Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

ชีวิตที่พอเพียง: ๒๑๔๔. อยู่ที่ไหนก็ทำงานได้ และดื่มด่ำความงามได้

พิมพ์ PDF

ในปัจฉิมวัย ผมหมั่นฝึกฝนตนเองในหลากหลายด้านทั้งด้านการมีสมาธิ หรือมีสติจดจ่ออยู่กับปัจจุบันขณะด้านความอยู่ง่ายกินง่าย ปรับตัวได้ในสถานการณ์ต่างๆด้านความไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนด้านการรับรู้และชื่นชม ดื่มด่ำสุนทรียภาพ ด้านผลิตภาพ (productivity) คืออยู่ที่ไหนทำงานได้หมด และอื่นๆ

อยู่ระหว่างฝึกนะครับไม่ใช่เชี่ยวชาญ

เช้าวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๗ ผมมีนัดทำวีซ่าที่สถานทูตนอร์เวย์ อาคาร อัลมาลิ้งค์ ชั้น ๑๒ถนนชิดลม เวลา ๙.๑๕ น.แต่ผมไปถึงอาคารนั้นเวลา ๗.๑๕ น. ก่อนเวลาถึง ๒ ชั่วโมง

ลองขึ้นไปที่ชั้น ๑๒ พบว่ามีคนมายืนรออยู่ก่อนแล้วเกือบ ๒๐ คนตรงที่แคบๆ หน้าลิฟท์ โดยที่สำนักงานเขายัง ไม่เปิดให้เข้าผมนึกในใจว่า สถานที่ทำวีซ่าทุกแห่งให้บริการแบบไม่ง้อคนขอวีซ่าทั้งๆ ที่เราจะไปใช่จ่ายในประเทศของเขายังดีที่ตรงข้างลิฟท์มีห้องน้ำให้ใช้

เข้าห้องน้ำเสร็จผมลงลิฟท์ไปชั้นล่าง เพื่อหาที่นั่งทำงานหวังว่าจะมีร้านกาแฟให้นั่งปรากฎว่าที่ตึกอัลมาลิ้งค์ไม่มีเดินไปทางห้างเซ็นทรัลชิดลมก็ไม่มีเดินเลยไปอีกเกือบ ๑๐๐ เมตรก็ไม่มีมีแต่ร้านแผงลอยขายไก่ทอดน่ากิน

ผมเดินกลับมาหวังไปนั่งทำงานที่บันไดห้างเซ็นทรัลชิดลมโชคดี ระหว่างทางเหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง นั่งที่เก้าอี้ยาว ข้างห้างเซ็นทรัล และยังมีเก้าอี้ว่างอีกตัวหนึ่งผมจึงเดินไปนั่ง และเปิด MacBook ขึ้นมาเขียนบันทึก

ตาเหลือบไปเห็นความงามในดงอาคารสูง ที่ผมเดาว่าน้อยคนที่จะสังเกตเห็นเพราะมัวนั่งรถไปมา และไม่ได้มอง ตรงมุมที่เหมาะโชคดีจริงๆ ที่ผมมานั่งแหมะตรงตำแหน่งที่เหมาะพอดี

นั่งทำงานไป สังเกตชีวิตผู้คนไป จนเวลาเกือบ ๘.๓๐ น. ที่เขานัดทีมสถาบันอาศรมศิลป์ไปทำวีซ่าผมจึงเดินกลับไปอาคารอัลมาลิ้งค์และขึ้นลิฟท์ไปชั้น ๑๒

เราเริ่มกระบวนการทำวีซ่าก่อน ๙ น.กว่าจะเสร็จก็เลย ๑๑ น. เล็กน้อยเจ้าหน้าที่บอกว่า ใช้เวลาไม่เกิน ๑๕วันเดาว่าเจ้าหน้าที่ทั้งหมดเป็นของบริษัทรับทำเขาคิดค่าบริการจากเรา ๖๖๐ บาท โดยที่ทางสถานทูตก็เก็บเงินค่าทำวีซ่าไปแล้ว สถานที่นี้รับทำวีซ่าของเดนมาร์ก สวีเดน และ นอร์เวย์

๒๐ มี.ค. ๕๗

แก้ไขล่าสุด ใน วันศุกร์ที่ 25 เมษายน 2014 เวลา 22:39 น.
 

ความพร้อมในการเปิดหลักสูตรใหม่ ในมหาวิทยาลัย ที่ต้องการเป็น World Class Research University

พิมพ์ PDF
ผมขอเสนอแนวคิดใหม่ที่อาจเรียกว่า แนวคิดแห่งศตวรรษที่ ๒๑ที่การเรียนการสอนต้องเป็น Active / Engaged Learningและเป็นการเรียนในสถานการณ์จริง (AuthenticLearning)ดังนั้น ความพร้อมในการเปิดหลักสูตรใหม่ สำหรับมหาวิทยาลัยที่ต้องการเป็น World Class Research Universityจึงต้องเปลี่ยนไป หรือจริงๆ แล้วต้องเพิ่มขึ้น จากเกณฑ์ของ สกอ.ดังนี้....................................................................

