Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

เปลี่ยน เป็น ธรรม วันที่ 19 ตุลาคม 2563

พิมพ์ PDF

 

วิเคราะห์ม้อบ

พิมพ์ PDF

#วิเคราะห์ม้อบ    แชร์จาก Supawan Sajjapong

รู้สึกอยากเขียนมุมมองทางวิชาการ - - ยืนยันว่าเป็นมุมมองทางวิชาการ ไม่มีอคติกับใคร for the sake of learning

เป็นม็อบที่ไม่มีแกนนำหรือ =/= มีแน่นอน และมีหลายระดับ แต่พยายามให้อยู่ในลักษณะ unidentified mob leaders หาตัวยาก มีหลายคน ใครเผลอถูกจับไป ก็มีคนมาทำหน้าที่ทดแทน

เป็นม็อบที่มี command control coordination and communication ครบถ้วน มีทุนสนับสนุนแน่นอน แต่ไม่พยายามให้คนทั่วไปรู้ว่า “ใคร” บ้างที่เป็นผู้สนับสนุน มีการบริหาร มีการจัดการ มีการวางแผน มีผู้จัดการ มีการควบคุมให้เป็นไปตามแผน ไม่งั้นไม่สามารถควบคุม movement ของม็อบให้นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายได้

          มี plan มีการวางแผนอย่างแน่นอน แต่ทำให้ออกมาในลักษณะ unpredictable movement และที่ทำอย่างนี้ได้ เพราะมีปัจจัยที่ดีเกื้อหนุน ซึ่งคือ จุดแข็งด้าน communication อันเป็นความถนัดของคนรุ่นใหม่วัย young โดยสามารถสื่อสารการปรับเปลี่ยนแผนได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่มาก ไม่ต้องเตรียมการหรือเตรียมตัวมาก ก็เคลื่อนไปใน direction ที่ผู้ควบคุมภาพรวมสั่งการได้

 คนบางคน เงินซื้อไม่ได้ เป็นความจริง แต่เงินซื้อได้ทุกอย่าง ก็เป็นความจริงเช่นกัน มีบางขณะ มโนว่า จะซื้อแกนนำบางคนด้วยเงินซัก 20-30 ล้าน จะได้ไหมนะ

มีคนควบคุม movement ในลักษณะ program director แน่นอน มี strategic teams นั่งดูภาพรวม วิเคราะห์สถานการณ์ ปรับแผนเปลี่ยนกลยุทธ์ สั่งการอยู่ในห้อง control มองเห็นสภาพสถานการณ์ทุกจุดจากหน้าจอในห้อง control สั่งการและสื่อสารข้อสั่งการไปยัง communicators ในพื้นที่ ที่ถูกวางตัวไว้แล้ว ทำให้สามารถกระจายการสื่อสารได้ทันที โดยมี social media เป็นเครื่องมือสื่อสารกระจายการสั่งการ โดยไม่สามารถหาตัวผู้สั่งการได้ เพราะไม่จำเป็นต้องรู้ว่าใครสั่ง มันเป็นระบบที่เป็นที่ยอมรับกันแล้วในหมู่ม็อบ

 

มีการมอบหมายหน้าที่ วางตัวผู้ทำหน้าที่ในงานสื่อสารตาม platform สื่อต่างๆ ไว้ชัดเจน มีการประชุมทีม ประชุมวางและปรับกลยุทธ์ communicators ที่ถูกวางตัวไว้ตาม platform สื่อต่าง ๆ นี้ มีหลายรุ่นหลายวัย เพื่อทำหน้าที่สื่อสารกับ strategic target audiences ในแต่ละกลุ่มวัยตามที่ communicators เหล่านั้นเป็นผู้นำทางความคิดอยู่

          งาน Information Operations หรืองาน IO มีการปฏิบัติอย่างแน่นอนทั้งฝ่ายม็อบและฝ่ายบ้านเมือง ใครเชื่อว่าไม่มี ควรไปศึกษาเรื่องราวในวงการนี้ใหม่หรือไม่ก็ไปสั่งสมประสบการณ์เพิ่มมากขึ้นก่อน บรรดา communicators ที่อยู่ตาม platform สื่อต่าง ๆ รับงานมาแล้วในการประชุมเชิงกลยุทธ์ ว่า จะชี้นำ “ประเด็น” หรือ ทำ issue management และ strategic communications ให้ไปในทิศทางไหน วางตัวไว้ให้โพสต์ชี้นำ รวมทั้งคอยตัดสกัดด้วยการด่าบ้าง ลดทอนความน่าเชื่อถือของคนที่เห็นต่างออกไปบ้าง ใช้เทคนิครุมยำถล่มด่าผู้ที่มาแสดงข้อมูลความคิดเห็นที่แตกต่าง หรือไปทำให้ประเด็นที่เขาพยายามชี้นำไว้เบี่ยงเบนไป เขาต้องสกัดคนคอมเมนต์นั้น ไม่ให้คอมเมนต์ที่เห็นต่างสามารถมีอิทธิพลทางความคิดอีกต่อไปได้ communicators เหล่านี้ บางคนต่อสายตรงเพื่อ check ข้อมูลกับม็อบได้แบบ real time แล้วนำมาสื่อสารอ้างอิงบน platform ของตน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

