Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

คนไทยควรเตรียมตัวอย่างไรกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

พิมพ์ PDF

เป้าหมายจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายในปี 2558

การประชุมสุดยอดอาเซียนเมื่อปี 2546  ผู้นำอาเซียนเห็นชอบให้มีการรวมตัวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ภายในปี พ.ศ.2558 โดยมีเป้าหมายให้เป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน (Single market and single production base) มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน และแรงงานฝีมืออย่างเสรี

แนวทางดำเนินงานเพื่อนำไปสู่การเป็น AEC ในส่วนของการค้าบริการ มีเป้าหมายการเจรจาเปิดเสรีการค้าไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้การค้าบริการของอาเซียนเป็นไปอย่างเสรีมากขึ้น ตามที่ปรากฎในแผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ( AEC Blueprint) สาระสำคัญของแผนงานประกอบด้วย

  • ลด/เลิก ข้อจำกัดต่อการค้าบริการภายในปี พ.ศ. 2553 สำหรับสาขาบริการสำคัญ 4 สาขา ได้แก่ การขนส่งทางอากาศ, e-ASEAN (คอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม) สุขภาพ และการท่องเที่ยว
  • ลด/เลิก ข้อจำกัดต่อการค้าบริการสาขา โลจิสติกส์ ภายในปี พ.ศ.2556
  • ลด/เลิก ข้อจำกัดต่อการค้าบริการสาขาอื่นๆที่เหลือภายในปี พ.ศ.2558

ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมีผลกระทบกับใครบ้าง ? ( ประชาชน ผู้ประกอบการ ประเทศชาติ ในด้าน เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ , ความมั่นคงของประเทศ,สังคม/สิ่งแวดล้อม)

ผลกระทบจะมีทั้งด้านบวก และด้านลบ

รัฐบาลมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบในผลกระทบที่เกิดขึ้น

ผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านบวก ก็ควรจะแบ่งปันผลประโยชน์ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบในด้านลบ สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านลบ ควรจะได้รับการเยียวยาจากภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม แต่ท้ายสุดผู้ได้รับผลกระทบจะต้องพิจารณาและหาทางปรับการบริหารและจัดการของตัวเองเพื่อให้เปลี่ยนจากปัญหาให้เป็นโอกาส

ไม่ว่าจะมีการเปิดเสรีการค้าหรือไม่ ผู้ประกอบการและประชาชน ต่างได้รับผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบกันเป็นปกติอยู่แล้ว

ผู้ที่ไม่ประมาท รู้จักการเรียนรู้ และเตรียมการอย่างมีแผนทั้งระยะสั้นและระยะยาว ย่อมสามารถยืนหยัดอยู่ในเวทีโลกได้อย่างมั่นคง

ขอให้คนไทยทุกท่านได้ทำการศึกษาและเรียนรู้เรื่องการเปิดเสรีการค้า และการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซี่ยนอย่าจริงจัง และเตรียมการให้พร้อมเพื่อเป็นผู้ได้รับผลกระทบด้านบวก

โปรดแสดงความคิดเห็นหรือสอบถามข้อสงสัยได้ในเวทีนี้ครับ มาร่วมกันแสดงปัญญาเพื่อสร้างพลังให้กับคนไทยก่อนที่จะเป็นประชาคมอาเซี่ยนแบบสมบูรณ์ในปี 2558 ที่จะมาถึงในเร็วๆนี้

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

ผมได้เขียนบทความนี้ไว้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว และเห็นว่ายังมีคนไม่เข้าใจเรื่องผลกระทบจากการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เป็นจำนวนมาก เลยนำมาเผยแพร่อีกครั้ง ท่านใดสนใจ สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมใน link ด้านล่าง

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

15 มิถุนายน 2557

http://www.thaiihdc.org/web/administrator/index.php?option=com_content
แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2014 เวลา 22:41 น.
 

