Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

กระจกส่อง … เด็กวอนขอการศึกษา

พิมพ์ PDF

นที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๗ ในเวทีเปลี่ยนการศึกษาเพื่อเด็กและเยาวชน จัดโดยสมาคมสภาการศึกษา ทางเลือกไทย ร่วมกับสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว    ตอนสาย เด็กๆ ของกลุ่มการศึกษา ทางเลือก เล่นละครให้ดู    ตามด้วยการบอกตรงๆ

ในเวลาชั่วโมงเศษๆ ผมฟังแล้วเกิดความรู้สึกแปลกๆ    ว่าเด็กเหล่านี้คือ “ผู้ได้รับโอกาส”   ในขณะที่ เด็กในโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ คือ “เด็กด้อยโอกาส”    คือ ขาดโอกาสค้นพบตนเอง    ขาดโอกาสดึงเอาศักยภาพของตนเองออกมาใช้ในการเรียนรู้ด้วยการสร้างสรรค์

ฟังดูตรงๆ เด็กที่มาเวทีนี้เสมือนร้องขอให้แก่ตนเอง    แต่คิดให้ดีๆ ผมว่า เขากำลังอ้อนวอนขอ ให้แก่เด็กทั่วประเทศ ให้ได้มีโอกาสดีอย่างเขา … ได้เรียนรู้แบบใหม่     ที่ตรงตามหลักวิชาว่าด้วยการเรียนรู้ แบบใหม่ … การเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ ๒๑

การเรียนแบบ “เข้าโรงผลิตแบบ mass production”    ทั้งหล่อทั้งหลอม    ทำให้เด็กบางคนที่มี “วิญญาณอิสระ” (หรือบางคนอาจเป็น วิญญาณกบฏ) รุนแรง ทนไม่ได้    และประท้วง    กลายเป็นเด็กเกเร ในสายตาครูและผู้ใหญ่    ในละคร เด็กคนหนึ่งถึงกับโดนโรงเรียนให้ออก    เพราะปัญหาความประพฤติ อันมีรากเหง้าของปัญหาจากการขาดความรักความอบอุ่นในครอบครัว     แต่เมื่อได้เรียนจากการลงมือทำ ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพของตน     อารมณ์รุนแรงแบบต่อต้าน กลายเป็นความสร้างสรรค์     กลายเป็นโอกาส ได้เรียนรู้บูรณาการ เพื่อพัฒนาทักษะรอบด้าน

ผมนั่งฟังเด็กเหล่านี้ แล้วจินตนาการ ตั้งคำถามกับตนเองว่า     ครูที่เหมาะสมต่อเด็กเหล่านี้เป็นอย่างไร    ครูต้องทำอะไร ไม่ทำอะไร

คำตอบของผมคือ ครูต้องมีทักษะในการฟัง ฟังให้ “ได้ยิน” พลังของความเป็นหน่ออ่อนของความ เปลี่ยนแปลงที่อยู่ภายในตัวศิษย์    และหาทางส่งเสริมให้ศิษย์แสดงออกมาในทางสร้างสรรค์ ในทางที่เป็นคุณ ทั้งต่อตนเอง และต่อผู้อื่น

พลังที่อยู่ในตัวเยาวชนนั้น เป็นพลังแห่งศักยภาพ ที่จะออกมาเป็นบวก (ทำลาย) ก็ได้ เป็นลบ (สร้างสรรค์) ก็ได้    เหมือนเทวีของพระอิศวร ที่เป็นพระอุมา (เมตตา อ่อนโยน) ก็ได้ เป็นนางกาลี (โหดร้าย) ก็ได้     ครูมีหน้าที่เอื้ออำนวยให้ ศิษย์ฝึกงอกงามด้านบวกในตน    จนกลายเป็นนิสัย กลายเป็นคนดี คนสร้างสรรค์

ครูจึงต้องฝึกทักษะชีวิต ในการมองที่คนอื่น    เน้นประโยชน์ของคนอื่น    ซึ่งในที่นี้คือศิษย์ของตน    ครูต้องไม่มองศิษย์เป็น “คนอื่น”    แต่มองว่าคือเพชรมีค่าที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของครู    จึงเป็นโอกาสยิ่งใหญ่ ในชีวิตของครูเอง ที่จะช่วยเอื้ออำนวย หรือส่งเสริม ให้ “ศิษย์ดำเนินการเจียระไนเพชรในตน”    กลายเป็นคนมีค่า มีชีวิตที่มีความสุข และเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อสังคม

นั่นคือ ครู ทำหน้าที่ช่วยให้ศิษย์ค้นพบและเจียระไน เพชรในตน

 

 

วิจารณ์ พานิช

๑๙ มี.ค. ๕๗

 

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 



แก้ไขล่าสุด ใน วันเสาร์ที่ 05 เมษายน 2014 เวลา 17:22 น.
 

วันจักรี

พิมพ์ PDF
วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2557 เป็นวันจักรี วันสำคัญวันหนึ่งของปวงชนชาวไทย 
ขอเชิญชาวไทยร่วมถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เชิงสะพานพุทธฯ ฝั่งพระนคร และเข้าถวายบังคมสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช ที่ปราสาทพระเทพบิดร ตั้งแต่เวลา ๘ นาฬิกา จนถึงเวลา ๑๘ นาฬิกา ในบริเวณ วัดพระแก้ว (อ่านรายระเอียดเกี่ยวกับความเป็นมาของพระมหาบูรพมหากษัตริยาธิราช และที่มาของวันจักรี ได้ตามข้อมูลที่คุณพิชาญ นำมาเผยแพร่
ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท
6 เมษายน พ.ศ. 2325 เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีและทรงสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงของไทย

วันจักรี นั้น สืบเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชดำริว่าพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมรูปพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธี ทรงหล่อพระบรมรูปลักษณะเหมือนพระองค์จริงฉลองพระองค์แบบไทย ณ โรงหล่อหลังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (บริเวณศาลาสหทัยสมาคมในปัจจุบัน) เพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระปฐมบรมราชบุพการี แล้วโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาทขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เชิญพระบรมรูปทั้ง ๔ รัชกาลนั้น ประดิษฐานเพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ สำหรับถวายบังคมสักการะ ในงานพระราชพิธีฉัตรมงคลและพระราชพิธีพระชนมพรรษา 
ครั้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสืบราชสันติวงศ์ ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระบรมชนกนาถ จากต่างประเทศ แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานร่วมกับพระบรมรูปทั้ง ๔ รัชกาลนั้น 

