Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

สารคดี Soul of a Nation : King Bhumibol of Thailand

พิมพ์ PDF

มีผู้กรุณาส่งสารคดี Soul of a Nation ที่ BBC ผลิต มาช่วยอธิบายในสิ่งที่ผมเล่าให้ฟัง ..

นั่งดูจนจบไปเมื่อเช้านี้ ..  ดูแล้วก็ซึมๆ ไป
นึกถึงว่า ขนาดตัวเอง ที่เป็นคนร่วมสมัย ยังไม่เคยย้อนคิดสักนิดว่า .. ห้วงเวลาที่ BBC มาถ่ายทำสารคดีชุดนี้  เราก็ทำงานอยู่ตรงนั้น

เลยออกจะเข้าใจผู้คนเด็กเล็ก ที่เข้าใจเป็นอย่างอื่น ...

แต่ก็อยากจะบอว่า "สถาบัน"  ที่เป็นศูนย์รวมใจของคนไทยทั้งชาตินั้น  ท่านทรงงานหนักกันทุกพระองค์ ทำงานไม่มีเสาร์มีอาทิตย์ .. ไม่มีแม้แต่เวลาเลิกงาน (ถ้างานวันนั้นยังไม่เสร็จ)
ทำแล้วก็แล้วกัน  ไม่ได้โฆษณาอวดอ้างสรรพคุณกับใคร .. 
ที่ BBC เขามาทำสารคดีชุดนี้  เพราะเขาสงสัย ว่า หลังจากสิ้นสุดด้วยการพ่ายแพ้ของกองทัพสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนามแล้ว  "ทำไมเมืองไทยถึงไม่แตกตามประเทศอื่นๆ ในอินโดจีน"  ..​และเขาตั้งสมมติฐานว่า เป็นเพราะสถาบันพระมหากษัตริย์นี่ละ ที่เป็นเครื่องยิดเหนี่ยวสังคมไทยเอาไว้ได้ ..
ทำสารคดีแล้ว  ถึงได้ตั้งชื่อว่า "Soul of a Nation"

ก่อนหน้านั้นสองปี  รัฐบาลไทย ก็คิดจะทำแบบเดียวกันกับ BBC .. จึงได้ตั้งคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติขึ้น ..
คณะทำงานฯ ที่มีผมเป็นช่างภาพนี่ละ  ที่ไปทำงานพร้อมกับ BBC
    
King Bhumibol of Thailand |
สารคดีในหลวง | แปลไทย | ปี 2522 - ตอนที่ 2
https://www.youtube.com/watch?v=su5tEmocM7Y


 

เจ็ดสิบปีแห่งชีวิต ไม่คิดตะได้เห็นก็ได้เห็น ไม่คิดจะได้ยินด็ได้ยิน

พิมพ์ PDF

ต้องขออนุญาต คุณพี่ท่านนี้ เขียนได้ตรงใจกระผมมากเลยครับ และคงถูกใจเพื่อนๆหลายคน

เวลาและประสบการณ์ เพาะบ่มความคิด ผ่านการเรียนรู้ถูกผิด 70ปีของคุณพี่เพียงพอ ที่จะสอนอะไรให้ใครหลายคน

เจ็ดสิบปีแห่งชีวิต…ไม่คิดจะเห็นก็ได้เห็น……ไม่คิดว่าจะได้ยิน……ก็ได้ยิน..!!!

นั่งอยู่บ้านเซ็งๆค่ะ ฝรั่งเศสสำหรับดิฉันในตอนนี้ และ ตลอดปีโควิดที่ผ่านมาก็คือบ้านเล็กๆกับหมาสามตัวที่ช่วยกำหนดการใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ บางทีก็ต่อโทรศัพท์เข้าเครื่องของลุง (เพราะยังรักษาสายไว้) เพื่อที่จะได้ยินเสียงเขาตอบรับในการฝากข้อความ ก็อุ่นใจดี เหมือนยังอยู่ใกล้ๆ สถานะการณ์ตอนนี้ยิ่งย่ำแย่ อากาศมัวซัว ฝนปรอย ลมแรง
บ้านเมืองเงียบเหงาเศร้าสร้อย จะออกไปไหนทีก็ต้องกรอกแบบฟอร์มว่าไปไหน ไปกี่โมง ไปทำอะไร  ทุ่มนึงก็ต้องอยู่บ้าน
ทางด้านความปลอดภัย...ก็เดินล่อกแล่กไปซิคะ เพราะวันนี้ที่เวียนนา มีการกราดยิงในโรงสวดยิว  ข่าวว่า ตายหนึ่ง บาดเจ็บอีกหลาย เมื่อวันก่อน ที่ฝรั่งเศส มีการบุกเข้าไปยิงพระ ตอนที่ท่านออกมาจากโบสถ์ ดิฉันรู้สึกแย่ ที่ได้ยินประธานาธิบดีมาครงยืนยันว่า เขายังคงสนับสนุนเสรีภาพของฝรั่งเศสในเรื่อง การพูด การเขียน การวาด...!! เสรีภาพก็ต้องมีขอบเขต ถ้าจะไปให้เสรีภาพเที่ยวไปประนาม ดูถูก เหยียดหยามสิ่งที่เป็นของ”ต้องห้าม” หรือสิ่งสักการะของคนอื่น มันก็คือการหมิ่นประมาท……
และนี่คือประเด็นสำคัญที่เราประสบอยู่ในทุกวันนี้ คือ ความไม่ปลอดภัย ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ความไม่สงบ