​ธรรมชาติของมนุษย์คือความเสียสละ แต่สังคมยุคทุนนิยมฝึกให้เขาเห็นแก่ตัว

พิมพ์ PDF
มนุษย์เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจที่ยิ่งใหญ่งดงาม หรือจิตประภัสสร แต่ธรรมชาตินั้นถูกลัทธิวัตถุนิยม ทำลาย เหลือแต่มนุษย์ที่แล้งน้ำใจ

ระหว่างนั่งเครื่องบินจากโตเกียวไปซานฟรานซิสโก วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ผมอ่านหนังสือพิมพ์ The Japan Times ฉบับวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๗ หน้า ๙ เรื่อง How consumerism turns babies into monster เขียนโดย Tracy McVeigh อ้างถึงหนังสือชื่อ The Good Life : Wellbeing and the New Science of Altruism, Selfishness and Immorality เขียนโดย Graham Music นักจิตบำบัดแห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน

เขามีผลการวิจัยซึ่งทำที่ Max Planck Institute ในเยอรมนี ในเด็กอายุ ๑๕ เดือน เอาเด็กไปไว้ในห้อง ที่มีผู้ใหญ่ต้องการความช่วยเหลือ เด็กจะแสดงอาการต้องการช่วยเหลือ เป็นการช่วยเหลือที่ขับดันจากภายใน (intrinsic) โดยเด็กจะรู้สึกพึงพอใจที่ได้ช่วยเหลือ เป็นรางวัลทางใจ แต่หากเมื่อเด็กช่วยเหลือ ก็ให้รางวัล เช่นให้ของเล่น เป็น extrinsic reward จะหมดความสนใจที่จะช่วย แต่กลุ่มเด็กที่ช่วย และได้รับความพึงพอใจ จากการช่วย (intrinsic reward) ไม่มีรางวัลมาล่อ จะยังสนใจที่จะช่วยต่อไป

นอกจากนั้น ยังมีหลักฐานว่าเด็กเล็กขนาดนี้ มีความสุขมากกว่า หากได้เป็นผู้ให้ มากกว่าการเป็นผู้รับ และมีผลการศึกษาในผู้ใหญ่ ที่ได้มีโอกาสทำประโยชน์แก่ผู้อื่นวันละครั้ง จะมีอาการซึมเศร้าน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ ทำประโยชน์แก่ผู้อื่นเลย

เรื่องแบบนี้ ผมเคยได้ยินชาวบ้านที่อยุธยาเล่าว่า เดิมตนเป็นคนเจ็บป่วยออดแอด นอนไม่หลับ ต่อมาได้ ไปเข้าร่วมขบวนการชุมชน ได้ร่วมกิจกรรมพัฒนาชุมชนเป็นกิจวัตรประจำวัน ปรากฎว่า ความเจ็บป่วยหายไป หมด กลายเป็นคนสุขภาพดี และอารมณ์ดี

แต่สังคมปัจจุบัน สังคมตัวใครตัวมัน แข่งขันกันเพื่อผลประโยชน์เชิงวัตถุ เป็นการฝึกคนให้เป็นคน ใจแคบ เห็นแก่ตัว ธรรมชาติของความเข้าใจเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ที่มากับความเป็นมนุษย์ถูกทำลายไป เหลือแต่ความใจแคบ เห็นแก่ตัว

มนุษย์เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจที่ยิ่งใหญ่งดงาม หรือจิตประภัสสร แต่ธรรมชาตินั้นถูกลัทธิวัตถุนิยม ทำลาย เหลือแต่มนุษย์ที่แล้งน้ำใจ

อ่านแล้วผมนึกถึงหนังสือ A World Waiting to be Born : Civility Rediscovered เขียนโดย M. Scott Peck ผู้ล่วงลับ

วิจารณ์ พานิช

๕ พฤษภาคม ๒๕๕๗

บนเครื่องบิน ANA บินไป ซาน ฟรานซิสโก

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันพุธที่ 11 มิถุนายน 2014 เวลา 12:44 น.
 

คสช. ต้องจัดทีมศึกษาว่าข่าวนี้เป็นจริงหรือไม่ และเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้

พิมพ์ PDF

คสช. ต้องจัดทีมศึกษาว่าข่าวนี้เป็นจริงหรือไม่ และเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้

ต่อไปนี้เป็นข้อความที่ผมได้รับมาทาง อีเมล์ ที่ไม่ทราบว่ามีส่วนจริงแค่ไหน จึงน่าจะเป็น หน้าที่ของ คสช. ที่จะจัดทีมศึกษาเรื่องนี้โดยด่วน แล้วเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ เพื่อช่วยกัน หาทางจัดระบบปกครองบ้านเมืองที่โปร่งใส นักการเมืองไม่สามารถโกงกินบ้านเมืองได้ถึงขนาดนี้