ต่อมาทรงพระราชดำริว่า พระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาทยังไม่เหมาะสมที่จะมีงานถวายบังคม สักการะพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแปลงพระพุทธปรางค์ปราสาท ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อประดิษฐานพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชทั้ง ๕ รัชกาล พระราชทานนามใหม่ว่า ปราสาท พระเทพบิดร โดยทรงพระอนุสรณ์คำนึงถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งได้ประดิษฐานพระบรมราชวงศ์จักรี ทรงมีพระเดชพระคุณต่อประเทศ เมื่อมีโอกาสก็ควรแสดงความเชิดชูและระลึกถึง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีเชิญ พระบรมรูปจากพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาท มาประดิษฐานที่ปราสาทพระเทพบิดร เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๔๖๑ อันเป็นดิถีคล้ายวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จกรีธาทัพถึงพระนคร ได้รับอันเชิญขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงบรรจุพระกรัณฑ์ทองคำลงยาราชาวดีซึ่งบรรจุพระบรมทนต์(ฟัน) พระสุพรรณบัฏจารึกพระปรมาภิไธย พระดวงพระบรมราชสมภพ พระดวงบรมราชาภิเษก พระดวงสวรรคต ลง ณ เบื้องสูงของพระเศียรพระบรมรูปทั้ง ๕ รัชกาลครั้นถึงวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ (สมัยนั้นขึ้นปีใหม่วันที่ ๑ เมษายน) 

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี(ม.ร.ว. ปุ้ม มาลากุล) เสนาบดีกระทรวงวัง ประกาศพระบรมราชโองการให้มีการกราบ ถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเป็นการ ประจำปีกำหนดใน วันที่ ๖ เมษายน เป็นประเพณีสืบไป

ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีทรงหล่อพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวณ โรงหล่อกรมศิลปากร ครั้นตกแต่งพระบรมรูปเรียบร้อยแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ กำหนดการพระราชพิธีประดิษฐาน พระบรมรูปที่ปราสาทพระเทพบิดร โดยเสด็จพระราชดำเนิน มาทรงบรรจุพระบรมทนต์พระสุพรรณบัฎจารึก พระปรมาภิไธยและดวงพระบรมราชสมภพ พระดวงบรมราชาภิเษก พระดวงสวรรคต ในพระกรัณฑ์ทองคำลงยา แล้วทรงบรรจุที่เบื้องสูงของพระเศียรพระบรมรูป เมื่อวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๐

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชปรารภว่า ในปี ๒๔๗๕ อายุพระนครจะบรรจบครบ ๑๕๐ ปี สมควรมีการสมโภชและสร้างสิ่งสำคัญ เป็นอนุสรณ์ขึ้นไว้ให้ปรากฎแก่อารยชนในนานาประเทศ ว่าชาวไทยมีความกตัญญูรู้คุณบรรพบุรุษ ที่ได้สร้างกรุงเทพฯเป็นราชธานีแล้วบำรุงรักษาประเทศ ให้เป็นอิสระสืบมาทรงปรึกษาพระราชปรารภ แก่อภิรัฐมนตรีและเสนาบดี ซึ่งเห็นชอบด้วยพระราชดำริว่า ควรสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์มี ๒ สิ่งประกอบกัน คือ พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ปฐมกษัตริย์ และสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อมพระนครธนบุรี พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบ ให้ศาสตรจารย์ศิลปพีระศรี ปั้นหุ่นหล่อ ส่วนสะพานทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยากำแพงเพชรอัครโยธิน อำนวยการสร้าง และพระราชทานนามว่า สะพานพระพุทธยอดฟ้า เงินที่ใช้ในการก่อสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์นี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ส่วน ๑ รัฐบาลจ่ายเงินแผ่นดินส่วน ๑ อีกส่วน ๑ ทรงพระราชดำริให้บอกบุญเรี่ยไรชาวไทยทุกคน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดปฐมบรมราชานุสรณ์ โดยกระบวนพยุหยาตรา เมื่อ วันที่ ๖ เมษายน ๒๔๗๕ ซึ่งเป็นวันครบ ๑๕๐ ปี และมีการพระราชพิธี เฉลิมฉลองกรุงเทพมหานคร

ครั้นถึง รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงหล่อพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ โรงหล่อกรมศิลปากร และได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่ที่ปราสาทพระเทพบิดร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๒

เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลสวรรคต และได้ถวายพระเพลิงพระบรมศพตามขัตติยราชประเพณีแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีหล่อพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ที่โรงหล่อกรมศิลปากร ครั้นตกแต่งพระบรมรูปเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดการพระราชพิธีเชิญพระบรมรูปไปประดิษฐาน ณ ปราสาทพระเทพบิดร เมื่อวันที่ ๓ เมษายนพ.ศ. ๒๕๐๒ โดยเสด็จพระราชดำเนินไปทรงบรรจุเส้นพระเจ้า(เส้นผม) พระสุพรรณบัฎจารึกพระปรมาภิไธย พระดวงพระบรมราชสมภพ พระดวงเสวยราชย์ พระดวงสวรรคต ลงในพระกรัณฑ์ทองคำลงยา แล้วทรงบรรจุพระกรัณฑ์ลง ณ เบื้องสูงของพระเศียรแห่งพระบรมรูป และในพระราชพิธีนี้ได้ทรงบรรจุเส้นพระเจ้า พระสุพรรณบัฎจารึกพระปรมาภิไธย พระดวงพระบรมราชสมภพ พระดวงเสวยราชย์ พระดวงสวรรคต ลงในพระกรัณฑ์ทองคำลงยาแล้วทรงบรรจุ ณ เบื้องสูงของพระเศียรแห่งพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย

การถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช ที่ปราสาทพระเทพบิดรเป็นราชประเพณีประจำปี ตั้งแต่วันที่ ๖ เมษายน ๒๔๖๑ เป็นต้นมา ครั้นได้สร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ประดิษฐาน ณ ปฐมบรมราชานุสรณ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ เนื่องในการเฉลิมพระนครบรรจบครบ ๑๕๐ ปีแล้ว ในปีต่อมาทางราชการได้ประกาศให้ถือวันที่ ๖ เมษายน เป็นวันที่ระลึกมหาจักรีและเป็นวันสำคัญของชาติวันหนึ่ง กำหนดให้หยุดราชการและให้ ชักธงชาติ และได้กำหนดให้มี การถวายบังคมพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกที่ปฐมราชานุสรณ์ สำนักพระราชวัง ได้ออกหมายกำหนดการเสด็จพระราชดำเนิน ไปถวายสักการะพระบรมรูปที่ปฐมบรมราชานุสรณ์ และถวายบังคมสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช ที่ปราสาทพระเทพบิดร

การถวายราชสักการะพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ที่ปฐมบรมราชานุสรณ์นั้น ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา เป็นการเสด็จของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต่อมาในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๕ ถึง พ.ศ. ๒๔๙๖ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน ได้เสด็จพระราชดำเนินถวาย พวงมาลาเป็นราชสักการะ ภายหลังจากนั้นทรงมีพระราชปรารถพระราชทาน พลตรีหม่อมทวีวงศ์ถวัลศักดิ์ (ม.ร.ว.เฉลิมลาภ ทวีวงศ์)เลขาธิการพระราชวัง ว่าการวางพวงมาลาตามคตินิยมของชาวไทย ใช้สำหรับการไว้อาลัยแก่ชีวิตของผู้ที่จากไป แต่วันที่ระลึกมหาจักรี ๖ เมษายนนั้น เป็นมงคลดิถีคล้ายวันที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ สถาปนาพระบรมราชวงศ์จักรี การถวายพวงมาลาจึงไม่เป็นการงดงามเหมาะสม ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ สำนักพระราชวังได้เปลี่ยนเป็น จัดพานพุ่มดอกไม้สดทูลเกล้าฯ ถวายเป็นเครื่องราชสักการะอนึ่ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้สาธุชนเข้าถวายบังคมสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช ที่ปราสาทพระเทพบิดร ตั้งแต่เวลา ๘ นาฬิกา จนถึงเวลา ๑๘ นาฬิกา
แก้ไขล่าสุด ใน วันเสาร์ที่ 05 เมษายน 2014 เวลา 20:50 น.
 

รำลึกวันจักรี

พิมพ์ PDF

รำลึกวันจักรี
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีพระนามเดิมว่าด้วงหรือทองด้วง เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพุธ เดือน ๔ แรม ๔ ค่ำปีมะโรงจุลศักราช ๑๐๙๘ หรือวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๒๗๙ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเป็นบุตรของ พระอักษรสุนทร (ทองดี) ข้าราชการกรมอาลักษณ์ สืบเชื้อสายมาจากเจ้าพระยาโกษาธิบดี(ปาน) เสนาบดีกรมพระคลัง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระราชชนนีมีพระนามว่า ท่านหยกหรือดาวเรือง เป็นธิดาเศรษฐี

มีบุตร และธิดา รวมทั้งหมด ๕ คน คือ

๑ .เป็นบุตรสาวชื่อ “สา” ( ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าพี่นางเธอกรมสมเด็จพระเทพสุดาวดี )

๒. เป็นบุตรชายชื่อ “ขุนรามนรงค์” ( ถึงแก่กรรมก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งที่ ๒ )

๓. เป็นบุตรสาวชื่อ “แก้ว” ( ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าพี่นางเธอกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ )

๔. เป็นบุตรชายชื่อ “ด้วง” (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช )

๕. เป็นบุตรชายชื่อ “บุญมา” ( ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท สมเด็จพระอนุชาธิราช )

เมื่อทรงเจริญพระชนมพรรษาท่านเข้ารับราชการครั้งแรกโดยถวายตัวเข้าเป็นมหาดเล็กในสมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพรกรมขุนพรพินิต เมื่อ พระชนมายุ ๒๑ พรรษา ทรงผนวช ณ วัดมหาทลาย เป็นเวลา ๑ พรรษา

ทรงกลับเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กหลวง เมื่อพระชนมายุ ๒๕ พรรษา สมเด็จพระเจ้าเอกทัศทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี และได้สมรสกับธิดาตระกูลคหปตนี (ธิดาเศรษฐี) ชาวบางช้าง ที่ตำบลบางช้าง อำเภออัมพวา แขวงเมืองสมุทรสงคราม ชื่อนาก(สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี)

หลังเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าได้ ๑ ปี พระองค์ ได้เข้ามารับราชการในกรุงธนบุรีในตำแหน่งพระราชวรินทร์ ในกรมพระตำรวจหลวง ทรงเป็นกำลังสำคัญในการกอบกู้บ้านเมืองและทำศึกสงครามมากมาย ในปี พ.ศ.๒๓๑๑ พระองค์ได้ตามเสด็จสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไปปราบเจ้าพิมาย ภายหลังสงครามครั้งนี้ทรงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๑๒ ทรงเป็นแม่ทัพไปตีเมืองเขมร (กัมพูชา) ตีได้เมืองพระตะบองและเสียมราฐ ด้วยพระปรีชาสามารถในการทำสงครามอย่างมากมาย จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเลื่อนยศเป็นพระยายมราช เจ้าพระยาจักรี และสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ตามลำดับ

เมื่อถึงปลายรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ราวปีพ.ศ.๒๓๒๔ ขณะสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกำลังไปราชการทัพอยู่ที่เขมร (กัมพูชา) ได้เกิดเหตุการณ์จลาจลขึ้นในกรุงธนบุรี เกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ระหว่างฝ่ายกบฏที่ต้องการควบคุมองค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แล้วออกว่าราชการแทน กับฝ่ายต่อต้านกบฏ ก่อความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนอย่างมาก สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงยกทัพกลับกรุงธนบุรีทันที และปราบปรามฝ่ายกบฏได้สำเร็จ เมื่อปราบปรามฝ่ายกบฏได้สำเร็จแล้ว ราษฎรและข้าราชการจึงได้อัญเชิญพระองค์ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินธร มหาจักรีบรมนาถพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก” เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๕ นับเป็นองค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี

เมื่อปราบปรามฝ่ายกบฏได้สำเร็จแล้ว ราษฎร และข้าราชการจึงได้อัญเชิญพระองค์ขึ้นครองราชสมบัติ วันนี้ถือเป็นวันสถาปนามหาจักรีบรมราชวงศ์

เมื่อพระองค์ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีแล้ว พระองค์มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาษกรวงษ์ องค์บรมาธิเบศ ตรีภูวเนตรวรนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวไศรย สมุทัยดโรมนต์ สกลจักรวาฬาธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทราธาดาธิบดี ศรีวิบูลยคุณอักนิษฐ ฤทธิราเมศวรมหันต์ บรมธรรมิกราชาธิราชเดโชไชยพรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร ภูมินทรบรมาธิเบศโลกเชฐวิสุทธิ รัตนมกุฏประเทศคตา มหาพุทธางกูรบรมบพิตร พระพุทธิเจ้าอยู่หัว”

ทรงตระหนัก ถึงการได้รับอัญเชิญขึ้นครองราชย์ ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จึงมีพระปฐมบรมราชโองการแสดงพระราชปณิธานของพระองค์อย่างชัดเจนว่า

“ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา

ป้องกันขอบขัณฑเสมา รักษาประชาชนและมนตรี”

(พระราชนิพนธ์เรื่องนิราศท่าดินแดง

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก)

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ถวายพระนาม ว่า “พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก”

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ถวายพระบรมนามาภิไธยแก่สมเด็จพระบรมอัยกาธิราชจารึกลงในพระสุพรรณบัฏว่า “พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนารถ นเรศวราชวิวัฒนวงศ์ ปฐมพงศาธิราชรามาธิบดินทร์ สยามพิชิตินทรวโรดม บรมนารถบพิตร พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก”

เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงรับอัญเชิญเสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติแล้ว โปรดให้ย้ายพระนครมาทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเยื้องกับกรุงเก่าธนบุรี พระนครเดิม ด้วยมีพระราชดำริว่าเห็นว่า ราชธานี ซึ่งตั้งอยู่ ณ กรุงธนบุรี นั้น มีทำเลไม่เหมาะที่จะเป็นเมืองหลวงถาวร ด้วยเหตุที่ทรงคาดคะเนได้ว่า ไม่ช้า พม่าก็จะต้องยกทัพมาตีไทย ซึ่งเพิ่งตั้งตัวขึ้นใหม่อีก กรุงธนบุรีประกอบด้วย อาณาเขตสองฝั่ง แม่น้ำเจ้าพระยา มีลักษณะเป็น “เมืองอกแตก” ทำนองเดียวกับเมืองพิษณุโลก ซึ่งเคยต้องทรงรักษามาแล้ว คราวศึกอะแซหวุ่นกี้ ลำบากทั้งการลำเลียงอาหาร และอาวุธยุทธภัณฑ์ ตลอดจนการสับเปลี่ยนทหาร และชาวเมือง ให้เป็นเวรรักษาหน้าที่ป้องกันบ้านเมือง จึงทรงพระราชดำริ ที่จะสร้างเมืองใหม่ขึ้น ทางฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นหัวแหลมฝั่งเดียว เอาแม่น้ำเป็นคูเมืองด้านทิศตะวันตก และทิศใต้ แล้วขุดคลองขึ้น เป็นคูเมืองด้าน ทิศเหนือ และตะวันออก เมืองหลวงใหม่นี้ ก็จะมีน้ำล้อมรอบ เป็นชัยภูมิรับศึกได้อย่างดีโปรดให้ตั้งพิธียกเสาหลักเมืองเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ และให้ก่อสร้างพระราชวังล้อมด้วยไม้ระเนียดไว้ก่อน พอให้ตั้งการพระราชพิธีปราบดาภิเษกโดยสังเขป เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๕ จากนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างพระบรมมหาราชวัง พระราชวังบวรสถานมงคล และพรนครอย่างถาวรต่อไป

เมื่อก่อสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้วเสร็จ ในปี พ.ศ.๒๓๒๗ จึงอัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร(พระแก้วมรกต) จากพระราชวังเดิมกรุงธนบุรี มาประดิษฐานในพระอุโบสถ และเมื่อสร้างพระนครแล้วเสร็จในปีพ.ศ.๒๓๒๘ โปรดให้กระทำพิธีราชาภิเษกครั้งที่ ๒ ให้ถูกต้องตามโบราณราชประเพณี และให้มีการสมโภชพระนครต่อเนื่องกัน

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า สมเด็จพระอมรินทราพระบรมราชินี เป็นพระบรมราชินีองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระนามเดิมว่านาค มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมทั้งสิ้น ๔๒ พระองค์ โดยพระราชโอรส และพระราชธิดาที่ประสูติในพระอัครมเหสีมี ๙ พระองค์ ได้แก่

๑. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์

๒. สมเด็จเจ้าฟ้าชาย สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์

๓. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงฉิมใหญ่ พระราชชายาในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและพระราชมารดาในเจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิด

๔. สมเด็จเจ้าฟ้าชายฉิม ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย(รัชกาลที่ ๒)

๕. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงแจ่ม ต่อมาได้รับการสถาปนขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทร

๖. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์

๗. สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุ้ย ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระบวรราชเจ้ากรมพระราชวังมหาเสนานุรักษ์

๘. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์

๙. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงเอี้ยง ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าประไพวดี กรมหลวงเทพยวดี

 

พระราชกรณียกิจ

กรุงรัตนโกสินทร์พระราชกรณียกิจด้านการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี

พระราชกรณียกิจประการแรกที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงจัดทำเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ คือการโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีใหม่ ทางตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา แทนกรุงธนบุรี ด้วยเหตุผลทางด้านยุทธศาสตร์ เนื่องจากกรุงธนบุรีตั้งอยู่บนสองฝั่งแม่น้ำ ทำให้การลำเลียงอาวุธยุทธภัณฑ์ และการรักษาพระนครเป็นไปได้ยาก อีกทั้งพระราชวังเดิมมีพื้นที่จำกัด ไม่สามารถขยายได้ เนื่องจากติดวัดอรุณราชวราราม และวัดโมฬีโลกยาราม ส่วนทางฝั่งกรุงรัตนโกสินทร์นั้นมีความเหมาะสมกว่าตรงที่มีพื้นแผ่นดินเป็นลักษณะหัวแหลม มีแม่น้ำเป็นคูเมืองธรรมชาติ มีชัยภูมิเหมาะสม และสามารถรับศึกได้เป็นอย่างดี

การสร้างราชธานีใหม่นั้นใช้เวลาทั้งสิ้น ๓ ปี โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงทำพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๖ ขึ้น ๑๐ ค่ำ ปีขาล จศ.๑๑๔๔ ตรงกับวันที่ ๒๑ เมษายน พศ.๒๓๒๕ และโปรดเกล้าฯให้สร้าง พระบรมมหาราชวัง สืบทอดราชประเพณี และสร้างพระอารามหลวงในเขตพระบรมมหาราชวังตามแบบกรุงศรีอยุธยา ซึ่งการสร้างเมืองและพระบรมมหาราชวังเป็นการสืบทอดประเพณี วัฒนธรรม และศิลปะกรรมดั้งเดิมของชาติ ซึ่งปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และได้พระราชทานนามแก่ราชธานีใหม่นี้ว่า

“กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุทธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยะวิษณุกรรมประสิทธิ์”

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแปลงสร้อย “บวรรัตนโกสินทร์” เป็น “อมรรัตนโกสินทร์”