สกอ. กำหนดความพร้อมในการเปิดหลักสูตรใหม่ไว้ที่คุณวุฒิของอาจารย์ว่าจะต้องมีอาจารย์ ปริญญาเอก โท เท่านั้นเท่านี้คนหรือมีตำแหน่งศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์หรือเคยสอนมาเท่านั้นเท่านี้ปี

ผมตีความว่า นี่คือกระบวนทัศน์ที่เน้นการสอนเน้นความรู้เชิงทฤษฎีเน้นมหาวิทยาลัย จัดการเรียนการสอนในห้องเรียน/ห้องปฏิบัติการ ภายในมหาวิทยาลัย

เป็นแนวคิดที่ล้าหลังหอคอยงาช้างและจะไม่สามารถนำไปสู่การพัฒนา World Class Research University ได้

ผมขอเสนอแนวคิดใหม่ที่อาจเรียกว่า แนวคิดแห่งศตวรรษที่ ๒๑ที่การเรียนการสอนต้องเป็น Active / Engaged Learningและเป็นการเรียนในสถานการณ์จริง (Authentic Learning)ดังนั้น ความพร้อมในการเปิดหลักสูตรใหม่ สำหรับมหาวิทยาลัยที่ต้องการเป็น World Class Research Universityจึงต้องเปลี่ยนไป หรือจริงๆ แล้วต้องเพิ่มขึ้น จากเกณฑ์ของ สกอ.ดังนี้

  • เพิ่มเกณฑ์ด้านความเข้มแข็งทางวิชาการคือการที่อาจารย์ประจำหลักสูตรมีผลงานวิจัย ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ ในสาขาวิชานั้น และอาจพิจารณาความเชื่อมโยงของ ผลงานวิชาการดังกล่าว กับจุดเน้นของหลักสูตรที่จะเปิด นั่นคือ ต้องมีการวิจัยเพื่อเตรียม ความพร้อมในการทำงานสร้างสรรค์วิชาการ ไว้รองรับนักศึกษาทำให้การเรียนรู้ใน หลักสูตรนั้น ไม่ใช่อยู่บนฐานความรู้สากลเท่านั้นแต่ยังมีฐานความรู้ในท้องถิ่น หรือภายในประเทศ รองรับด้วยรวมทั้ง มีวัฒนธรรมสร้างสรรค์วิชาการ ไว้รองรับการเรียนรู้ แบบ Inquiry-Based Learning / Research-Based Learning / Service-Based Learning ของนักศึกษา

ผมมีความเห็นว่า อาจารย์ที่มีวัตรปฏิบัติเป็นผู้เรียนรู้ (Learning Person) ทำงาน สร้างสรรค์วิชาการบนฐานของชีวิตจริง การทำงานจริงมีคุณค่ามากกว่าอาจารย์ที่มี เพียงปริญญาสูงโดยไม่ทำงานสร้างสรรค์วิชาการบนฐานของโจทย์วิชาการ หรือโจทย์ การปฏิบัติงานในชีวิตจริง

  • เพิ่มเกณฑ์ด้าน relevance ของการบริหารหลักสูตรในด้านการเรียนรู้ในสถานการณ์จริงในสถานปฏิบัติงานจริง (Authentic Learning)คือต้องมีการทำงาน หรือปรึกษาหารือร่วมกัน กับภาคีที่เป็น real sector หรือภาคการทำงานจริงเคยมีผลงานร่วมกันมาแล้วหรือมี หลักฐานว่าจะมีความร่วมมือกันในการจัดการเรียนรู้ในลักษณะที่ภาคีเป็น active partner ไม่ใช่ในฐานะ passive partner ที่บอกว่ายินดีร่วมมือ และรับบัณฑิตเข้าทำงาน

วิจารณ์ พานิช

๒๐ มี.ค. ๕๗

ณ เก้าอี้นั่ง ข้างห้างเซ็นทรัลชิดลม

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันพุธที่ 23 เมษายน 2014 เวลา 18:42 น.
 

ชีวิตที่พอเพียง : ๒๑๔๑. ภาษาปักษ์ใต้นานๆ คำ (๖) ต้นไหรโฉ้ และ ทำเฒ่า

พิมพ์ PDF

อ่านตอนก่อนๆ ได้ ที่นี่

ได้มาจากวงเบียร์ ในร้านไทปัน ปัตตานี ค่ำวันอาทิตย์ที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๗    จากปากของราชบัณฑิต เด็กบ้านนอก จากปัตตานี ศ. ดร. สนิท อักษรแก้ว

คุยกันด้วยเรื่องตลกสารพัดเรื่อง    มาออกเรื่องต้นไม้ในป่าชายเลน    ท่านบอกว่าท่านเป็นผู้ชำนาญ (เรื่องจริง)     ต้นไม้ทุกชนิดรู้จักหมด    คนกรุงเทพมาถาม ต้นอะไร ลุง” คุณลุงคนปักษ์ใต้ตอบโดยไม่ลังเล ด้วยสำเนียงปักษ์ใต้ ต้นไร่โช้” (ต้นไหรโฉ้)    ถามอีกชนิดหนึ่ง คุณลุงก็ตอบ ต้นไร่โช้”    คนกรุงเทพชักงง    ถามต้นที่ ๓ คุณลุงก็ตอบ ต้นไร่โช้” อย่างเดิม