“ความลับทักษิณถูกเปิดเผยแล้วงามหน้าละทีนี้!!!เคยมีข่าวมานานแต่ไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยัน!!!คราวนี้ไม่ ต้องสืบแล้ว เพราะต่างประเทศลงข่าวว่าบริษัท มูบาดาลา ปิโตรเลียม ที่ทำธุรกิจด้านพลังงานของรัฐอาบูดาบีในสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ได้ออกคำแถลงผ่านสื่อต่างประเทศว่าพวกเขาได้รับสัมปทานเข้าไปพัฒนาแหล่งพลังงานในอ่าวไทย ที่เรียกว่า “แหล่งนงเยาว์”
โดยจะเริ่มดำเนินการพัฒนา ในเชิงพาณิชย์ภายใน ปีหน้า (2558) เป็นต้นไปรายงานข่าวดังกล่าวเผยแพร่โดยสำนัก ข่าวต่างประเทศ เมื่อสองสามวันก่อนที่อ้างคำแถลงอย่าง เป็นทางการจากบริษัทดังกล่าวที่มี คัลดูน คาลิฟา อัลมูบารัค เป็นซีอีโอ เปิดเผยเรื่องนี้ให้ทราบโดยเขายังควบ ตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของสโมสรฟุตบอล “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ในศึกพรีเมียร์ลีก ในอังกฤษ ที่ซื้อกิจการต่อมาจาก ทักษิณ ชินวัตรนั่นแหละตามรายงานข่าวดังกล่าว ระบุว่า บริษัท มูบาดาลาฯจะได้รับประโยชน์จากสัญญาสัมปทานพลังงานแปลง “นงเยาว์” ในอ่าวไทยในสัดส่วนราวร้อยละ 75 และมีบริษัทพลังงาน ในชื่อ คริส เอ็นเนอร์จีจากสิงคโปร์ ที่จะเข้ามาเป็นหุ้นส่วน ได้รับส่วนแบ่งที่เหลืออีกร้อยละ 25
ที่น่าสนใจก็คือ แหล่งน้ำมันแห่งนี้ มีศักยภาพในการ ผลิตน้ำมันรองรับได้ถึงวันละ 15,000 บาร์เรล นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเพิ่มอีกว่า ที่ผ่านมาบริษัทพลังงาน ของรัฐอาบู ดาบี ดังกล่าวยังมีการจัดตั้งบริษัทลูก เพื่อดำเนินธุรกิจ ในประเทศไทยในชื่อ “เพิร์ลออยส์ (ประเทศไทย) จำกัด” มีสำนักงานอยู่ที่ “ตึกชินวัตร 3” โดยบริษัทเพิร์ลออยส์ฯถูกมองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องทางด้านธุรกิจพลังงานกับทักษิณ ชินวัตรทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะในด้าน การทำธุรกิจด้านพลังงานในอ่าวไทยทั้งที่อยู่ในเขตไทย และในเขตที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างสิทธิโดยมีการดึงเอาบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมหรือ ปตท.สผ.เข้ามาเป็นหุ้นส่วนมาก่อนหน้านี้แล้วก่อนหน้านี้เมื่อเดือน พฤศจิกายน 2556 นายสรรเสริญ สมะลาภา อดีตส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในฐานะนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ที่ยกทรัพยากรธรรมชาติของชาติไปให้ ทักษิณชินวัตร ไปขายให้กับต่างชาติ สอดคล้องกัน กับคำให้สัมภาษณ์ ของปลัดกระทรวงพลังงาน ณอคุณ สิทธิพงศ์ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2555
ซึ่งเป็นกรรมการปิโตรเลียม เปิดเผยว่าคณะกรรมการปิโตรเลียมได้เปิดพื้นที่ผลิตปิโตรเลียมใน แหล่งนงเยาว์ ตามข้อเสนอของ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติโดยมีบริษัท เพิร์ลออยส์ฯ เข้าไปพัฒนา อยู่ในแปลงสำรวจ จี11/48 ในอ่าวไทยเมื่อเชื่อมโยง คำแถลงล่าสุดของบริษัท คัลดูน คาลิฟาฯ ซึ่งเป็นบริษัทแม่และตัวซีอีโอที่ออกมายอมรับการ เข้าทำธุรกิจพลังงาน ในอ่าวไทยโดยจะเริ่มดำเนินการ ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป และการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ที่มาที่ไปกับ ทักษิณ ชินวัตร และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ลงนามสั่งการ รวมไปถึงบรรดา รัฐมนตรี “ขี้ข้า”
