Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

คสช. กับปัญญาสร้างชาติอย่างยิ่งใหญ่

พิมพ์ PDF

ด้วยกองทัพแห่งชาติได้ใช้องค์ความรู้ที่ถูกต้องยิ่งใหญ่แก้ไขสถานการณ์ความขัดแย้งของชาติในวันที่ 20 และ 22 พฤษภาคม 2557 ในสถานภาพ 2 ลักษณะ คือ

1. กองทัพในฐานะเป็นองค์ประกอบแห่งรัฐ (ทุกประเทศ) ประเทศไทยเป็นประเทศราชอาณาจักร โดยมีองค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ และทรงเป็นจอมทัพไทย

นี่คือความถูกต้องยิ่งใหญ่ของนายทหารทุกคน ทุกประเทศ โดยผู้นำเหล่าทัพไทย ได้ใส่ใจในฐานะกองทัพเป็นองค์ประกอบแห่งรัฐ และได้ทำหน้าที่ในฐานะองค์ประกอบแห่งรัฐ

กองทัพแห่งชาติ กองทัพที่ตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา แต่มีความเข้าใจกันโดยทั่วไปตามกระแสสังคมว่า เป็นระบอบประชาธิปไตย

หาก “กองทัพแห่งชาติ ตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการ “รบที่ไหน แพ้ที่นั่น” ด้วยเหตุผล ดังนี้ 1) แพ้ทางการเมือง 2) ตกเป็นฝ่ายรับทางการเมือง3) ฝ่ายตรงข้ามรุกทางการเมืองอย่างเป็นไปเอง

ในความเป็นจริงกองทัพตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ แต่เข้าใจผิดว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย นี่คืออันตรายที่สุดของกองทัพในฐานะองค์ประกอบแห่งรัฐ กลายเป็นว่ากองทัพไทยเป็นกองทัพที่อ่อนแออย่างไม่น่าเป็นไปได้

คสช.น่าจะได้ล่วงรู้ชัดแล้วว่า หากกองทัพตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการนั่นคือ ความหายนะของประชาชนและประเทศชาติและเป็นความหายนะของกองทัพในท้ายที่สุด

2) กองทัพในฐานะกลไกรัฐ (State Machine) คือเป็นหน่วยงานราชการ อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรีในยามปกติ ประเด็นนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

ในยามวิกฤต กองทัพจะต้องทำการวิเคราะห์ วิจัย ปรึกษานักปราชญ์ ราชบัณฑิต ผู้รู้ทั้งหลาย เพื่อให้ทราบแน่ชัดว่า ระบอบคืออะไร ระบอบในปัจจุบันมันเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา มันเป็นอย่างไร มันสร้างความหายนะให้ชาติมากมายมหาศาลอย่างไร นักการเมืองโกงกินชาติ คอร์รัปชันอย่างไร ฯลฯ

กองทัพได้รู้แล้วว่า ในแต่ละฝ่ายพรรคการเมืองและมวลชนนั้น ก็ไม่มีแนวทางที่แก้ไขเหตุวิกฤตชาติได้เลย ภาพที่ออกมาต่างก็เพื่อแย่งชิงอำนาจซึ่งกันและกัน ทำลายล้างซึ่งกันและกัน ต่างก็ต้องการให้อีกฝ่ายหนึ่งล่มจมสูญหายไปจากแผ่นดินไทย

ขณะนี้กองทัพแห่งชาติได้ใช้สัมพันธภาพหลักในฐานะกองทัพคือองค์ประกอบแห่งรัฐ โดยได้ใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ “ความมั่นคงแห่งชาติ เป็นกฎหมายสูง” นี่หลักสากลที่ยึดถือกันทุกประเทศ จะบัญญัติด้วยลายลักษณ์อักษรหรือไม่บัญญัติไว้ก็ตาม

ในขณะนี้ แนวทางอันยิ่งใหญ่ คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เข้าควบคุมอำนาจการปกครองและได้ยกเลิกกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ลงไปแล้ว ก็เท่ากับว่าในขณะนี้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญได้สิ้นลงไปแล้ว ต่อจากนี้ก่อนอื่นใดทั้งสิ้นคือ การประกาศนโยบายสร้างชาติอย่างยิ่งใหญ่ คือ โดยการประกาศชูธงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เพื่อแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ

ระบอบหรือหลักการปกครองโดยธรรมที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทยคือ หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ซึ่งสรุปมาจากอุดมการณ์แห่งชาติ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขยายความออกมาเป็นหลักความยุติธรรม มั่นคง เจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้า สันติสุขทั้งทางจิตใจ กาย การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ในการอยู่ร่วมกัน กล่าวโดยย่อคือ

1. หลักธรรมาธิปไตย คือบ่อเกิดแห่งสันติสุขและความดีทั้งปวง (ลึกซึ้งเกินที่จะกล่าวในที่นี้ จะขยายความในภายหลัง)

2. หลักพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ

3. หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (อำนาจบ้านเป็นของเจ้าของบ้าน อำนาจประเทศเป็นของเจ้าของประเทศ)

4. หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (คือการให้ศักยภาพสูงสุดแก่ปวงชน มีพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง)

5. หลักความเสมอภาคทางโอกาส (เพื่อให้ประชาชนแสดงศักยภาพของตนได้อย่างเต็มที่)

6. หลักภราดรภาพ (ไม่มีการแบ่งชนชั้น ศาสนา)

7. หลักเอกภาพ (ความเป็นเอกภาพของปวงชนและในทุกองค์กร)

8. หลักดุลยภาพ (ความมั่นคง ตั้งอยู่บนฐานแห่งสันติสุข)

9. หลักนิติธรรม (ข้อที่1-9 ประมวลเป็นหลักนิติธรรม เป็นแม่บท เป็นบ่อเกิดกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายทั้งปวง)

หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 นี้ ล้วนเป็นสิ่ง เป็นหลักธรรมที่ไม่ตาย ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นของคนไทยทุกคนต่างก็สืบทอดกันมา โดยที่ท่านทั้งหลายก็ได้ปฏิบัติอยู่ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว โดยท่านทั้งหลายอาจจะไม่รู้ตัว ซึ่งทุกคนต่างก็ได้ปฏิบัติเช่นนี้ในยามปกติเมื่อปฏิบัติต่อผู้อื่น จึงได้นำมาแสดงให้เห็นชัดเจนอย่างเป็นทางการในทางการเมือง ซึ่งจะได้รับรู้โดยทั่วกัน และเป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของชาติ (คือทั้งอำนาจและสิทธิหน้าที่ของประชาชน)

ได้เสนอ คสช.ได้ร่วมมือกันพิจารณาผลักดันหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ให้สำเร็จในเร็ววัน ไม่อย่างนั้น คสช.จะตกเป็นฝ่ายรับทางการเมือง และจะแก้ยากและอันตรายจะเกิดขึ้นจากฝ่ายตรงที่เห็นผิดเรื่องประชาธิปไตย