การเลือกตั้งในอเมริกา ที่กำลังจะเข้าสู่เส้นชัย ที่ต้องเรียกว่าสูสีจนไม่รู้ว่าจะเชื่อโพลไหนดี…ไบเดนกำลังนำ ทรัมป์ก็ยังมีสิทธิเข้าวิน แต่ไม่ว่าใครจะมา…ก็ไม่เกี่ยวกับฝรั่งเศส เพราะฝรั่งเศสขึ้นตรงกับนายทุนผู้อุดหนุนอเมริกา…ไม่ใช่ประธานาธิบดี

ทางเมืองไทย……เรื่องปฏิรูป ปฏิแรบ อะไรนั่น ดิฉันได้พูดมานานแล้วว่า ไม่มีทางทำได้ ยังไม่ถึงเวลา และยังอีกนาน……
เนื่องจากเราอยู่กันมาในการปกครองของกษัตริย์มานานกว่าเจ็ดร้อยปี ไม่ว่าจะราชวงศ์ไหนก็มีพิธีการ มีธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกันมา  และมีการปรับปรุง ปรับเปลี่ยนไปตามสมัย ในช่วงการปรับสู่รัชกาลปัจจุบัน เรามีช่องว่างของเวลาที่หายไป
แทบไม่มีใครรู้จักในหลวงพระองค์นี้ นอกจากเสียงซุบซิบ นินทา ให้ร้ายไปต่างๆนานา  แม้ว่าทั้งหมดทั้งมวลคือเรื่องส่วนพระองค์ในครอบครัว ซึ่งคนบางคนยังแยกไม่ออก ……ในช่วงช่องว่างนี้  มีนักวิชาการ นักต่อต้าน ฝ่ายนิยมซ้ายได้ก่อตัว
ฝังตัวไปกับการเมืองไทยที่มุ่งแต่หาประโยชน์เข้าตัว มีการปลุกระดม โน้มน้าวเพื่อที่จะเปลี่ยาทิศทางทางการเมืองให้สมเจตนารมย์ เพราะอำนาจ...มันหอมหวนยิ่งนัก...!!!

การศึกษาของประเทศเรา...ขอบอกว่าล้าหลังมาก เนื่องจากเราไม่เน้นอ่าน ไม่เน้นการใช้ทักษะค้นคว้า……ถนัดรับการป้อนให้ถึงปาก ภาษาอังกฤษย่ำแย่ ยังอยู่กับที่ นอกจากนักเรียนที่ต้องเสียเงินแพงๆถึงจะได้เรียนระบบอินเตอร์…ตรงนี้ที่เกิดช่องว่าง
(ดิฉันเห็นด้วยกับการเรียกร้องให้มีการพัฒนาปรับปรุงตรงนี้…) และการศึกษาที่แสนง่อยนี้...เติบโตไม่ทันกับการเข้าถึงข่าวสารของนักเรียน……เขาจึงตื่นเต้นกับข้อมูลใหม่แบบล้วงลึกตามที่ผู้ไม่ประสงค์ดีได้ป้อนให้อย่างอิ่มเต็ม  สนุกสนานไปกับสำนวน อิดอก..!!! เมื่อปลุกปั่นจนได้ที่ โดยประมวลได้จากหน้าเพจหลายเพจที่มีคนติดตามนับหมื่น นับแสน บางเพจมีเป็นล้าน
จึงเป็นที่เชื่อใจได้ว่า ถึงเวลาแล้ว……ต่อการโค่นล้มเพื่ออนาคตที่ดีกว่า (ของผู้ยั่วยุ)

ดิฉันได้เห็นนักเรียนชั้นมัธยมต้นในโรงเรียน”เจ้าตั้ง” ออกมาชูสามนิ้ว ด่าทอ ไม่มีความยำเกรงอาจารย์ ได้ยินแกนนำด่าทอรัฐบาล และ สถาบันสูงสุดของเราอย่างมันส์ปาก เหมือนกับโกรธแค้นมาแต่ครั้งไหน นิสิต นักศึกษา ยอมรับปริญญากั