ที่พร้อม “รับงาน” ไม่ว่าจะเป็น รัฐมนตรีว่า การ กระทรวงการต่างประเทศสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล และ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพลังงาน ทั้งคนก่อนคนปัจจุบันอย่าง พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ความเคลื่อนไหวที่เห็นแม้ไม่ต้องอธิบาย ก็สามารถหลับตานึกภาพ เห็นได้ชัดเจนกันอยู่แล้วว่านี่คือ รายการ “สมคบกันฮุบ ทรัพยากรของชาติ” ไปเป็นของส่วนตัวโดยใช้อำนาจรัฐ ใช้รัฐบาลที่มีน้องสาวนตัวเอง และบรรดารัฐมนตรี “ขี้ข้า”
ทั้งหลายช่วยอำนวยความสะดวก ทุกอย่างเป็น “จิ๊กซอว์”
ที่ต่อเชื่อมเห็นภาพได้ อย่างชัดเจน และที่ผ่านมาแม้ว่า จะมีการรับรู้และคาดการณ์กันอยู่ล่วงหน้าในทำนองว่า “กูว่าแล้ว” อะไรประมาณนั้นแหละเพียงแต่ว่า ยังไม่มีหลัก ฐานชัดเจน มีแต่การปะติดปะต่อคาดเดาจากความเคลื่อน ไหวและการเดินสายไปเจรจากับ ต่างประเทศที่มีพิรุธและสื่อต่างประเทศก็เคยมีการรายงานตั้งข้อสงสัย ออกมาให้เห็นเป็นระยะไล่หลังการเดินทางของ ทั้ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ ทักษิณ ชินวัตรอยู่เสมอในเรื่อง ของ ผลประโยชน์ทับซ้อน โดยเฉพาะเรื่องธุรกิจพลังงานทั้งในอ่าวไทย พม่า เป็นต้นเวลานั้นกระแส ต่อต้านรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และระบอบทักษิณยังไม่มีแรงพอ ทำให้สังคมเกิดความรู้สึกร่วมได้มาก เหมือนในตอนนี้ดังนั้น การยอมรับและ การแถลงอย่าง เป็นทางการของบริษัทพลังงานที่เข้ามารับสัมปทานขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทยของบริษัทที่เชื่อมโยงกับ ทักษิณ ชินวัตรคราวนี้มันจึงไม่ต่างจาก “ใบเสร็จ” ชิ้นสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าคนในครอบครัวนี้กำลัง “ฮุบทรัพยากรของชาติ” ไปเป็นของส่วนตัวอย่างหน้าไม่อาย และนี่แหละคือ “ทุนสามานย์ข้ามชาติ”
ที่คนอย่างเขาทำตัวทั้งเป็น “นายหน้า” และร่วมหุ้นแบบที่ ไม่ต้องลงทุนขณะเดียวกัน กรณีนี้ยังเป็นตัวอย่างและเป็นอีกคำตอบว่าทำไมการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทรราชย์ของ “มวลมหาประชาชน”ในไทย จึงได้รับการบิดเบือนและโจมตีจาก มหาอำนาจตะวันตก ก็เพราะมีผลประโยชน์ทางธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง นั่นแหละ ยิ่งเห็นภาพชัดแบบนี้ก็ต้องถึงเวลาที่รวมพลังกัน ขับไล่พวกทรราชย์ไปทั้งโคตร!!แชร์แฉเรื่องจริงเรื่องนี้ ไปให้เยอะๆ เพราะสื่อหลักมันไม่ทำข่าวพวกนี้ให้ ปชช.ทั่วไปรู้ ยิ่งคนรู้มากยิ่งช่วย ประเทศได้มากอ่านแล้วช่วยส่งต่อ 10 คน หรือให้มากที่สุดคุณจะได้ผล แห่งบุญนั้นทั้งตระกูลจะได้อนิสงค์นี้ตลอดชีวิต ชีวิตจะได้รับความเจริญรุ่งเรืองสาธุ”

