Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

ถึงแม่พลอย

พิมพ์ PDF

ถึง..แม่พลอย
ตอนนี้ฉันคิดถึงแม่พลอยมากจริงๆ มันมีอะไรเกิดขึ้นหลายๆ อย่างคล้ายกับที่แม่พลอยเคยพบเห็นมา. ไม่น่าเชื่อว่ามันจะย้อนมาเกิดอีกหลังยุคแม่พลอยเกือบร้อยปี
ฉันเกิดทีหลังแม่พลอยนานมาก. แต่ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันคุ้นเคยกับแม่พลอยดี. แม่พลอยอยู่ในวัง. ใกล้ชิดเจ้านาย. ได้รับการอบรมสั่งสอนจากผู้หลักผู้ใหญ่ให้มีความรู้ ความคิด มีมารยาทตามสมัยของแม่พลอย. สมัยเด็ก พ่อแม่ฉันก็อบรมสั่งสอน. เข้าโรงเรียนครูก็สอนคล้ายๆกัน. เด็กรุ่นฉันยังเคารพผู้ใหญ่. เรื่องไหว้ กราบ  คำพูดคำจา  กิริยามารยาท. ถูกอบรมจนซึมซับอยู่ในตัว. ไม่กล้าพูดหยาบคาย. กระดากปาก. ผู้ใหญ่นั่งอยู่. จะเข้าไปหาต้องย่อตัว. ต้องนั่งลง ฯลฯ สารพัดนะ. แม่พลอย. เราก็ทำกันมา. ไม่ได้คิดว่าตัวเองต่ำต้อยอะไร. ผู้ดี คนดี เขาก็ทำกันทั้งนั้น. ใครไม่ทำต่างหาก จะถูกคนเขาว่า ไม่มีใครสั่งสอน
ฉันไม่ได้อยู่ในรั้วในวัง. ไม่ได้ใกล้ชิดเจ้านายสักเท่าไหร่. แต่ฉันก็รับรู้มาตลอดว่า. บ้านเมืองเรามีในหลวง. มีพระราชินี. เป็นเหมือนพ่อแม่ของประชาชนทุกคน. ฉันเกิดในรัชกาลที่ ๙ แม่พลอย. ตั้งแต่เล็กจนโต จนแก่ป่านนี้. ฉันคุ้นเคยกับการมีในหลวง. ได้รับรู้ว่าพระองค์ท่านดีแสนดี. ทรงทำอะไรต่อมิอะไรให้คนไทยมากมายเหลือเกิน. ฉันไม่เคยคิดว่าจะมีใครไม่รักในหลวง. มิหนำซ้ำ. ถึงขนาดพยายามจะทำร้าย. ทำลายได้ลงคอ
ฉันยังจำได้. ตอนที่ลูกของแม่พลอยกับเพื่อนนักเรียนนอกคิดการใหญ่. แม่พลอยเป็นทุกข์เพราะเห็นลูกๆ ขัดแย้งกัน. พี่น้องทะเลาะกันรุนแรง. จนถึงขนาดไม่มองหน้ากัน. จนถึงช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง. แม่พลอยเป็นผู้หญิง อยู่แต่ในบ้าน. ได้ฟังแต่คนมาเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น. แม่พลอยยังเดือดร้อน เป็นทุกข์นัก. ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีคนไทยกล้าทำอะไรกับสถาบันกษัตริย์แบบนั้นได้.
แม่พลอยเชื่อไหม. ยุคนี้ วันนี้. ห่างจากสมัยแม่พลอยเกือบร้อยปี. ยังมีคนคิดทำตามรอยคณะราษฎร์สมัยนั้นอีก.
สาเหตุมันก็คล้ายๆ กันแหละ. แม่พลอย. คนรุ่นใหม่. ไปเรียนเมืองนอก  รับความคิดแบบฝรั่งมา. แล้วก็จะเปลี่ยนแปลง. ทำตามอย่างเขา.
ต่างกันตรงที่ว่า. สมัยนั้น แค่รวมกลุ่มกันเอง. แล้วก็ต่อสู้กับฝ่ายที่ปกป้องสถาบัน. ชาวบ้านร้านถิ่นไม่ค่อยได้เข้าไปเกี่ยวข้อง.
แต่สมัยนี้.มันกระจายไปทั่ว.ลุกลามไปทุกบ้านช่อง. โดยเฉพาะคนที่เป็นครูบาอาจารย์. เอาความคิดมาใส่สมองลูกศิษย์. ใช้วิธีการต่างๆ ทำให้หลงเชื่อตามกันไป. ที่เขาว่าเด็กเหมือนไม้อ่อนน่ะ. จริงเลย. แม่พลอย. เขาดัดยังไงก็เป็นยังงั้น. จะคดจะงอยังไงก็ไปตามหมดทุกอย่าง
แม่พลอยคงเป็นลมแน่. ถ้าได้รู้เห็นว่าเด็กเดี๋ยวนี้. แสดงกิริยา. วาจายังไงกับพ่อแม่ ครูบาอาจารย์. แล้วคงแทบอกแตกตาย. ถ้ารู้ว่าเขาหยาบหยามวัฒนธรรมที่คนรุ่นปู่ย่าตายายยึดถือกันมา. ก้าวร้าว. มุ่งร้ายต่อ สถาบันกษัตริย์ที่คนไทยยึดเหนี่ยวจิตใจกันมานานแสนนานมากขนาดไหน
คนรุ่นเรา. แค่พูดถึงไม่ดี. ทำอะไรเทียมเจ้าเทียมนาย. ยังว่า นรกจะกินหัว. แต่คนรุ่นนี้. นรกกินหมดตัว. หรือจะกินไม่ลงก็ไม่รู้. ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง. หยาบคายเหลือเกินจริงๆ.
ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ. เขาพยายามสร้างเรื่องราวต่างๆ นานาให้คนพลอยเกลียดชัง. แตกแยกกันเอง. เกลียดชังสถาบันสำคัญของชาติ. ชักศึกเข้าบ้าน. ให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง. ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในบ้านเมืองของเราเอง
ฉันคิดถึงสมัยสงคราม. ตอนที่เขารบกัน. ไทยไม่ได้เข้าไปขัดแย้งอะไรด้วย. แล้วจู่ๆ ญี่ปุ่นก็เข้ามายึด. ถืออาวุธเดินกันเพ่นพ่านเต็มไปหมด. ทำให้ไทยตกอยู่ในภาวะสงครามไปด้วย
ตอนนี้ฉันก็รู้สึกวิตกจริต. กลัวว่า. ถ้าคนไทยทะเลาะกันเอง. แล้วจู่ๆ ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นทหารฝรั่งถืออาวุธเข้ามาเดินเพ่นพ่านเต็มไปหมด. เข้ามาควบคุม. บงการทุกอย่าง. เหมือนสมัยญี่ปุ่นเข้ามายึดตอนนั้น. จะเป็นยังไง
ฝรั่งพวกนี้ทำกับหลายๆ ประเทศนะ. แม่พลอย. แทรกแซง. ยุยง. ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวาย. กลายเป็นจลาจล. แล้วก็อ้างว่าเข้ามาช่วยระงับเหตุการณ์. แต่ละประเทศที่ฝรั่งพวกนี้เข้าไปสอดแทรกก็ย่อยยับ. เหมือนเสียเอกราช. ตกเป็นทาสเขา.
คนอย่างเราๆ นะ แม่พลอย. ก็ได้แต่กลัว. อกสั่นขวัญแขวน. ภาวนาขออย่าให้มันเป็นอย่างนั้นเลย
ฉันเกิดไม่ทันสมัยรัชกาลที่ ๗ ก็รู้นิดๆหน่อยๆ เหมือนแม่พลอยละมัง. ว่าพระองค์ท่านทรงยินยอมทำตามข้อเสนอของคณะราษฎร์. เพราะไม่อยากให้คนไทยต้องเสียเลือดเนื้อต่อสู้กันเอง. กษัตริย์ไทยทุกพระองค์คิดถึงประชาชนมากกว่าพระองค์เองทุกยุคสมัย. ในหลวงรัชกาลที่ ๗. ทรงยอมสละพระราชอำนาจ. สละราชย์. ไปประทับอยู่ต่างประเทศเสียเอง เพื่อให้บ้านเมืองสงบ
ถ้าพระองค์ท่านไม่ตัดสินพระทัยอย่างนั้น. คงเกิดกลียุค. เพราะคนไทยที่รักสถาบัน. ก็มีอีกมากมายที่พร้อมจะยอมตายถวายชีวิต
วันนี้. คนรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่ง. พยายามจะสืบสานเจตนารมณ์คณะราษฎร์. ยังกับว่าที่ทำครั้งนั้นยังไม่พอใจ.
คนไทยเราถือว่าสถาบันกษัตริย์เป็นส่วนหนึ่ง. และเป็นส่วนสำคัญของสังคมไทย. เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ. แต่คนพวกนี้กลับมองว่าเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้เขาได้มีอำนาจกันเต็มที่. เหมือนบ้านมีพ่อแม่อยู่. แทนที่จะคิดว่าเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร. มีบุญคุณ. ให้ความร่มเย็น. กลับคิดว่าขวางหูขวางตา. รำคาญใจ. อยากกำจัดไปให้พ้นๆ
เขาทำเหมือนลูกอกตัญญูที่คิดจะไล่พ่อแม่ออกจากบ้าน. ไม่ได้คิดว่าบ้านหลังนี้ก็บ้านพ่อแม่สร้างมา. ให้เขาเกิด กินอยู่ จนเติบโตเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา
คนรุ่นเรา. แค่พูดไม่ดี. คิดไม่ดีกับพ่อแม่. ยังไม่กล้าเลย. กลัวบาปกรรม. ตกนรกไม่ได้ผุดได้เกิด. แต่คนสมัยนี้เขาไม่รู้จักบาปกรรม. ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น.
โลกมันเปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ แม่พลอย.
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีก. แม่พลอยปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงมาถึงสี่แผ่นดิน. แต่ที่แม่พลอยไม่เคยเปลี่ยนแปลง. คือยังเป็นคนไทยทั้งชีวิตจิตใจ. ไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนไปยังไง. แม่พลอยก็ยังยึดมั่นในความกตัญญู. ไม่ว่าต่อผู้คน หรือแผ่นดินเกิด
ฉันจะพยายามทำตามอย่างแม่พลอยนะ
เพราะถ้าจะให้ฉันปรับตัวไปตามคนรุ่นใหม่ทุกอย่าง. ฉันว่า. ฉันทำใจไม่ได้จริงๆ