ภาพคัทเอ้าท์ของคนเนรคุณแผ่นดิน มากกว่าที่จะรับจากพระหัตถ์  สารพัดที่จะเห็น จะได้รับฟัง………ได้แต่นึกในใจว่า……พ่อแม่ของเด็กพวกนี้ไปไหน……เขาเห็นดีเห็นงามด้วยหรือไม่? แต่ก็นั่นแหละ……เขาว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ลูกมะนาวก็ต้องมาจากต้นมะนาว………!! ทุกอย่างเกิดขึ้นรายวัน...แต่ไม่เห็นมีใครออกมาต่อต้าน หรือ ออกมาเผชิญหน้าท้าดีเบต ได้แต่อึดอัด ซุบซิบกันแต่ในเฟสบุ๊คของตัวเอง ทางรัฐบาลก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะเขาใช้ “เยาวชน” มาเป็นอาวุธ เรื่องอย่างนี้ คือ ความไม่มีประสิทธิภาพของกระทรวงศึกษาธิการและความโหลยโท่ยของสำนักงานข่าวกรอง  ดิฉันคิดถอดใจเหมือนกัน...อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด มียศเสื่อมยศ มีลาภเสื่อมลาภ ตามคำโบราณเขาว่ากัน  อนาคตจะเป็นอย่างไร…ก็ต้องเรียนรู้กันไป  ดิฉันได้แต่นั่งมองรูปความงามของเกาะรัตนโกสินทร์ในสถานที่ต่างๆ หวังว่าจะคงอยู่ต่อไปชั่วฟ้าดิน จนเมื่อเกิดเหตุการณ์วันที่ประชาชนได้รับเสด็จพระราชดำเนินทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานในวันปิยมหาราช 23 ตุลาคม ที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากสิ่งที่เคยเห็นในขบวนเสด็จของรัชกาลก่อน นั่นคือ ความเป็นทรงพระน่ารัก…ทรงพระกันเอง…ทรงพระสรวล...ทรงขำขันกับสโลแกน ในหลวงสู้สู้... สมเด็จพระราชินีได้ทรงทำหน้าที่อย่างเหมาะเจาะ สมบูรณ์ และเหมือนจะติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด มีการสัมผัสมือกับผู้ที่เข้าเฝ้า มีการเกาะกุมพระบาท อะไรกันนี่.……ราวกับฝันไปทีเดียวเชียว เพราะนี่คือสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นในชีวิต เพราะจำได้ว่า สมัยดิฉัน เมื่อเสด็จพระราชดำเนินผ่านก็ได้แต่หมอบกระแต เงียบกริบจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง (ในงานกาชาด) คำว่า ทรงพระเจริญจะเปล่งก็ตอนส่งเสด็จตอนรถยนตร์พระที่นั่งขับผ่าน...พอมาถึงเสด็จวัดพระแก้วเมื่อวานนี้ เกิดปรากฏการณ์ของคลื่นมหาชนเสื้อเหลืองที่สะพรั่งไปทุกหย่อมหญ้า นั่นยิ่งเจิดขึ้นไปอีก……เพราะเป็นการทำงานประสานแบบทีมเวิร์ค
เจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์วิ่งเอนเตอร์เทนประชาชน ทรงทำหน้าที่เป็นพีอาร์ที่คอยส่งข่าวให้ทูลกระหม่อมพ่อทรงทราบว่า ใครมา...ใครนั่งตรงไหน แนะนำให้ทรงรู้จักเบ็ดเสร็จ พร้อมกับรู้ถึงการงานของคนคนนั้นด้วยว่า เป็นนักแต่งเพลง (คุณนิติพงษ์ ห่อนาค)  พระราชินีทรงอ่อนหวานที่ดูเป็นธรรมชาติมาก ทรงเข้าใจถึงความต้องการของพสกนิกรเป็นอย่างดี พีคสุด....คือ ทรงพระเซลฟี่กับเด็กหนุ่มผู้กล้าร้องขอ……!!ใจที่เคยห่อเหี่ยว……กลับอิ่มฟูขึ้นมาอย่างประหลาด เพราะคำบอกเล่า...ความภาคภูมิใจ…ความภักดี จะถูกถ่ายทอดออกไปอีกนับล้านๆคำ จากปากต่อปาก จากใจสู่ใจ……ดิฉันซึมซับได้ถึง “บารมี” ที่มีจริงในโลกใบนี้ กล่าวคือ……เมื่อเข้าใกล้…จนบารมีนั้นได้แผ่ถึง...อาการน้ำตาไหลพรูจะเกิดขึ้นมาเอง……ห้ามไม่หยุด ฉุดไม่อยู่…
รับรองว่า……อาการอย่างนี้มีคนไทยเป็นอยู่ชาติเดียว……!! เพราะเคยใกล้ ปธน. Nixon, ปธน. Reagan แบบประจันหน้ากัน ก็เฉยๆ คนอื่นๆก็เฉยๆ ไม่มีใครแสดงอาการปลาบปลื้มอะไรมากนัก นอกจากวุ้ยว๊ายกันทีหลัง...

