Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

เชิญชม เสวนาสด "คิดเป็นเห็นทาง" รายการ เปลี่ยน เป็น เปลี่ยน วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2563 เวลา 18.00-19.00 น

พิมพ์ PDF

เชิญชม เสวนาสด  “คิดเป็นเห็นทาง” ในรายการ “เปลี่ยนเป็นเปลี่ยน

” วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2563 เวลา 18.00-19.00

ทางสถานีโทรทัศน์โลกพระพุทธศาสนาเฉลิมพระเกียรติ  (WBTV) วัดยานนาวา       

ผู้ดำเนินรายการ

 

มล.ชาญโชติ  ชมพูนุท          ประธานมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์

         

แขกรับเชิญ

 

อาจารย์สมพร มูสิกะ          ผู้อำนวยการ สถาบันหลักนิติธรรม

 

คุณกษิณ ชำนาญชานันท์     กรรมการบริหาร บริษัทกษรา กฎหมายและธุรกิจ

                                               

 

สามารถรับชมทาง ทีวี ผ่านจานดาวเทียม ตามช่องต่าง ๆดังนี้

·     ทางกล่องดาวเทียมค่าย GMM ช่อง 175

·     ทางกล่องดาวเทียมค่าย PSI ช่อง 239

·     ทางกล่องดาวเทียมค่าย CTH  ช่อง 870

·     ทางกล่องดาวเทียมค่าย  Infosat ;Thaisat; Indeasat ; Leotech ช่อง 189

 

(ออกอากาศซ้ำวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน 2563 เวลา 9.30-10.30 น)


 

เรียนรู้ทำความเข้าใจกับ "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

พิมพ์ PDF

12 ความจริงของภาษีกูที่หนูหนูยังเข้าใจไม่ถูกต้อง

 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ประเด็นภาษีกูที่ม็อบปลดแอกและคณะราษฎร (2563) เข้าใจไม่ถูกต้องและเอามาเป็นข้ออ้างในการปลุก ระดมมวลชนอย่างได้ผลนั้นมีอยู่มากมาย จึงขอชี้แจงให้เข้าใจให้ถูกต้องเป็นข้อๆ ดังนี้ดังนี้

 

 1.ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินส่วนพระองค์อันเป็นพระราชมรดกตกทอดได้ถูกแยกขาดออก จากทรัพย์สินของแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่ให้ปะปนกัน

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงปฏิวัติสยาม โปรดให้เลิกทาส ทรงให้คนสยามเป็นเจ้าของ กรรมสิทธิ์ที่ดินและโฉนดที่ดินได้ ทรงให้แยกพระคลังข้างที่หรือทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ออกจากทรัพย์สินแผ่นดิน อย่างเด็ดขาด

 2. ทรัพย์สินส่วนพระองค์ คือทรัพย์สินพระราชมรดกของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นเป็นการเฉพาะ ครับ ราชสกุลมหิดล มีทรัพย์สินส่วนพระองค์เยอะ เพราะสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี สมเด็จพระพันวัสสา อัยยิกาเจ้า ย่าของในหลวง ร.9 ทรงเป็นคนประหยัด ค้าขายเก่ง ขยัน จนรัชกาลที่ 5 ตรัสเสมอว่า แม่กลางร่ำรวย สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงขยันทำนา ทำโรงสีข้าว ทอผ้าไหม (ศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง อาจจะทรงดำเนินรอยตามสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าก็ เป็นได้) อย่างเช่นที่ดินหมู่บ้านสัมมากรที่รามคำแหงก็เกิดจากสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จทางเรือไปตาม คลองแสนแสบเพื่อทรงหาซื้อที่ดินเพื่อการทำนา และต่อมาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จย่า) ก็ ทรงนำมาจัดสรรให้ประชาชนที่มีสัมมาชีพมีรายได้ไม่มากนักได้มีโอกาสเป็นเจ้าของบ้าน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นทรัพย์สิน ส่วนพระองค์ในราชสกุลมหิดลทั้งสิ้น

3. ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คือ พระราชมรดกตกทอดแห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ เป็นทรัพย์สิน ของสถาบันพระมหากษัตริย์และย่อมจะสืบทอดต่อไปยังพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ถัดไปในอนาคต เป็นพระราช ทรัพย์ของราชวงศ์จักรี หาได้เป็นทรัพย์ของแผ่นดินไม่ ที่มาของพระราชทรัพย์นี้ที่สำคัญที่สุดคือเงินถุงแดง อันเกิดจากการที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัวตั้งแต่ครั้งทรงเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงแต่งสำเภาไปค้าขาย ได้เงินตราต่างประเทศมาเท่าไหร่ก็ ทรงใส่ถุงแดงตีตราครั่งวางไว้ข้างพระแท่นที่บรรทม แต่ทรงค้าขายดีมีกำไรมากจนต้องมีห้องเก็บเงินถุงแดงเป็นการ เฉพาะ เกิดคำว่าพระคลังข้างที่ (พระบรรทม) ขึ้นมา และเงินถุงแดงนี้ก็ได้ใช้กู้ชาติบ้านเมืองเมื่อคราวเกิด วิกฤติการณ์ รศ. 112 ที่พระพุทธเจ้าหลวงได้ทรงใช้เงินของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเก็บไว้ให้ พระเจ้าแผ่นดินในอนาคตทรงกู้บ้านกู้เมืองให้ชาติไทยมีเอกราช จนทุกวันนี้ (และคนไทยยังไม่ได้ใช้หนี้เหล่านี้ถวาย คืนพระบรมราชจักรีวงศ์เลยแม้แต่น้อย) นี่คือที่มาของคำว่าพระคลังข้างที่ (คือข้างที่พระบรรทม) เงินถุงแดงข้างแท่นพระบรรทม เป็นเงินเหรียญนก ทำจากทอง ของเม็กซิโก