ทำสำเร็จแล้วคือความถูกต้องโดยธรรมชั่วลูกชั่วหลานตลอดไป อย่างไม่มีวันจบสิ้น นั่นก็คือ การสถาปนาสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 กับปวงชนในชาติ

สัมพันธภาพที่หนึ่ง คือสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 กับประชาชนทุกหมู่เหล่า

ดวงอาทิตย์ เป็นเอกภาพของดาวเคราะห์ ฉันใด

หลักการปกครองธรรมาธิปไตย ย่อมเป็นเอกภาพของปวงชน ฉันนั้น

สัมพันธภาพที่สอง คือสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 กับกฎหมายรัฐธรรมนูญ

พี่น้องประชาชนทั้งหลาย พึงทราบว่า สัมพันธภาพที่หนึ่งคือสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 กับประชาชนทุกหมู่เหล่า จะเกิดขึ้นได้นั้น เป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของกองทัพแห่งชาติและพี่น้องปวงชนไทยทุกคน เพราะนี่เป็นการสร้างการเมืองโดยธรรมให้แก่พี่น้องเพื่อนร่วมชาติอย่างถูกต้องยิ่งใหญ่และเป็นชัยชนะของปวงชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง

เป็นการร่วมกันขจัดความเห็นผิดชั่วร้ายของชาติ ได้แก่

1) ความเชื่อ ความเห็นผิดอันร้ายแรงที่สุดต่อชาติของนักการเมืองคือ “รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย” “ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” ซึ่งแนวทางนี้ล้มเหลวมาแล้วอย่างซ้ำซาก จะร่างรัฐธรรมนูญสัก 100 ครั้ง 1,000 ฉบับ ก็ไม่มีวันที่จะได้ระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นเป็นจริงได้ จะได้แต่ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ หลอกประชาชนทุกครั้งไป เพราะจัดสัมพันธภาพผิดอย่างร้ายแรงนั่นเอง

2) ขจัดความขัดแย้ง แตกแยกของประชาชนในชาติที่แก้ไขยากที่สุด

3) ขจัดความฉ้อฉลทั่วทั้งแผ่นดิน “ที่ไหนมีงบประมาณ ที่นั้นมีคอร์รัปชัน” คือเป็นเหตุของการคอร์รัปชันอย่างใหญ่โตมโหฬารที่แก้ไขได้ยากและยากที่สุด

4) ขจัดระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ โดยพรรครัฐบาลและพวกพ้องเพียงหยิบมือเดียวได้หมดสิ้นไป ขจัดระบอบเผด็จการรัฐสภาได้หมดสิ้น ขจัดระบอบทักษิณได้หมดสิ้น

5) จะทำให้ทุกรัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้และทุกรัฐบาลจะดีหมด เพราะเป็นรัฐบาลของประชาชนและถือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ฯลฯ

พร้อมๆ กับการอธิบายให้เหล่าพสกนิกรประชาชนทุกหมู่เหล่า ให้เข้าใจ ว่านี่คือ แนวทางการเมืองของประชาชนและชาติที่โปร่งใสอย่างแท้จริง ซึ่งหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 มีลักษณะที่ยิ่งใหญ่แทรกอยู่ในหลายๆ ลักษณะ ดังนี้

1) เป็นหลักการปกครองโดยธรรมอย่างแท้จริง สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

2) เป็นระบอบการเมืองของปวงชนอย่างแท้จริง โปร่งใส นำไปปฏิบัติต่อกันได้จริง

3) เป็นเอกภาพ รู้รักสามัคคีธรรม เป็นศูนย์กลางทางการเมืองของประชาชนอย่างแท้จริงอย่างเปิดเผย รับรอง ยอมรับแล้วจะมีแต่ความดีงาม เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าทั้งทางใจ กาย การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ

4) เป็นบ่อเกิดของกฎหมายรัฐธรรมนูญโดยธรรมและกฎหมายอื่นๆ

5) เป็นหลักนิติธรรม (Rule of Law) อย่างแท้จริง

6) เป็นหลักการที่ทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนโดยแท้จริง จะทำให้ประชาชนมีจิตสำนึกรักชาติ ตื่นตัวทางการเมือง และสังคมอย่างรอบด้าน

7) เป็นหลักการทางการเมืองของปวงชนอย่างแท้จริง เอาไว้ตรวจสอบการกระทำของข้าราชการและนักการเมืองทุกระดับ

8) เป็นหนึ่งเดียวกับอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

9) เป็นการจัดความสัมพันธ์ที่ถูกต้องยิ่งใหญ่

“จุดหมาย ต้องมาก่อน เกิดก่อนวิธีการ” ฉันใด

“ยุทธศาสตร์แห่งชาติต้องมาก่อนยุทธวิธีแห่งชาติ” ฉันใด

“หลักการปกครองธรรมาธิปไตย ต้องมาก่อนกฎหมายรัฐธรรมนูญ”ฉันนั้น

“เราจะเข้าถึงสิ่งใด สิ่งนั้นต้องมีอยู่ก่อน เกิดขึ้นก่อน”

เป็นการสร้างชาติอย่างถูกต้องยิ่งใหญ่ร่วมกันระหว่างกองทัพแห่งชาติ ประชาชนและสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีกองทัพแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการ ฯลฯ ทั้งเป็นการรุกทางการเมืองต่อฝ่ายต่อต้านทุกภูมิภาคและรุกต่อต้านสากลด้วยการเมืองที่เหนือกว่าและเปิดเผย

ระบอบเผด็จการทุกชนิด ไม่เสนอหลักการปกครอง เพราะเขาเสนอไม่ได้ ไม่รู้จริง ไม่เข้าใจ เห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติว่า “รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย” ทั้งจะหลอกลวงประชาชน ให้โง่งมงาย ให้เป็นทาสทางการเมืองต่อพวกเขาให้ยาวนานที่สุด

กองทัพแห่งชาติ คสช. และพวกเราทั้งหลายร่วมกันต่อสู้อย่างมีปัญญาในแนวทางการเมืองแห่งราชอาณาจักรเถิด มีเรื่องเดียวเท่านั้น คือสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย หรือประกาศชูนโยบาย ให้หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เป็นหลักการในการบริหารประเทศเข้าใจก็ยิ่งใหญ่ ไม่เข้าใจก็ซ้ำแนวทางนรก อัปรีย์-จัญไร-หายนะ 18 ฉบับ 82 ปี จงช่วยกันหยุดยั้งวงจรอุบาทว์รอบใหม่

คัดลอกจาก Manager Online วันที่ 2 มิถุนายน 2557

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 03 มิถุนายน 2014 เวลา 01:35 น.
 

จดหมายเปิดผนึกถึงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

พิมพ์ PDF
จดหมายเปิดผนึกถึงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และประชาชนคนไทยทุกท่าน
อยากให้ คสช ทั้งคณะ และประชาชนคนไทยทุกคนได้อ่านข้อความของ ดร.ป.เพชรอริยะ อย่างลึกซึ้ง ค่อยๆอ่านและทำความเข้าใจ หากยังไม่เข้าใจ ติดต่อ ดร.ป.เพชรอริยะ หรือที่ผมก็ได้ ยินดีที่จะเปิดเวทีสัมมนาทำความเข้าใจ โดยขอให้จัดเป็นกลุ่ม ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เรายินดีไปตอบคำถามและอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้ทุกท่านเข้าใจ หรือท่านจะมาพบเราก็ได้ นี่เป็นทางออกและแสงสว่างของคนไทยและของประเทศไทย อย่าพลาดโอกาสนี้ครับ เพราะถ้าพลาดรถไฟขบวนนี้ คนไทยและประเทศไทยก็จะตกอยู่ในวังวนเดิมๆ อีกไม่นานก็จะต้องเกิดวิกฤตขึ้นอีก และจะร้ายแรงกว่าเดิม ทั้งความมั่นคงในชีวิต ทรัพย์สิน ของตัวเองและของประเทศชาติ เศรษฐกิจประเทศจะตกต่ำจนโง่หัวไม่ขึ้น  และอาจเลวร้านจนถึงขั้นการล่มสลายของประเทศชาติ


โปรดพิจารณาอ่านข้อมูลเบื้องล่างอย่างมีสมาธิค่อยๆอ่านและทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนไทยและอนาคตของประเทศไทย

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

2 มิถุนายน 2557
ด่วนที่สุด แนะนำ คสช. ด้วยเมตตาและปัญญาอันยิ่งใหญ่
ด้วยกองทัพแห่งชาติได้ใช้องค์คว ามรู้ที่ถูกต้องยิ่งใหญ่แก้ไขสถ านการณ์ความขัดแย้งของชาติในวัน ที่ ๒๐ และ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ในสถานภาพ ๒ ลักษณะ คือ 
๑. กองทัพในฐานะเป็นองค์ประกอบแห่ง รัฐ (ทุกประเทศ) ประเทศไทยเป็นประเทศราชอาณาจักร โดยมีองค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ และทรงเป็นจอมทัพไทย 
นี่คือความถูกต้องยิ่งใหญ่ของนายทหารทุกคน ทุกประเทศ โดยผู้นำเหล่าทัพไทย ได้ใส่ใจในฐานะกองทัพเป็นองค์ประกอบแห่งรัฐ และกองทัพได้ทำหน้าที่ในฐานะองค์ประกอบแห่งรัฐ
กองทัพแห่งชาติ กองทัพที่ตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา แต่มีความเข้าใจกันโดยทั้วไปตามกระแสสังคมว่า เป็นระบอบประชาธิปไตย 
หาก “กองทัพแห่งชาติ ตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการฯ “รบที่ไหน แพ้ที่นั่น” ด้วยเหตุผล ดังนี้ ๑) แพ้ทางการเมือง ๒) ตกเป็นฝ่ายรับทางการเมือง ๓) ฝ่ายตรงข้ามรุกทางการเมืองอย่างเป็นไปเอง
ในความเป็นจริงกองทัพตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญฯ แต่เข้าใจผิดว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย นี่คืออันตรายที่สุดของกองทัพในฐานะองค์ประกอบแห่งรัฐ กลายเป็นว่ากองทัพไทยเป็นกองทัพที่อ่อนแออย่างไม่น่าเป็นไปได้ 
คสช. น่าจะได้ล่วงรู้แล้วว่า หากกองทัพตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการนั่นคือ ความหายนะของประชาชนและประเทศชาติและเป็นความหายนะของกองทัพในท้ายที่สุด
๒) กองทัพในฐานะกลไกรัฐ (State Machine) คือเป็นหน่วยงานราชการ อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรีในยามปกติ ประเด็นนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ในยามวิกฤต กองทัพจะต้องทำการวิเคราะห์ วิจัย ปรึกษานักปราชญ์ ราชบัณฑิต ผู้รู้ทั้งหลาย เพื่อให้ทราบแน่ชัดว่า ระบอบคืออะไร ระบอบในปัจจุบันมันเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา มันเป็นอย่าไร มันสร้าความหายนะให้ชาติมากมายมหาศาลอย่างไร นักการเมืองโกงกินชาติ คอร์รัปชั่นอย่างไร ฯลฯ
กองทัพได้รู้แล้วว่า ในแต่ละฝ่ายพรรคการเมืองและมวลชนนั้น ก็ไม่มีแนวทางที่แก้ไขเหตุวิกฤตชาติได้เลย ภาพที่ออกมาต่างก็เพื่อแย่งชิงอำนาจซึ่งกันและกัน ทำลายล้างซึ่งกันและกัน ต่างก็ต้องการให้อีกฝ่ายหนึ่งล่มจมสูญหายไปจากแผ่นดินไทย
ขณะนี้กองทัพแห่งชาติได้ใช้สัมพันภาพหลักในฐานะกองทัพคือองค์ประกอบแห่งรัฐ โดยได้ใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ “ความมั่นคงแห่งชาติ เป็นกฎหมายสูง” นี่หลักสากลที่ยึดถือกันทุกประเทศ จะบัญญัตด้วยลายลักษณ์อักษรหรือไม่บัญญัติไว้ก็ตาม
ในขณะนี้ แนวทางอันยิ่งใหญ่ คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เข้าควบคุมอำนาจการปกครองและได้ยกเลิกกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ลงไปแล้ว ก็เท่ากับว่าในขณะนี้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญได้สิ้นลงไปแล้ว ต่อจากนี้ก่อนอื่นใดทั้งสิ้นคือ การประกาศนโยบายสร้างชาติอย่างยิ่งใหญ่ คือ โดยการประกาศชูธงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เพื่อแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ 
ระบอบหรือหลักการปกครองโดยธรรมที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทยคือ หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ซึ่งสรุปมาจากอุดมการณ์แห่งชาติ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขยายความออกมาเป็นหลักความยุติธรรม มั่นคง เจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้า สันติสุขทั้งทางจิตใจ กาย การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ในการอยู่ร่วมกัน กล่าวโดยย่อคือ
๑. หลักธรรมาธิปไตย คือบ่อเกิดแห่งสันติสุขและความดีทั้งปวง (ลึกซึ้งเกินที่จะกล่าวในที่นี้)
๒. หลักพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ
๓. หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (อำนาจบ้านเป็นของเจ้าของบ้าน อำนาจประเทศเป็นของเจ้าของประเทศ)
๔. หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (คือการให้ศักยภาพสูงสุดแก่ปวงชน มีพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง)
๕. หลักความเสมอภาคทางโอกาส (เพื่อให้ประชาชนแสดงศักยภาพของตนๆ ได้อย่างเต็มที่)
๖. หลักภราดรภาพ (ไม่มีการแบ่งชนชั้น ศาสนา)
๗. หลักเอกภาพ (ความเป็นเอกภาพของปวงชนและในทุกองค์กร)
๘. หลักดุลยภาพ (ความมั่นคง ตั้งอยู่บนฐานแห่งสันติสุข)
๙. หลักนิติธรรม (ข้อที่ ๑-๘ ประมวลเป็นหลักนิติธรรม เป็นแม่บท เป็นบ่อเกิดกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายทั้งปวง)
หลักการปกครองธรรมาธิปไตย ๙ นี้ ล้วนเป็นสิ่ง เป็นหลักธรรมที่ไม่ตาย ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นของคนไทยทุกคนต่างก็สืบทอดกันมา โดยที่ท่านทั้งหลายก็ได้ปฏิบัติอยู่ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว โดยท่านทั้งหลายอาจจะไม่รู้ตัว ซึ่งทุกคนต่างก็ได้ปฏิบัติเช่นนี้ในยามปกติเมื่อปฏิบัติต่อผู้อื่น จึงได้นำมาแสดงให้เห็นชัดเจนอย่างเป็นทางการในทางการเมือง ซึ่งจะได้รับรู้โดยทั่วกัน และเป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของชาติ (คือทั้งอำนาจและสิทธิหน้าที่ของประชาชน) 
ได้เสนอ คสช. ได้ร่วมมือกันพิจารณาผลักดันหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ให้สำเร็จในเร็ววัน ไม่อย่างนั้น คสช. จะตกเป็นฝ่ายรับทางการเมือง และจะแก้ยากและอันตรายจะเกิดขึ้นจากฝ่ายตรงที่เห็นผิดเรื่องประชาธิปไตย 
ทำสำเร็จแล้วคือความถูกต้องโดยธรรมชั่วลูกชั่วหลานตลอดไป อย่างไม่มีวันจบสิ้น นั่นก็คือ การสถาปนาสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 กับปวงชนในชาติ
สัมพันธภาพที่หนึ่ง คือสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 กับประชาชนทุกหมู่เหล่า
ดวงอาทิตย์ เป็นเอกภาพของดาวเคราะห์ ฉันใด
หลักการปกครองธรรมาธิปไตย ย่อมเป็นเอกภาพของปวงชน ฉันนั้น
สัมพันธภาพที่สอง คือสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 กับกฎหมายรัฐธรรมนูญ 
พี่น้องประชาชนทั้งหลาย พึงทราบว่า สัมพันธภาพที่หนึ่ง คือสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 กับประชาชนทุกหมู่เหล่า จะเกิดขึ้นได้นั้น เป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของกองทัพแห่งชาติและพี่น้องประชาชนทุกคน เพราะนี่เป็นการสร้างการเมืองโดยธรรมให้แก่พี่น้องเพื่อนร่วมชาติอย่างถูกต้องยิ่งใหญ่และเป็นชัยชนะของปวงชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง
เป็นการร่วมกันขจัดความเห็นผิดชั่วร้ายของชาติ ได้แก่ 
๑) ความเชื่อ ความเห็นผิดอันร้ายแรงที่สุดต่อชาติของนักการเมืองคือ “รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย” “ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” ซึ่งแนวทางอันล้มเหลวนี้ จะร่างรัฐธรรมนูญสัก ๑๐๐ ครั้ง ๑,๐๐๐ ฉบับ ก็ ไม่มีวันที่จะได้ระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นเป็นจริงได้ จะได้แต่ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ทุกครั้งไป เพราะจัดสัมพันธภาพผิดอย่างร้ายแรงนั่นเอง 
๒) ขจัดความขัดแย้ง แตกแยกของประชาชนในชาติที่แก้ไขยากที่สุด 
๓) ขจัดความฉ้อฉลทั่วทั้งแผ่นดิน “ที่ไหนมีงบประมาณ ที่นั้นมีคอร์รัปชั่น” คือเป็นเหตุของการคอร์รัปชั่นอย่างใหญ่โตมโหฬารที่แก้ไขได้ยากและยากที่สุด 
๔) ขจัดระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ โดยพรรครัฐบาลและพวกพ้องเพียงหยิบมือเดียวได้หมดสิ้นไป ขจัดระบอบเผด็จการรัฐสภาได้หมดสิ้น ขจัดระบอบทักษิณได้หมดสิ้น
๕) จะทำให้ทุกรัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้และทุกรัฐบาลจะดีหมด เพราะเป็นรัฐบาลของประชาชนและถือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย ๙ ฯลฯ
พร้อมๆ กับการอธิบายให้เหล่าพสกนิกร ประชาชนทุกหมู่เหล่า ให้เข้าใจ ว่านี่คือ แนวทางการเมืองของประชาชนและชาติที่โปร่งใสอย่างแท้จริง ซึ่งหลักการปกครองธรรมาธิปไตย ๙ มีลักษณะที่ยิ่งใหญ่แทรกอยู่ในหลายๆ ลักษณะ ดังนี้ 
๑) เป็นหลักการปกครองโดยธรรมอย่างแท้จริง สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับ พระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
๒) เป็นระบอบการเมืองของปวงชนอย่างแท้จริง โปร่งใส นำไปปฏิบัติได้จริง
๓) เป็นเอกภาพ รู้รักสามัคคีธรรม เป็นศูนย์กลางทางการเมืองของประชาชนอย่างแท้จริงอย่างเปิดเผย รับรอง ยอมรับแล้วจะมีแต่ความดีงาม เจริญ รุ่งเรืองก้าวหน้าทั้งทางใจ กาย การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ
๔) เป็นบ่อเกิดของกฎหมายรัฐธรรมนูญโดยธรรมและกฎหมายอื่นๆ 
๕) เป็นหลักนิติธรรม (Rule of Law) อย่างแท้จริง
๖) เป็นหลักการที่ทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนโดยแท้จริง จะทำให้ประชาชนมีจิตสำนึกรักชาติ ตื่นตัวทางการเมือง และสังคมอย่างรอบด้าน
๗) เป็นหลักการ ทางการเมืองของปวงชนอย่างแท้จริง เอาไว้ตรวจสอบการกระทำของข้าราชการและนักการเมือง
๘) เป็นหนึ่งเดียวกับอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 
๙) เป็นการจัดความสัมพันธ์ที่ถูกต้องยิ่งใหญ่ 
“จุดหมาย ต้องมาก่อน เกิดก่อนวิธีการ” ฉันใด 
“ยุทธศาสตร์แห่งชาติต้องมาก่อนยุทธวิธีแห่งชาติ” ฉันใด 
หลักการปกครองธรรมาธิปไตย ต้องมาก่อนกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น 
“เราจะเข้าถึงสิ่งใด สิ่งนั้นต้องมีอยู่ก่อน เกิดขึ้นก่อน
เป็นการสร้างชาติอย่างถูกต้องยิ่งใหญ่ร่วมกันระหว่างกองทัพแห่งชาติกับประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีกองทัพแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการ ฯลฯ ทั้งเป็นการรุกทางการเมืองต่อฝ่ายต่อต้านทุกภูมิภาคและรุกต่อด้านสากลด้วยการเมืองที่เหนือกว่าและเปิดเผย
ระบอบเผด็จการทุกชนิด ไม่สามารถเสนอหลักการปกครองฯได้ เพราะเขาเสนอไม่ได้ ไม่รู้จริง ไม่เข้าใจ เห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติว่า “รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย” ทั้งจะหลอกลวงประชาชน ให้โง่งมงาย ให้เป็นทาสทางการเมืองต่อพวกเขาให้ยาวนานที่สุด 
กองทัพแห่งชาติ คสช. และพวกเราทั้งหลายร่วมกันต่อสู้ อย่างมีปัญญาในแนวทางการเมืองแห่งราชอาณาจักรเถิด
แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 02 มิถุนายน 2014 เวลา 10:47 น.
 