ย้ำว่า ข้อความในอัญญประกาศ ได้มาโดยไม่ทราบว่าจริงแค่ไหน เอามาบอก คสช. ให้ใช้เป็นต้นทางสาวหาความจริงบอกสังคม สำหรับนำมาใช้จัดระบบการบริหารบ้านเมืองใหม่ ไม่ให้นักการเมืองชั่วโกงกินชาติได้

วิจารณ์ พานิช

๙ มิ.ย. ๕๗

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันพุธที่ 11 มิถุนายน 2014 เวลา 12:56 น.
 

ชัยชนะของนิยามใหม่

พิมพ์ PDF

เพราะนโยบายทางการเมืองที่ท้าทาย ไม่แยกการเรียนของเด็กเก่งกับเด็กหัวช้า จึงมีส่วนทำให้ประเทศฟินแลนด์ มีคุณภาพของการศึกษาในระดับนำของโลก เมื่อมีการประเมินเปรียบเทียบระหว่างประเทศ ของเยาวชนอายุ ๑๕ ปี ที่เรียกว่า PISA

นี่คือข้อสรุป จากการไปดูงานด้านการศึกษาที่ฟินแลนด์ ระหว่างวันที่ ๒๘ - ๒๙ เมษายน ๒๕๕๗ ร่วมกับคณะ ของสถาบันอาศรมศิลป์

นโยบายประเทศกำหนดค่านิยมหรืออุดมการณ์ หรือเป้าหมาย แล้วมอบหมายให้ฝ่ายวิชาการกับฝ่ายปฏิบัติไปหาวิธีบรรลุ เป้าหมายเอาเอง

อุดมการณ์คือยกระดับพัฒนาการ หรือความเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ทรงคุณค่าของเด็กทุกคน ไม่ใช่เฉพาะของเด็กหัวดี มองว่าทรัพยากรที่มีคุณค่าสูงสุดของประเทศคือมนุษย์ ไม่ใช่ทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งของเงินทอง และมนุษย์นั้น มีศักยภาพให้พัฒนาได้มาก หรือไม่สิ้นสุด หากจัดการศึกษาอย่างถูกต้อง

วงการศึกษาของฟินแลนด์ค่อยๆ ทำวิจัยอย่างต่อเนื่อง จากการทดลองพัฒนาเด็กเพื่อเป้าหมายดังกล่าว และเมื่อบ่าย วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๗ ศาสตราจารย์ Erno Lehtinen แห่งภาควิชาการฝึกหัดครู และศูนย์วิจัยการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยตูรกู ประเทศฟินแลนด์ บอกเราว่า ต้องนิยามคำว่าความรู้ และ การเรียนรู้ เสียใหม่

ท่านบอกว่า ฟินแลนด์เปลี่ยนนิยามของการศึกษาจากการถ่ายทอดความรู้ เป็น high level teachingซึ่งหมายความว่า ครูต้องเอาใจใส่กระบวนการเรียนรู้ที่กำลังเกิดขึ้นภายในตัวศิษย์

การสอนระดับสูง หมายถึงการอำนวยให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ภายในตัวผู้เรียน

หัวใจของการพัฒนาโรงเรียน คือการทำให้เกิดความเข้าใจกระบวนการเรียนรู้ในทุกรูปแบบของการสอน ได้แก่เข้าใจทฤษฎีการเรียนรู้หลายแบบ และการบรรลุการเรียนรู้ที่ลึกซึ้ง (deep learning)

นักเรียนต้องมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อสิ่งที่เรียกว่า ความรู้

ความรู้ไม่ใช่สิ่งที่คงที่ตายตัว ที่กำหนดโดย “ผู้รู้”

ความรู้ขึ้นกับบริบทแวดล้อม (context) และขึ้นกับหลักฐานสนับสนุน (evidence)

ความรู้มีการเปลี่ยนแปลง

ผมเติมเข้าไปเองอีกข้อหนึ่งว่า ความรู้คือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตัวผู้เรียน ไม่ใช่สิ่งที่รับถ่ายทอดเข้าไปจากภายนอก

เพราะนิยามใหม่ของความรู้ จึงเกิดนิยามใหม่ของการเรียนรู้ นิยามใหม่ของการฝึกหัดครู นิยามใหม่ของการทำหน้าที่ครู ที่นำไปสู่คุณภาพการศึกษา ที่เป็นจุดเด่นของประเทศฟินแลนด์ในช่วง ๒๐ ปีที่ผ่านมา

วิจารณ์ พานิช

๓๐ เม.ย. ๕๗

สนามบิน เฮลซิงกิ ระหว่างรอขึ้นเครื่องกลับ ออสโล

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันพุธที่ 11 มิถุนายน 2014 เวลา 12:58 น.
 