Cr:
อ. รัตนา สถิตานนท์

 


 

วิถีปัจจุบัน ของ ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

พิมพ์ PDF

วิถีปัจจุบัน ของ ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

บุคลิกภาพอย่างผมมันเข้ากันไม่ได้กับเศรษฐกิจฟองสบู่ ... มันเข้าไม่ได้กับระบบที่แข่งขันเอารัดเอาเปรียบ เพราะเราเชื่อเรื่องความสมถะสำรวม เชื่อเรื่องแบ่งปันช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพราะฉะนั้น ...จึงเกิดสภาพที่เรารู้สึกถูกกดดันและถูกตามล่าตามล้าง รู้สึกแปลกแยก โดดเดี่ยว คิดอะไรไม่เหมือนเพื่อนพ้องคนรอบข้าง ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหน เหมือนกับว่า เราไม่เคยพบกับการต้อนรับที่ดี เราเข้ากับเขาไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ ... นำพาผมมาถึงจุดที่รู้สึกเหนื่อยล้าหมดแรงอย่างยิ่ง กระทั่งนำไปสู่ชีวิตส่วนตัวที่ล้มเหลว หลัง ๒๕๔๐ ไม่นาน ...ผมกับภรรยาได้แยกทางเดินกัน แม้เราจะไม่ได้โกรธเกลียดกัน และเพียงเปลี่ยนความสัมพันธ์จากคู่ครองมาเป็นเพื่อน แต่มันก็สั่นคลอนความรู้สึกนึกคิดของผมอย่างถึงราก

ตอนนั้น ผมเริ่มเข้าสู่วัย ๕๐ กว่าแล้ว ...ผมต้องถามตัวเอง ว่าจะยืนต้านกระแสหลักในสังคมแบบที่ผ่านมา แล้วสะสมความเจ็บปวดขมขื่นต่อไป หรือ ควรเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมเสียใหม่ เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ มีหนทางไหนบ้าง ที่เราไม่ต้องทุกข์ทรมานขนาดนี้ ...ขณะเดียวกัน ก็ไม่ต้องยอมเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่เราไม่เห็นด้วย ในช่วงนี้ ... ผมได้ลงลึก สำรวจวิจารณ์ตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย และในที่สุดก็ค้นพบว่า มีอะไรบางอย่าง_ไม่ถูก_ในวิธีคิดของผมเอง

ประการที่หนึ่ง : ที่ผ่านมา ผมยึดถือในการต่อสู้ และมองโลกเป็นความขัดแย้ง มากเกินไป ที่ทางธรรมะเขาเรียกว่า ทวินิยม (Dualism) เห็นว่า ทุกอย่างดำรงอยู่เป็นคู่ มีดีมีชั่ว มีขาว มีดำ แล้วก็ ไปยืนเลือกข้างใดข้างหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ต่อสู้กันมาก ก็เหนื่อยมาก ตัวผมเอง ทั้งถูกทำร้าย และทำร้ายผู้อื่น มาอย่างต่อเนื่อง