นอกจากนี้ ยังโปรดเกล้าฯให้ สร้างสิ่งต่างๆ อันสำคัญต่อการสถาปนาราชธานี ได้แก่ ป้อมปราการ คลอง ถนนและสะพานต่างๆ มากมาย

 

พระราชกรณียกิจด้านการป้องกันประเทศ

สงครามเก้าทัพ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระปรีชาสามารถในการรบ ทรงเป็นผู้นำทัพในการทำสงครามกับพม่าทั้งหมด ๗ ครั้งในรัชสมัยของพระองค์ ได้แก่สงคราม

สงครามครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๓๒๘ สงครามเก้าทัพ

สงคราม ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างไทยกับพม่า โดยในครั้งนั้นพระเจ้าปดุงแห่งราชวงศ์อลองพญาของพม่า มีพระประสงค์จะเพิ่มพูนพระเกียรติยศและชื่อเสียงให้ขจรขจายด้วยการกำราบ ประเทศไทย จึงรวบรวมไพร่พลถึง ๑๔๔,๐๐๐ คน กรีธาทัพเข้าตีประเทศไทยโดยแบ่งเป็น ๙ ทัพใหญ่ เข้าตีจากกรอบทิศทาง ดังนี้

ทัพที่ ๑ ยกมาจากทางเชียงแสน ตีเมืองลำปาง และเมืองอื่นๆ ลงไปบรรจบทัพหลวงที่กรุงเทพฯ

ทัพที่ ๒ ยกมาทางด่านแม่ละเมาเข้าตีเมืองตาก

ทัพที่ ๓ ยกเข้าตีเมืองชุมพร และสงขลา

ทัพที่ ๔ ยกมาทางด่านบ้องตี้เข้าเมืองราชบุรี เพชรบุรี

ทัพที่ ๕ ยกทัพเรือเข้าตีเมืองตะกั่วป่า จนถึงเมืองลาง

ส่วนอีก ๔ ทัพ รวมทั้งทัพหลวงด้วย ยกมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ มุ่งตรงเข้าตีกรุงเทพฯ แต่กรุงรัตนโกสินทร์ พึ่งสร้างตัว และมีพลเมืองน้อยกว่า ทัพของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงมีกำลังเพียงครึ่งหนึ่งของทหารพม่า คือ มีเพียง ๗๐,๐๐๐ คนเศษเท่านั้น

ด้วยพระปรีชาสามารถในการทำสงคราม ได้ทรงให้ทัพของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทไปสกัดทัพพม่าที่บริเวณทุ่งลาดหญ้า ทำให้พม่าต้องชะงักติดอยู่บริเวณช่องเขา แล้วทรงสั่งให้จัดทัพแบบกองโจรออกปล้นสะดม จนทัพพม่าขัดสนเสบียงอาหาร เมื่อทัพพม่าบริเวณทุ่งลาดหญ้าแตกพ่ายไปแล้วกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทจึงยกทัพไปช่วยทางอื่น และได้รับชัยชนะตลอดทุกทัพตั้งแต่เหนือจรดใต้

 

สงครามครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๒๙ สงครามท่าดินแดงและสามสบ

ครั้ง นี้ทัพพม่าเตรียมเสบียงอาหารและเส้นทางเดินทัพอย่างดีที่สุดโดยแก้ไขข้อผิด พลาดต่างๆ จากศึกครั้งก่อน โดยพม่าได้ยกทัพเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ มาตั้งค่ายอยู่ที่ท่าดินแดงและสวนสามสบ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงยกทัพหลวงเข้าตีที่ค่ายดินแดงพร้อมกับให้ทัพของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเข้าตีค่ายพม่าที่สามสบ หลังจากรบกันได้ ๓ วันค่ายพม่าก็แตกพ่ายไปทุกค่าย และพระองค์ยังได้ทำสงครามขับไล่อิทธิพลของพม่าได้โดยเด็ดขาด และตีหัวเมืองต่างๆ ขยายราชอาณาเขต ทำให้ราชอาณาจักรไทยมีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ดินแดนล้านนา ไทยใหญ่ สิบสองปันนา หลวงพระบาง เวียงจันทร์ กัมพูชา และด้านทิศใต้ไปจนถึงเมือง กลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ปะริด และเประ

 

สงครามครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๓๓๐ สงครามตีเมืองลำปางและเมืองป่าซาง

หลังจากที่พม่า พ่ายแพ้แก่ไทยก็ส่งผลทำให้เมืองขึ้นทั้งหลายของพม่า เช่น เมืองเชียงรุ้งและเชียงตุง เกิดกระด้างกระเดื่อง ตั้งตนเป็นอิสระ พระเจ้าปดุงจึงสั่งให้ยกทัพมาปราบปราม รวมถึงเข้าตีลำปางและป่าซาง เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทราบเรื่องจึงสั่งให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทคุมไพร่พล ๖๐,๐๐๐ นาย มาช่วยเหลือ และขับไล่พม่าไปเป็นผลสำเร็จ

 

สงครามครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๓๓๐ สงครามตีเมืองทวาย

ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้เกณฑ์ไพร่พล ๒๐, ๐๐๐ นาย ยกทัพไปตีเมืองทวาย แต่สงครามครั้งนี้ไม่มีการรบพุ่ง เพราะต่างฝ่ายต่างก็ขาดแคลนเสบียงอาหาร รี้พลก็บาดเจ็บจึงโปรดเกล้าฯ ให้ถอยทัพกลับกรุงเทพ

 

สงครามครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๒๓๓๖ สงครามตีเมืองพม่า

ในครั้งนั้นเมืองทวาย ตะนาวศรี และมะริด ได้เข้ามาขอสวามิภักดิ์ต่อไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพไปช่วยป้องกันเมือง แต่เมื่อพระเจ้าปดุงยกทัพมาปราบปรามเมืองทั้งสามก็หันกลับเข้ากับทางพม่าอีก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้ถอยทัพกลับกรุงเทพฯ

 

สงครามครั้งที่ ๖ พ.ศ. ๒๓๔๐ สงครามพม่าที่เมืองเชียงใหม่

เนื่องจากสงครามในครั้งก่อนๆ พระเจ้าปดุงไม่สามารถตีหัวเมืองล้านนาได้ จึงทรงรับสั่งไพร่พล ๕๕,๐๐๐ นาย ยกทัพมาอีกครั้งโดยแบ่งเป็น ๗ ทัพ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึง โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทคุมไพร่พล ๒๐,๐๐๐ นาย ขึ้นไปรวมไพร่พลกับทางเหนือเป็น ๔๐,๐๐๐ นาย ระดมตีค่ายพม่าเพียงวันเดียวเท่านั้นทัพพม่าก็แตกพ่ายยับเยิน