คสช. จะไปทางไหน นรกซ้ำซาก 18 ฉบับ 82 ปี หรือธรรมาธิปไตย

พิมพ์ PDF
ขณะนี้ เผด็จการรัฐธรรมนูญล้มไปแล้วโดย คสช.ประกาศยกเลิกกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 50 ซึ่งผู้เขียนได้แนะนำตักเตือนไว้แล้วว่ามันเป็นการเริ่มต้นที่ผิด และจะถูกรัฐประหาร เพราะมันเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ

ส่วนระบอบเผด็จการจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกหรือไม่ หรือจะตายอย่างสนิทสูญสิ้นจากแผ่นดินไทย

มันจะฟื้นขึ้นมาอีก เพราะ คสช.ทำผิด ทักษิณ นักการเมืองจะได้เฮกันอีก หรือมันจะตายอย่างสนิท เพราะ คสช.สร้างระบอบประชาธิปไตยได้ถูกต้อง

หาก คสช.เริ่มต้นด้วยการเชิดชูชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เสนอนโยบาย (Policy) สถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญก็จะสูญสิ้นไปจากแผ่นดินไทย ไม่มีโอกาสได้กลับคืนมาอีก ระบอบทักษิณก็ไม่มีโอกาสได้กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก

แต่ ถ้า คสช.มืดบอด ถือแนวทางคณะราษฎร ถือแนวทางของนักการเมือง โดยเชิญนักวิชาการตั้งคณะกรรมการยกร่างธรรมนูญการปกครองชั่วคราวหรือร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญอีก ก็เข้าสู่วงจรอุบาทว์รอบใหม่ซ้ำรอยเดิม เผด็จการรัฐธรรมนูญ ระบอบทักษิณ ระบอบเผด็จการรัฐสภาก็ฟื้นคืนชีพ ด้วยน้ำมือ คสช. (ขออย่าได้เป็นเช่นนั้นเลย) อย่าทำเหมือนคณะรัฐประหารชุดก่อนๆ ซ้ำรอยคณะรัฐประหารชุดก่อนๆ ที่คณะนั้นๆ เห็นผิด-ทำผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติ

ดังนั้น ขอเสนอแนะว่า ภารกิจอันยิ่งใหญถูกต้องชั่วกัลปาวสานของ คสช.คือ เพียงเสนอนโยบาย (Policy) สถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ซึ่งตรงกับ แนวทางพระบรมราโชบายของสมเด็จพระปกเกล้าฯ ซึ่งถูกต้องยิ่งใหญ่จะ 100 วัน 1,000 ปี ก็ยังถูกต้องเสมอไป ไม่หลงผิด ไม่บิดเบือน ก็ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุด ถูกต้องที่สุดเริ่มประวัติศาสตร์แห่งระบอบประชาธิปไตยไทยที่แท้จริง “พระธรรม ย่อมเกิดก่อนพระวินัย ฉันใด หลักการ (ระบอบ) ปกครองโดยธรรม ย่อมเกิดก่อนกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”

ส่วนแนวทางคณะราษฎรมีทายาทสืบทอดความเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติว่า รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย” 1) สาย ดร.ปรีดี พนมยงค์ คือพรรคเพื่อไทย เสื้อแดง 2) สายนายควง อภัยวงศ์ คือพรรคประชาธิปัตย์ กปปส. 3) สายนายทหารในกองทัพ4) พรรคอมมิวนิสต์ที่แอบอิงอยู่กับการเมือง ทำตนเป็นกุลซือให้แก่พรรคการเมืองต่างๆ แนะนำให้ทำผิดๆ ให้เป็นเผด็จการมากๆ ตามทฤษฏีแนวร่วมของพรรคคอมฯ ฯลฯ

ซึ่งแนวทาง “รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย” ได้ผิดมาแล้วอย่างซ้ำๆ ซากๆ อย่างน้อย 18 ครั้ง ยาวนานร่วม 82 ปี คือ ความเชื่อนี้เริ่มต้นด้วยการแต่งตั้งคณะกรรมการยกร่าง “ธรรมนูญการปกครองชั่วคราว” อย่างคณะราษฎร เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 หรือไม่ก็ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร (แต่ก็ถูกฉีก ถูกยกเลิกทุกที) นี่คือความเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติ เป็นความมืดบอด อัปรีย์จัญไร ที่ครอบงำผู้ปกครองไทยมายาวนานที่สุด เป็นการโกหกบิดเบือน ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ยาวนานที่สุดในโลก