คนกรุงเทพงงมาก ว่าที่นี่ต้นไม้กี่ชนิดๆ ก็ชื่อ ต้นไร่โช้” หมด

คำตอบ ต้นไร่โช้” เป็นภาษาปักษ์ใต้โบราณ แปลว่า ต้นอะไรก็ไม่รู้

แถมอีกคำ ถ่ำเท้า” (ทำเฒ่า)  ได้มาจากบังดล (คุณดลก้อเส็ม ผดุงชาติแห่งบ้านบางกล้วยนอก  ตกำพวน  อสุขสำราญ  จระนอง เมื่อเช้าวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๗ เล่าว่าที่ตนและทีมงานดำเนินการอนุรักษ์พื้นที่ป่าต้นน้ำคลองห้วยเสียด    ชาวบ้าน บางคน พูดกระทบกระเทียบว่า เป็นหน้าที่ของทางราชการ    บังดลเป็นชาวบ้านธรรมดา ไปทำสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของตน ถือเป็นการ ถ่ำเท้า”   แปลว่า สู่รู้” “อวดรู้” “ทำเป็นรู้” หรือ เสือก

 

 

๑๗ มี.ค. ๕๗

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 22 เมษายน 2014 เวลา 07:56 น.
 

ชีวิตที่พอเพียง : ๒๑๓๙. ความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่เท้า - ไประนอง

พิมพ์ PDF

นี่เป็นวิธีคิดแผลงๆ    มองความศักดิ์สิทธิ์แบบคิดเอง    และใช้คำว่า “เท้า” แทนการเดินทาง     เดินทางไปเรียนรู้ชีวิตจริงของผู้คน สำหรับนำมาใช้ในการ “ทำงานแบบไม่ทำ” ยามชรา

เช้ามืดวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๗ ผมนั่งแท็กซี่ออกจากบ้าน ไปสนามบินดอนเมือง     พอโชเฟอร์พูด ผมนึกว่าเป็นคนสุพรรณหรือนครปฐม    แต่ไพล่เป็นคนโคราช ผมจึงจับสำเนียงคนโคราชแท้ได้    คุยกันออกรส จากชีวิตหากินเป็นโชเฟอร์แท็กซี่สมัยกว่า ๒๐ ปีก่อน    “วันละพันหาได้สบาย” แต่ต้องง้อเถ้าแก่ เพราะรถแท็กซี่มีน้อย จำกัดโควต้าทะเบียนรถ

“เดี๋ยวนี้เถ้าแก่มีหอพักให้    ทำงานดีไม่มีหยุดไม่มีค้างสิ้นเดือนมีรางวัล”    ผมถามว่า แต่ที่อู่มีการพนันมากใช่ไหม    “ใช่ครับ    แต่ไม่เห็นมีใครรวย ยกเว้นเจ้ามือ”

ผมได้มีโอกาสฝึกคุยกับโชเฟอร์แท็กซี่บ่อยๆ    พอจะรู้ทาง ว่าชวนคุยอย่างไร จึงจะได้บรรยากาศ    และช่วยให้ผมได้ความรู้ด้วย    ยามเช้ามืดเช่นนี้ รถแล่นเดี๋ยวเดียวก็ถึงดอนเมือง     ผมจ่ายทั้งค่ารถและค่าครู ก็ได้ไมตรีกลับมา ให้ความสุข

เจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์เช็คอินของนกแอร์บอกว่า เครื่องบินเปลี่ยนเป็นเครื่องใหญ่ ๑๘๐ ที่นั่ง    จากเดิม ๗๐ ที่นั่ง    แสดงว่า มีคนไปเที่ยวระนองมากขึ้น

เดี๋ยวนี้บรรยากาศที่สนามบินดอนเมืองคึกคักมาก    ผู้โดยสารกว่าร้อยละ ๘๐ เป็นคนหนุ่มสาว และท่าทางบอกว่าไปเที่ยว    แต่งกายหลากหลายแฟชั่น ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า และอื่นๆ     เมื่อได้โอกาส มีที่นั่งข้างทาง ผมจึงนั่งสังเกตผู้คน    เพื่ออ่าน “สัญลักษณ์ทางสังคม”   ตีความแรงขับดันในชีวิตผู้คน

การแต่งกายคน น่าจะมี ๓ แบบ คือแบบเอากาละเทศะ (เพื่อทำงาน)   เอาสบาย   และเอาเก๋ หรือเท่    ผมได้เห็นการแต่งกาย เพื่อเอาเก๋ บางแฟชั่นแต่ดูแล้วน่าจะไม่สบายเอาเสียเลย

นึกออกแล้ว มีการแต่งกายเพื่อเป้าหมายที่ ๔ ด้วย คือเพื่อแสดงสัญลักษณ์    เช่นแสดงสีค่าย หรือแสดงความเป็นกบฎ ต่อสังคม

เรากำลังเดินทางไปเรียนรู้จากโครงการ“สร้างชุมชนบริหารจัดการตนเองในพื้นที่ประสบภัยสึนามิ ระยะที่ ๑” ที่จังหวัดระนอง    หลังจากไปเยี่ยมชื่นชมโครงการของจังหวัดสตูล และตรัง มาแล้ว

เรายึดหลักการไปดูของจริง ไปฟังและชื่นชมผลงานของคนทำ     คราวนี้มีแขกเพิ่มมา๒ คน คือ “พี่ใหญ่” คุณนงนาท สนธิสุวรรณ  กับ ศาสตราภิชาน ไกรฤทธิ์ บุณยเกียรติ    แต่เจ้าประจำก็ขาดไป ๒ คน คือ ศ. ดร. ปิยะวัติ บญ-หลง กับ รศ. ปาริชาติ วลัยเสถียร