ประการที่สอง : ผมเริ่มมองเห็นว่า อะไรหลายๆอย่างที่ผมยึดถือ เป็นเรื่องที่ผมคิดไปเอง เป็นอัตวิสัย ที่โลกเขายังไม่พร้อมจะเห็นด้วย เราพยายามเอาตัวเองไปบังคับโลก เมื่อไม่ได้ดังใจ ก็ผิดหวังเศร้าโศก แล้วยังโดนเขาตอบโต้มาแรงๆ เพราะฉะนั้น `เหตุแห่งทุกข์´ จึงอยู่ในอัตตาของเราเอง ไม่ว่าจะเรียกมันว่า ...อุดมคติ หรือ อุดมการณ์ อะไรก็ตาม  การวิจารณ์ตัวเองในลักษณะนี้
ได้พาผม ย้ายความคิดจากทางโลกมาสู่ทางธรรมมากขึ้น แบบรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง แต่ นั่นยังไม่มีผลเปลี่ยนแปลง เท่ากับประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ ที่เกิดขึ้นระยะนั้น ประสบการณ์ดังกล่าว มีพลังมากกว่าเหตุผลและความคิดใดๆ พูดให้ชัดขึ้นก็คือ ความเจ็บปวด กับชีวิตมาก ทำให้ผมใช้วิธี ตัดตัวเองออกจากอดีตและอนาคต ทำให้ผมอยู่กับปัจจุบันขณะซึ่ง ถ้าพูดในภาษาธรรมเวลานี้ ผมรู้แล้วว่ามันคือ ... สมาธิ แต่ตอนนั้น ผมไม่รู้ว่าคืออะไร รู้แต่ว่าสบายใจ โปร่งโล่งไปหมด อยู่กับปัจจุบันขณะ มันทำให้เรา ปลดแอกตัวเรา ออกจากภาระทางจิต ที่เราแบกมาตลอดว่า เราเป็นใคร มาจากไหน เคยผ่านอะไรมาบ้าง ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เราปลดออกหมด เรียกว่า  ปลดแอกจากอัตตา

ในตอนแรก ... ผมทำสิ่งนี้ไป เพื่อหาทางดับทุกข์ด้วยตัวเอง โดยไม่มีทฤษฎีอะไรชี้นำ แต่ว่า ทำแล้ว รู้สึกว่ามันช่วยให้อยู่รอดในช่วงที่เราอาจจะอยู่ไม่รอด ...ก็เลยยึดไว้เป็นแนวทาง พอไม่คิดว่าตัวเองเป็นใคร ความรู้สึกทุกข์ร้อนมันหายไปมาก ข้อแรก ...ไม่เดือดร้อนว่า คนอื่นจะมองเราอย่างไร ข้อสอง ...ไม่มีความเห็นว่าโลกและชีวิต ควรจะเป็นอย่างไร เราไม่มีข้อเรียกร้อง ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น เช่นเดียวกับการที่เรา ไม่เอาอดีตมากลุ้ม และไม่เอาอนาคตมากังวล มันทำให้เรา ไม่มีสิ่งที่ผิดหวัง ไม่มีสิ่งที่เสียใจ ผมทำอย่างนี้อยู่พักใหญ่ ทีแรกก็เหมือนกับหลอกตัวเอง ด้วยการปิดกั้นความทุกข์โศก ไม่ให้มันเข้ามาในห้วงนึก แต่ พอทำไปมากขึ้น ปรากฏว่า มันเกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตขึ้นมา โดยไม่ได้คาดฝัน คือตื่นขึ้นมาวันหนึ่ง ผมรู้สึกมีความสุขอย่างไม่มีเหตุมีผล ผมรู้สึกได้ว่า ความสุขมันมาจากข้างใน มันอยู่ในตัวผม เป็นความปลื้มปีติอะไรบางอย่าง ที่ไม่เกี่ยวกับโลกภายนอกเลย เรื่องราวทุกข์โศกที่เคยมีมาดูเหมือนจะหายไปหมด จากนั้น ความรู้สึกที่ผมมีต่อโลกรอบๆตัว ก็เปลี่ยนไปด้วย ผมเริ่มไปนับญาติกับต้นไม้ จิ้งจก นก หนู กระรอก ผมพูดกับพวกเขา เหมือนเป็นคนด้วยกัน ทำร้ายเขาแบบเดิมๆ ไม่ได้ กระทั่งมด ผมก็ไม่ฆ่า จิ้งจกตกไปในโถส้วม ก็คอยช่วย  มดมาขึ้นชามอาหารที่ผมให้หมา ผมต้องเคาะออก ไม่เอาน้ำราดลงไป ทั้งหมดนี้ มันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ มันรู้สึกขึ้นมาเองว่า ไม่อยากทำร้ายชีวิตใดๆ  ผมแปลกใจมาก เพราะว่าเดิม เป็นคนที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาเยอะ เป็นคนที่ทำบาปมาเยอะมาก วันดีคืนดี พบตัวเอง มีจิตใจแบบนี้ มันอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน ว่าเป็นไปได้อย่างไร แล้วที่สำคัญก็คือ ในความเบิกบานจากข้างในนี้ ผมเลิกรู้สึกพ่ายแพ้ขมขื่นกับชีวิตโดยสิ้นเชิง ผมไม่รู้สึกว่า ตัวเองมีอะไรน่าสงสาร ไม่ทุกข์ร้อน ที่เคยแพ้สงครามปฏิวัติ  หรือมีปัญหาส่วนตัวอะไรทั้งสิ้น เป็นครั้งแรก ...ที่ผมมองอดีตของตัวเองได้ทุกเรื่อง ด้วยความรู้สึกนิ่งเฉย สิ่งเหล่านี้ มันทำให้ผมค้นพบว่า ...ชีวิตทุกข์สุข ขึ้นอยู่กับมุมมองมากทีเดียว และบ่อยครั้ง เรามักเอาความคิดสารพัดไปปรุงแต่งมัน จนรกรุงรังไปหมด กระทั่ง หาแก่นแท้ไม่เจอ บางคน ยึดติดเงื่อนไขภายนอก โดยเฉพาะเงื่อนไขทางวัตถุและการชื่นชมของสังคม       ก็หลับหูหลับตาหาแต่วัตถุและการยอมรับของคนอื่น บางคน อย่างผม ไม่ยึดถือวัตถุ มากเท่ากับยึดติดในอุดมคติต่างๆ ก็ทำให้เกิด อารมณ์ทางลบสูงมาก เราจะต้านทุกอย่าง ที่ไม่เป็นไปตามคิด ผูกตัวเองไว้กับตัวความคิด แล้วหลงความคิด จิตใจก็มีแต่ว้าวุ่น ฟุ้งซ่าน ทะเลาะเบาะแว้ง ทุกข์ร้อนอยู่ตลอดเวลา ท้ายที่สุดแล้ว ...ผมคิดว่าชีวิตที่จะให้ความสงบแก่คุณได้ คือชีวิตที่ไม่มีจุดหมายกดทับ ไม่มีอุดมคติเป็นเครื่องร้อยรัด แต่เป็นชีวิตที่มีมรรควิถี ผมเคยเขียนว่า ...แต่ละก้าวที่คุณก้าวไป มันสำคัญกว่าจุดหมาย คุณเป็นหนึ่งเดียวกับ ก้าวนั้นหรือเปล่า ถ้าคุณเป็นหนึ่งเดียวกับก้าวนั้น วันนี้ คุณพบตัวเองแล้ว แต่ละนาทีที่ผ่านไป ก็ครบถ้วนแล้ว แต่ ถ้าคุณขัดแย้งกับปัจจุบันขณะของคุณอยู่ตลอดเวลา ตัวทำอย่างหนึ่ง ใจอยากทำอีกอย่างหนึ่ง คุณจะมีแต่ความทุกข์ ... นั่นคือชีวิตของคนในโลกปัจจุบัน?