โกหกมายาวนานกระทั่งประธานาธิบดีอเมริกาละอ่อนมาก ยังเชื่อ ยังเห็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย คนไม่รู้ก็หลงคำเชื่อของประธานาธิบดีอเมริกา แต่ไม่หรอกเขาอยากให้ประเทศไทยจมปลักอยู่กับระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญให้ยาวนานที่สุด เพื่อเขาจะได้ตักตวงผลประโยชน์ได้ง่ายขึ้นนั่นเอง เช่น สัญญาขายยาให้ไทยอย่างผูกขาดหลายปี เป็นต้น พวกเราคนไทยจะต้องรู้เท่าทันพวกต่างประเทศ พวกสากล ล้วนแล้วแต่จะเอาประโยชน์อย่างได้เปรียบ อย่างผูกขาดเป็นต้น นะพี่น้องทั้งหลาย

ด่วนที่สุด คสช.ต้องรุกทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง (ตั้งใจอ่านเถิด)

“การรุกทางการเมืองที่ไหน ชนะที่นั่น” “ตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองที่ไหน แพ้ที่นั่น”

การรุกทางการเมือง คือ การเสนอนโยบายทางการเมืองที่เหนือกว่า คือการเสนอสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 นี่คือแสงสว่างทางการเมืองของปวงชนไทยที่แท้จริง

แนวการเมืองคณะราษฎรมีทายาท คือพรรคการเมืองไทยทุกพรรคที่ยึดถือ กฎหมายรัฐธรรมนูญ คือยึดถือวิธีการปกครองแบบเผด็จการมากดขี่ประชาชน ผลที่เกิดขึ้นย่อมประจักษ์ดีแก่สาธุชนทั้งหลายแล้ว คือ เลวมากกกกกกก หลอกลวง ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่แท้จริงเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ที่มีการเลือกตั้งแล้วก็อ้างว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย

ฝ่ายต่อต้าน คสช.เขาโจมตีกองทัพว่าเป็นเผด็จการ คือเขาเอาประชาธิปไตย ปลอมๆ หลอกๆ ขี้โกง ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญมารุกต่อกองทัพแห่งชาติ

หากกองทัพรู้ไม่เท่าทัน เพราะโดยธรรมชาติ “การเมืองเป็นนาย กองทัพเป็นบ่าว”การเมืองโดยธรรม นำไปสู่กองทัพโดยธรรมการเมืองโดยธรรมคือ หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 คสช. ชูนโยบายขึ้นมาเลย

หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 นี้ เป็นแก่นแท้ เป็นรากฐานที่มาจากชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเชื่อได้ว่า พสกนิกรทั้งปวง สาธุชนคนดีทั้งหลาย จะยอมรับอย่างชื่นชมยินดีปรีดา สภาพอย่างนี้เรียกได้ว่าเป็นการชนะทางการเมือง เมื่อ คสช.ชนะทางการเมืองแล้ว การต่อต้านทั้งหลายก็จะค่อยๆ หมดไป รวมทั้งข้อขัดแย้งทาง 3 จังหวัดภาคใต้ด้วย

แต่...ประชาธิปไตยจอมปลอมของฝ่ายพรรคการเมือง แนวคิดคณะราษฎร 82 ปี รัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ ไม่เคยมีหลักการปกครองเลยแม้แต่น้อย

เราแนะนำ คสช.ด้วยเมตตา ปัญญาอันยิ่งใหญ่ของแผ่นดิน

หาก คสช.การเริ่มต้นด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ คือแนวทางความหายนะของชาติ 82 ปี ผิดซ้ำซาก 18 ครั้ง

หากเป็นการเริ่มต้นที่ถูกต้อง ยิ่งกว่าถูกต้อง คือ คสช. เสนอชูนโยบาย (Policy) สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม โดยตั้งคณะกรรมการศึกษาเพื่อการสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 โดยพระเจ้าแผ่นดิน นี่คือความถูกต้องยิ่งใหญ่ของชาติและประชาชน แบบ “อกาลิโก” ถูกต้องตลอดกาล ถูกต้องตลอดเวลา

ข้อคิด พระธรรมมาก่อนพระวินัยฉันใดหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ต้องมาก่อนกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น ก็แค่นี้เอง ความถูกต้องยิ่งใหญ่ก็จะบังเกิดขึ้นกับประเทศไทย ทำลายวงจรอุบาทว์ทางการเมืองไทยลงได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ จะไม่มีวันฟื้น

ก็ง่ายๆ แค่นี้เอง แต่ผู้ปกครองไทยทำผิดซ้ำซากมาแล้วถึง 18 ครั้ง 18 ฉบับ ยาวนานที่สุดในโลกถึง 82 ปี ฉุกคิดกันบ้างเถิด คสช.