เครื่องบินนกแอร์เที่ยวเช้าเปลี่ยนเวลาและเปลี่ยนเครื่องบินเป็นลำใหญ่ คือ Boeing 737 ทำให้นั่งสบายขึ้นมาก    ผู้โดยสารประมาณ ๕๐ คนเท่านั้น    เมื่อไปถึงระนอง เจ้าภาพคือคุณแจง ผู้ประสานงานของมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาท้องถิ่น พาไปกินอาหารเช้าแบบอาหารเชิงวัฒนธรรมที่ร้านโรตีนิสรา บ้านหงาว ซึ่งห่างจากสนามบิน ๑๐ ก.ม.   ผมได้กิน โรตีพิซซ่า เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นี่    ชื่อร้านอาหารก็บอกแล้วว่าเป็นอาหารมุสลิม    เป็นอาหารที่อร่อย

ผมไม่ได้ไปจังหวัดระนองนานมาก อาจจะกว่า ๒๐ ปี    ไปคราวนี้จึงสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงมาก    โดยเฉพาะถนน และบ้านเรือน

หลังจากนั้นเรานั่งรถไป ๙๐ ก.ม. ลงใต้ไปยัง ต. กำพวน  อ. สุขสำราญ    เพื่อไปเยี่ยมชื่นชมกิจการของชุมชนบริหาร จัดการตนเอง สร้างกลไกช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคม โดยการออมทรัพย์วันละบาทเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น   ที่ดำเนินการโดย กลุ่มสตรีผู้นำชุมชน    ที่ในที่สุดได้รับการยอมรับจากผู้นำทางศาสนา    ถือเป็นการสร้างการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในวงการ ศาสนาอิสลาม

ไป “ฟัง” ชาวบ้านเล่าเรื่องราวในชีวิตของเขา     ไปฟังว่าเขาคิดอย่างไร และทำอย่างไร    เขาฟันฝ่า และคิดว่าสำเร็จไม่สำเร็จอย่างไร    และอยากทำอะไรต่อไป โดยทำเพื่อชุมชนของตนเอง ไม่ใช่ทำเพราะหวังเงินช่วยเหลือ     ไม่ใช่ไปบอกแบบผู้รู้ดีกว่า

แม้อากาศจะร้อนระอุ แต่การพูดคุยก็ออกรส และประเทืองปัญญา     ยิ่งการ AAR บนรถตู้กลับตัวจังหวัดระนอง ในตอนเย็นยิ่งประเทืองปัญญา    เพราะทำให้ทุกคนเข้าใจกิจกรรมที่เราไปเยี่ยมชื่นชมรอบด้าน มองเห็นภาพหลายมิติยิ่งขึ้น    เรา AAR กันอย่างเพลิดเพลิน ทำให้ถึงร้านอาหารเคียงเล โดยไม่รู้ตัว

นี่คือการใช้เท้าและหูฝึก KM    ยิ่งไปพบคุณน้อง (อรุณี นวลศรี) เจ้าหน้าที่ของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร จังหวัดระนอง ที่เข้ามาทักทาย เพราะใช้หนังสือ KM โมเดลปลาทู    และใช้ KM ในการทำงาน ผมยิ่งมีความสุข   ที่ได้เห็นพลัง KM ที่ผมใช้ชีวิต ๕ ปี ทำงานสร้างสรรค์ระบบ KM ของไทย

พลังของ KM อยู่ที่การฟังซึ่งกันและกัน    ฟังอย่างเปิดใจ เอาความรู้ที่ได้รับไปคิดต่อ ปะติดปะต่อกับความรู้เดิมของเรา เอาไปลองใช้ปรับปรุงงาน   แล้วกลับมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ใหม่ เป็นวงจรไม่รู้จบ    ผมชอบออกไปเรียนรู้ในชนบทก็ด้วยเหตุนี้

ความรู้ที่แท้จริงอยู่ในคน    ผมไปฟัง ทำความเข้าใจ และทำความเคารพ ความรู้ในคน ไป “อ่าน” Tacit Knowledgeความรู้จากเรื่องราว และปฏิสัมพันธ์ระหว่างคน ทั้งที่เป็นชาวบ้านผู้ทำโครงการ และที่เป็นคณะผู้ร่วมเดินทางไปเยือน

เรามีเวลาหลังอาหารเที่ยง ไปเยี่ยมชมหาดประพาส ที่โดนสึนามิ มีคนตายจำนวนมาก    นำโดยจ๊ะไหม หรือคุณสุจิรา อุ่นเรือน ผู้ขับรถมอเตอร์ไซคล์หนีสึนามิรอดหวุดหวิด   และสามีก็โดนคลื่นสึนามิหอบจากเรือหาปลา ขึ้นไปติดในป่าโกงกาง และโชคดีที่รอดชีวิต   สึนามิเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ ทำให้มีคนเสียชีวิตที่หาดประพาส ๔๕ คน     รวมทั้งสิ้นคนเสียชีวิต จากสึนามิคราวนั้นในประเทศไทย ๔,๔๙๕ คน

อาหารเย็นที่ร้านอาหารเคียงเล มีอาหารแปลกใหม่หลายอย่าง คือหอยหวานเผา  เป็ดบ้านนา    ซึ่งอร่อยสมคำบอกเล่า คือเนื้อหวานนุ่ม และที่สำคัญ ไม่มีมัน   แถมชาวตรังยังเอาแตงโมเกาะสุกรอันเลื่องชื่อ มาให้เรากินด้วย