จากนิตยสารปาจารยสาร
(ฉบับที่ 2  ปีที่ 31 ตุลาคม-พฤศจิกายน 2549 )
วิถีธรรมวิถีทาง ของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
ข้อมูลเพิ่มเติมจากWikipedia
ท่านเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ด้านเรื่องสั้น สารคดี นวนิยาย กวีนิพนธ์
เป็นอดีตผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
เป็นนักเขียน "รางวัลศรีบูรพา" ในปี พ.ศ. 2546
เคยเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 โดยมีชื่อจัดตั้งว่า "สหายไท" ในช่วง พ.ศ. 2518 - พ.ศ. 2523
ขอคัดลอกมานำเสนอ เพื่อเป็นมุมมองสำหรับผู้ที่กำลังค้นหาคำตอบให้กับตนเอง ด้วยประสบการณ์ตรงจากนักต่อสู้ทางการเมือง ผู้ที่ถือว่ามีความปราดเปรื่องท่านหนึ่งว่าที่สุดแล้ว สิ่งที่ท่านได้ค้นพบและเป็นความจริงแท้ คืออะไร?

ไพโรจน์ จีรบุณย์
สถาปนิก เพื่อสังคม
17 ตค 2563


 

จากป้าสู่หลาน

พิมพ์ PDF

ช่วงนี้ป้ามีภาระทางบ้านมากมาย เลยไม่ค่อยได้เล่นโซเชียลเหมือนเมื่อก่อน ตั้งแต่หลานๆ มาชุมนุมกัน ป้าก็เงียบมาตลอด แต่ก็ขวนขวายตามข่าวมากขึ้น จะได้รู้ว่าหลานๆ แกงอะไรกันบ้าง ศัพท์ม็อบก็ต้องรู้ ไม่งั้นโดนว่าเป็นไดโนเสาร์ แต่ที่เงียบ ไม่ใช่ไม่รู้สึก
หลานๆ ไม่ชอบความรุนแรง ป้าก็ไม่ชอบเหมือนกัน สำหรับป้าแล้ว คำหยาบคายก้าวร้าว ต่อว่าคนอื่นเสียๆ หายๆ ก็ถือเป็นความรุนแรงอย่างหนึ่งนะ เมื่อคืนก่อน ป้าน้ำตาไหล นอนร้องไห้อยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ เพราะมันหลายวันแล้วที่ต้องทนเห็นหลานๆ หยาบคายกับในหลวง ร.9 พีคสุดคือรูปที่หน้าตลาดนางเลิ้ง พยายามทำใจ เลื่อนฟีดผ่านไป เจออีกคนเขียนเล่าได้ดีเหลือเกินว่าทำไมเขาถึงรักในหลวง เป็นการตัดสลับแบบที่หัวจิตหัวใจตัวเองก็รับไม่ทัน จนต้องร้องไห้ระบายมันออกมใจหนึ่งก็ยังอุตส่าห์คิดเผื่อนะ ว่าใครมันมาตัดต่อแกล้งเด็กหรือเปล่าวะ ถ้ามีใครทำจริง ก็หยุดเถอะค่ะ ความจริงเท่านั้นที่ทุกฝ่ายต้องการ