ขอวิงวอนคนไทยช่วยกันปกป้องประเทศชาติ

พิมพ์ PDF

ผมขออนุญาตเปิดใจในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่งที่มีความรักและจริงใจต่อประเทศชาติ พระมห่กษัตริย์ ทหาร ข้าราชการ และประชาชนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น นักวิชาการ นักลงทุน ผู้บริหาร และลูกจ้าง ตลอดจนเกษตรกร และผู้หากินสุจริตในทุกอาชีพ

 

จากสถานะการณ์ปัจจุบัน หลังจากกองทัพไทย นำโดย พล.เอก ประยุทธ์ เข้ายึดอำนาจ และจัดตั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช) ผมเฝ้าติดตามการดำเนินการต่างๆของ คสช เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับประเทศชาติ และต้องยอมรับว่า คสช ได้ทำงานได้อย่างดียิ่ง สุขุม รอบคอบ ผมขอให้การสนับสนุนและให้กำลังใจกับ คสช อย่างเต็มที่

 

จากการติดตามข่าวจากต่างประเทศ ที่หลายๆประเทศ สร้างความกดดัน คสช ให้รีบดำเนินการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด และมีมาตราการยกเลิกการให้ความช่วยเหลือทางทหาร ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม ล้วนเป็นผลร้ายและสร้างความหนักใจให้กับ คสช เป็นอย่างมาก

 

เฉพาะเรื่องภายในประเทศ คสช ก็มีปัญหาและภาระที่หนักอยู่แล้ว ผมเชื่อว่าประชาชนส่วนมากเห็นด้วยกับผมว่า การตัดสินใจเข้ายึดอำนาจของกองทัพไทยในครั้งนี้ ทำถูกต้องแล้ว และเชื่อว่าไม่มีประเทศใดหรือคนชาติใดจะมารู้ดีเท่ากับคนไทยด้วยกัน

 

ผมจึงขอวิงวอนให้คนไทยที่เห็นด้วยกับการกระทำของ คสช ออกมาให้กำลังใจ และสื่อสารให้คนทั่วโลกได้ประจักษ์ว่าคนไทยเห็นด้วยกับการกระทำของกองทัพในครั้งนี้ ไม่คิดว่าการกระทำของ คสช เป็นการลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ทหารไม่ได้เข้ามายึดอำนาจเพื่อล้มร้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพื่อเข้าสู่ระบบเผด็จการ ตรงกันข้ามทหารเข้ามาเพื่อขับไล่ระบบเผด็จการรัฐธรรมนูญ เผด็จการรัฐสภา และระบบเผด็จการพรรคการเมือง  เป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหาเพื่อเก็บกวาดบ้านเมืองให้เข้าสู่ภาวะปกติเพื่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง  ดังนั้นจึงขอให้ต่างชาติโปรดเคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนคนไทย อย่างเข้ามาแทรกแซงหรือกดดันการทำงานของ คสช ปล่อยให้คนไทยแก้ปัญหากันเอง

 

สำหรับประชาชนคนไทยบางท่านที่ไม่เห็นด้วยกับการเข้ายึดอำนาจของ คสช เนื่องจากมีความเห็นต่างว่าควรจะยึดหลักประชาธิปไตย และให้ทำตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้รับค่าจ้าง หรือต้องการปกป้องอำนาจของทรราชย์เผด็จการรัฐสภา  ผมขอวิงวอนท่านเหล่านั้นโปรดใช้วิจารณาญาณในการไตร่ตรอง เพราะขณะนี้ ทรราชย์ผู้เสียอำนาจได้พยายามใช้การสร้างภาพที่มีคนไทยออกมาต่อต้านการทำรัฐประหารเพื่อให้ต่างประเทศที่มีผลประโยชน์ร่วมกับทรราชย์ผู้เสียอำนาจใช้เป็นข้ออ้างในการเข้ามาแทรกแซงการบริหารงานภายในประเทศของเรา ท่านอยากได้ชื่อว่าเป็นคนไทยที่เปิดประตูให้ศัตรูเข้ามาปล้นและยึดประเทศไทยหรือครับ โปรดให้เวลา คสช ได้ทำงานเพื่อรับใช้ประเทศชาติอย่างเต็มที่

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

2 มิถุนายน 2557

 

แนะ "คสช" รับฟังความเห็นภาคประชาคมที่ติดตามนโยบายด้านพลังงาน

พิมพ์ PDF

"รสนา" โพสต์เฟซบุ๊ค แนะ "คสช." รับฟังความเห็นภาคประชาสังคมที่ติดตามนโยบายด้านพลังงานก่อนที่จะอนุมัติแผน เหตุนโยบายมักเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนพลังงานมากกว่าคุ้มครองประโยชน์ประชาชน

วานนี้ (30 พ.ค.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว "รสนา โตสิตระกูล" โดยมีข้อความระบุว่า มีการเสวนาในกลุ่มวิชาการที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องพลังงานในมิติต่างๆ เพื่อติดตามประเด็นที่กระทรวงพลังงานกำลังใช้โอกาสนี้นำเสนอแผนงานต่อคสช. โดยไม่เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบแผนงานต่างๆเหมือนเดิม

