความสามารถในตัวเองสูง ส่วนของผู้ประกอบการ (เจ้าของ) ขาดการมองระยะไกล มองผลประโยชน์ของตัวเอง แข่งขันชิงดีชิงเด่นกันเอง ไม่ให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน ขาดการบริหารจัดการที่เป็นมืออาชีพ หวังผลระยะสั้น ขาดความจริงใจ ไม่เห็นความสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ไม่ลงทุนด้านคน

มนุษย์เงินเดือน ขาดแรงจูงใจในการทำงาน เนื่องจากไม่ได้รับการตอบแทนที่เหมาะสมกับค่าครองชีพ ขาดความมั่นคงทางอาชีพ ไม่ได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมด้านการพัฒนาทุนมนุษย์จากผู้ประกอบการ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ต้องร่วมมือกันทั้งสามฝ่าย ได้แก่ฝ่ายผู้ประกอบการ ฝ่ายมนุษย์เงินเดือน ฝ่ายการศึกษา โดยต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ

คนไทยเก่งและฉลาดแต่ขาดโอกาสในการเรียนรู้ และขาดการสนับสนุน คนไทยสู้ต่างชาติได้สบายถ้าได้รับการพัฒนาทุนมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน

ปัญหาและอุปสรรค์ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อยู่ที่ระบบและกลไกของธุรกิจ SMEs และ MSEs ไทย ต้องแก้ที่ระบบและกลไกของภาคธุรกิจ ทำให้ธุรกิจ SMEs และ MSEs ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมพอเพียงกับค่าครองชีพ ทำให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน มองเห็นอนาคตในอาชีพ

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2014 เวลา 21:56 น.
 

ทฤษฎี ทุน 8 K's + ทุน 5 K's ของ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ในความเข้าใจของ ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

พิมพ์ PDF

วันนี้มีเวลาทบทวนบทความเก่าๆที่เคยเขียนไว้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว และเห็นว่ายังไม่ล้าสมัย จึงนำมาเผยแพร่ให้อ่านกันอีกครั้งครับ บทความนี้เขียนเพื่อเตื่อนท่านผู้นำในสมัยนั้น และการนำมาลงในวันนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงคำตอบ

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

15 มิถุนายน 2557

ขอมอบความรักและความปรารถนาดีแด่ท่านนายก ยิ่งลักษณ์ เนื่องในวันแห่งความรัก

เนื่องในโอกาสวันแห่งความรัก ขอมอบความรักและความปรารถนาดีให้แก่ท่านนายก ยิ่งลักษณ์ ขอให้ท่านนายกยิ่งลักษณ์มีความรักประเทศชาติและคนไทยอย่างจริงใจ ตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนด้วยความบริสุทธิ์ใจ ท่านเป็นผู้ที่มีบุญวาสนา มีโอกาสได้ทำงานรับใช้ประเทศชาติ ท่านอยู่ในตำแหน่งผู้นำของประเทศไทย ตามทฤษฎีทุนมนุษย์ของท่าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมย์ ประกอบด้วย ทุน 8 K’s + ทุน 5 K’s ได้แก่

1.ทุนมนุษย์ ได้แก่ทุนเริ่มต้นของมนุษย์ทุกคน ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นทุนที่ได้มาจากการกระทำในอดีตชาติ ทำให้มาเกิดในท้องของพ่อแม่ ที่มีความพร้อมแตกต่างกัน

2.ทุนทางปัญญา ทุนนี้เป็น ทุนที่ต้องสร้างด้วยตัวเอง สังคม สิ่งแวดล้อม การศึกษาและคนรอบข้าง มีอิทธิพลกับการนำทุนทางปัญญาไปใช้ในทางดีหรือไม่ดี

3.ทุนทางจริยธรรม ทุนนี้เป็นทุนที่ต้องสร้างด้วยตัวเองล้วนๆ เป็นทุนที่ส่งเสริมในการนำ ทุนที่ 2 คือทุนทางปัญญาไปใช้ในทางที่ถูกต้อง เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัวหรือพวกพร้อง

4.ทุนแห่งความสุข ทุนนี้เป็นทุนที่สร้างด้วยตัวเองล้วนๆ เป็นทุนที่สำคัญที่สุด คนที่มีทุนนี้มาก คือคนที่มีทุน ที่ 1+2+3 เต็มสมบูรณ์

5.ทุนทางสังคม ทุนนี้เป็นทุนที่ได้รับอิทธิพลจาก ครอบครัว สถานศึกษา และคนรอบข้าง ส่วนจะพัฒนาให้มีทุนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความชอบและความสามารถของแต่ละคน ในการมีบทบาทเป็นที่ยอมรับของสังคมนั้นๆ

