Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

เบื้องหน้าเบื้องหลังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ ไปอยู่เยอรมันบ่อยในช่วงก่อน

พิมพ์ PDF

ที่พวกฝรั่งออสเตรเลียร่วมมือกับพวกคอยล้มล้างสถาบันฯพูดว่า ร.10 เอาแต่ไปอยู่เยอรมันนี .........และใส่ร้ายพระองค์หลายเรื่องโดยไม่รู้เบื้องหลังความจริง

มีพี่คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า การที่ท่านไปอยู่เยอรมันบ่อยในช่วงก่อน เพราะพระองค์ท่านเข้ามาสังฆยานาพวกกร่าง และโกงกินในวัง และพวกที่ถูกลงโทษมีความเจ็บแค้น อาจคิดรอบปรงพระชนม์  จึงต้องป้องกันไว้ก่อน โดยเฉพาะเรื่องอาหาร

คนเป็นจำนวนมากไม่รู้ว่า ร.10 ท่านทรงงานอย่างที่ไม่ได้เปิดเผยหรือโฆษณาประชาสัมพันธ์อะไร  และท่านมีดุลย์พินิจที่ดีมาก และทีมงานที่ท่านเลือก ก็เป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพสูง ขยัน อดทน และมีดุลย์พินิจดีมากด้วยเช่นกัน

เราเคยทำงานในบริษัทหนึ่ง และถูกส่งตัวไปช่วยงานที่สนง.ทรัพย์สินฯส่วนพระมหากษัตริย์  พวกเรายังแอบทึ่งเลย ที่พระองค์ท่าน commented หลายเรื่องด้วยลายพระหัตถ์ของท่านเองอย่างรอบคอบ

แถมซ้ำ  ที่ดินใจกลางเมืองหลายแห่งที่เหลืออยู่นั้น  ทางเอกชนบางรายจ้องจะประมูลเช่าไปทำธุรกิจ   แต่เมื่อท่านขึ้นครองราช ก็กลับเอาที่ดิน prime area ใจกลางเมืองหลายแห่งมาทำเป็นสาธารณะประโยชน์  เช่น:-

**สนามม้านางเลิ้ง 300 กว่าไร่ พวก King Power เคยมาจ้องจะเช่าไปทำธุรกิจใหญ่โต
แต่ตอนนี้  ร.10 ทรงประทานให้ทำเป็นสวนสาธารณะแห่งใหม่ให้ชาวกทม. เป็นสวนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซึ่งมีขนาดเกือบเท่าสวนลุมฯเลย

**ที่ดิน(แถวพลับพลา) ติดคลองลาดพร้าว จำนวน 80 ไร่  พวกเราเคยได้รับมอบหมายให้ช่วยศึกษาดูว่า ควรจะนำมาทำโครงการอะไรดี   แต่พอท่านทรงขึ้นครองราช ทรงตัดสินใจยกที่ดินทำเลทองนี้ให้กับกองทัพบก เพื่อทำเป็นพิพิทธภัณฑ์ไม้มีค่าไปเลย

**แล้วที่ชาวบ้านเคยบ่นว่า ทรงเอาคืนที่ดินสวนสัตว์ดุสิต แล้วจัดที่ดินใหม่ให้ไปอยู่ชานเมือง  แต่เราหารู้ไม่ว่า กำลังทรงดำริให้มีโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลในที่ดินตรงนี้แทน เพราะรพ.ในใจกลางเมืองกทม.ไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน

เราลองคิดดูสิว่า ระหว่างรพ.ที่มีความจำเป็นต่อราษฎรที่หนาแน่นในใจกลางเมือง กับสวนสัตว์ที่จำเจ อะไรจะมีประโยชน์กว่ากัน (ส่วนการเรียนรู้ของเด็กๆ ที่ต้องการไปสวนสัตว์  เราสามารถเดินทางออกไปชานเมืองอีกหน่อยเดียว จะรื่นรมย์กว่าไหม)