ไม่ใช่เฉพาะนักการเมืองในสภาที่เก่งในการลักหลับประชาชนเท่านั้น ข้าราชการในกระทรวงพลังงานก็ไม่ใช่ย่อย ช่วงใดที่สังคมมีวิกฤติที่ผู้คนกำลังชุลมุน ไม่ทันตั้งตัว ก็จะเกิดปรากฎการณ์สอดใส้แผนงานที่ขาดความโปร่งใส และประชาชนคัดค้านใส่มือผู้มีอำนาจให้อนุมัติในจังหวะนั้นเสมอ

อย่างเช่นปี2551 ในสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในขณะที่มีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรจนรัฐบาลต้องหนีไปใช้ดอนเมืองเป็นที่ทำงาน กระทรวงพลังงานก็ตั้งเรื่องขออนุญาตให้ปิโตรเคมีมาใช้ก๊าซแอลพีจีหรือก๊าซหุงต้มจากโรงแยกก๊าซก่อนผู้ใช้รายอื่นร่วมกับภาคครัวเรือน ที่ส่งผลกระทบมาจนถึงปัจจุบันที่ทำให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของธุรกิจเอกชนได้ใช้ก๊าซแอลพีจีในประเทศ ที่มีราคาถูกกว่าราคาตลาดโลก 40% และผลักผู้ใช้กลุ่มอื่นไปใช้ก๊าซแอลพีจีในราคานำเข้าที่มีราคาแพง

ในปี2552 ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะที่ครม.ต้องหนีการปิดล้อมของนปช. ไปประชุมที่กระทรวงสาธารณสุข แม้จะมีเหตุขว้างปาระเบิดในขณะประชุมคณะรัฐมนตรี คนกระทรวงพลังงานก็สามารถนำแผนพีดีพีเสนอผ่านการอนุมัติแผนการใช้เงินจนสำเร็จ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเพียง2วัน ผ.อ สนพ.ยืนยันในการสัมนาที่จัดโดยวุฒิสภาว่าจะยังไม่นำแผนพีดีพีที่ประชาชนทักท้วงเข้าไปขออนุมัติในครม.อย่างแน่นอน และจะเลื่อนไปไม่มีกำหนด แต่ในที่สุดก็มีมติครม.อนุมัติแผนพีดีพีในวันนั้น(วันที่12มีนาคม 2552)

 

มาถึงวันนี้วันที่30 พฤษภาคม 2557 ข่าวว่าพล.อ.อ ประจิน จั่นตองจะเข้าไปรับฟังการเสนอแผนขออนุมัติของกระทรวงพลังงาน เช่นแผนพีดีพีฉบับใหม่ที่ยังไม่ได้ผ่านประชาพิจารณ์ การขอกู้เงินมาโปะกองทุนน้ำมัน และอาจรวมถึงการขอไฟเขียวให้เปิดสัมปทานรอบที่21ที่ประชาชนเรียกร้องให้ชะลอกไปก่อนจนกว่าจะมีการแก้ไขพ.ร.บ ปิโตรเลียมพ.ศ 2514 ก่อน

จึงขอให้ทางคสช. ควรเปิดรับฟังความเห็นจากภาคประชาสังคมที่ติดตามการกำหนดนโยบายด้านพลังงานของกระทรวงพลังงานเสียก่อนที่จะอนุมัติแผนใดๆ เพราะนโยบายที่กำหนดออกมาถูกตั้งข้อสังเกตว่า มักเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนพลังงานเป็นหลัก มากกว่าจะเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชน

การรัฐประหารของคสช.เป็นการเข้ามาจัดการบ้านเมืองให้สงบจากการใช้ความรุนแรงคุกคาม และเข่นฆ่าประชาชนโดยผู้มีกองกำลังอาวุธนั้นเป็นความจำเป็น เพื่อให้เกิดบรรยากาศที่ไม่มีการปองร้ายกัน ที่ประชาชนทุกกลุ่มทุกสี จะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาที่หมักหมมอยู่ ซึ่งคือปัญหาคอรัปชันและการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรของชาติผ่านโครงการเมกกะโปรเจคหรือนโยบายสาธารณะที่มีผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องได้รับการสะสางด้วยความร่วมมือของคสช.และภาคประชาสังคม

คสช.ต้องไม่ปล่อยให้มีการอาศัยช่วงเวลานี้เป็นโอกาสทองหรือช่องทางลัด (fast track) ผ่านคอนเนคชั่นของกลุ่มผู้มีอิทธิพลของภาครัฐ ภาคธุรกิจและภาคการเมืองในการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์แบบเดิมๆ ผ่านการอนุมัตินโยบายและแผนงานที่ขาดความโปร่งใส และประชาชนคัดค้านในจังหวะโอกาสเช่นนี้

ภารกิจที่คสช.ควรทำในช่วงฮันนี่มูนพีเรียดนี้คือ


1) การรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง
2)สะสางปัญหาทางเศรษฐกิจเฉพาะหน้าหรือระยะสั้นที่ไม่ส่งผล กระทบที่ก่อความเสียหายต่อประชาชนในระยะยาว
3)เป็นกรรมการจัดเวทีการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนรวมทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจและภาคการเมืองให้เข้ามาอยู่ในเวทีอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่เห็นพ้องต้องกันโดยสันติ ได้แก่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาร่างรัฐธรรมนูญ สภาปฏิรูปประเทศ ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์ รวมทั้งการวางโรดแม็ปเปลี่ยนผ่านประเทศไทยหลังจากรัฐประหารสู่การเลือกตั้งที่สุจริตยุติธรรม

โครงการเศรษฐกิจเรื่องใหญ่ๆเช่นโครงข่ายคมนาคมระบบราง และการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่21 ควรเอาไปไว้ในเวทีปฏิรูป และเดินหน้าได้หลังจากที่นโยบายเหล่านี้ได้รับความเห็นชอบจากประชาชนโดยผ่านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

ข้อมูลจาก T News

แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 01 มิถุนายน 2014 เวลา 12:07 น.
 