6.ทุนแห่งความยั่งยืน ขึ้นอยู่กับการกระทำและประสบการณ์ของแต่ละคนที่มีผลกระทบต่อจิตใจของตัวเองและคนรอบข้างหรือคนที่มีส่วนได้เสียกับการกระทำของแต่ละคน

7.ทุนทางไอที ทุนในการนำ ไอที มาใช้เป็นเครื่องมือ ให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตและการทำงานของแต่ละคน

8.ทุนความรู้และทักษะและทัศนคติ ทุนนี้เป็นทุนที่ได้จากประสบการณ์ในการเรียนรู้ ในสถาบันการศึกษา สถานที่ทำงาน  ชุมชนและเครือข่ายทางสังคม ตลอดจนในครอบครัวของตนเอง

ทุนมนุษย์ทั้ง 8 เป็นทุนที่มนุษย์ทุกคนมี ส่วนใครจะมีมากน้อยแค่ไหน เป็นผลต่อการดำรงชีวิตของแต่ละบุคคล นอกจากทุน 8 K’s ที่ได้กล่าวไปแล้ว ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ยังเพิ่มให้อีก 5 ทุนเพื่อให้ทันต่อยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ได้แก่

1.ทุนแห่งการสร้างสรรค์ เป็นทุนที่คิดในด้านบวก สร้างวิกฤตให้เป็นโอกาส คิดสิ่งใหม่ๆ

2.ทุนทางความรู้ เป็นทุนที่เพิ่มเติมจากความรู้อย่างผิวเผิน ความรู้ในมิติเดียว ให้เป็นความรู้อย่างลึกซึ่งและเป็นความรู้ในหลายมิติ

3.ทุนทาง นวัตกรรม ได้แก่ทุนที่ต่อยอดจากของเดิมทำให้เกิดมูลค่าเพิ่ม

4.ทุนทางอารมณ์ ได้แก่ทุนในการบริหารอารมณ์ ให้เกิดอารมณ์ที่สร้างสรรค์ มีอิทธิพลทำให้เกิดทุนทางปัญญา +ทุนทางจริยธรรม เป็นผลทำให้เกิดทุนทางความสุข +ทุนแห่งความยั่งยืน

5.ทุนทางวัฒนธรรม ได้แก่ทุนในการศึกษาเรียนรู้เรื่องคน ซึ่งเป็นคนในมิติที่มีขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อและค่านิยมของแต่ละคนซึ่งแตกต่างกัน

ทั้งทุน 8 K’s และ ทุน 5 K’s เป็นทุนที่ผู้นำจะต้องมี ทุนที่สำคัญที่ทำให้ผู้นำมีคุณค่าเหนือผู้อื่น ได้แก่ทุนที่อยู่ภายในของผู้นำท่านนั้น ทุนที่อยู่ภายในจะถูกนำมาใช้เมื่อผู้นำท่านนั้นคิดและทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผลที่จะตามมาคือความสุขอย่างยั่งยืนของผู้นำท่านนั้น

ท่านนายกยิ่งลักษณ์ต้องศึกษาประวัติของผู้นำหลายๆท่าน ตั้งแต่ก่อนเป็นผู้นำ ระหว่างเป็นผู้นำ และหลังจากลงจากการเป็นผู้นำ ผลที่ท่านนายกยิ่งลักษณ์ทำและจะทำในอนาคตมีผลต่อประเทศชาติ และประชาชนทั้งประเทศ บรรพบุรุษของเราที่สร้างชาติสร้างแผ่นดินและทิ้งมรดกไว้ให้พวกเรา ท่านเฝ้าติดตามดูแลประเทศไทยตลอดเวลา ไม่เคยทอดทิ้ง ถ้านายกยิ่งลักษณ์มีความจริงใจและบริสุทธิ์ใจต่อประเทศชาติ  บรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายตลอดจนประชาชนคนไทยจะไม่ทอดทิ้งท่านนายก แต่ถ้าท่านทำอะไรที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติโดยเห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวท่านและพวกพร้อง ท่านก็จะได้รับผลจากการกระทำของท่านในทางตรงกันข้าม หวังว่าท่านจะเลือกทางที่ถูกต้อง ที่ทำให้ท่านและประชาชนมีความสุขอย่างยั่งยืน

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

14 กุมภาพันธ์ 2555

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2014 เวลา 22:17 น.
 


หน้า 347 จาก 561
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5644
Content : 3068
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8746513

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า