เชื่อว่า…ฝ่ายที่ยุยงปลุกปั่นเด็กคงต้องไปคิดใหม่ การที่จะปฏิรูปหรืออะไรที่ประดิษฐ์ออกมาให้ฟังสวยหรูนั่น คงยังใช้ไม่ได้ในตอนนี้ ดิฉันเชื่อว่าพวกเขาก็รู้ว่า…ยังไม่ใช่เวลา แต่ลองก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร เพราะนั่งอยู่หลังม่าน แต่ประชาชนเริ่มเห็นความโหดเหี้ยมของคณะปลุกปั่นที่ใช้เด็กหัวรุนแรงมารับเคราะห์กรรมแทน ไร้มนุษยธรรมที่สุด เพราะอนาคตพวกเขามืดมนจริงๆ ต่อไปจะมีแต่คดีความที่เพิ่มขึ้น หลักฐานชัดเจน และ จะถูกทอดทิ้งในเวลาไม่นาน
พวกพ่อแม่ของเด็กเหล่านี้……ทนได้อย่างไร? คิดว่า…คำปลอบใจอย่างเดียวที่มีให้ คือ รอให้พวกสามเกลอเป็นรัฐบาล…
อาจจะมีทางช่วยเหลือ นั่นก็ต้องแล้วแต่โชคชะตา ฟ้าลิขิต เพราะพวกหนูๆจะได้ใช้เวลาแห่งการอคอยวิ่งขึ้น-วิ่งลงศาล วิ่งเข้า-ออกที่คุมขัง...คอยรับการสมน้ำหน้า สมเพชจากคนที่ได้รับผลกระทบจากการก่อการชุมนุม……เอาเถอะค่ะ หนูมาไกลถึงขนาดนี้แล้ว หยุดตอนนี้หัวก็คงทิ่มคะมำ……ไปต่อเลยค่ะ ไปให้สุดแรง...แล้วจะได้พักยาวๆ จะได้มีเวลาคิดทบทวน คิดถึงตัวเองให้มากๆ อย่าทำตัวเป็นคนโง่แต่เ-ือกขยัน…เพราะคนแบบนี้ในประวัติฮิตเล่อร์เอาไปรมควันหมด เพราะอยู่ไปก็สร้างแต่ความหายนะ……!!

หมายเหตุ มีผู้ส่งข้อความนี้เข้ามาเผยแพร่ในไลน์ กลุ่ม ผมไม่รู้จักทั้งผู้นำมาเผยแพร่ และผู้เขียน เมื่ออ่านดูแล้ว เห็นว่าเป็นข้อเขียนที่น่าสนใจ จึงนำมาแชร์ต่อให้ได้อ่านเรียนรู้ร่วมกันครับ และต้องขออนุญาตผู้เขียนนำมาเผยแพร่ด้วยครับ

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท


   

เชิญชม เสวนาสด รายการ เปลี่ยน เป็น เปลี่ยน พุธที่ 4 พฤศจิการยน 2563 เวลา 18.00-19.00 น

พิมพ์ PDF

“อ่าน วิเคราะห์ คิด สื่อสาร อย่างมีสติ นำพาประเทศชาติพ้นวิกฤต”

เสวนาสด รายการ เปลี่ยน เป็น เปลี่ยน  

พุธที่ 4 พฤศจิกายน  2563 เวลา 18.00-19.00                                        

(ออกอากาศซ้ำวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563 เวลา 9.30-10.30 น)

 

ผู้ร่วมเสวนา :           หม่อมหลวงชาญโชติ ชมพูนุท  

ประธานกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์

อาจารย์สมพร มูสิกะ ผู้อำนวยการ สถาบันหลักนิติธรรม

คุณหมอเทพ เวชวิสิฐ คลีนิคประตูน้ำการแพทย์

 ทางสถานีโทรทัศน์โลกพระพุทธศาสนาเฉลิมพระเกียรติ  (WBTV) วัดยานนาวา        สามารถรับชมทาง ทีวี ผ่านจานดาวเทียม ตามช่องต่างๆดังนี้

·     ทางกล่องดาวเทียมค่าย GMM ช่อง 175

·     ทางกล่องดาวเทียมค่าย PSI ช่อง 239

·     ทางกล่องดาวเทียมค่าย CTH  ช่อง 870

·     ทางกล่องดาวเทียมค่าย  Infosat ;Thaisat; Indeasat ; Leotech ช่อง 189

สำหรับท่านที่ต้องการรับชมรายการ เปลี่ยน เป็น เปลี่ยน ย้อนหลัง สามารถรับชมได้ทาง YouTube ค้นหาคำว่า “เปลี่ยน เป็น เปลี่ยน”


 

อ่าน วิเคราะห์ คิด อย่างมีสติปัญญา นำพาประเทศชาติพ้นวิกฤต

พิมพ์ PDF

อ่านวิเคราะห์ คิด อย่างมีสติปัญญา นำพาประเทศชาติพ้นวิกฤต

 