 

สงครามครั้งที่ ๗ พ.ศ. ๒๓๕๕ สงครามพม่าที่เมืองเชียงใหม่ ครั้งที่ ๒

ในครั้งนั้นพระยากาวิละได้ยกทัพไปตีเมืองสาด หัวเมืองขึ้นของพม่า พระเจ้าปดุงจึงยกทัพลงมาตีเมืองเชียงใหม่เพื่อแก้แค้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงทราบ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ส่งกองทัพไปช่วยเหลือ และสงครามครั้งนี้ก็จบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายไทย

กฎหมายตราสามดวง

พระราชกรณียกิจด้านการชำระประมวลกฎหมาย

เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๔๗ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาชำระกฎหมายที่มีอยู่ให้ถูกต้องและสมบูรณ์ เพื่อนำมาใช้เป็นหลักการปกครองต่อไป ซึ่งกฎหมายที่ชำระขึ้นใหม่มีชื่อว่า กฎหมายตราสามดวง มีความยาวเป็นสมุดยกแปด ๓ เล่ม รวม ๑,๖๗๗ หน้า ใช้เวลาในการชำระ ๑๑ เดือน ซึ่งกฎหมายตราสามดวงนี้ได้ใช้มาอย่างยาวนานจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) รวมระยะเวลา ๑๓๑ ปี

พระราชกรณียกิจด้านการปกครอง

การปกครองสมัยนั้นแบ่งเป็นหัวเมืองชั้นในและชั้นนอก ตำแหน่งที่รองลงมาจากพระมหากษัตริย์ คือตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล

ระบบการบริหารมีอัครเสนาบดี ๒ ตำแหน่ง คือ สมุหพระกลาโหม มีหน้าที่ถวายคำปรึกษาแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมุหนายกมีหน้าที่ปกครองดูแลความสงบเรียบร้อยในพระนคร

เสนาบดีจตุสดมภ์ ดูแลด้านต่างๆ มี ๔ ตำแหน่ง ประกอบด้วย

๑. เสนาบดีกรมเมือง หรือ กรมเวียง มีตราพระยมทรงสิงห์เป็นตราประจำตำแหน่ง มีหน้าที่บังคับบัญชารักษาความปลอดภัยให้แก่ราษฎรทั่วไปในราชอาณาจักร

๒. เสนาบดีกรมวัง มีตราเทพยดาทรงพระนนทิกร(โค) เป็นตราประจำตำแหน่งมีหน้าที่บังคับบัญชาภายในพระบรมมหาราชวัง และพิจารณาความคดีแพ่ง

๓. เสนาบดีกรมพระคลัง มีตราบัวแก้วเป็นตราประจำตำแหน่งมีหน้าที่ในการรับ – จ่าย และเก็บรักษาพระราชทรัพย์ที่ได้จากการเก็บส่วยอากร รวมถึงบังคับบัญชากรมท่าและการค้าขายกับต่างประเทศ รวมถึงกรมพระคลังต่างๆ เช่น กรมพระคลังสินค้า

๔. เสนาบดีกรมนา มีตราพระพิรุณทรงนาคเป็นตราประจำตำแหน่ง มีหน้าที่บังคับบัญชาเกี่ยวกับกิจการไร่นาทั้งหมด

พระราชกรณียกิจด้านการฟื้นฟูขนบธรรมเนียม และศิลปกรรม

ขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีการฟื้นฟูขึ้นใหม่ ได้แก่ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีศรีสัจจปานกาลถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา พระราชพิธีอาพาธพินาศ(เป็นพิธีเกี่ยวกับการป้องกันโรคระบาดตามความเชื่อของสมัยก่อน) พระราชพิธีสถาปนาเจ้าประเทศราช พระราชพิธีผนวช พระราชพิธีโสกันต์ พระราชพิธีเหล่านี้ นอกจากทำเพื่อความเป็นสิริมงคล ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่า บ้านเมืองเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว

นอกจากนี้ยังโปรดให้สร้างสิ่งของเครื่องใช้ประกอบพระเกียรติยศสำหรับพระมหากษัตริย์รวมเรียกว่า เครื่องราชูปโภค เป็นงานประณีตศิลป์ที่ทรงคุณค่า เช่น เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ได้แก่ พระมหาพิชัยมงกุฎ พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกรชัยพฤกษ์ พระแส้จามรีกับวาลวีชนี และฉลองพระบาทเชิงงอน เครื่องประดับต่างๆ เช่น พระชฎากลีบ พระสังวาล พระมหาสังข์เครื่องสูง พระแสงราชศาสตราวุธ พระโกศ เครื่องราชูปโภคดังกล่าว ปัจจุบันยังคงอัญเชิญมาใช้ในพระราชพิธีสำคัญเสมอ

พระราชกรณียกิจด้านการทำนุบำรุงพระศาสนา

วัดพระแก้วพระราชกรณียกิจที่สำคัญในการทำนุบำรุงพระศาสนา ได้แก่

การสังคายนาพระไตรปิฎก เป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญที่สุด โดยตั้งคณะสงฆ์ประกอบด้วยสมเด็จพระสังฆราชและพระราชาคณะขึ้นมาเพื่อชำระพระไตรปิฎก เนื่องจากพระไตรปิฎกที่มี อยู่มีความผิดเพี้ยน และบันทึกเป็นหลายอักษร ทั้งอักษรลาว รามัญ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ชำระให้ถูกต้อง และบันทึกเป็นอักษรขอมจารึกลงบนใบลาน แล้วเก็บไว้ที่หอพระมณเฑียรธรรม แล้วสร้างพระไตรปิฎกถวายพระสงฆ์ตามพระอารามหลวงต่างๆ เพื่อได้ใช้ศึกษาต่อไป

การกวดขันสมณปฏิบัติ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนาพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ให้ดำรงสมณศักดิ์รับผิดชอบศาสนาให้รุ่งเรืองต่อไป และได้ทรงตราพระราชกำหนดกฎหมายกวดขันความประพฤติของพระสงฆ์ไว้อย่างเคร่งครัด

การสร้างวัด และการบูรณปฏิสังขรณ์ ทรง มีรับสั่งให้มีการก่อสร้างและซ่อมแซมปฏิสังขรณ์วัดวาอารามจำนวนมากโดยเฉพาะ อย่างยิ่งคือ การสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) พร้อมกับการสถาปนาพระบรมมหาราชวังในปี พ.ศ.๒๓๒๕