ช่วงหนึ่งของการทำงาน ป้าเคยจัดรายการวิทยุเกี่ยวกับพระราชวงศ์จักรี ตอนนั้นเองที่ต้องค้นข้อมูลอย่างหนักเพื่อเอามาทำรายการ แต่ละพระองค์ก็มีบุญคุณต่อชาติไทยเราแตกต่างกันไป แล้วแต่ยุคสมัยในตอนนั้น ทำวนไปหลายร้อยตอน เล่ากันเป็นปีๆ ยังไม่จบเลยหลานเอ๊ย ถ้าของเขาไม่ดีจริง จะเอาอะไรที่ไหนมาเล่า ต้นตระกูลป้าเป็นคนมอญ ลุกขึ้นมาเป็นหัวหน้ากบฏ เพราะโดนพม่ารังแก สู้เขาไม่ได้ เลยหนีมาพึ่งพระเจ้าตาก แล้วช่วยไทยรบมาเรื่อยจนถึงสมัย ร.1 พม่าเห็นรบเก่งส่งจดหมายมาขู่ไทย ให้ส่งตัวคืนให้พม่า แต่ท่านไม่คืนให้ ก็รับราชการกันรุ่นต่อรุ่นเรื่อยมา จนถึงสมัย ร.6 ท่านเมตตาพระราชทานนามสกุลให้ ที่บ้านใส่กรอบเก็บไว้ เห็นมาตั้งแต่เด็ก จากต้นตระกูลก็ออกลูกออกหลาน จนมาเป็นป้า มารบกับพวกเอ็งนี่แหละ รบเก่งมาตั้งแต่ต้นตระกูลเลยนะเฟร้ย งุงิงุงิ
ป้าเชื่อว่าหลานๆ หลายคนก็คงมีเชื้อลูกครึ่งเหมือนป้านี่แหละ ลองให้ปู่ย่าตายายเล่าให้ฟังสมัยที่หอบเสื่อผืนหมอนใบมาอยู่เมืองไทย ทุกชาติ ทุกศาสนา กษัตริย์ไทยเราอุปถัมภ์ค้ำชูเหมือนๆ กันหมด

ประวัติศาสตร์คือเรื่องในอดีต อะไรที่ดีเราก็ยกย่องและเอามาเป็นแบบอย่าง อะไรที่ไม่ดีเราก็เอาเป็นบทเรียน เพราะเรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว หลานๆ บอกให้ยกเลิกการเชิดชูจนเกินงาม หลานเอ๊ย ในหนังสืออนุสรณ์งานศพปู่ย่าตายายใครก็ตาม เขาเลือกเล่าแต่เรื่องดีๆ ให้คนรุ่นหลังเอาเป็นแบบอย่างนะลูก ความกตัญญูรู้คุณเป็นสิ่งที่คนเราควรมี แม้ไม่มีโอกาสได้ตอบแทน แต่อย่างน้อยป้าก็ไม่คิดจะเนรคุณ เอาท่านมาว่าเสียๆ หายๆ อายตัวเองนะลูก ป้าได้เกิดมาในสมัยของ ร.9 ถือว่าโชคดีที่ได้รู้ได้เห็นสิ่งที่ท่านทำให้พวกเรา ยิ่งค้นคว้า ยิ่งได้อ่าน ยิ่งได้ดู ยิ่งรู้สึกรัก ร.9 นี่ไม่ใช่เหรอ ที่พยายามจะสร้างความเท่าเทียม ให้บ้านนอกเจริญขึ้นให้ทันในเมือง มีโรงเรียน มีโรงหมอ มีน้ำใช้ มีดินดี มีอาชีพไว้เลี้ยงตัว อยากจะได้ความเท่าเทียมไม่ใช่เหรอ แล้วยังจะไปว่าท่าน อิหยังวะ