ผมเพิ่งมาอ่านและวิเคราะห์ ข้อความที่คุณอานันท์ ได้นำเสนอความคิดเห็นของท่าน เดี๋ยวนี้เอง หลังจากที่ข่าวเรื่องนี้ถูกนำเสนอมาก่อนนี้โดยยกเอาข้อความประโยคสุดท้าย มาวิเคาระห์ ในด้านไม่ดีต่อคุณอนันท์ ทำให้ผมได้คล้อยตามและสงสัยคุณอนันท์ ว่าท่านทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น แต่เมื่อผมมาอ่านทั้งหมดและวิเคราะห์ ด้วยสติปัญญา จึงเห็นว่า คุณอนันท์ เป็นผู้ใหญ่ที่ดี และออกมากล่าว ด้วยความบริสุทธิ์ เพื่อให้ข้อคิดอย่างสร้างสรรค์กับคนไทย และสังคมไทย

ขอขอบพระคุณ คุณอานนท์  มา ณ. ที่นี้

หม่อมหลวงชาญโชติ ชมพูนุท

4 พฤศจิกายน 2563

 

อานันท์ ปันยารชุน : ฟังเสียงคนรุ่นใหม่ ไม่ต้องเห็นด้วย แต่ต้องเข้าใจ

หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง ผ่านเวทีเสวนา ‘จากรุ่นแอนะล็อกสู่ยุคดิจิทัล เราจะลดช่องว่างการสื่อสารด้วยความจริงและความงามได้อย่างไร’ โดยเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งภายในงานเวทีนักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 13 ที่จัดขึ้นโดย ภาคีโคแฟค , สภาการหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นายอานันท์ กล่าวว่า วันนี้ทุกคนเข้าใจว่าสถานการณ์บ้านเมืองของเราอยู่ในขั้นที่บางคนเรียกว่าวิกฤติ บางคนในรุ่นผมก็อาจจะรู้สึกว่าไม่ใช่ของผิดปกติอะไร เพราะที่จริงเรามีเหตุการณ์แบบนี้ไม่รู้กี่ครั้งในระยะ 88 ปีที่เราเรียกว่ามีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย คนเราเมื่ออายุมาก ผ่านโลกมามาก เห็นร้อนเห็นหนาว เห็นเหวเห็นยอดเขา เมื่อเราผ่านสิ่งเหล่านี้มาแล้ว เห็นความสำเร็จ เห็นความล้มเหลว มีความผิดหวัง มีความดีใจ เมื่อผ่านทั้งหลายมาแล้ว ผมคิดว่าเราอยู่ในสถานะที่มองโลกในแง่ดีมากกว่าคนที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อนอันนี้เป็นเรื่องของธรรมชาติ ตัวผมเองรู้เลยว่า มันมีวิวัฒนาการในวิธีคิดของผม สมัยผมเป็นหนุ่ม ผมเลือดร้อน ใจร้อน พูดอะไรค่อนข้างจะผิดกาลเทศะบางครั้ง พูดบางอย่างก็กระทบจิตใจคนโดยไม่จำเป็น แต่จากการที่เราพยายามดูตัวเองอยู่เสมอว่ามีข้อบกพร่องอะไร และเหตุการณ์ในชีวิตกล่อมให้เราก้าวหน้าไปในทางที่เหมาะสมกว่าในอดีต ฉะนั้นเรื่องอายุ เรื่องนิสัยของคนเปลี่ยนแปลงได้หากตั้งใจที่จะหาทางออก หาทางที่จะคบค้าสมาคมกับคนทั่วไป

ในปัจจุบันปัญหาเมืองไทยเป็นปัญหาที่เรียกว่าเป็นปัญหาการเมืองเหมือนกับที่เคยมีมาในอดีต พอมีปัญหาทำไปทำมาก็สู้รบกันเสร็จแล้วก็รัฐประหาร เมื่อรัฐประหารเสร็จก็เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ แล้วก็เลือกตั้ง และตั้งรัฐบาล อีก 7-8 ปีก็กลับมาวงเวียนเก่า มั้นไม่พ้นวงจรนี้ เพราะสิ่งที่เราทำในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการเขียนรัฐธรรมนูญ ตั้งรัฐบาล หรือการมีนโยบายต่างๆก็ดี เป็นเรื่องการมองผลระยะสั้นทั้งนั้น ไม่ได้มองประเด็นที่ถึงแก่นรากของประเด็น มองแต่ผิวเผิน เมื่อมองแต่ผิวเผินก็ไม่รู้ว่าเหตุที่เกิดมาจากอะไร เวลาแก้ไขก็ไม่ได้แก้ที่ราก แต่ไปแก้ที่กิ่งใบเท่านั้น