ธรรมาธิปไตย อารยธรรมใหม่ของแผ่นดิน ขจัดสิ้นเหตุวิกฤตชาติ (๗)

พิมพ์ PDF

ธรรมาธิปไตย อารยธรรมใหม่ของแผ่นดิน ขจัดสิ้นเหตุวิกฤตชาติ (๗)

การรู้เข้าใจในกฎไตรลักษณ์ เป็นอุปกรณ์สำคัญที่นำผู้ศึกษาปฏิบัติให้รู้ชัดต่อสภาวธรรมในมิติต่างๆ เช่น อริยสัจ ๔, ขันธ์ ๕, สติปัฏฐาน ๔ (กาย เวทนา จิต ธรรม), สังขตธรรม, อิทัปปัจจยตา, ปฏิจจสมุปบาท, ธรรมนิยามตา, ธรรมฐิติ, สุญญตา, อตัมมยตา, อสังขตธรรม, และตถตา
กล่าวคือเมื่อมีสัมมาทิฏฐิ คือมีความเห็นถูก เรียกว่ามี “ธรรมทัศน์” หรือมี ญาณทัสนวิสุทธิ จะเป็นปัจจัยให้มีความคิดถูก, พูดถูก, ทำถูก, ประกอบอาชีพถูก, ความเพียรถูก, สติถูก, สมาธิถูก, ญาณถูก, และวิมุตติชอบ อย่างเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา นั่นเอง
ดังกล่าวนี้ จะเป็นปัจจัยให้มีปัญญาอันยิ่ง เห็นการดำรงอยู่ของกฎธรรมชาติบนความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะอสังขตธรรม (ซึ่งมีลักษณะแผ่กระจาย) กับ สภาวะสังขตธรรม (ซึ่งมีลักษณะรวมศูนย์ หรือขึ้นต่อสภาวะอสังขตธรรม) ความสัมพันธ์ระหว่างแผ่กระจาย กับ รวมศูนย์ ก่อให้เกิดดุลยภาพ ซึ่งมีลักษณะพระธรรมจักร ดังรูปข้างล่างนี้


ธรรมจักรแบบผู้เขียน ธรรมจักรยุคพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งอินเดีย
(พ. ศ. ๒๕๔๙) (พ.ศ. ๒๗๐ – ๓๑๒) 