 พระคลังข้างที่ มีส่วนผลักดันเศรษฐกิจไทยอีกมาก เช่น การก่อตั้งกิจการธนาคารในประเทศไทย คือ ธนาคารสยามกัมมาจล ในสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมา คือธนาคารไทยพาณิชย์ ในปัจจุบัน ก่อตั้งบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด เพื่อผลิตซิเมนต์ใช้เองในการพัฒนาประเทศ เตาเผาปูนแห่งแรกคือที่บางซื่อเป็นเตาเผาเปียก ใช้ดินขาวที่ขุด ได้ที่บางซื่อเองเผาปูนซิเมนต์ กิจการทั้งสองคือธนาคารไทยพาณิชย์และเครือซิเมนต์ไทยเติบโตเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างหุ้นปูนซิเมนต์ไทยมีมูลค่ามากกว่าร้อยเท่าตัวนับแต่วันที่เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แทบจะ เป็นหุ้นไทยเพียงไม่กี่ตัวที่มีมูลค่าตั้งแต่เข้าตลาด (Value since its inception) เกินกว่าร้อยเท่า ในอดีตกรมพระคลังข้างที่ดูแลทรัพย์สินพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินส่วนพระองค์ ต่อมากลายเป็น สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ปัจจุบันคือสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และพระคลังข้างที่ สังกัด สำนักพระราชวัง

 4.ทั้งนี้พระราชอำนาจในการจัดการพระราชทรัพย์ของพระเจ้าแผ่นดิน ได้ถูกปล้นไปโดยคณะราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม เอาที่ดินขายให้พวกตัวเองกันในราคาถูก ๆ เอาเข้ากระเป๋า ตัวเอง จนทุกวันนี้ ลูกหลานของขุนนิรันดรชัย ยังฟ้องร้องแย่งชิงมรดกที่ดินแปลงงามที่ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ไปปล้นซื้อมาราคาถูกแสนถูกจากกรมพระคลังข้างที่ แล้วก็มาลิดรอนพระราชอำนาจในการจัดการทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ โดยการออกพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ฉบับ พ.ศ.2479 ให้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ดูแลรักษาการ พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ฉบับ พ.ศ.2484 ให้กระทรวงการคลังดูแล และ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน ส่วนพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ฉบับ พ.ศ.2491 ให้มีการจัดตั้งสำนักงาน ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน โดยตำแหน่ง ทั้งหมดนี้เป็นการลิดรอนสิทธิในการถือครองทรัพย์อันเป็นพระราชมรดก และการลิดรอนพระราชอำนาจ ตลอดจนสิทธิส่วนบุคคลในการถือครองทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ เพราะคณะราษฎรไม่ต้องการให้สถาบัน พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจใด ๆ เลย การยึดพระราชทรัพย์ทั้งหมดของพระเจ้าแผ่นดินกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาได้ จะทำให้พระเจ้า แผ่นดินทรงงานใด ๆ ไม่ได้เลยใช่หรือไม่ เพราะไม่มีพระราชทรัพย์ที่จะทรงงาน และที่จะพระราชทานให้เป็น ประโยชน์แก่ประชาชนและสาธารณะเลยใช่หรือไม่? ทั้งหมดนี้พูดง่าย ๆ คือไม่ต้องการให้พระเจ้าแผ่นดินทรงงาน เพราะกลัวพระเจ้าแผ่นดินจะมีพระราชบารมี และทำให้พวกตนอันมีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองไปเป็นระบอบสาธารณะ ทำได้ยากมาก จะทำให้ล้มเจ้าได้ยากมาก ใช่หรือไม่?

จอมพลแปลก พิบูลสงคราม คณะราษฎร นายกรัฐมนตรีผู้ลิดรอนพระราชอำนาจในการจัดการทรัพย์สินส่วน พระองค์และพระมหากษัตริย์ ตราประจำตัวจอมพลป. พิบูลสงครามคือตราไก่ (เพราะจอมพล ป. เกิดปีระกา) เอา ตีนไก่เหยียบคีบคฑาจอมพลพระครุฑพ่าห์ (อันเป็นสัญลักษณ์แห่งองค์จอมทัพไทยและพระครุฑพ่าห์ คือตรา แผ่นดิน)

 5. พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ 2560 และ 2561 ทั้งทรัพย์สินส่วนพระองค์ (พระเจ้าแผ่นดินในฐานะตัวบุคคล) และทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (พระเจ้าแผ่นดินในฐานะสถาบัน พระมหากษัตริย์) ดูแลจัดการโดยสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ที่เปลี่ยนมาจากสำนักงานทรัพย์สินส่วน พระมหากษัตริย์ โดยที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งกรรมการสำนักงานได้ตามพระราชอัธยาศัย ทำให้ทรงจัดการพระราชทรัพย์ได้สะดวกและเป็นประโยชน์ได้ง่ายขึ้น ทำให้ทรงเสียภาษีอย่างถูกต้องได้ทั้งหมด ทำให้ทรงได้รับสิทธิ์อันชอบธรรมในการดูแลพระราชมรดกแห่งพระราชวงศ์จักรี ทำให้ทรงงานและทรงใช้พระราชทรัพย์ในการทรงงานเพื่อเป็นประโยชน์แก่ประชาชน สืบสาน ต่อยอด พระราชดำริแห่งในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อให้ประเทศมีการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไปได้

ตัวอย่างหนึ่งคือ การที่พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานที่ดินมากมายที่เคยอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงาน ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปเป็นสาธารณประโยชน์ และทรงยกให้หน่วยราชการจำนวนมาก โดยที่ไม่ทรง เสียดายพระราชทรัพย์แต่ประการใดเลยมีมูลค่านับหลายแสนล้านบาท ไม่ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและ ราชการหรือ?