@ไม่มีความยุติธรรม ไม่มีความสงบ
การหาทางออกที่ผ่านมาในอดีตมักเป็นทางออกระยะสั้น เช่น เมืองไทยต้องการสงบเรียบร้อย ไม่ต้องการให้มีการสู้รบกันเหมือนที่ราชประสงค์ แต่บอกว่าขณะนี้สถานการณ์ดีขึ้น ก็ต้องคิดว่าดีขึ้นเพราะอะไร หากดีขึ้นเพราะกฎหมาย ซึ่งอาจจะเป็นจากกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม หรือดีขึ้นเพราะมีพระราชบัญญัติคุมทหาร คุมตำรวจเอง ก็เป็นความสงบที่เรียกว่าเป็นความสงบที่ผิวเผิน ความสงบที่แท้จริงต้องไม่ได้มาจากการบังคับ ไม่ได้มาจากเบื้องบน ไม่ได้มาจากเบื้องล่าง แต่เป็นความสงบที่ทุก ๆ ฝ่าย เขาพูดคุยกันแล้วที่จะมีความสงบ

การตั้งคำถามหรือการตั้งระเบียบวาระเป็นเรื่องจำเป็นมาก สังคมไทยเมื่อตั้งคำถามผิด เมื่อคุณไปหาคำตอบมาถึงแม้ว่ามันจะถูก แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้แก้ปัญหา เพราะคำถามมันผิดอยู่แล้ว หรือบอกว่ามันสงบเพราะมีโควิดมันก็ไม่ใช่ ความสงบต้องมองไปอีกว่าความสงบจริง ๆ แล้วอยู่ที่ไหน มันมีคำพูด คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ ในสายตาของผม ซึ่งอาจจะผิดนะ แต่ผมคิดว่าตราบใดที่สังคมไม่มีความยุติธรรม ไม่มีความเสมอภาค มันอาจจะสงบ 60% แต่มันไม่สงบจริงจัง ไม่ยั่งยืน แต่ถามว่ามีสังคมไหนที่มีความสงบยั่งยืน 100% คำตอบก็คือไม่มี เพราะแม้แต่ความยุติธรรมก็ดี หรือปัญหารากฐานก็ดี ก็ไม่ได้แก้ไขได้ 100% แต่อย่างน้อยเมื่อจับประเด็นที่ถูกต้อง จับเหตุที่ถูกต้อง โอกาสที่เราไปสู่สังคมที่มีความยุติธรรมมากขึ้น สังคมที่เหลื่อมล้ำน้อยลงไป สังคมที่มีโอกาสมากขึ้นดีกว่าเดิม ผมว่าเราก็น่าจะพอใจแล้ว

@ความขัดแย้ง 2563 ความรุนแรงน้อยกว่าในอดีต
อีกประการที่อยากตั้งข้อสังเกตก็คือว่า มันพูดได้เลยว่า นี่เป็นข้อขัดแย้งระหว่างคนละรุ่น ในสายตาของผม ปัญหาของเราจะว่ายากก็ยาก จะว่าไม่ยากก็ไม่ยาก ถ้าไปเปรียบเทียบในประวัติศาสตร์โลก พบว่าข้อขัดแย้งของเมืองไทย ทุกสมัยเป็นข้อขัดแย้งของข้อพิพาทไม่ใช่ระหว่างสองฝ่าย แต่จริง ๆ เป็นเรื่องระหว่างคนสองกลุ่มเท่านั้น เป็นข้อพิพาททางการเมืองบ้างหรือเป็นข้อพิพาทในเรื่องวิธีคิดหรืออุดมการณ์ทางการเมืองบ้าง แต่ไม่ใช่ข้อพิพาทที่อยู่บนพื้นฐานเรื่องสีผิว ศาสนาหรือเชื้อชาติ

ความวุ่นวายในปัจจุบัน จริงๆ แล้วหากดูให้ดี โดยผมจะไม่พูดถึงเรื่องข้อเรียกร้องของเขา ผมจะไม่พูดว่าอะไรผิดอะไรถูก แต่หากมองเหตุการณ์ดูแล้ว ความวุ่นวายปัจจุบันมันมีระดับความรุนแรงน้อยกว่าความวุ่นวายในอดีตไม่ว่าจะเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ หรือ 6 ตุลาฯ ที่เป็นข้อพิพาททางด้านการเมืองเหมือนกัน แต่ทั้งสองเหตุการณ์จบด้วยการปะทะกัน แต่คราวนี้แม้จะเป็นความคิดทางการเมือง แต่การชุมนุมต่างๆ ไม่ว่าคนจะเป็นหมื่นหรือแสน ผมไม่ทราบ แต่ไม่มีการพกอาวุธ ไม่มีปืน ไม่มีมีด อาจจะมีปลายร่มนิดๆหน่อย ฉะนั้นทุกอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีการเผาสถานีตำรวจ ไม่มีการปิดถนนอย่างไม่ยอม ไม่มีการเผายางรถยนต์ รถบัส หรือแม้แต่รัฐบาลก็ไม่มีการใช้อาวุธ อาจจะตอนใช้น้ำอัดฉีดเรียกว่าเกินความเหมาะสมไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้คนต้องเสียชีวิต ฉะนั้นความรุนแรงครั้งนี้มีการกำหนดกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งต้องชมทั้งสองฝ่าย ไม่มีการถือโอกาสลักขโมยของในร้านค้าต่างๆ