เมื่อมองภาพรวมโดยรอบในทุกมิติ แท้จริงเป็นความสัมพันธ์ของกฎธรรมชาติระหว่างสภาวะอสังขตธรรม (บรมธรรม, นิพพาน) ที่มีลักษณะแผ่กระจายออกไปทุกทิศทุกทาง กับ สภาวะสังขตธรรม ที่มีลักษณะรวมศูนย์หรือขึ้นต่อสภาวะอสังขตธรรม จึงมีลักษณะเป็นพระธรรมจักร หรือลักษณะเอกภาพของสรรพสิ่ง และมีข้อสังเกตว่าความสัมพันธ์ระหว่างแผ่กระจาย กับ รวมศูนย์หรือขึ้นต่อนั้น เป็นปัจจัยให้กฎธรรมชาติดำรงอยู่อย่างดุลยภาพ 
ภาพองค์รวมดังกล่าวนี้ อธิบายการวิวัฒนาการทางนามธรรมหรือวิญญาณธาตุหรือธาตุรู้ ที่โยงใยเป็นเครือข่ายสัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดนับแต่สิ่งมีชีวิตเล็กสุด จนบรรลุถึงบรมธรรม จะก่อให้เกิดปัญญา ความรู้แจ้งเป็นจริงแห่งธรรมในนัยต่างๆ มากมาย เป็นลำดับไปดังนี้
๑. ทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งว่า ภาพรวมของกระบวนการของนามรูป นับแต่การประชุมธาตุทั้ง ๖ (ธาตุดิน, น้ำ, ไฟ, ลม, อากาศธาตุ, และวิญญาณธาตุหรือธาตุรู้) รวมตัวกันด้วยเหตุปัจจัยที่พอเหมาะ ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตเริ่มขึ้น แล้วได้วิวัฒนาการจากสัตว์เซลล์เดียวในเบื้องต้น เป็นสัตว์เดรัจฉาน จากนั้นค่อยๆ วิวัฒนาการเป็นมนุษย์ จนกว่าจะบรรลุถึงนิพพาน หรือ บรมธรรม ข้อนี้นำไปเป็นหลักคิดเรื่องเอกภาพของความแตกต่างหลากหลาย 
๒. ทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งว่า สิ่งมีชีวิตเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะวิวัฒนาการใน ๒ ลักษณะ คือ อย่างค่อยเป็นค่อยไป และก้าวกระโดดเมื่อถึงจุดอิ่มตัวในภพนั้นๆ ก็จะก้าวไปสู่ภพใหม่ที่ก้าวหน้ากว่า สูงกว่าทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ (ภวหรือ ภพ แปลว่า ความเป็น, ความมี) ข้อนี้นำไปเป็นหลักคิดเรื่องวิถีอัตตวิสัยและการแก้ปัญหาทางอัตตวิสัย
๓. ทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งว่า วิถีของสรรพสัตว์ทั้งหลาย และจุดมุ่งหมาย หรือศูนย์กลางของสรรพสัตว์ทั้งหลายคือบรมธรรม (ธรรมาธิปไตย), หรือนิพพาน 
๔. ทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งว่า จุดมุ่งหมาย หรือศูนย์กลางของสรรพสิ่ง คือ บรมธรรม และมรรคา (หนทาง, ทางที่ไป) ของสรรพสัตว์ทั้งหลายคือการวิวัฒนาการ ๒ ลักษณะ คือ อย่างค่อยเป็นค่อยไป และก้าวกระโดด และสำหรับมรรคาของมนุษยชาติ คือ มรรคมีองค์ ๘ และการละสังโยชน์ ๑๐ ข้อนี้นำไปเป็นหลักคิดเรื่องจุดมุ่งหมายและมรรควิธี หรือ หลักการและวิธีการ 
๕. ทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งว่า สภาวะบรมธรรมแผ่กระจายโอบอุ้มนับแต่สัตว์เล็กที่สุดจนถึงมนุษย์ (อุปมา ดุจดังฝาชีครอบอาหาร) และการรวมศูนย์ของสรรพสัตว์ทั้งหลายเพื่อจะไปสู่จุดมุ่งหมายสูงสุดอันเป็นหนึ่งเดียว คือ บรมธรรม
๖. ทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งว่า วิถีอัตตวิสัยของสรรพสัตว์ขึ้นต่อบรมธรรม โดยได้วิวัฒนาการจากล่างขึ้นสู่บน หรือจากต่ำขึ้นไปสูง (อุปมาเหมือนเดินขึ้นบันได) และสภาวะธรรมแผ่กระจายจากบนลงสู่ล่าง (อุปมาเหมือนเดินลงบันได) แผ่ออกไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด ข้อนี้นำไปเป็นหลักคิดเรื่องการจัดความสัมพันธ์ในการแก้ปัญหาทางอัตตวิสัยและภาวะวิสัย หรือการคิดแก้ปัญหาส่วนตัว กับ การคิดแก้ปัญหาส่วนรวม 
๗. ทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งว่า ความสัมพันธ์ระหว่างด้านเอกภาพ (บรมธรรม, อสังขตธรรมหรือสภาวธรรมที่ไม่ปรุงแต่ง) และด้านความแตกต่างหลากหลาย (ธาตุต่างๆ และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย หรือด้านสังขตธรรมหรือสภาวะธรรมที่ปรุงแต่ง) ข้อนี้นำไปเป็นหลักคิดเรื่องเอกภาพของความแตกต่างหลากหลาย 
๘. ทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งว่า สภาพดุลยภาพระหว่างอสังขตธรรม (มีลักษณะแผ่รัศมีกระจายออกไปทุกทิศทุกทาง) กับ สังขตธรรม (มีลักษณะรวมศูนย์) จะเห็นได้ว่าแผ่ กับ รวมศูนย์ เป็นปัจจัยให้เกิดดุลยภาพกัน ข้อนี้นำไปเป็นหลักคิดเรื่องดุลยภาพ 
๙. ทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งว่า ความเสมอภาคทางโอกาสของสรรพสัตว์ในแต่ละภพ หรือสัตว์ทุกชนิดมีความเสมอภาคทางโอกาสที่พัฒนาให้มีความก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปในภพภูมิแห่งสัตว์นั้นๆ ตามกำลังความมุ่งมั่นและความเพียรแห่งสัตว์นั้นๆ (อุปมา คนจบ ป. ๖ (การศึกษาเบื้องต้น) ก็มีโอกาสที่จะศึกษา, มีความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติพุทธวิปัสสนาภาวนา จนสามารถบรรลุธรรมได้เฉกเช่นคนจบปริญญาตรี, โท, เอก) หรืออุปมาได้ว่า กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางของทุกคน, ใครจะเดินก็มุ่งไปกรุงเทพฯ, วิ่งก็มุ่งไปกรุงเทพฯ, ขี่จักรยานก็มุ่งไปกรุงเทพฯ, ขี่มอเตอร์ไซค์, รถยนต์, รถไฟ, เครื่องบินก็มุ่งไปกรุงเทพฯ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับศักยภาพหรือความสามารถของแต่ละบุคคล โดยที่ไม่มีการห้าม หรือปิดกั้นด้วยความแตกต่างใดๆ ข้อนี้นำไปเป็นหลักคิดเรื่องเสรีภาพและความเสมอภาคทางโอกาสของประชาชน
๑๐. ทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งว่า ลักษณะภราดรภาพของสรรพสัตว์ต่างๆ ในแต่ละภพภูมิ ไม่มีชนชั้นวรรณะ ถึงแม้จะมีความแตกต่างของธาตุรู้จะสูงบ้าง ต่ำบ้างก็ตาม แล้วทำไมมนุษย์บางเหล่าจึงมีชนชั้น หรือวรรณะ ก็เพราะว่ามนุษย์มีภาษาสมมติเป็นสื่อกลางนี่เอง ทั้งมียศ ตำแหน่งหน้าที่ความรับผิดชอบ จึงทำให้มีชนชั้น หรือยศ-ตำแหน่งต่ำ - สูง ตามสมมติบัญญัติ หรือโลกบัญญัติ แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นตามโลกบัญญัติดังกล่าว แต่ในทางปรมัตถธรรม จะเป็นไปอย่างภราดรภาพ, มีความเสมอภาคทางโอกาสเสมอกัน ข้อนี้นำไปเป็นหลักคิดเรื่องเสรีภาพ, ความเสมอภาคทางโอกาส, และภราดรภาพของประชาชนในทางการเมือง
๑๑. ทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งว่า กฎแห่งกรรม หรือกฎอิทัปปัจจยตา กำลังขับเคลื่อนเป็นไปอย่างมิได้ว่างเว้นทั้งวิถีจากบนลงสู่ล่าง (จากบรมธรรมสู่สัตว์เล็กที่สุด) และจากล่างขึ้นสู่บน (จากสัตว์เล็กที่สุด เป็นสัตว์เดรัจฉาน สู่ มนุษย์ ทั้งถอยหลัง (เพราะทำบาปอกุศล) และก้าวหน้า (เพราะทำบุญกุศล) มุ่งไปยังบรมธรรมอันเป็นสุดยอดแห่งปัญญา สุดยอดความดี, สุดยอดความสุขทางใจ และความสิ้นทุกข์ทางใจ (นิพพานัง ปะระมัง สุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง) และรวมทั้งความเป็นไปทางภาวะวิสัยทั้งหมด ล้วนแล้วเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาทั้งสิ้น (เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น) 
ดังกล่าวนี้ เราสามารถเปรียบเทียบ อุปมาเหมือนกับฟันเฟืองต่างๆ ในเครื่องยนต์กลไก ทำงานสัมพันธ์เกี่ยวพันธ์กันทั้งหมด อันเป็นกฎของความสัมพันธ์ตามเหตุปัจจัย ถ้าเหตุดี ผลก็จะดีตามไปด้วย พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ข้อนี้นำไปเป็นหลักคิดเรื่องหลักนิติธรรม และเรื่องจัดความสัมพันธ์ว่าอะไรเป็นปฐมภูมิและอะไรเป็นทุติยภูมิ หรืออะไรเป็นเหตุและอะไรเป็นผล และเรื่องสรรพสิ่งล้วนสัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด
๑๒. ทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งว่า กฎธรรมชาติทั้งองค์รวมคือ บรมธรรมหรืออสังขตธรรมนั้น มีลักษณะแผ่ธรรมานุภาพ หรือแผ่ธาตุรู้ ครอบงำสัตว์เล็กที่สุด และขณะเดียวกันสัตว์
ต่างๆ ก็พยายามที่จะพัฒนาตัวเองให้มีธาตุรู้เพิ่มปริมาณมากขึ้นๆ ตามลำดับ ตามกำลังวิวัฒนาการในกระบวนการของสัตว์เดรัจฉานในภพนั้นๆ จนถึงมนุษย์ และมนุษย์สามารถ
วิวัฒนาการทางจิตให้สูงขึ้นด้วยการเรียนรู้จากการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา รู้แจ้ง ตถตาและไวพจน์ดังได้กล่าวในเบื้องต้น กระทั่งสามารถละสังโยชน์ ๑๐ ได้หมดสิ้น ได้รู้แจ้งสัจธรรม สิ้นอาสวะกิเลสทั้งปวงเข้าถึงบรมธรรม, หรือนิพพาน อันเป็นอมตธรรม มี พระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย เป็นต้น จึงเป็นที่มาของธรรมาธิปไตยบุคคล, ธรรมาธิปไตยในกฎธรรมชาติที่มีอยู่เดิม และนำมาประยุกต์เป็นธรรมาธิปไตยทางการเมือง และทุกหน่วยของสังคมโดยรอบ นี่คือความสุดยอดแห่งภูมิปัญญาไทย

“พบธรรมาธิปไตยภายใน แล้วออกไปสร้างธรรมาธิปไตยแห่งรัฐ และ โลก”

คัดลอกจากหนังสือธรรมาธิปไตย ๙

แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 01 มิถุนายน 2014 เวลา 15:21 น.
 


หน้า 349 จาก 561
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5644
Content : 3068
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8746512

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า