**ส่วนการปรับปรุงพื้นที่พระราชวังสวนจิตฯ ที่หลายคนบอกว่า  ทรงสั่งให้เคลียร์พื้นที่ทดลองโครงการในพระราชดำริของ ร.9 ไปหมดเลย   แต่เราลองคิดดูสิว่า โครงการเหล่านั้น พระชนกท่านได้ทรงทำสำเร็จแล้ว  และได้ส่งต่อผลการทดลองออกไปสอนชาวบ้านตามสถานที่จริงแล้วทั่วประเทศ และมีการต่อยอดการเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ ออกไปอย่างกว้างขวาง    แล้วเรายังจะเก็บพื้นที่ในวังให้เป็นแบบนี้ เพียงแค่ให้เป็นที่ระลึกเท่านั้นหรือ  ในเมื่อการทดลองได้สำเร็จไปหมดแล้ว
ทำไมเราไม่เอามาปรับปรุง เพื่อดูว่า ควรจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อไป  หรืออย่างน้อย ก็ปรับปรุงให้กลับมาเป็นพระราชวังที่ดูดีอีกครั้ง  และพวกคนในวังที่ทุจริตจะได้ถูกถอดถอนออกไปด้วยเลย
พระองค์ท่านมีความกล้าหาญที่จะปราบทุจริต  กล้าที่จะสะสาง  และมีความหนักแน่นต่อคำใส่ร้ายนินทา
-----------------

เท่าที่ได้ประสบมา  จะเห็นได้ว่า กษัตริย์องค์นี้ มีดุลย์พินิจที่ดีมาก และไม่ได้ทรงเห็นแก่ตัว อย่างที่หลายคนนินทาเลย

การที่ทรงมีความกล้าหาญที่จะออกมาจัดการทรัพย์สมบัติที่เป็นมรดกตกทอดของบูรพกษัตริย์ไทย  มันไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวเลย  แต่เป็นสิทธิโดยชอบธรรม และความใจกว้างของพระองค์ท่านมากกว่า  ที่ยินดีเอาที่ดินทรัพย์มรดกของพระองค์ท่าน (หลายหมื่นล้าน) มาแบ่งปัน และทำประโยชน์ให้กับสังคมไทยอย่างใจกว้างมากขวางมาก

หากเราไม่มีอคติ และมีใจเป็นกลาง  เราจะเห็นอะไรดีๆมากมายที่บูรพกษัตริย์ไทยได้ทำให้กับประชาชน

แต่ถ้าเราหูเบา ฟังความข้างเดียว และถูกปลุกฝังชุดความคิดที่มีอคติ เข้าข้างตัวเอง  เราก็จะตกอยู่ในห้วงแห่งความเกลียดชัง ก้าวร้าว ทำตัวเป็นศาลที่ต้องการตัดสินผู้อื่นอย่างเมามัน  และตกเป็นเครื่องมือของคนที่ไม่หวังดีต่อความมั่นคงของชาติอย่างน่าเสียใจ


 

เปลี่ยน เป็น ธรรม - ทำ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2563

พิมพ์ PDF

 

ปัญหาประชาธิปไตยนั้นเกี่ยวเนื่องด้วยหลักวิชาโดยสังกัดอยู่ใน วิชาการเมือง

พิมพ์ PDF

ไพบูลย์ สถาปนาวิสุทธิ์

 