เราใช้เวลาสองวันวนเวียนอยู่ในพื้นที่ชายทะเล ทางทิศใต้ของตัวจังหวัดระนอง    โดยในวันที่ ๑๕ มีนาคม ไปที่ชุมชนบางกล้วยนอก ที่มี “บังดล” หรือคุณดลก้อเส็ม ผดุงชาติ เป็นหัวหน้าโครงการวิจัย    ที่เป้าหมายจริงๆ คือการจัดการเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ป่าต้นน้ำห้วยเสียด ลงไปจนถึงทะเล    เป็นการมองระบบนิเวศน์อย่างครบวงจร    รวมทั้งมีการคิดถึงคนรุ่น ๑, รุ่น ๒ และรุ่น ๓ อย่างน่าชื่นชมยิ่ง    ผมตั้งใจตรวจสอบว่ามีครูเข้าร่วมบ้างไหม ไม่พบว่ามีคนแนะนำตัวว่าเป็นครูเลยตลอด ๒ วันที่ไประนอง     ต่างจากที่สตูล ผู้อำนวยการโรงเรียนมาร่วมด้วยทีเดียว

หลังจากกินอาหารเที่ยงเชิงวัฒนธรรมขับกล่อมด้วยกลิ่นทะเล และการชิมน้ำปลาที่ชาวบางกล้วยนอกหมัก และใช้เป็นชื่อโครงการเพื่อให้มีความเป็นรูปธรรมจับต้องได้ และเป็นเครื่องมือรวมผู้คนมาร่วมกิจกรรม     และลงเรือล่องคลองห้วยเสียดไปออกทะเล เพื่อชมความสมบูรณ์ของป่าโกงกาง ที่มีลิงแสมชุกชุมมาก    และตามรอยเรื่องราวของสึนามิ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗    ที่นี่ผมได้รู้จักหอยติบที่เกาะอยู่ตามรากโกงกาง และหิน    ที่ผมคิดว่าที่บ้านผมที่ชุมพรเรียกว่าหอยเจาะซึ่งมีความหมายว่าเป็นหอยที่เจาะเอามาจากเปลือกที่เกาะตามหินในทะเล    เขาอธิบายว่าหอยติบตัวเล็กกว่าหอยนางรม และรสหวานกว่า    ซึ่งก็ตรงกับหอยเจาะที่บ้านผม    ซึ่งแม่เอามาทำแกงจืด หรือใส่ไข่ทอดให้ลูกๆ กิน

นอกจากนั้นผมยังได้รู้จักต้นปีปี ที่เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ชายเลนติดริมคลองมีรากอากาศคล้ายต้นลำพู  เขาว่าดอกเหมือนพริก    โชคดีจริงๆ บ่ายวันที่ ๑๖ มีนาคม ผมพบอาจารย์ใหญ่มือหนึ่งด้านด้านป่าชายเลนของประเทศไทย ศ. ดร. สนิท อักษรแก้ว    จึงเอารูปให้ท่านดู จึงรู้ว่าเป็นต้นแสมขาว ต้นแสมมี ๓ ชนิดคือ แสมขาว แสมแดง และแสมทะเล     เป็นพืชนำของการเกิดป่าชายเลน คือขึ้นอยู่ริมน้ำ มีรากอากา​ศคล้ายลำพู     รากชนิดแผ่ไปแนวราบได้ไกลๆ    และเกิดรากดิ่งลงดินเพื่อยึดและเกิดต้นใหม่

ศ. ดร. สนิท ชมรูปที่ผมถ่ายป่าชายเลนที่นี่แล้วชมเปาะว่า เป็นป่าชายเลนที่สมบูรณ์มาก

จากการลงเรือ ผมได้รู้จักนส. มณีรัตน์ ถนอมจิตร อายุ ๑๗ ปี นักเรียนชั้น ม. ๒ โรงเรียนดำรงศาสตร์วิทยา    ที่ทั้งพ่อแม่เป็นคนไทยพลัดถิ่นอยู่ที่ฝั่งพม่า ที่บ้านในพม่าพูดภาษาไทย ถือว่าตนเองเป็นคนไทย    ตนเองมาอยู่ที่บางกล้วยนอก ๘ ปีแล้ว หลังสึนามิ    เพราะแม่หย่ากับพ่อ และแต่งงานกับคนไทยที่บางกล้วยนอกย้ายมาอยู่ที่บางกล้วยนอก    ผมจึงได้ฟังเรื่องราว ของคนไทยพลัดถิ่นอยู่ในพม่าจำนวนมากเป็นแสนคน    ตรงกับที่อาจารย์แหววเคยเล่าให้ฟังและชวนผมไปดู และรับฟังเรื่องราวของคนไทยพลัดถิ่นเหล่านี้ แต่ก็ยังนัดกันไม่ได้สักที