วังลดาวัลย์ ที่ตั้งสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในปัจจุบัน

 6. สำนักงานพระคลังข้างที่ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ยังคงดำรงอยู่ในฐานะหน่วยงาน เล็กๆ ในสำนักพระราชวัง ปัจจุบันอยู่ในสังกัด กรมบังคับการสำนักพระราชวัง มีหน้าที่ดูแลเงินปีเจ้านายทุก พระองค์ตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไปที่พระราชทาน ยังคงมีที่ดินให้เช่าอยู่บ้าง ดูแลมูลนิธิอานันทมหิดล ดูแลผลประโยชน์ ของมรดกพระบรมวงศานุวงศ์แต่ละพระองค์ หรือกล่าวง่ายๆ ว่า สำนักงานพระคลังข้างที่ ไม่ได้ดูแลทรัพย์สินส่วน พระองค์และทรัพย์สินพระมหากษัตริย์แล้ว แต่ดูแลทรัพย์สินพระราชมรดกของพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจ น กิจการด้านการเงินอื่นๆ

ตราเครื่องหมายสำนักพระราชวัง เป็นพระมหามงกุฎผูกลายแพรแถบ ภายใต้พระมหามงกุฎมีตราอุณาโลมและเลข สิบไทย

7. ส่วนกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ(ปัจจุบันกระทรวงการคลัง) ดูแลทรัพย์สินของแผ่นดิน เช่น กรมธนา รักษ์ ดูแลที่ราชพัสดุ เป็นต้น แต่สำนักทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน กรมธนารักษ์ก็ดูแลทรัพย์สินแผ่นดินอันเป็นสา ธารณสมบัติของชาติที่เกี่ยวเนื่องกับพระราชวงศ์จักรีด้วย อันได้แก่ เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภค พระบรมโกศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเครื่องยศ เป็นต้น

8. เดิมทีที่ดินทุกหย่อมหญ้าในประเทศไทยย่อมเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน อันหมายความว่าทรงเป็นพระผู้ ทรงเป็นเจ้าของแผ่นดินทั่วราชอาณาจักร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระเมตตาต่อประชาชน อยากให้ประชาชนได้มีที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง จึงโปรดให้ตั้งกรมที่ดินและกรมแผนที่ขึ้น ทรงจ้างฝรั่งสองคน มาเป็นอธิบดีกรมที่ดิน (มิสเตอร์ดับบลิว เอ. เกรแฮม) และอธิบดีกรมแผนที่ (เฮนรี่ อาลาบาสเตอร์) ต้นตระกูลเศวต ศิลา เพราะไทยเรายังทำแผนที่และรังวัดที่ดินไม่เป็น

ตราเครื่องหมายกรมธนารักษ์ กรมที่ดิน และกรมแผนที่ทหาร ที่ราชพัสดุเป็นที่ของราชการ ดูแลโดยกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ที่ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์และที่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ดูแลโดย กรมพระคลังข้างที่ หรือปัจจุบัน สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ที่ดินพระราชมรดกของพระบรมวงศานุวงศ์ ดูแลโดยสำนักงานพระคลังข้างที่ กรมสนับสนุน สำนัก พระราชวัง ที่เฉพาะของหน่วยราชการอื่นๆ ที่เวนคืน มาเป็นกรรมสิทธิ์ ได้แก่ ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นต้น ที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่ที่ราชพัสดุ อย่างที่นายสุรชัย ชัชวาลพงษ์พันธ์ พยายาม บิดเบือน เป็นคนละส่วนกันมาตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ควรไปศึกษาประวัติศาสตร์มาให้ถูกต้องเสียก่อน

9. พระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีไม่ทรงรับเงินปีที่รัฐบาลถวายพระองค์ละ 60 ล้านบาทต่อปี มาตั้งแต่ทรง ขึ้นครองราชย์และสถาปนา

10. สำนักพระราชวัง ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินเฉพาะหมวดค่าจ้างเงินเดือน หมวดค่าดำเนินการ และ หมวดค่าสาธารณูปโภค พระเจ้าอยู่หัวทรงห้ามสำนักพระราชวังตั้งของบพัสดุ ครุภัณฑ์ และงบอื่นใดๆ จาก สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ทั้งๆ ที่ทรงตั้งงบประมาณได้ เช่นเดียวกันกับหน่วยราชการอื่นๆ แต่ทรงไม่โปรดให้ทำเช่นนั้น การตั้งเบิกต้องตั้งฎีกาไปที่กรมบัญชีกลางเช่นเดียวกันกับกระทรวงทบวงกรมอื่นๆ ทุกประการ ต้องเสีย ภาษีหัก ณ ที่จ่าย และต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ทุกรายการที่กฎหมายกำหนดเช่นเดียวกับประชาชนทุกคน ข้าราชการในสำนักพระราชวังแทบทุกคนที่ต้องซื้อของจะมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของสำนักพระราชวังเพื่อขอ ใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มแบบเต็มรูปแบบ หากต้องซื้อของและตั้งฎีกาเบิกเงิน งบประมาณสำนักพระราชวังนี้ ประเทศต่าง ๆ ที่ปกครองด้วยระบอบ Constitutional monarchy ทั่ว โลก ก็ต้องมีงบประมาณในส่วนนี้เหมือนกันทั้งโลก และรัฐบาลก็จัดถวายทุกประเทศทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น the Imperial Household Agency ของประเทศญี่ปุ่น Royal Households of the United Kingdom ของสหราช อาณาจักร ปัจจุบันสำนักพระราชวังมีบุคลากรทั้งสิ้นประมาณหนึ่งหมื่นคน และได้รับงบประมาณปีละหกพันแปดร้อย ล้านบาท ซึ่งไม่ได้ถือว่ามากแต่อย่างใด จำนวนอัตราข้าราชการในสำนักพระราชวังถูกควบคุมและจำกัดโดยกฎเกณฑ์ของสำนักงานข้าราชการพล เรือน (กพ) เช่นเดียวกับทุกกระทรวง ทบวง กรม

11. พระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเงินท้ายที่นั่งอันเป็นดอกผลและกำไรแห่งพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์แบ่ง ออกเป็นบัญชีแม่บ้าน 1 และบัญชีแม่บ้าน 2 เพราะใช้ประโยชน์วัตถุประสงค์ต่างกัน และทรงใช้อย่างประหยัดมาก เช่น -ไม่มีการให้ข้าราชการสำนักพระราชวังเบิกค่าล่วงเวลา -การจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงข้าราชการสำนักพระราชวัง เป็นไปตามอัตราที่ทางราชการกำหนด หากไปทำงานใน จังหวัดหรือท้องที่ใดๆ ที่มีการจัดที่พักของทางราชการให้หรือมีการเลี้ยงอาหารพระราชทาน ไม่ทรงให้เบิกค่าเบี้ย เลี้ยงใดๆ ทั้งสิ้น -ห้ามมีรถประจำตำแหน่ง แม้กระทั่งองคมนตรีก็ไม่มีรถประจำตำแหน่ง มีรถหลวงให้เรียกใช้บริการเป็น ส่วนกลางทุกคน มีรถพระประเทียบกลางสำหรับองคมนตรีและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในการไปทำงานแทนพระองค์ -การจะขอซื้อพัสดุหรือครุภัณฑ์ใดๆ ในสำนักพระราชวัง ใช้เงินท้ายที่นั่งที่ทรงออกเอง ต้องกราบบังคมทูล พระกรุณา ทำให้ทุกคนพยายามประหยัดให้มากที่สุด

 12. พระเจ้าอยู่หัวทั้งยังทรงใช้จ่ายเงินท้ายที่นั่งเพื่อกิจการอันเป็นประโยชน์แก่ประชาชนอยู่เนืองๆ เป็น จำนวนมาก แม้เงินงบประมาณของสำนักพระราชวังขาดไปก็ทรงจ่ายเอง

หากสังเกตอินทรธนูของพนักงานสำนักพระราชวัง ที่ปัก ตัว ททน อันย่อมาจาก ท้ายที่นั่ง ให้พึงทราบว่า เงินเดือนค่าจ้างของพนักงานสำนักพระราชวังผู้นั้น พระเจ้าอยู่ทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จ่ายเองในการ ว่าจ้างพนักงานคนนั้น

อินทรธนู ททน ภายใต้พระมหามงกุฎ เครื่องหมายของสำนักพระราชวัง ตัวเลขข้างใต้ตัวอักษร ททน คืออายุ ราชการของผู้ใส่อินทรธนู ททน คำว่า ททน ย่อมาจาก เงินท้ายที่นั่ง อันเป็นเงินพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ที่พระ เจ้าอยู่หัวทรงออกค่าจ้างเงินเดือนเอง เมื่อได้รู้รายละเอียดและข้อเท็จจริง เกี่ยวกับ ภาษีกู ทั้ง 12 ประการนี้ แล้ว หนูๆ ก็ควรไปพิจารณาดูว่า ตกลงมีภาษีกูเท่าไหร่ ภาษีกูที่มีคือเงินเดือนข้าราชการในสำนักพระราชวัง ถ้าเช่นนั้นเจอหน้าข้าราชการ กระทรวง ทบวง กรม ไหนก็ตาม ก็ต้องไปตะโกนใส่ว่าภาษีกู แบบเดียวกันให้เท่าเทียมกันนะน้อง อย่าเลือกปฏิบัติ อย่าสอง มาตรฐาน ขอขอบคุณ


 

คนมีความสุข

พิมพ์ PDF

คนที่มีความทุกข์ส่วนใหญ่ เมื่อเห็นคนที่มีความสุข มักมีคำถามในใจว่า...
      
“ทำไมเขามีความสุขจัง ทั้งๆที่บ้านก็ไม่ได้รวย”
      
“ทำไมเขามีความสุขจัง ทั้งๆที่หน้าตาก็ไม่สวย”
      
“ทำไมเขามีความสุขจัง ทั้งๆที่เป็นแค่พนักงานรักษาความปลอดภัย”
      
“ทำไมเขามีความสุขจัง ทั้งๆที่ไม่มีของดีๆกิน”
      
ฯลฯ
      
      
คำตอบก็คือ...
      