ปัญหาประชาธิปไตยนั้น เกี่ยวเนื่องด้วยหลักวิชาโดยสังกัดอยู่ใน วิชาการเมือง หรือ รัฐศาสตร์ (Political Science) ซึ่งมีหลักการและกฎเกณฑ์ที่จะต้องมีความเข้าใจและยึดถืออย่างเคร่งครัดมากมาย ซึ่งเราจะคิด จะพูด จะทำเอาตามชอบใจมิได้เลย การจะสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จได้นั้น นอกจากจะต้องมีความเข้าใจใน ลัทธิประชาธิปไตย (Democracy) เป็นพื้นฐานแล้ว ยังจะต้องประกอบด้วยความเข้าใจปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เป็น เงื่อนไขสำคัญอีกหลายประการ กล่าวโดยสรุปก็คือ ประชาชนต้องการทราบว่า การสร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้องทำอย่างไร หรือต้องมีความเข้าใจเป็น อย่างไรบ้าง ซึ่งจะเป็นแนวทางที่ถูกต้องและนำไปสู่การแก้ปัญหาของชาติได้ ปัญหานี้จึงเป็นที่มาของ การจัดทำเอกสารและการทำคลิปนี้ขึ้นมา เพื่อประชาชนจะได้หลุดพ้นจากความเข้าใจในสิ่งที่ผิดๆที่ถูกหล่อหลอมกันมาอย่างยาวนานเป็นเวลากว่า 80 ปี ที่ผ่านมา การทำงานการเมืองไม่เหมือนการค้าขาย ซึ่งลงทุนผิดก็ล้มละลายแต่ตัวเองเท่านั้น แต่ทำการเมืองผิดหรือทำโดยปราศจากความรู้ทางวิชาการนั้น ไม่เพียงแต่ตัวเองจะล่มจมคนเดียว ยังทำให้ประเทศชาติและประชาชนล่มจมตามไปอีกด้วย รัฏฐาธิปัตย์ (sovereignty) หมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน หรือ ในหลวง 1.อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ (sovereignty) หมายถึง อำนาจอธิปไตย ของพระมหากษัตริย์ อำนาจอธิปไตยนี้ นับเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของความเป็นรัฐ เพราะการจะเป็นรัฐได้นั้น นอกจากต้องประกอบด้วย อาณาเขต ประชากร และรัฐบาลแล้ว ย่อมต้องมีอำนาจอธิปไตยด้วย กล่าวคือ ประเทศนั้นต้องเป็นประเทศที่สามารถมีอำนาจสูงสุด (อำนาจอธิปไตย) ในการปกครองตนเอง จึงจะสามารถเรียกว่า "รัฐ" หมายถึง รัฐที่เป็นเอกราช และไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของประเทศใด ดังนั้น สิ่งอื่นใดจะมีอำนาจยิ่งกว่าหรือขัดต่ออำนาจอธิปไตยของ รัฏฐาธิปัตย์ หาได้ไม่ 2.อำนาจอธิปไตย ของประชาชน หมายถึง อำนาจสูงสุดของประชาชน เป็นอำนาจสูงสุดที่ประชาชน ใช้ในการปกครอง หรือเรียกว่า ประชาธิปไตย เป็นอำนาจของประชาชน ที่ใช้ผ่านทาง สภาผู้แทนราษฎร หรือ อำนาจนิติบัญญัติ เท่านั้น รัฐต้องมีประมุขเป็น ผู้ถือดุล ถ้าประมุขแห่งรัฐเสียดุลอำนาจลงเมื่อใด รัฐนั้นก็จะกลายเป็น "รัฐล้มเหลว" การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี โดยตรง ผิดหลักวิชา นายกรัฐมนตรีต้องเป็นตัวแทนที่มาจากประมุขประเทศเท่านั้น สส.เป็นตัวแทนของประชาชน ถือดุลอำนาจ นิติบัญญัติ นายกรัฐมนตรีเป็นตัวแทนของประมุขประเทศ ถือดุลอำนาจ บริหาร จึงจะถ่วงดุลได้ในระบบรัฐสภา ไม่เช่นนั้นแล้ว ปัญหาการสุมหัว โกงกินเงิน จากภาษีของประชาชน ยากแก่การแก้ไขปัญหา และยังเป็นปัญหาประเทศ ที่ยังไม่ได้ รับการแก้ไข ทำให้ประชาชนตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก เป็นระยะเวลามานานนับ 80 กว่าปี ที่ผ่านมา เรียนเชิญเข้ามาอ่านบทความหลักวิชาการเมืองได้ที่เวปนี้ http://pantip.com/profile/973857 ท่านสามารถสอบถามหลักวิชาด้านการเมืองได้ที่ Line ID : 0854441100

SHOW LESS


 

ในหลวงทรงเป็นรัฎฐาธิปัตย์ของประเทศ

พิมพ์ PDF

 