ตอนบ่าย เราไปเยี่ยมและรับฟังกิจการการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และการทดลองทำบ่อหมักก๊าซชีวภาพ ที่ชุมชนบ้านทะเลนอก ซึ่งก็อยู่ติดกันกับบ้านบางกล้วยนอกทางทะเล    แต่ไปทางถนนดูเหมือนห่างกัน    ที่นี่โดนสึนามิจังกว่า เพราะเป็นส่วนทะเลเปิด    และเมื่อเทียบกับบ้านบางกล้วยนอกซึ่งเป็นพื้นที่เขียวชะอุ่มแล้ว    ที่นี่พื้นที่แห้งแล้ง ต้นไม้ที่ขึ้น โดยทั่วไปคือต้นกาหยู (มะม่วงหิมพานต์)    และชาวบ้านเลี้ยงวัวและแพะกันมาก   ศ. ไกรฤทธิ์บอกว่า ระนองมีชายหาด ๓ หาดที่ถือเป็นชายหาดที่ว่ายน้ำได้ตลอดปี (swimmable beach)  ดีที่สุด ๓ ใน ๗ แห่งของโลก

ศ. ดร. สนิทบอกว่า กาหยูที่นี่อร่อยกว่าของที่อื่น    เสียดายที่ผมไม่ได้พยายามหาซื้อ    และเป็นประเด็นที่ชาวบ้าน ยังไม่รู้จักประชาสัมพันธ์สินค้าคุณภาพของตน

อาชีพของคนที่นี่ครึ่งๆ ระหว่างการประมง กับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์    เราไปพบว่าโครงการที่ทำคือ ทำบ่อหมักก๊าซชีวภาพจากขี้วัว    เพื่อให้ชาวบ้านเก็บขี้วัว ทำให้พื้นที่สะอาดดึงดูดนักท่องเที่ยว    เป็นวิธีคิดที่ยังครึ่งๆ กลางๆ    รวมทั้งการศึกษาข้อมูลด้านเทคนิคด้านการทำบ่อหมักก๊าซ ก็ยังไม่เพียงพอ    บ่อหมักก๊าซจึงยังไม่ประสบความสำเร็จ    และคงจะต้องเปลี่ยนโครงการซึ่งผมคิดว่า ทำโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ดีกว่า     ผมเห็นด้วยกับ ศ. ไกรฤทธิ์ ว่า ต้องหาทางไม่ให้พื้นที่โดนยึดโดยโรงแรมขนาดใหญ่     ให้เป็นพื้นที่ของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ดำเนินการโดยการรวมกลุ่ม ชาวบ้านจริงๆ

จ๊ะฉ๊ะ ยกตัวอย่างรายการกิจกรรมของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ๓ วัน ๒ คืน ดังนี้

วันที่ ๑ เริ่ม ๑๐ น. ชมหมู่บ้านประสบภัยสึนามิ พร้อมเรื่องเล่า    บ่ายทำผ้าบาติก และเอากลับบ้าน

วันที่ ๒ ลากอวนริมหาด  ล่องเรือชมป่าโกงกาง  ลอยปู  เย็บจาก  ทำขนมจาก    ค่ำแต่งกายมุสลิม เรียนรู้ชีวิตมุสลิม

วันที่ ๓ ทำสบู่สมุนไพร   กินข้าวเที่ยง  แล้วกลับระนอง

อัตราค่าบริการดังนี้  บ้านพัก (โฮมสเตย์) คืนละ ๒๐๐ บาท   อาหารเช้า ๖๐ บาท   อาหารเที่ยง  ๑๖๐ บาท   อาหารเย็น ๑๖๐ บาท   ทำผ้าบาติก ๑๓๐ บาท   เย็บจาก ๕๕ บาท   ลากอวน ๒๐๐ บาท / ๑๐ คน   ล่องเรือชมป่าโกงกางลำเล็กนั่งได้ไม่เกิน ๔ คน  ๖๖๐ บาท   ลำใหญ่นั่งได้ไม่เกิน ๑๐ คน  ๑,๓๖๐ บาท    ผมลืมถามว่าล่องเรือไปเกาะด้วยหรือไม่    และเป็นราคาต่อวันใช่ไหม 

หลังกินอาหารเย็นสุดอร่อยที่ร้านคุ้นลิ้น ที่มีผัดฉ่าหอยหลอด และผักเหรียงผัดไข่ เป็นตัวชูโรง    และได้ “อาบ” น้ำแร่ระนองสมใจ    เพราะร้านอาหารต่อท่อน้ำแร่เข้ามาใช้ในห้องน้ำ    รวมทั้งที่อ่างล้างมือ    เราจึงไปใช้บริการน้ำแร่จากอ่างล้างมือ ใช้ล้างหน้าและแขนเสียสองรอบ    แล้วขึ้นเครื่องบินนกแอร์เที่ยวสามทุ่มกลับกรุงเทพ    มีคนถามผมว่าเหนื่อยไหม    ผมตอบว่าเหนื่อยซี แต่สนุกและได้ความรู้มาก

 

๑๖ มี.ค. ๕๗

ท่านผู้ใดต้องการชมภาพประกอบโดยเข้าไปที่ link ; http://www.gotoknow.org/posts/566155

แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน 2014 เวลา 15:45 น.
 