จารีตแบบไทยๆ เรา คือยกกษัตริย์ไว้เหนือหัว แต่ท่านเลือกลงมานั่งบนดิน เสื่อจะปูบางทียังไม่มีเลย ไม่ต้องมีใครมาเรียกร้องให้เลิกหมอบกราบ ทั้งๆ ที่ท่านจะกินหรูอยู่สบายไปวันๆ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ แต่ท่านก็ทำงานทุกวัน นอนดึกตื่นเช้า ในวังมีแปลงนา บ่อปลา โรงนม นู่นนี่นั่นเยอะมาก work from home ที่แท้ทรู เวลาบ้านเมืองมีปัญหาก็ได้ท่านมาตามแก้ให้ พาลูกพาเมียบุกป่าฝ่าดงขึ้นเขาลงห้วย ฟังดูเหมือนพูดเว่อๆ แต่มีรูปยืนยันว่าท่านทำแบบนี้จริงๆ จ้า เยอะแยะมากมายในกูเกิล ลองเสพข้อมูลทั้งสองด้าน ไม่สงสัยหรือว่าทำไมคนมากมายถึงรักท่านเหลือเกิน แน่นอนว่าเราเลือกเชื่อข้อมูลกันคนละชุด เราถึงพูดกันไม่รู้เรื่อง เบิกเนตร หนังสือของฝรั่ง หรือข้อมูลอะไรที่หลานๆ ตื่นเต้นกัน มันไม่ใช่เรื่องใหม่ มันแค่อัปเดตขึ้น ขบวนการล้มเจ้ามีอยู่จริง และทำเรื่องแบบนี้ผ่านยุคผ่านสมัยมาตั้งแต่ป้าเองก็ยังไม่เกิด แต่เราจะไม่ใช้คำว่าล้มเจ้า เพราะหลานบอกว่าไม่ได้ล้ม แค่จะปฏิรูป แต่ก่อนจะปฏิรูปอะไรก็ตาม เราต้องปฏิรูปตัวเราเองก่อน ทั้งความคิด วาจา การกระทำ ป้าเองก็เช่นกัน คนแบบไหนกันที่ชูป้ายด่าคนที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิตเพื่อเรา ไม่มีวันหยุด ไม่มีลาป่วย ไม่มีเกษียณอายุ คนแบบนี้เหรอที่จะเป็นผู้นำพาประเทศชาติ

ก่อนจะสานต่ออุดมการณ์เพื่อชาติ วันนี้ช่วยแม่ทำงานบ้าน กรอกน้ำใส่ตู้เย็นหรือยัง ขยันอ่านหนังสือสอบให้เหมือนอ่านเบิกเนตรหรือยัง สุภาพและให้เกียรติกับคนรอบๆ ตัวแล้วหรือยัง พูดคำขอโทษและขอบคุณให้ติดปากหรือยัง ป้าเชื่อว่าบ้านเมืองจะดีขึ้น คุณภาพชีวิตจะดีขึ้น ถ้าคนเป็นคนดี ถ้าตัวเราดี บ้านเราก็ดี สังคมเราก็ดี ประเทศชาติก็จะดี เผลอๆ ไม่ต้องมาเหนื่อยไปชุมนุม ไม่ต้องมาเสียค่ารถ ไม่ต้องตะโกนไปทำการบ้านไป ไม่ต้องทะเลาะกับพ่อแม่ แค่ทำตัวเราให้ดี โตขึ้นมาเป็นประชากรที่มีคุณภาพ แล้วมาค่อยๆ ช่วยกันพัฒนาชาติ

ปัญหาในบ้านเมืองเรามันหมักหมมมานาน มันไม่ใช่ว่าไล่ลุงออกไป เอาคนใหม่มา แล้วไทยก็จะเจริญศิวิไลซ์ในบัดดล แล้วประชาธิปไตยที่หลานๆ อยากได้นี่มันเป็นแบบไหนนะ มันต้องให้เข้ากับไทยสไตล์ด้วยนะ ไม่งั้นมันเหมือนเราอยากโมจมูกใหม่ แต่มันไม่เข้ากับเบ้าหน้าเราอะ แล้วเราก็จะต้องไปโมใหม่ ทีนี้มันก็จะไม่จบที่รุ่นเราหรอก ป้าเองก็เคยไปชุมนุมไล่รัฐบาล ปีแรกๆ ที่ไปมันสนุกมากเลย เหมือนไปปิกนิก ได้นอนดูดาวกลางถนน ไม่ต้องเสียค่าลูกชิ้นด้วยล่ะ เพราะม็อบเรามีอาหารให้กินฟรีเยอะแยะท้องจะแตกตาย แต่ปีหลังๆ ตอนกลางคืนนี่นอนดูดาวไม่ได้แล้ว เพราะลูกปืนเอย ระเบิดเอย แก๊สน้ำตาหมดอายุเอย ลงกันวิบวับวิบวับเลยจ้า ในม็อบมันอันตราย เจ็บตายกันมาเยอะ พ่อแม่เขาถึงไม่อยากให้ไป ทุกม็อบมีมือที่สาม เราไม่รู้หรอกว่าวันไหนภัยจะมาถึงตัว เวลาไปม็อบก็อย่าเอาแต่ชูสามนิ้วแล้วตะโกน ให้จำถนนด้วย ดูว่าตรงไหนมีทางออก มีแยก มีตรอกซอกซอยตรงไหนบ้าง เวลาวิ่งจะได้โกยถูกทาง และการที่ทุกคนเป็นผู้นำที่หลานๆ ว่าดี โดยไม่มีผู้นำจริงๆ ในม็อบ นั่นล่ะอันตรายที่สุด วันนี้ไม่พูดเรื่องข้อเรียกร้อง 3 ข้อ 10 ข้อนะ มีคนแจกแจงไปเยอะแล้ว ขอพูดแค่เรื่องสถาบัน