ทรงสร้างวัดสุทัศนเทพวราราม และทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) วัดสระเกศ วัดสุวรรณาราม วัดคูหาสวรรค์ วัดระฆังโฆษิตาราม วัดราชบูรณะ วัดนานาวา วัดอรุณรามวราราม(วัดแจ้ง) วัดโมฬีโลกยาราม(วัดท้ายตลาด) วัดสุวรรณดาราราม และพระพุทธบาทสระบุรี เป็นต้น

12580_309983015774941_1652135069_n

 

รวมทั้งโปรดเกล้าฯให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไปอัญเชิญพระพุทธรูปปางต่างๆ ที่ถูกทิ้งร้างไว้ตามวัดในกรุงศรีอยุธยา ลพบุรี และสุโขทัยลงมายังกรุงเทพฯ เพื่อบูรณะซ่อมแซม ก่อนที่จะนำไปประดิษฐานตามวัดวาอาราม เช่น อัญเชิญพระศรีศากยมุนีมาจากวิหารหลวงวัดพระมหาธาตุ เมืองสุโขทัย มาประดิษฐานที่วัดสุทัศนเทพวราราม โดยทรงเสด็จฯร่วมขบวนตั้งแต่ท่าพระจนถึงวัดสุทัศน์ ซึ่งพระพุทธรูปที่รับการปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่นี้มีจำนวนมากกว่า ๑, ๓๐๐ องค์

 

 

พระราชกรณียกิจด้านการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม

รามเกียรติ์ การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ส่วนใหญ่จะเป็นการฟื้นฟูในด้านวรรณกรรมเป็นสำคัญ โดยทรงพระราชนิพนธ์ด้วยพระองค์เองบ้าง กวีและผู้รู้เขียนขึ้นมาบ้าง และด้วยความที่พระองค์ทรงสนพระทัยในงานด้านวรรณศิลป์เป็นอย่างมาก จึงได้ทรงพระราชนิพนธ์งานวรรณกรรมที่ทรงคุณค่าไว้จำนวนหนึ่ง ที่รู้จักกันดีได้แก่ พระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ อันเป็นสุดยอดวรรณคดี เอกของไทย ดังจะเห็นได้ว่าเรื่องราวของวรรณคดีเรื่องนี้ปรากฏอยู่ในงานศิลปะแขนงต่างๆ มากมาย เช่น จิตรกรรมฝาผนังตามโบสถ์วิหารต่างๆ หรือการแสดงโขน เป็นต้น ซึ่งรามเกียรติ์ฉบับรัชกาลที่ ๑ นี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระราชนิพนธ์ลงในสมุดปกดำแบบโบราณ ความยาวประมาณ ๑๐๒ เล่มจบ นับว่าเป็นวรรณคดีไทยที่มีความรามเกียรติ์ยาวมากเรื่องหนึ่ง

 

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงอยู่ในสิริราชสมบัตินาน ๒๘ ปีเศษ เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ.๒๓๕๒ รวมพระชนมายุได้ ๗๔ พรรษา พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มี พระอัจฉริยภาพรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการสงคราม ศาสนา การปกครองและศิลปวัฒนธรรม ทรงเป็นผู้ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานีใหม่ และฟื้นฟูบ้านเมืองในทุกด้านให้มีความรุ่งเรืองสง่างามเทียบเท่ากับกรุง ศรีอยุธยาราชธานีเก่า ซึ่งนับว่าเป็นความยากลำบากอย่างมาก แต่พระองค์ก็ทำจนสำเร็จ ในพ.ศ.๒๕๒๕ โอกาสมหามงคลสมัยสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ครบรอบ ๒๐๐ ปีทั้งฝ่ายรัฐบาล และปวงชนชาวไทยจึงพร้อมใจกันถวายพระราชสมัญญา “มหาราช” ต่อท้ายพระนามของพระองค์ เพื่อรำลึกถึงเกียรติประวัติอันยิ่งใหญ่ของพระองค์สืบไป

แก้ไขล่าสุด ใน วันเสาร์ที่ 05 เมษายน 2014 เวลา 11:58 น.
 

จากใจ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล

พิมพ์ PDF

ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย
: สถาบันขรก.ต้องเป็นหลัก ไม่ใช่ระบบการเมืองที่ล้มเหลว

"...เมื่อใดที่ประชาธิปไตยกลายเป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัว ทุจริตคดโกง โกหกหลอกลวง ผู้บริหารปราศจากทั้งหลักคุณธรรมและความรู้ความสามารถ ผู้คนในชาติแตกแยก ไม่เคารพต่อตัวบทกฎหมาย เมื่อนั้นเราไม่สามารถเรียกได้ว่าประชาธิปไตยอีกต่อไป แต่คงต้องเรียกว่า "รัฐที่ไม่ยึดมั่นหลักธรรมาภิบาลยังผลให้เกิดความล่มสลายในความเป็นรัฐ"..."

"ความในใจจากพี่ถึงน้องๆ ข้าราชการ" เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน / 1 เม.ย. 57

หากคิดเพียงแค่ตัวข้าพเจ้าหรือเพื่อนๆ ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันซึ่งมากแล้วก็พอทำเนา ที่เราจะอดทนอดกลั้นกันไปกับสถานการณ์บ้านเมืองที่ตกต่ำถึงเพียงนี้ตั้งแต่จำความได้ แต่ข้าพเจ้ามีความเข้าใจและเห็นใจพ่อแม่พี่น้องประชาชนอย่างสุดซึ้ง รวมถึงน้องๆ ข้าราชการรุ่นหลังๆ ที่คงจะกำลังเกิดความสับสนทางความคิดว่า เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรในบ้านเมืองไทย

ข้าพเจ้าใคร่ขอให้มองในมุมกลับ น้องๆ ข้าราชการในยุคนี้จะมีความเข้มแข็งอย่างมากยิ่งกว่าพวกพี่ ภายหลังประเทศชาติผ่านพ้นเหตุการณ์ช่วงนี้ไปได้ และมันจะไม่มีวันวกกลับมาหาเราอีก มันเป็นฝันร้ายของคนไทยที่ต้องมาพบกับระบบการเมืองการบริหารที่ปราศจากคุณภาพและหลักจริยธรรมจรรยาทางการปกครองที่น้อยนักสำหรับประเทศใดๆ ในโลกจะต้องเผชิญต่อชะตากรรมเช่นนี้ ถือเป็นโชคร้ายของเราที่เราทุกคนจะต้องร่วมกันฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคทั้งหลายเหล่านี้กันไปให้ได้