นายกพระราชทานตามมาตรา ๗

พิมพ์ PDF

ทรงเคยมีพระราชดำรัสไว้
นายกพระราชทาน 
ตามมาตรา ๗ 
ไม่เป็นประชาธิปไตย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ตุลาการศาลปกครองสูงสุดและผู้พิพากษาประจำศาลเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

" ขอฝากไว้ เราจะขอบใจมาก เดี๋ยวมันยุ่ง เพราะไม่มีสภาผู้แทนฯ ก็ไม่สามารถมีการปกครองแบบประชาธิปไตยได้ ของเรามีศาลหลายชนิดมากมาย เรามีสภาหลายแบบ และทุกแบบต้องเข้ากัน ปรองดองกัน และคิดหาทางที่จะแก้ไขได้ ที่พูดอย่างนี้ค่อนข้างจะประหลาดหน่อย ที่ต้องขอร้องแบบนี้ ไม่งั้นเดี๋ยวก็มาบอกว่ามาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งขอยืนยันว่ามาตรา 7 ไม่ได้หมายถึงมอบให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจที่จะทำอะไรตามชอบใจ

มาตรา 7 พูดถึงการปกครองแบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ได้บอกให้พระมหากษัตริย์ตัดสินใจทำได้ทุกอย่าง ถ้าทำไป เขาจะว่าพระมหากษัตริย์ทำเกินหน้าที่ได้ ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยทำเกินหน้าที่ ถ้าทำเกินหน้าที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย

เขาอ้างถึงครั้งก่อนนี้ว่า รัฐบาลอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ตอนนั้นไม่ได้ทำเกินอำนาจพระมหากษัตริย์ ตอนนั้นไม่มีสภา สภาไม่อยู่ ประธานสภาไม่อยู่ รองประธานสภาทำหน้าที่ เขามีนายกรัฐมนตรีที่สนองพระบรมราชโองการได้ตามรัฐธรรมนูญในครั้งนั้น ตอนนั้นไม่ใช่นายกฯพระราชทาน ไม่ได้ผิดรัฐธรรมนูญ นายกฯพระราชทานหมายถึงตั้งนายกฯโดยไม่มีกฎเกณฑ์

เมื่อครั้งนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ ที่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ คือรองประธานสภานิติบัญญัติ ฉะนั้นไปทบทวนประวัติศาสตร์หน่อย ท่านก็เป็นผู้ใหญ่ และท่านก็ทราบว่ามีกฎเกณฑ์ที่รองรับอย่างไร ตอนนั้นสภาอื่นๆ แม้ที่เรียกว่าสภาสนามม้า เขาก็หัวเราะกัน สภาสนามม้า แต่ไม่ผิดกฎหมาย เพราะว่านายสัญญา นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ก็สบายใจว่าทำอะไรแบบถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ

แต่ครั้งนี้เขาจะทำอะไรผิดรัฐธรรมนูญ ใครเป็นคนบอกก็ไม่ทราบ ข้าพเจ้าเองก็รู้สึกว่าผิด ก็ขอให้ช่วยปฏิบัติอะไร คิดอะไร ที่ไม่ให้ผิดกฎเกณฑ์รัฐธรรมนูญ จะทำให้บ้านเมืองพ้นอุปสรรคและมีความเจริญรุ่งเรืองได้ "

จากนั้นมีพระราชดำรัสต่อผู้พิพากษาประจำศาลยุติธรรม

" เวลานี้มีการเลือกตั้งเพื่อให้มีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย แต่ถ้าไม่มีสภาที่ครบถ้วนก็ไม่ใช่การปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ขอให้ท่านไปปรึกษากับผู้อยู่ฝ่ายปกครองประเทศ ตอนนี้มีศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ ศาลอาญา เมื่อมีก็ต้องดำเนินการไป ขอให้ปรึกษากับศาลอื่นๆ ด้วย จะทำให้บ้านเมืองปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้

อย่าไปคอยที่จะให้ขอนายกฯพระราชทาน เพราะการขอนายกฯพระราชทานไม่ใช่การปกครองแบบประชาธิปไตย เพราะขอนายกฯพระราชทานไม่ใช่การปกครองแบบประชาธิปไตย ข้าพเจ้ามีความเดือดร้อนมาก เอะอะอะไรก็ขอนายกฯพระราชทาน ซึ่งไม่ใช่การปกครองแบบประชาธิปไตย ถ้าไปอ้างมาตรา 7 ตามรัฐธรรมนูญ เป็นการอ้างที่ผิด อ้างไม่ได้

มาตรา 7 มี 2 บรรทัดว่า อะไรที่ไม่มีระบุในรัฐธรรมนูญก็ให้ปฏิบัติตามประเพณีหรือตามที่เคยทำมา ไม่มีที่อยากจะได้นายกฯพระราชทาน เป็นต้น การขอนายกฯพระราชทานไม่ใช่การปกครองระบอบประชาธิปไตย เป็นการปกครองแบบ ขอโทษนะ แบบมั่ว แบบไม่มีเหตุมีผล

ท่านที่เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา มีสมองที่แจ่มใส สามารถที่จะคิดวิธีที่จะปฏิบัติ คือปกครองต้องมีสภาที่ครบถ้วน ถ้าไม่ครบถ้วนก็ทำงานไม่ได้ อาจจะหาวิธีที่จะตั้งสภาไม่ครบถ้วน ก็รู้สึกว่า มั่ว อยากจะขอโทษอีกที ใช้คำมั่ว ไม่ทราบใครจะทำมั่ว จะปกครองประเทศมั่วไม่ได้ จะคิดอะไรแบบปัดๆ ไปให้เสร็จไป ถ้าไม่ได้ก็โยนให้พระมหากษัติรย์ทำ ซึ่งยิ่งร้ายกว่าทำมั่วอย่างอื่น เพราะพระมหากษัตริย์ไม่มีอำนาจหน้าที่ ต้องขอร้องฝ่ายศาลให้ช่วยกันคิด