 @ไม่ต้องเห็นด้วย แต่ต้องเข้าใจ
อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า อีกเรื่องที่อยากตั้งข้อสังเกตก็คือว่า การเรียกร้องอะไรก็แล้วแต่ หากจะทำทุกอย่างตามอำเภอใจของเรา คุณจะไม่ประสบผลสำเร็จ ในฐานะที่ผมอยู่ด้านการเมืองมา 2 ปีครึ่ง ไม่ได้เข้าไปอยู่เพราะใจชอบหรือใจรัก แต่เข้าไปเพราะต้องไปทำงานด้านการเมือง ประสบการณ์บอกผมอย่างหนึ่งว่า ถ้าจะหวังว่าให้สำเร็จในสิ่งที่คิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เราต้องคำนึงเสมอว่าเราทำคนเดียวไม่ได้ รัฐบาลนี้ทำได้เพราะมีอำนาจทางทหาร มีอำนาจทางสภา แต่ผมเข้าไปไม่มีอำนาจสักอย่าง ผมต้องหาอำนาจประชาชน ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าเรากำลังจะทำอะไร หากเราคิดว่าสิ่งที่เป็นของสำเร็จรูปทำใส่กล่องอย่างดีไปให้ประชาชน อันนี้ไม่ใช่ความสำเร็จ แต่เรียกว่าไปกำหนดไปบังคับให้ประชาชนรับสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุด แต่ประชาชนจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เขารับไปแต่จะไม่รู้จักคุณค่า

ดังนั้นเราตั้งระเบียบวาระของเราจะมี 8 ข้อ 10 ข้ออะไรก็ตาม แต่เราทำตามอำเภอใจไม่ได้ เราต้องเลือกประเด็นปัญหาที่มีความเร่งด่วน แต่ถ้าบอกว่ามี 8 เรื่อง 10 เรื่อง ไม่บอกว่าจะทำที่ไหนก่อน ทุกอันที่ยกประเด็นขึ้นมาหากไม่สอดคล้องกับความเห็นส่วนใหญ่ของประชาชน โอกาสที่จะสำเร็จจะน้อยมาก อันนี้ไม่ใช่เรื่องของผิดถูก อย่าไปคิดว่าระบอบประชาธิปไตยมันจะต้องถูกเสมอไป เพราะผิดหรือถูกไม่ได้ขึ้นอยู่กับสาระอย่างเดียว แต่ผิดหรือถูกขึ้นอยู่กับกาลเทศะด้วย

ฉะนั้นคนที่จะทำอะไรต้องวางยุทธศาสตร์ วางแผนงานให้ดี ยุทธศาสตร์ที่ผมบอกก็คือ ต้องพยายามเลือกประเด็นที่สอดคล้องกับความคิดกับประชาชนส่วนใหญ่ ถ้าเลือกประเด็นที่ไม่สอดคล้องกับประชาชนส่วนใหญ่อันนั้นยิ่งเสร็จใหญ่เลย อย่าดูถูกประชาชน เขาจะถูกหรือผิดอย่างไร เป็นความคิดของเขา ฉันใดฉันนั้นเราไม่ดูถูกความคิดเด็กรุ่นใหม่ ไม่ดูถูกความคิดของรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจ เพราะการจะคบกัน การอยู่ร่วมกันต่อไปในผืนแผ่นดินไทย ต้องเปิดใจกว้าง ไม่ใช่ว่าต้องเห็นด้วย แต่ต้องเข้าใจกันและกัน การใช้ภาษาก็สำคัญ วิธีเขียนประเด็นสำคัญมาก หากเริ่มต้นเขียนเชิงลบก็บาดหมางน้ำใจกันแล้ว มันมีวิธีเขียนครับ เขียนออกมาเป็นเชิงบวก อย่าไปเขียนออกมาแล้วคนด่าทันที มันต้องรักษาน้ำใจซึ่งกันและกัน และต้องเข้าใจเหตุผลของความแตกต่างกัน

@ยกเลิกอำนาจ ส.ว.โหวตนายกฯ
นายอานันท์ กล่าวว่า สังคมไทยจะผิดจะถูกอย่างไรผมไม่รู้ สังคมไทยที่บอกว่าสังคมอนุรักษนิยม สังคมไทยยังเคารพเรื่องประเพณี เรื่องคุณค่าเก่าๆ แล้วถามว่าปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่ไม่มีความกตัญญูกตเวทีหรือไม่ ก็ไม่ใช่ เพราะเขาก็มี แต่เขามีคำถาม เพราะหลายสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปแล้ว ผมรู้สึกว่าการเขียนรัฐธรรมนูญ จะเรียกว่าการเขียนฉบับใหม่หรือปรับปรุงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็แล้วแต่ ผมว่าถ้าเราวางหลักเกณฑ์ก่อนว่าควรจะสั้นกว่านี้ อย่าลงรายละเอียดมากเกินไป และดูมาตราที่สร้างปัญหาก่อน