Roundtable Thailand 6 พฤศจิกายน 2563

พิมพ์ PDF
6 พฤศจิกายน 2563 หนึ่งในข้อเรียกร้องในการชุมนุมของกลุ่มราษฎรต้องการให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งที่ในความเป็นจริง พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ พระองค์ท่านได้ทรงปฏิรูปก่อนแล้วและเป็นต้นแบบ People Center แท้จริง
ศ.ดร.ชาติชาย ณ เชียงใหม่ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง และอาจารย์คณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวว่า สิ่งที่คนไทยต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ให้ถ่องแท้ เพราะมีประชาชนส่วนหนึ่งมักจะนำไปเปรียบเทียบระหว่างรัชกาลที่ ๙ กับรัชกาลที่ ๑๐ ซึ่งดูจะไม่เป็นธรรมกับพระองค์ท่านที่นำ ‘พ่อและลูก’ มาเปรียบเทียบกัน
โดยสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ เมื่อพระราชบิดา ทรงมีพระปรีชาสามารถก็ต้องถือเป็นโชคของราชวงศ์ และของแผ่นดินไทยอยู่แล้ว แทนที่คนเหล่านี้จะมาเปรียบเทียบ ก็ควรไปมองให้ลึกว่ารัชกาลที่ ๑๐ ได้ทรงสานต่องานอะไร อย่างไรที่พระราชบิดาดำริไว้ แต่ยังทำไม่ได้ หรือทำไม่สำเร็จ เพราะสิ้นรัชกาลไปเสียก่อน
“พระองค์ท่านไปต่อยอดอะไรบ้าง และอะไรที่พระองค์ท่านดำริขึ้นมา ก็มาช่วยกันทำ ถ้าไม่เข้าใจตรงไหน จะช่วยแก้ไขกันอย่างไร มาหาทางออกในเชิงวิชาการก็ได้ ก็น่าจะดีที่สุด”
อย่างไรก็ดี หากทุกคนมองด้วยความเป็นธรรมว่าตั้งแต่พระองค์ท่านทรงขึ้นครองราชย์นั้น พระองค์ท่านทรงจัดระเบียบอะไรให้สังคมได้รับรู้ เริ่มตั้งแต่การจัดระบบภายในราชสำนักให้เป็นระเบียบและโปร่งใส เพราะก่อนหน้านั้น มีบรรดากลุ่มคนที่ฝังรากลึกเข้าไปหาประโยชน์ มีการคอร์รัปชันเกิดขึ้นทั้งในส่วนของสำนักพระราชวัง และสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พระองค์ท่านก็ทรงมาจัดระเบียบกันใหม่ บางคนถึงกับมองว่าเป็นการล้างบางกันเลย เรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณชนชัดเจน
แม้กระทั่งที่ดินบริเวณสนามม้านางเลิ้ง ใครๆ ก็รู้ว่าที่นั่นเป็นแหล่งผลประโยชน์ มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลเข้าไปเกี่ยวข้อง ใครก็ไม่สามารถจัดการได้ แต่พระองค์ท่านทรงนำที่ดินบริเวณนี้มาจัดทำเป็นสวนสาธารณะให้คนไทยได้ใช้ประโยชน์ และจะมีการสร้างพระราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ ๙ ไว้ด้วย
“มีการย้ายหน่วยทหารที่ไม่จำเป็นออกไปอยู่นอกเมือง และนำที่ดินมาใช้ประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับประชาชนทั้งสิ้น”
ในระหว่างที่พระองค์ท่านทรงจัดระเบียบภายในราชสำนัก พระองค์ท่านก็มีดำริให้มีการปฏิรูปการศึกษา โดยมอบหมายให้องคมนตรีไปดูแล โดยเฉพาะการปฏิรูปมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ เพราะพระองค์ท่านมองว่า การศึกษาจะดีได้ต้องเริ่มที่ครู และเน้นให้ ม.ราชภัฏ เป็นมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น