ความรัก ความเชื่อ ความศรัทธาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หลาน ๆ เรียกร้องให้หยุดคุกคามประชาชน แล้วที่หลานทำไม่เรียกว่าคุกคามสถาบันหรือ หลานๆ อาจจะบอกว่าไม่เห็นต้องมีสถาบันก็ได้ แต่คนส่วนใหญ่ในรุ่นป้ามีในหลวงเป็นศูนย์รวมจิตใจ ชาติไทยเราอยู่สงบร่มเย็นมาได้ ก็เพราะในหลวง นายกฯ มาแทนที่ตรงนี้ไม่ได้ ประธานาธิบดีก็เช่นกัน และมันเป็นสัจธรรมที่ว่า ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ถ้าสถาบันไม่ดีจริง ถึงวันหนึ่งก็จะเสื่อมสลายไปเอง ถ้าหลานไปเร่งปฏิกิริยา ด่าคนที่เขารักอยู่ทุกวัน เขาไม่ทนเงียบอยู่หรอกนะ อีกไม่กี่ปีป้าก็ตายแล้ว แต่หนูๆ สิยังต้องอยู่อีกนาน หนูเชื่อทางไหน ชาติก็จะไปทางนั้น คิดให้ดี คิดก่อนพูด คิดก่อนทำ พูดให้น้อย ฟังให้มาก ทำสิ่งที่เรามั่นใจว่า เมื่อเราโตขึ้นแล้วมองย้อนมาในวันนี้ เราจะไม่ต้องพูดว่า โธ่ รู้งี้…..

ป.ล. จะว่าป้าเป็นสลิ่มก็ได้ไม่ว่ากัน แต่ทับทิมกรอบ บัวลอย ฟักทองแกงบวดบ้างก็ได้ ถ้าจะด่าว่าเหม็นกะทิ ให้เติมด้วยว่า เหม็นกะทิอบควันเทียน เพราะป้านี่รักความเป็นไทยๆ แบบนี้แหละ

เครดิต…คุณป้าอร เอมอร คชเสนี


 

เรียนรู้ ทำความเข้าใจ โลกยุคดิจิตอล

พิมพ์ PDF

 

เรียนรู้ ทำความเข้าใจ โลกยุคดิจิตอล

พิมพ์ PDF

ต้องลองดูคลิปนี้ จะเข้าใจเรื่องการล้างสมองในโลกยุคดิจิตอลได้ดีครับ


ฟังเธอคนนี้ อธิบาย เบื้องหลังของ social media ต่างๆ เช่น facebook
แล้วเราจะเข้าใจว่า สถานการณ์ การเมืองของโลก (รวมถึงของประเทศเราเองด้วย) ที่สามารถพลิกจากคนที่มีภาพที่เลวร้าย กลายเป็นเทวดา ได้
และสามารถ พลิกให้คนดีๆ กลายเป็น ปิศาจร้ายได้ เช่นกัน

เบื้องหลังการเมืองระหว่างประเทศที่วุ่นวาย พลเมืองแตกแยกเสียหาย ประเทศแตกเป็นเสี่ยงๆ ประชาชนไร้ความสามัคคี แบ่งแยกครอบครัว ที่เคยอบอุ่น ขัดแย้งกันเอง คนเคยเป็นสังคมเดียวกัน ถูกแยกกลุ่ม เพื่อนฝูงที่เคยรักกัน แตกแยกทางกัน

มีวลีสำคัญ ว่า “อยากควบคุมสังคมใดๆได้ ต้องทำให้แตกแยกกันก่อน แล้วค่อยจัดการให้ได้ตามสิ่งที่ต้องการ” (เทียบกับ 36 กลยุทธ์ สงคราม ของจีน ที่ว่า ทำให้แตกแยกความสามัคคีภายใน แล้วค่อยตีเมือง” ว้าว เหมือนกันเด๊ะเลย)

แล้วที่บ้านเมืองเรากำลังแตกแยกกันอยู่นี้
มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไรหรือไม่ ?

มาฟัง เธอ เล่าเรื่อง(สกินภาพยนตร์)
“The Great hacker”
ที่กล่าวถึง ความน่ากลัวของโลกโซเชี่ยลในปัจจุบัน ที่ได้เข้ามามีอิทธิพล ครอบงำ และชี้นำเรา โดยที่เราเองไม่รู้ตัว

หากได้รับฟัง จะได้ เรียนรู้ เพื่อที่จะได้รู้เท่าทัน และใช้ โซเชียลมีเดีย กันอย่างมีสติ นะครับ

ลองฟังให้จบนะครับ
(19:53 นาที)

https://youtu.be/ES45Zaxx1g4


 


หน้า 99 จาก 561
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5643
Content : 3067
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8741860

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า