แน่นอนมาตราที่สร้างปัญหา คือมาตราที่ให้มีการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และไม่ใช่แค่แต่งตั้ง ส.ว. 250 คนที่ถือว่าแปลกแล้ว แต่ยังให้อำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย อันนี้ต้องเอาออกไปแน่ๆ และ ส.ว.หลายคนมีความรู้สึกอย่างนั้นแต่ไม่กล้าพูดออกมา ฉะนั้นต้องเข้าใจว่าอันนี้คือประเด็นใหญ่ ที่ทำให้เกิดการเดินขบวน เป็นสิ่งที่เยาวชนรุ่นใหม่ และคนรุ่นเก่าอย่างผม อยากที่จะเห็นว่าจะไม่มีประโยคนี้ ไม่มีมาตรานี้อยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับต่อ ๆ ไป

ส่วนเรื่องมาตรา 112 ผมก็พูดมา 7-8 ปีแล้ว ผมพูดคนแรก ๆ เลยว่าต้องปรับปรุงใหม่ ไม่ได้บอกว่าต้องล้มล้างนะ แต่สิ่งที่ต้องทำทันทีคือ มาตรา 112 ต้องไม่เป็นคดีอาญา คือไม่มีการลงโทษ แต่ต้องเป็นคดีแพ่งคือการปรับ แต่ไม่ใช่ปรับจำนวนเงินที่สูงเกินไป เหมือนเราจะสั่งสอนเด็ก ไม่ใช่ทุบหัวให้แตก แค่ตีก้นให้รู้สึกว่าผิด ไม่ต้องตีให้มันช้ำ ให้มันแตกก็พอแล้ว ฉะนั้นหลักการเขียนรัฐธรรมนูญต้องวางหลักเกณฑ์ให้แน่นอน

@พูดคนละภาษา รบคนละสนาม
เรื่องหนึ่งที่ผมว่าจะเป็นปัญหา แต่ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะพูดว่าควรหรือไม่ควรทำนะ แต่เด็กยืนยันว่าท่านนายกรัฐมนตรีเป็นตัวปัญหานะ คนรุ่นใหม่เขามองว่า นายกรัฐมนตรีเป็นคนเดียวที่สามารถปลดล็อกได้ จะปลดล็อกด้วยวิธีใดผมไม่รู้ ท่านจะไม่ลาออก ผมก็ไม่ว่าอะไรเพราะเป็นสิทธิ์ของท่าน แต่ท่านต้องรู้นะว่าเขาเรียกร้องอย่างนั้น แล้วถ้าจะเถียงกับคนรุ่นใหม่ อ้างปัญหากฎหมาย อ้างกฎเกณฑ์ต่างๆ มันไปไม่ถึงไหน เพราะเด็กมองว่ามันผิดมา 7 ปีแล้ว คุณอาจจะไม่เห็นด้วย ผมก็ไม่เห็นด้วยทุกอย่างนะ แต่พยายามเข้าใจ เหมือนอย่างผมพยายามทำความเข้าใจสถานะของท่านนายกรัฐมนตรี หรือสถานะของรัฐบาลเหมือนกัน แต่ถ้ามันไม่เข้าใจซึ่งกันและกันก็ต้องคุยกัน

ผมไม่สนใจที่จะเข้าไปร่วมด้วยทั้งสองฝ่าย มันมีมากกว่าสองฝ่ายหรือไม่ ผมไม่ทราบ แต่เริ่มต้นสมมติฐานก็ผิดกันแล้ว เด็กเริ่มต้นจาก 7 ปีที่แล้ว แต่นายกรัฐมนตรีเริ่มต้นบอกว่าทำอะไรผิด พูดคนละภาษา เด็กพูดภาษาดิจิทัล รัฐบาลตอนนี้พูดภาษาแอนะล็อก สงครามต่อสู้กันคนละสนาม ไม่เคยเจอกัน แล้วพูดคนละประเด็น ผมถึงบอกว่าในสังคมโลกเขาพูดกันเลยว่า คุณจะมีสันติภาพไม่ได้ ถ้าคุณไม่มีความยุติธรรม แล้วคุณจะไม่มีความยุติธรรม เมื่อคุณไม่มีความจริงใจซึ่งกันและกัน ฉะนั้นสองฝ่ายต้องเริ่มต้นจากการพูดภาษาเดียวกัน

คัดลอกจากสำนักข่าวอิศรา


 


หน้า 94 จาก 561
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5643
Content : 3067
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8741860

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า