ความสุขไม่ได้เกิดจากความร่ำรวย รูปร่างหน้าตาดี หน้าที่การงานสูง การกินดีอยู่ดี ฯลฯ แต่ความสุขเกิดจากสิ่งที่อยู่ภายในตัวเรา เกิดจากความคิดจิตใจที่ดีงาม เกิดจากร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์
      
      
คนที่มีความสุขจึงมักจะทำอะไรแตกต่างจากผู้อื่น ดังนั้น หากอยากมีความสุขอย่างแท้จริง ก็ต้องหันมาปรับเปลี่ยนตัวเอง และเรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องที่คนมีความสุขทำอย่างสม่ำเสมอ
       
      
1. ให้อภัยและลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจ
      
      
คนมีความสุขรู้ว่า การให้อภัยและลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการมีความสุข เพราะหากยังเก็บความรู้สึกแย่ๆไว้ นั่นหมายถึงตัวเรายังรู้สึกไม่พอใจ โกรธ เสียใจ ฯลฯ ซึ่งเป็นอารมณ์ไม่ดีที่ขัดขวางหนทางแห่งความสุข
      
      
2. มีความรักความเมตตา
      
      
คนมีความสุขมักเป็นคนที่มีความรักความเมตตา เรียนรู้ที่จะรักตัวเอง ด้วยการทำสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นกับตัวเองเสมอ และเผื่อแผ่ความรักความเมตตาไปยังคนรอบข้าง ซึ่งไม่เพียงทำให้ผู้อื่นมีความสุข แต่ยังทำให้ตัวเองมีความสุขไปด้วย เพราะเมื่อแสดงความรักความเมตตาต่อผู้อื่น สมองจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา
      
      
3. เข้าใจผู้อื่น
      
      
คนมีความสุขเข้าใจดีว่า คนเราล้วนมีทั้งสิ่งดีและไม่ดีในตัวเอง เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน ดังนั้น จึงพยายามเข้าอกเข้าใจผู้อื่นให้มากขึ้น ซึ่งนั่นก็หมายถึงความสุขที่เพิ่มขึ้นด้วย
      
      
4. มองปัญหาเป็นสิ่งท้าทาย
      
      
คนมีความสุขรู้จักปรับเปลี่ยนทัศนคติ ว่าเมื่อใดก็ตามที่เจอปัญหา ก็จะขจัดปัญหานั้นๆออกจากใจจนหมดสิ้น และมองว่าปัญหาไม่ได้เป็นปัญหา แต่เป็นเรื่องท้าทาย หรือเป็นโอกาสใหม่ๆที่อาจทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
      
      
5. พอใจในสิ่งที่มี
      
      
คนมีความสุขจะพึงพอใจสิ่งที่มีในชีวิต ทำให้มีอารมณ์ดี สามารถจัดการความเครียด และไปถึงเป้าหมาย ได้ดีกว่าคนที่ไม่พอใจในสิ่งที่มี ซึ่งต้องดิ้นรนทุกวิถีทาง จนทำให้เกิดความทุกข์
      
      
6. พูดถึงผู้อื่นในแง่ดี
      
      
คนมีความสุขไม่ชอบนินทาผู้อื่น เพราะเห็นว่าการนินทาว่าร้ายเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และคนที่ชอบนินทาผู้อื่น มักไม่มีใครคบ ดังนั้น จึงมักจะพูดถึงคนอื่นในแง่ดีเสมอ
      
      
7. อยู่ท่ามกลางคนคิดบวก
      
      
คนมีความสุขจะพาตัวเองเข้าไปคลุกคลีกับกลุ่มคนที่มองโลกในแง่ดีและมีความสุข เพราะการอยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้ จะได้รับพลังด้านดีจากพวกเขามาโดยไม่รู้ตัว
      
      
8. ไม่เสียเวลากับเรื่องเล็กๆน้อยๆ
      
      
คนที่มีความสุขไม่มัวหมกมุ่นเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แม้ว่าเรื่องนั้นจะผ่านมาเป็นปี เป็นเดือน หรือแม้แต่แค่วันเดียว เพราะรู้จักปล่อยวางเรื่องกวนใจเล็กๆน้อยในแต่ละวันไว้ข้างหลัง การปล่อยวางมันได้ จะทำให้หลุดพ้นจากอารมณ์ด้านลบ และเปิดทางให้ความสุขเข้ามาแทนที่
      
      
9. ไม่โทษใคร
      
      
คนมีความสุขเต็มใจยอมรับเมื่อทำผิดพลาด และถือเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้ เพื่อทำให้ดียิ่งขึ้นในครั้งหน้า ดีกว่าการกล่าวโทษผู้อื่นว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้ล้มเหลว เนื่องจากการทำเช่นนั้น เท่ากับว่ายังจมปลักกับมันอยู่
      
      
10. ไม่เปรียบเทียบ
      
      
คนมีความสุขรู้ว่า ชีวิตของใครก็ของมัน แต่ละคนล้วนมีวิถีทางของตัวเอง ดังนั้น จึงไม่นำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แม้จะมองว่าตัวเองดีกว่าก็ตาม เพราะการกระทำเช่นนั้น ไม่ได้ทำให้มีความสุข แต่กลับเป็นการบ่มเพาะนิสัยไม่ดีที่ชอบตัดสินผู้อื่นและคิดว่าตนเองเหนือกว่า
      
      
10. อยู่กับปัจจุบัน
      
      
คนมีความสุขมีใจจดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ขณะนั้น โดยหยุดคิดวนเวียนถึงเรื่องราวในอดีต หรือกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เพราะการรับรู้และกระทำในสิ่งที่เป็นไปในปัจจุบันขณะ มีความสำคัญมากกว่าอะไรทั้งหมด
       
      
12. ทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ
      
      
คนมีความสุขบ่อยครั้งมักทำตามฝันและเสียงเรียกร้องของหัวใจ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ใจปรารถนาอย่างแท้จริง การได้ลงมือทำสิ่งนั้นๆ ย่อมนำความสุขมาให้อย่างมิต้องสงสัย
       
      
13. รับฟังความคิดเห็น
      
      
คนมีความสุขรู้ว่า การรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นมีข้อดีเช่นกัน เพราะนอกจากจะช่วยให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นแล้ว บางครั้งมันยังทำให้ได้ไอเดียใหม่ๆ หลายอย่างที่แตกต่างออกไป ซึ่งจะช่วยต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองออกไปไม่รู้จบ
      