“ราชภัฏ คือ วิทยาลัยครูเก่า และชื่อราชภัฏแปลว่า คนของพระราชา ฉะนั้น ราชภัฏ มี 2 บทบาท คือ สร้างครู เอาคนที่สมควรเป็นครู มาเป็นครูที่ดีในท้องถิ่นนั้นๆ สอง คือ ต้องสร้างความรู้ เพื่อแก้ปัญหาในท้องถิ่นได้ ราชภัฏ ไม่ต้องไปทำแล็บอะไร บอกแค่ว่า ทุกบ้านที่มีปัญหา ราชภัฏมีคำตอบให้ เรื่องทำมาหากิน และเป็นคำตอบที่ใช้ได้”
พระองค์ท่านให้ความสำคัญกับ ม.ราชภัฏ มาก แต่ก็ต้องใช้เวลาในการพัฒนา เพราะ ม.ราชภัฏ เตลิดเปิดเปิงไปมากมาย ไปเปิดหลักสูตรแข่งขันกับจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยหลักตามภูมิภาคต่างๆ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ต้องปิดหลักสูตรไปมากมาย พระองค์ท่านก็ค่อยๆ ดึงกลับมา มีการจัดสรรงบประมาณให้ด้วย เพื่อให้ ม.ราชภัฏ เป็นหลักในการพัฒนาคนและท้องถิ่นต่อไป
“พระองค์ท่านทรงทำเพื่อประชาชนของท่านให้มีความเป็นอยู่ที่ดี ไม่ใช่แค่เรื่องการศึกษา ยังให้ความสำคัญเรื่องการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งน้ำ ป่าไม้ ไม่ให้มีการบุกรุก”
ขณะเดียวกัน ผู้ที่ออกมาประท้วงให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์นั้น ควรเข้าใจด้วยว่าพระมหากษัตริย์ต้องอยู่ในฐานะที่ลำบาก ไม่ใช่ว่าพระองค์อยากทำอะไรก็ทำได้ แต่พระองค์ท่านจะทรงทำในสิ่งที่ยังไม่มีใครทำ หรือมีการทำแล้ว แต่ทางราชการมีข้อจำกัด พระองค์ท่านก็จะไปเสริมไปทำให้สมบูรณ์ หรือคนบางกลุ่มถูกละเลย พระองค์ท่านก็ทรงเข้าไปช่วยเหลือให้ทั่วถึง
“ท่านทรงระวังพระองค์อยู่แล้ว ต้องไม่ทำอะไรที่ไปซ้ำกับราชการ หรือที่เอกชนทำอยู่แล้ว หากมองจริงๆ เหมือนพระมหากษัติรย์ทรงมีพระราชอำนาจ แต่เอาเข้าจริงจะต้อง ระมัดระวังพระองค์ท่าน และสถาบันฯ เป็นอย่างยิ่ง เพราะสถาบันกษัตริย์ เป็นสถาบันทางวัฒนธรรม อยู่เหนือการเมือง และอยู่ใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ”
ที่ผ่านมา สิ่งที่พระองค์ท่านและสถาบันฯ จัดทำจะเน้นในทางพัฒนา สนับสนุนและการปรับเปลี่ยนความคิดของประชาชนในกลุ่มที่ยากลำบาก อ่อนแอ ส่วนคนที่แข็งแรงแล้วพระองค์ท่านไม่ทรงเข้าไปยุ่งเกี่ยว
“เราจะเห็นพระองค์ท่านทรงชวนคนเก่ง คนมีสตางค์ ไปแบ่งปันให้คนอ่อนแอ ท่านอยู่ตรงกลาง ท่านเชื่อมโยง คนแข็งแรงไปช่วยคนอ่อนแอ อย่างรัชกาลที่ ๙ ท่านทรงริเริ่ม และทดลองโครงการต่างๆ เจ็ดแปดพันโครงการ ให้คนแข็งแรงและมีวิชาให้ไปทำต่อ และไปแบ่งปันให้คนที่มีความรู้ไม่ดีพอ คือ ท่าน Link and Learn”
นี่คือบทบาท หรือ Positioning ของสถาบันพระมหากษัติรย์ที่คนไทยควรเข้าใจ!!.
ไม่เพียงแค่นั้น สิ่งที่สังคมได้เห็นและควรเปิดใจมองสิ่งที่ในหลวง พระราชินี และราชวงศ์ ในการเสด็จออกมาเยี่ยมประชาชนที่รอเฝ้าฯ รับเสด็จจะเห็นว่า ทุกพระองค์ก็ทรงออกมาพูดคุย มาทักทาย ให้สัมผัสพระหัตถ์ สามารถขอเซลฟี่กับพระองค์ได้
“รุ่นผมไม่กล้ามองพระพักตร์เลย พระเจ้าอยู่หัวทรงมองมาทางเรา ต้องก้มหน้าหลบ อย่างรับปริญญา ก็ไม่กล้าจ้องหน้า ระวังแต่ว่าอย่าให้ใบประกาศหลุดมือเป็นใช้ได้ นี่คือความรู้สึกของคนรุ่นเรา”