พวกนักวิชาการสายคณะราษฎร พรรคการเมืองทุกพรรคมันเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติมาแล้ว ที่เอากฎหมายรัฐธรรมนูญมาก่อน แล้วจะเชื่อพวกเขาได้อย่างไรละท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

เตือน แนะนำ ฉบับที่ ....

เริ่มเห็นลางร้ายสู่หนทางนรกซ้ำรอยเดิม จากหัวข่าวไทยรัฐ “เตรียมธรรมนูญชั่วคราว” หาก คสช.เริ่มด้วยการยกร่างธรรมนูญการปกครองชั่วคราว นั่นคือ หนทางเข้าสู่วงจรอุบาทว์รอบใหม่ มันจะกลายเป็นว่า “มีทหารทั้งกองทัพ แต่ทำการเมืองผิด ก็จะไม่มีทหารสักคนเดียว” “มีม็อบเป็นล้าน แต่นำผิด ก็ไม่มีม็อบสักคนเดียว” ก็มีตัวอย่างให้เห็นๆ กันอยู่แล้ว

หาก คสช.เริ่มต้นด้วยการเสนอนโยบาย (Policy) สร้างระบอบเมืองโดยธรรม เสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ก็จะเป็นก้าวแรกที่ถูกต้องยิ่งใหญ่ ในลักษณะเดียวกันกับพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

พิจารณาแนวคิด “จุดหมายต้องมาก่อนวิธีการ ฉันใด หลักการปกครองโดยธรรม ต้องมาก่อนกฎหมายรัฐธรรมนญ ฉันนั้น”

“ยุทธศาสตร์ ย่อมเกิดก่อนยุทธวิธี ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย ย่อมเกิดก่อนกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”

“เราจะเข้าถึงสิ่งใด สิ่งนั้นต้องเกิดก่อน มีอยู่ก่อน” เราจะเข้าถึงระบอบประชาธิปไตย ระบอบนั้นจะต้องมีอยู่ก่อน เราจะไป รพ.ศิริราช รพ.ศิริาช จะต้องมีอยู่ก่อน

หากไม่มีระบอบ (หลักการปกครองโดยธรรม) มีแต่กฎหมายรัฐธรรมนูญ แล้วพวกมันก็รวมหัวกันหลอกประชาชนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยมา 82 ปีแล้ว

ทั้งนี้ก็เพื่อหลอกประชาชนให้ตกเป็นทาสทางการเมืองต่อไปให้ยาวนานที่สุดประชาชนก็ต้องไหลตามไปตามกฎหมายเลือกตั้งที่เขาบัญญัติแบบบังคับให้ไปเลือกตั้ง ประชาชนดุจดังจอกแหน ที่จะต้องไหลไปตามที่นักการเมืองวางไว้ ดุจดัง “คลองคด (ระบอบ กฎหมายต่างๆ) น้ำ (ประชาชน) ก็ไหลคดตามคลอง”

เราแนะนำด้วยเมตตา ปัญญาอันยิ่ง ขอให้ คสช.เดินตามแนวทางอันถูกต้องยิ่งใหญ่ คือ สถาปนาหลักการปกครองฯ ตามรอยปณิธานสมเด็จพระปกเกล้าฯ ขอให้ทหารใหญ่น้อยทั้งหลาย ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โชคดี

ฝากให้ดูแนวทางหายนะ เปรียบเทียบกับแนวทางเจริญรุ่งเรือง ดังภาพ

แนวทางแห่งความเห็นผิด วงจรอุบาทว์ 18 ฉบับ 82 ปี
คสช. จะไปทางไหน นรกซ้ำซาก 18 ฉบับ 82 ปี หรือธรรมาธิปไตย
แนวทางแห่งความถูกต้องยิ่งใหญ่ของชาติ
คสช. จะไปทางไหน นรกซ้ำซาก 18 ฉบับ 82 ปี หรือธรรมาธิปไตย
คัดลอกจาก Manager Online วันที่ 26 พฤษภาคม 2557
แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 03 มิถุนายน 2014 เวลา 01:31 น.
 


หน้า 348 จาก 561
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5644
Content : 3068
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8746512

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า