      
14. ถนอมความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
      
      
คนมีความสุขมักหาเวลาไปเยี่ยมเยียนหรือใช้เครื่องมือสื่อสารกับคนในครอบครัวและญาติสนิทมิตรสหาย เพราะการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีทางสังคมนั้น เป็นกุญแจไขไปสู่ความสุข
      
      
15. ซื่อสัตย์สุจริต
      
      
คนมีความสุขตระหนักดีว่า ทุกครั้งที่โกหกหลอกลวงจะทำให้เกิดความเครียดเพิ่มขึ้น ซ้ำร้ายเมื่อมีคนจับได้ ย่อมส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ทั้งด้านส่วนตัวและสังคม ในทางตรงข้าม ความซื่อสัตย์สุจริตจะช่วยให้จิตใจสบาย ไม่หวาดผวา และได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้อื่น
      
      
16. ตื่นนอนเวลาเดิมทุกเช้า
      
      
คนมีความสุขจะตื่นนอนเวลาเดิมทุกเช้า เพราะจะช่วยควบคุมนาฬิกาชีวิตให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ข้อสำคัญ คนมีความสุขรู้ว่า การตื่นนอนแต่เช้าเป็นหนึ่งในนิสัยของคนที่ประสบความสำเร็จหลายๆคน เพราะจะทำให้มีเวลาและสมาธิมากขึ้นในการทำงาน
      
      
17. กินถูกหลักโภชนาการ
      
      
คนมีความสุขเลือกกินอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ ซึ่งจะส่งผลดีต่อร่างกายและสมองให้อยู่ในภาวะที่พร้อมจะทำงาน และเข้าใจดีว่า อาหารที่กินแต่ละมื้อนั้น มีผลกระทบโดยตรงต่อระดับอารมณ์และพลังงานทั้งในระยะสั้นและยาว รวมถึงงดกินพวก Junk food หรืออาหารขยะ ที่ไม่มีประโยชน์และมีแนวโน้มก่อให้เกิดโรคเรื้อรัง
      
      
18. ออกกำลังกาย
      
      
คนมีความสุขไม่เคยมองว่า การออกกำลังกายมีไว้เพื่อลดน้ำหนัก ป้องกันโรค และทำให้ชีวิตยืนยาวเท่านั้น หากยังช่วยในเรื่องจิตใจ ทำให้มีความสุขมากขึ้น เพราะการออกกำลังกายช่วยเพิ่มระดับสารเคมีในสมองที่มีผลต่อสุขภาพที่ดี เพราะมันช่วยลดความเครียดและคลายอาการซึมเศร้าได้
      
      
19. ทำสมาธิ
      
      
คนมีความสุขหาเวลาทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้เกิดความรู้สึกสงบสุขภายใน มีงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า การทำสมาธิสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสมองที่ช่วยทำให้คนเรามีความสุขมากขึ้น
      
      
20. ยอมรับในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
      
      
คนมีความสุขรู้สัจธรรมว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์ทั้งหมด การเรียนรู้และยอมรับความจริงที่ตนเองมิอาจไปเปลี่ยนแปลงได้นั้น ย่อมนำความทุกข์มาให้น้อยกว่า
       
      
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 151 กรกฎาคม 2556 โดย ประกายรุ้ง

 


   

โศกนาฎกรรมเงียบ

พิมพ์ PDF

โศกนาฎกรรมเงียบ

มีโศกนาฎกรรม ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ภายในครอบครัวหลายๆครอบครัว โดยที่คนในครอบครัวไม่รู้ตัว และ มันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มีค่าที่สุดของเรา นั่นคือ ลูกหลาน ตัวน้อยๆของเรา...ใครก็ตามในยุคนี้ ที่อยากมีลูก หรือ อยากมีหลานไว้อุ้ม ถือว่า ท่านคิดผิดมหันต์ เพราะ ลูกหลาน ที่เป็นเด็ก และ เยาวชนในยุคนี้ และ ยุคต่อจากนี้ไป เกือบครึ่งหนึ่ง จะเป็นลูกหลาน ที่เนรคุณ ที่มีความอกตัญญู ไม่รู้บุญคุณ กับคนที่เป็น พ่อแม่ ลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตายาย ดังนั้น ใครที่เป็นพ่อแม่ ลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตายาย ของเด็กๆในยุคนี้ และยุคต่อไป ต้องทำความเข้าใจตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป ต้องทราบว่า ในวันนี้ และ วันข้างหน้า เด็กๆ เหล่านี้ กำลังมีสภาวะอารมณ์ที่รุนแรง!  เพราะ ในช่วง ๑๕ ปี ที่ผ่านมา นักวิจัยได้พบสถิติ ที่น่าตกใจมาก เกี่ยวกับการเพิ่มขึ้น  ของความเจ็บป่วยทางจิต ของเด็กๆ  และ. จำนวนเด็กที่เจ็บป่วยก็มีจำนวนที่เพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่องและ ค่อนข้างเร็วมากกว่ายุคใดๆ

#สถิติไม่โกหก เพราะ เป็นความจริง เขิงประจักษ์ :

 เด็ก ๑ ใน ๕ คน มีปัญหาสุขภาพจิตค่อนข้างรุนแรง

 เด็กที่วินิจฉัยว่าเป็น ADHD เพิ่มขึ้นถึง ๔๓%

 มีรายงาน ภาวะซึมเศร้าของเด็ก วัยรุ่นเพิ่มขึ้นถึง ๓๗%

 มีอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น ๒๐๐% ในเด็กอายุ ๑๐ ถึง ๑๔ ปี

มันเกิดอะไรขึ้น และ เรา พวกผู้ใหญ่ พ่อแม่ ได้ทำอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า