จงจดจำกันไว้เถิดว่า "Democracy หรือประชาธิปไตย" หาใ่ช่แปลว่า การใช้สิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันมีความหมายอันลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นมาก กล่าวคือ ครอบคลุมถึงเรื่องจริยธรรมทางการปกครอง ความซื่อสัตย์สุจริต ความกตัญญูรู้คุณต่อบ้านเมืองและเพื่อนร่วมชาติ ความมีวุฒิภาวะและเปี่ยมด้วยคุณธรรมความรู้ของผู้ถืออำนาจรัฐ และความเสียสละของทุกผู้ทุกฝ่ายเพื่อการดำรงอยู่ของชาติ

ผู้เป็นปราชญ์ราชบัณฑิตชาวตะวันตกเคยกล่าวกับข้าพเจ้าเองว่า เมื่อใดที่ประชาธิปไตยกลายเป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัว ทุจริตคดโกง โกหกหลอกลวง ผู้บริหารปราศจากทั้งหลักคุณธรรมและความรู้ความสามารถ ผู้คนในชาติแตกแยก ไม่เคารพต่อตัวบทกฎหมาย เมื่อนั้นเราไม่สามารถเรียกได้ว่าประชาธิปไตยอีกต่อไป แต่คงต้องเรียกว่า "รัฐที่ไม่ยึดมั่นหลักธรรมาภิบาลยังผลให้เกิดความล่มสลายในความเป็นรัฐ"

สถานการณ์ในวันนี้ จำต้องมีคำตอบอยู่ในใจไทยทุกคน เราคนไทยจะอยู่กันเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ประเทศชาติไม่มีขื่อไม่มีแป กองทัพไทยที่ต้องเป็นหลัก สถาบันข้าราชการที่ต้องเป็นหลัก ไม่ใช่ระบบการเมืองการบริหารที่ล้มเหลว เป็นโอกาสสุดท้ายที่พี่น้องและเพื่อนข้าราชการทุกหมู่เหล่าจะต้องช่วยกันขบคิดและกราบเรียนปรึกษาหารืออดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทุกท่าน เพื่อหาหนทางแก้วิกฤติสถานการณ์ในการดำรงรักษาประเทศชาติให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย.

จากใจพี่ถึงน้องๆ ข้าราชการทุกท่าน
ม.ล. ปนัดดา ดิศกุล

-------------------------------------------

แก้ไขล่าสุด ใน วันพฤหัสบดีที่ 03 เมษายน 2014 เวลา 12:12 น.
 

ชีวิตที่พอเพียง : ๒๑๓๒. ระบบที่ไร้การเชื่อมต่อ

พิมพ์ PDF

บ่ายวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๗ มีการประชุมคณะกรรมการชี้ทิศทาง โครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยระบบการเรียนรู้ ที่ ทีดีอาร์ไอ   ผมได้รับความรู้เรื่องพฤติกรรมในระบบบริหารการศึกษาของประเทศไทย     ที่ทำให้ผมเขียนบันทึกนี้

ผมได้รับฟังว่า ผู้บริหารของหน่วยงานเดียวกันไม่เคยคุยปรึกษาหารือเพื่อประสานงานกันเลย    ไมมีการประสานงาน ภายในหน่วยงานเดียวกัน และข้ามหน่วยงาน    คำว่าหน่วยงานในที่นี้หมายถึง ๕ แท่งในกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานอิสระ ด้านการศึกษา

ผมจึงบอกตัวเองว่า    หน่วยงานด้านการศึกษาทำงานในหน้าที่ของตนไม่สำเร็จ     เพราะมี independence  โดยไม่มี inter-dependence

ระบบการศึกษา เป็นระบบที่ซับซ้อน    และต้องมีพลวัตสูง เป็นธรรมชาติ     นี่คือ complex-adaptive system ซึ่งจะต้องมีคุณสมบัติที่ส่วนประกอบย่อย ต้อมมีคุณสมบัติ หรือพฤติกรรม independent ต่อกัน    แต่ก็มี inter-dependence ต่อกัน    แต่ระบบบริหารการศึกษาไทย ขาด inter-dependence    จึงเป็นระบบที่แยกกันทำงาน เป็นเสี่ยงๆ (fragmented)     จึงเป็นธรรมดา ที่จะไม่สามารถบริหารให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่มีคุณภาพสูงได้

แต่ยังมียิ่งกว่านั้น    อดีตผู้บริหารระดับสูงมาก บอกว่า     ในกระทรวงศึกษาธิการ การเมืองล้วงลึกมาก     จนฝ่ายบริหารไม่สามารถบริหารเพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาได้     ท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจนะครับว่า การเมืองล้วงลึกเพื่ออะไร

ผมจึงเล่าให้ที่ประชุมว่า ผมตีความว่า รัฐบาลชุดที่กำลังรักษาการอยู่ในปัจจุบัน แต่งตั้งข้าราชการระดับสูง ที่เป็นคนที่ “สนองนโยบาย” ได้    ซึ่งหมายความว่า เข้าใจขั้นตอนของระบบราชการพอที่จะช่วยเอื้อให้เงินงบประมาณไหลไป ณ จุดที่นักการเมืองต้องการได้    โดยไม่ทักท้วงว่ามันไหลไปเข้ากระเป๋าใคร    ส่วนเรื่องความสามารถในการทำงานให้บรรลุผลจริงๆ นักการเมืองในรัฐบาลนี้ไม่ใส่ใจ

ผมเข้าใจประเด็นนี้ สมัยที่ผมทำหน้าที่ประธาน กกอ.    เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในสมัยนั้น (คือนายวรวัจน์) แต่งตั้งคนมาเป็นเลขาธิการ กกอ.    ผมก็เข้าใจวิธีเลือกคนทันที และผมส่งใบลาออกจากประธาน กกอ. ทันที

ระบบการศึกษาไทย เน่าเฟะจากการเข้าไปแสวงประโยชน์โดยนักการเมืองที่ไร้คุณธรรม     ทำลายระบบการทำงานเพื่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาไปจนเกือบหมดสิ้น

ในการดำเนินการฟื้นฟูบูรณะประเทศไทยครั้งใหญ่ ที่เรียกว่าปฏิรูปประเทศไทย     ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้     การปฏิรูประบบการศึกษา เป็นเรื่องในลำดับความสำคัญต้นๆ     ต้องการการปฏิรูปในระดับ ยุบกระทรวงศึกษาธิการ    เพื่อกวาดล้างระบบชั่วร้ายและระบบที่ผิดพลาด ที่หมักหมมมานาน

 

 

๖ มี.ค. ๕๗

 

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย 

แก้ไขล่าสุด ใน วันพฤหัสบดีที่ 03 เมษายน 2014 เวลา 22:14 น.
 


หน้า 368 จาก 561
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5644
Content : 3068
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8744839

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า