แต่ถึงยุคสมัยนี้การเฝ้าฯ รับเสด็จก็ได้ใกล้ชิด พระองค์ท่านก็ทรงปรับตัวซึ่งคงจะมีอะไรใหม่ๆ ออกมาให้สังคมได้เห็น โดยเฉพาะสิ่งที่พระองค์ท่านพระราชทานสัมภาษณ์สำนักข่าว CNN ว่า “เรารักพวกเขาทุกคนเหมือนกัน” (We Love Them All the Same) ถึง 3 ครั้ง และทรงบอกให้รู้ว่าประเทศไทย “เป็นดินแดนแห่งการประนีประนอม” (Thailand is the Land ofCompromise)
นี่คือสิ่งที่พระองค์ท่านได้สื่อให้สังคมโลกรับรู้ว่า พระมหากษัตริย์ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะบุคคลหรือสถาบัน ไม่เคยทอดทิ้งประชาชน หรืออยู่ห่างประชาชน ซึ่งการเสด็จพระราชดำเนินออกมาทักทายประชาชน ไม่ใช่เพราะแรงกดดันจากม็อบราษฎรแน่นอน
“นี่คือการปรับตัว Adaptive และทำให้คนเห็นชัดเจนว่าพระมหากษัตริย์ในรูปแบบ Modern Form ในสมัยใหม่ มีความใกล้ชิด มีความเป็นกันเอง อยากจะพูดคุยด้วย อย่างสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ ท่านทรงน่ารัก ทรงพูดภาษาใต้ เดินเข้าไปบอกนิติพงษ์ ห่อนาค ให้แต่งเพลงให้สมเด็จพ่อด้วย”
นี่คือ Modern Form ที่สังคมไทยควรรับรู้และมองทุกพระองค์ในมุมมองใหม่ที่สามารถเข้าถึงและจับต้องได้ ซึ่งพระองค์ท่านก็ทรงอยากเข้าใจประชาชน และก็อยากให้ประชาชนเข้าใจพระองค์ท่านเช่นกัน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาอาจจะติดเรื่อง Security ความปลอดภัยที่ต้องคอยระวัง ซึ่งตรงนี้ก็เป็นข้อจำกัด ทำให้ต้องอยู่ห่างมาก จะมีก็แต่ความจงรักภักดีที่เป็นนามธรรม
แต่เวลานี้พระองค์ท่านทรงต้องการแปลสิ่งที่เป็นนามธรรม ความรัก ความศรัทธา ความจงรักภักดีที่ทุกคนมีต่อสถาบันฯ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ให้เป็นอะไรที่คนเข้าใจและจับต้องได้
ดังนั้น การที่พระองค์ท่านทรงใช้คำว่า Land of Compromise เป็นการส่งสัญญาณจากพระองค์ท่านว่า เราจะอยู่ด้วยกัน ทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชน เราก็ต้องปรับเข้าหากัน คนที่มีความต่างด้วยวัย ก็ต้องปรับความคิดเข้าหากัน นี่คือความแตกต่าง แต่ไม่แตกแยก สังคมที่มีอารยะ ผู้เจริญ ต้องสงวนจุดต่าง แต่แสวงหาจุดร่วม ประนีประนอมกันได้
“สถาบันกษัตริย์ก็เหมือนกับทุกสถาบันในโลกต้องปรับตัวตลอดเวลา ซึ่งสถาบันกษัตริย์ไทยมีคุณค่า หมายถึงเอกราช ประเพณี เป็นศูนย์รวมน้ำใจ และสถาบันก็กำลังปรับตำแหน่งแห่งที่ที่เหมาะสมที่จะเป็นประโยชน์กับสังคมไทย ก็ต้องเข้าใจถึงภาระหน้าที่ของสถาบันกษัตริย์ ทั้งที่เป็นจารีตประเพณี ความต้องการของสังคมโลก และภาระในความตระหนักในการเป็นขัตติยะ”
ศ.ดร ชาติชาย ย้ำว่า นี่คือสิ่งที่คนไทยควรทำความเข้าใจให้ดี ช่วยกันส่งกำลังใจและความร่วมมือ เพื่อให้สถาบันกษัตริย์และประชาชนชาวไทยมีความสุข มีความมั่นคงในชีวิต สืบเนื่องยาวนานต่อไป
 


หน้า 92 จาก 561
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5643
Content : 3067
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8741849

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า