เวลานี้ประชาชนทั่วไปเขาหวังในศาล โดยเฉพาะศาลฎีกา และศาลอื่นๆ ประชาชนบอกว่าศาลดียังมีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรู้ เพราะได้เรียนรู้กฎหมายมา และพิจารณากฎหมายที่ต้องศึกษาดีๆ ประเทศชาติจึงจะรอดพ้นได้ ถ้าไม่ทำตามหลักกฎหมาย หลักการปกครองที่ถูกต้อง ประเทศชาติไปไม่รอดอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะว่าไม่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถึง 500 คน ทำงานไม่ได้ ก็ต้องไปดูว่าจะทำย่างไรให้ทำงานได้

จะมาขอให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้ตัดสิน จะบอกว่าพระมหากษัตริย์เป็นผู้ลงพระปรมาภิไธย ซึ่งในมาตรา 7 ไม่ได้บอกว่า พระมหากษัตริย์สั่งได้ ไม่มี ลองไปดูมาตรา 7 เขาเขียนว่า ไม่มีบทบัญญัติประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ได้บอกว่ามีพระมหากษัตริย์ที่จะมาสั่งการได้ แล้วก็ขอยืนยันว่าไม่เคยสั่งการอะไรที่ไม่มีกฎเกณฑ์ของบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ

กฎหมาย พระราชบัญญัติต่างๆ ทำถูกต้องตามรัฐธรรมนูญทุกอย่าง อย่างที่เขาขอร้องให้มีนายกฯพระราชทาน ไม่เคยมีข้อนี้ มีนายกฯแบบที่มีการรับสนองพระบรมราชโองการถูกต้องทุกครั้ง มีคนเขาอาจจะมาบอกว่า พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 นี่ทำตามใจชอบ ซึ่งไม่เคยทำอะไรตามใจชอบเลย ตั้งแต่เป็นพระมหากษัตริย์ มีรัฐธรรมนูญหลายฉบับ แล้วก็ทำมาหลายสิบปี ไม่เคยทำอะไรตามใจชอบ

ถ้าทำตามใจชอบบ้านเมืองล่มจมมานานแล้ว แต่ตอนนี้เขาขอให้ทำตามใจชอบ แล้วถ้าทำตามที่เขาขอ เขาก็จะต้องด่าว่านินทาพระมหากษัตริย์ ว่าทำอะไรตามใจชอบ ซึ่งไม่ใช่กลัว ถ้าต้องทำก็ต้องทำ แต่มันไม่ต้องทำ ผู้พิพาษาศาลฎีกาจะบอกได้ ศาลอื่นๆ ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ไม่มีข้อที่จะห้ามได้มากกว่าศาลฎีกา มีสิทธิที่จะพูด ที่จะตัดสิน

ฉะนั้น ก็ขอให้ท่านได้พิจารณา เอาไปพิจารณา เอาไปปรึกษากับผู้พิพากษาศาลอื่น ศาลปกครอง ว่าจะทำอะไร แล้วรีบทำ ไม่งั้นบ้านเมืองล่มจม

เมื่อสักครู่ดูทีวี เรือหลายหมื่นตันโดนพายุจมไปสี่พันเมตรในทะเล เขายังต้องดูว่าเรือนั้นจมไปอย่างไร เมืองไทยจะจมลงไปกว่าสี่พันเมตร กู้ไม่ได้ กู้ไม่ขึ้น ฉะนั้นท่านเองก็จะจมลงไป ประชาชนทั่วไปที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็จะจมลงไปในมหาสมุทร

เวลานี้เป็นเวลาที่วิกฤตที่สุดในโลก ท่านก็มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติ ปรึกษากับผู้มีความรู้ เขาเรียกว่า กู้ชาติ เวลานี้เอะอะอะไรก็กู้ชาติ กู้อะไร เดี๋ยวนี้ชาติไม่ได้จม ฉะนั้นป้องกันไม่ให้จม แล้วจะได้ไม่ต้องกู้ชาติ เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาดูดีๆ ว่าจะทำอะไร ถ้าทำได้ปรึกษาหารือกัน จริงๆ แล้วประชาชนทั้งประเทศและประชาชนทั่วโลกจะอนุโมทนา และจะเห็นว่าผู้พิพากาษศาลฎีกายังมีน้ำยา เป็นคนมีความรู้ ตั้งใจที่จะกู้ชาติจริงๆ ถ้าถึงเวลา

ก็ขอขอบใจที่ทุกท่านตั้งใจจะทำหน้าที่ที่ดี บ้านเมืองก็รอดพ้น ไม่ต้องกู้ ขอบใจที่ท่านพยายามปฏิบัติด้วยดี และประชาชนจะขออนุโมทนา ขอบใจแทนประชาชนทุกคนทั้งประเทศที่มีผู้พิพากษาศาลฎีกาที่เข้มแข็ง ขอบใจที่ท่านสามารถปฏิบัติงานได้ดี มีพลานามัยแข็งแรง ต่อสู้เพื่อความดี ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในประเทศ ขอบใจ "

แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน 2014 เวลา 16:15 น.
 


หน้า 362 จาก 561
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5644
Content : 3068
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8744839

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า