เพราะ  เด็กในวันนี้  ได้ถูกกระตุ้นมากเกินไป เพื่อให้มีพรสวรรค์  ทางด้านวัตถุ เพื่อจะได้เป็นคนเก่ง มากจนเกินไป บางครอบครัว ถึงขนาด ให้ลูกหลาน เป็นนักล่ารางวัลต่างๆ  แท้จริงแล้ว เป็นการทำให้  พวกเด็กๆถูกปิดกั้น  ถูกละเลย จากสิ่งที่เป็นพื้นฐานสำคัญ ที่ทำให้มีช่วงวัยเด็ก ที่ควรมี ที่ดี ที่มีคุณภาพ (healthy childhood) สูญเสียไป เช่น

 ไม่มีการกำหนด ขอบเขตที่ชัดเจน ให้เด็กๆ ทราบว่า  อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้

 ขาด โภชนาการที่สมดุล และ การนอนหลับที่เพียงพอ

 เด็กขาด การเคลื่อนไหวร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคลื่อนไหวกลางแจ้ง

 เด็กขาด การเล่นอย่างสร้างสรรค์ การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ขาดโอกาสที่จะได้เล่นอย่างอิสระ และ ช่วงเวลาที่เด็กๆ จะได้รู้สึกเบื่อ เพื่อจะคิดหาวิธีการเล่นเพื่อแก้เบื่อของตนเอง

เพราะ ในหลายๆปี ที่ผ่านมา เด็กๆ ถูกแทนที่ สิ่งสำคัญเหล่านี้ด้วย....

 ผู้ปกครองที่วุ่นวาย อยู่กับ อุปกรณ์ดิจิตอลต่างๆ

 ผู้ปกครองยอมทำตาม และ ยอมอนุญาตให้เด็กๆเป็นคน "ปกครองโลก" และเป็นคนที่กำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆเอง ในวัยที่ไม่สมควร

 ทำให้เด็กๆ เข้าใจผิดว่า  เป็นเรื่องถูกต้อง ที่ตัวเองสมควรที่จะได้รับทุกสิ่งที่ต้องการ  โดยที่ไม่ต้องทำอะไร  หรือ  ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย

 เด็กๆ นอนหลับไม่เพียงพอ และ มีโภชนาการที่ไม่สมดุล

 รูปแบบการใช้ชีวิตของเด็ก เป็นแบบขยับตัวน้อย (Sendentary Lifestyle) นั่งหน้า TV. นั่งหน้า Computer ไม่ออกไปข้างนอก อยู่แต่ในห้องของตน

 เด็กๆ ถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา  มีเทคโนโลยีเป็นเพื่อนเป็นพี่เลี้ยง ทั้งทางเฟสบุ๊ค ไลน์ อินสตราแกรม ไอจี ฯลฯ เด็ก จะได้สิ่งที่ต้องการ ในทันที และ ไม่มีช่วงเวลาที่น่าเบื่อ เพราะ ถูกกระตุ้นตลอดเวลา

แล้วพวกผู้ใหญ่ จะทำอย่างไรกันดี? ถ้า เราต้องการให้ลูกหลาน ของเรา เป็นคนที่มีความสุข และ มีสุขภาพดี (จริงๆ) พวกเรา ต้องตื่นได้แล้ว และกลับไปสู่พื้นฐาน  กลับไปสู่เบสิค  และ มันยังคงเป็นไปได้ที่จะแก้ไข แม้จะมีหนทางค่อนข้างน้อยก็ตาม มีหลายครอบครัว เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เพียงไม่กี่สัปดาห์ หลังจากทำตาม คำแนะนำ ดังต่อไปนี้:

๑.กำหนด จำกัดขอบเขต ให้กับลูกหลาน  และจำไว้ว่า คุณเป็นกัปตันของเรือ เป็นผู้นำครอบครัว  ไม่ใช่ให้ลูกเป็นผู้นำ ทั้งๆที่ ไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ ลูกหลานของคุณ จะรู้สึกมั่นใจมากขึ้น เมื่อรู้ว่า  คุณสามารถควบคุมทิศทาง หรือ หางเสือของชีวิตได้

๒.ต้องช่วยให้ลูกหลาน มีวิถีชีวิตที่สมดุล  ที่เต็มไปด้วย สิ่งที่ลูกหลาน จำเป็นต้องมี  ไม่ใช่แค่สิ่งที่ลูกหลานต้องการ  อย่ากลัวที่จะพูดคำว่า "ไม่" กับลูก ๆ หลานๆ ของคุณ หากสิ่งที่พวกเขาต้องการ  ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น

 ๓.ต้อวให้ลูกหลาน ทานอาหารที่มีคุณค่า และลด จำกัด อาหารขยะทั้งหลาย

 ๔.ต้องให้ลูกหลาน ใช้เวลากลางแจ้ง อย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงต่อวัน ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ  เช่น การขี่จักรยาน การเดิน การออกกำลังกาย  การเล่นกีฬา สนามเด็กเล่นกลางแจ้ง หรือ ช่วยปลูกผักสวนครัว ฯลฯ

 ๕.พยายาม ทานอาหารด้วยกัน ในครอบครัวทุกวัน โดยไม่มี สมาร์ทโฟนหรือไอแผ็ด ไอโฟน หรือ เทคโนโลยีอื่น ที่ทำให้เสียสมาธิ ซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า

 ๖.พยายามเล่นกับลูกหลาน  ใช้เวลาด้วยกันในครอบครัว

 ๗.ให้ลูกหลาน ของคุณ มีส่วนร่วม ในการทำงานบ้าน ตามอายุของพวกเขา (พับเสื้อผ้า, แขวนเสื้อผ้า,ล้างจาน, กวาดบ้าน, ถูบ้าน ,จัดโต๊ะ, ให้อาหารสุนัข ฯลฯ )

 ๘.ให้มีการเข้านอนเป็นเวลา เพื่อให้แน่ใจว่า ลูกหลานของคุณ ได้นอนหลับเพียงพอ ความสำคัญ จะมากยิ่งขึ้น สำหรับเด็กในวัยเรียน

๙.ต้องสอนลูกหลาน ในเรื่องความรับผิดชอบ และ เรื่องเสรีภาพ อย่าปกป้องลูกมากเกินไป จากความรู้สึกไม่พอใจ หงุดหงิด เสียใจ หรือ ความผิดพลาดทั้งหมด  ความเข้าใจผิด จะช่วยให้พวกเขา สร้างความยืดหยุ่น และ เรียนรู้ที่จะเอาชนะความท้าทายในชีวิตต่อไปได้

๑๐.อย่าถือกระเป๋า หรือ เป้สะพายหลัง หรือ ถือของให้ลูกหลาน ต้องพยายาม ให้ลูกหลาน ช่วยตัวเองมากที่สุด โดยให้คำยกย่องชมเชย เมื่อสามารถทำอะไรได้เอว ถ้าลูกลืมการบ้าน อย่าไปเอามาให้  อย่าปอกเปลือกกล้วย หรือ เปลือกส้ม หรือ ทำอะไรให้ลูกหลาน มากเกินไป ถ้าหากพวกเขา สามารถทำได้ด้วยตัวเอง  แทนที่จะให้ปลา แต่สอนพวกเขา ให้รู้จัก วิธีการหาปลาเองเป็น ต้องสอนแต่เนิ่นๆตั้งแต่ เป็นเด็กเล็ก

 ๑๑.ต้องสอนลูกหลาน ให้รู้จักรอ และ ชะลอความพีงพอใจในสิ่งต่างๆได้  สอนให้รู้จัก การอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ได้

๑๒.ให้ลูกหลาน มีโอกาสได้พบ "ความเบื่อ" เนื่องจากความเบื่อหน่าย เป็นช่วงเวลาที่  ความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้น  เพื่อหาวิธีแก้เบื่อ  ไม่ต้องเป็นพ่อแม่ที่รู้สึกว่าต้องทำให้ ลูกหลานสนุกตลอดเวลาเท่านั้น

๑๓.อย่าใช้เทคโนโลยี เป็นวิธีแก้ความเบื่อของลูกหลาน เพราะ จะทำให้ลูกหลานอ่อนแอ และ ต้องแข็งใจ ไม่ต้องสนองความต้องการทุกครั้ง เมื่อลูกหลานร้องขอ เพราะ จะเป็นผลเสียหายร้ายแรงต่อลูกหลานในอนาคต ที่จะเอาแต่ใจตัวเป็นใหญ่ จะเป็นคนที่มีปัญหาตกต่ำในอนาคต  (ท่าน ต้องท่องไว้ว่า  ความเบื่อ จะก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ)

๑๔.หลีกเลี่ยงการใช้เทคโนโลยี ในระหว่างมื้ออาหาร ในรถยนต์ ในร้านอาหาร ในศูนย์การค้า ในบ้าน  ใช้ช่วงเวลาเหล่านี้ เป็นโอกาสในการเข้าสังคม โดยการฝึกสมอง ให้รู้วิธีการทำงาน เมื่ออยู่ในโหมด: "เบื่อ" (boredom)

 ๑๕. เมื่อลูกหลาน เบื่อ อาจจะช่วยจุดประกายไอเดีย แก้เบื่อได้บ้าง

๑๖.พยายามมีอารมณ์ร่วมกับลูกหลาน  ต้องไวต่อความรู้สึกของลูกหลาน และต้องสอนให้พวกเขา รู้จักควบคุมอารมณ์ตนเอง และ สอนทักษะทางสังคม

 ๑๗.ปิดโทรศัพท์ในเวลากลางคืน เมื่อลูกหลาน ต้องเข้านอน เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวน จากสัญญานโทรศัพท์ และ สิ่งต่างๆ จากโทรศัพท์

 ๑๘. ต้องพยายาม เป็นผู้ควบคุม หรือ เป็นผู้ฝึกอารมณ์ สำหรับลูกหลานของคุณ  สอนพวกเขา ให้รู้จัก และ จัดการความผิดหวัง และ ความโกรธของตนเอง

 ๑๙.ต้องสอนลูกหลาน ให้ทักทายคนอื่นเป็น   รู้จักการรอคิว  รู้จักผลัดกันเล่น ผลัดกันใช้  รู้จักแบ่งปัน  รู้จักการพูดขอบคุณ และ การขอโทษ อย่างมีมารยาท รู้จักการยอมรับในความผิดพลาด  ทั้งนี้ โดยตัวท่านเอง ต้องทำเป็นแบบอย่างที่ดี ในชีวิตประจำวัน ของค่านิยมทั้งหมดนี้

 ๒๐.ต้องเชื่อมต่อ อารมณ์กับลูกหลาน โดยการ- ยิ้ม กอด จูบ หอม จี้เอว หัวเราะ สนุก อ่านนิทาน เต้นรำ กระโดดเล่นกับลูกหลานบ่อยๆ

 

ถ้าเราอยากเห็น ความเปลี่ยนแปลงที่ดี ในชีวิตลูกๆหลานๆของเราจริงๆ.... โปรดทำตามคำแนะนำดังกล่าว ท่านอาจได้ลูกหลานที่ดีกลับคืนมาก็ได้

 

Cr. Dr. Luis Rojas Marcos Psychiatrist

โF

 


หน้า 89 จาก 561
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5643
Content : 3067
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8741684

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า