Strategic messages รวมถึง วาทกรรม ในประเด็นต่าง ๆ ถูกกำหนดในช่วงของการวางแผน และให้นำมาใช้ในช่วงการเคลื่อนไหวของม็อบ ให้ move ไปในdirection ที่กำหนดตามแผน วาทกรรมและ strategic messages ถูกนำมาสื่อสารตลอดเวลา เพื่อสร้างความชอบธรรม legitimacy ของฝ่ายตน ซึ่งก็แน่นอน ฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็น่าจะต้องพยายามแสดงให้ audiences ทุกกลุ่มเห็น legitimacyของมาตรการบริหารจัดการการชุมนุมและเคลื่อนไหวของม็อบให้เกิดประสิทธิผลด้วย ความยากอยู่ที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่กับฝ่ายเคลื่อนไหว ใครจะเก่งกว่ากัน ถ้าเจ้าหน้าที่สามารถ predict ได้ล่วงหน้า ดักทางแผนเขาได้ มีประเด็นที่สามารถกลบลบประเด็นของฝ่ายม็อบได้ ทันท่วงทีต่อเหตุการณ์และเวลา และมีเครื่องพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน เช่น ภาพ และคลิปวิดีโอ และสามารถสื่อสารออกมาได้อย่าง synchronized กัน ทั้งการปฏิบัติและคำพูด คือ wordings กับ actions สอดคล้องกัน มีผู้สนับสนุน (supporters) รวมถึง มี communicators วางตัวไว้ช่วยแพร่ข้อมูลสื่อสารตาม social media platform ต่างๆ ถ้าฝ่ายทางการทำได้แบบนี้ ก็ยังพอสูสีสู้ได้กับฝ่ายม็อบ

 สิ่งที่เราสงสัยและไม่มีความรู้ คือ วิธีการประมวลประเมินน้ำหนักของ supporters จากหน้าสื่อโซเชียลและ platform สื่อต่าง ๆ เขาทำกันยังไง และใช้ผลประเมินแค่ไหนมาประกอบการพิจารณาปรับแผนเผชิญเหตุ

 สิ่งหนึ่งที่ม็อบนำไปใช้ประโยชน์ได้มากคือ ความสับสนของผู้รับข่าวสารที่อยู่ตามหน้าสื่อต่าง ๆ คือทำไปทำมา ผู้คนที่มีอารมณ์ร่วมกับแต่ละฝ่ายแทบจะไม่ได้นึกถึง “เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์” ที่แท้จริงของการเคลื่อนไหวเสียแล้ว เพราะ

1. วัตถุประสงค์ที่แท้จริงอาจถูกซ่อนไว้เบื้องหลัง

2. มัวแต่จมอยู่กับอารมณ์ร่วมในแง่ความเป็นมนุษย์ และแสดงออกตามอารมณ์มากกว่าที่จะนึกถึงเหตุและผล ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ถูก manipulate ได้ง่ายยิ่งขึ้นและถูกนำไปใช้ประโยชน์โดยฝ่ายที่ได้เปรียบมากกว่า

สิ่งที่เป็นผลสืบเนื่องตามมา ที่คาดไว้ (เพราะยังไม่เกิดจริงๆ – ถ้าคาดผิด คงจะดีกว่า) คือ ถ้าผู้ไม่สนับสนุนการชุมนุม อดรนทนไม่ได้ เพราะชีวิตสูญเสียความปรกติสุขและเกิดความไม่สะดวกในการดำเนินชีวิต จนผสมปนไปกับความไม่เห็นด้วยกับอุดมการณ์ของฝ่ายม็อบ คุกรุ่นจนกลายมาเป็นผู้ปะทะกับผู้ชุมนุมเสียเอง แทนที่จะเป็นการจัดการของเจ้าหน้าที่ เมื่อนั้นจะเข้าทางของการบรรลุวัตถุประสงค์ของม็อบ คือ สร้างความวุ่นวายในสังคมจนสังคมเกิดภาวะ disruptive จนต้องมีการเข้าปราบปราม หรือใช้มาตรการที่รุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ นั่นจะเป็นจุดพีคสุดที่ต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางใดทางหนึ่งที่อาจไม่พึงปรารถนาของฝ่ายคู่ขัดแย้งของสังคม

 

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ของสังคมไทยหรือไม่ เราก็ไม่รู้ ต้องติดตามดูต่อไป ที่เขียนนี่ก็แค่เป็นมุมมองทางวิชาการเท่าที่สติปัญญาและประสบการณ์ที่อาจยังด้อยอยู่มองเห็น

เราก็มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา มีอารมณ์ร่วมไปกับสิ่งที่เกิด ยิ่งเป็นคนที่ไม่ชอบความรุนแรง ไม่ชอบเห็นการสูญเสีย เป็นคนที่มีชีวิตผูกพันอยู่กับทั้งเด็กเยาวชนและทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ อดไม่ได้ที่จะหดหู่เศร้าใจในความขัดแย้งที่เกิด

แต่มานึกดู ประเทศไทยเรานี้ เกิดขึ้นและมีอายุยืนยาวมาถึงสองร้อยกว่าปี ก็ผ่านศึกสงครามทั้งภายในและภายนอก ต่อสู้ เปลี่ยนแปลงมาแล้วทั้งสิ้น ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย จะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย อาจจะตั้งอยู่หรือจะเปลี่ยนไปอีกตามเหตุปัจจัย จนกระทั่งตัวเราอาจจะดับสิ้นไปก่อนที่จะได้เห็นสิ่งที่อยากเห็น ซึ่งก็เป็นไปเช่นนี้ตลอดช่วงอายุขัยของเรา 64 ปี ระบอบการปกครองและการเมืองของประเทศนี้ก็ยังไม่เห็นจะเป็นไปในแบบอย่างในทางที่เราอยากเห็น ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ประเทศนี้จะต้องเผชิญ ฝ่าฟัน และธำรงอยู่ต่อไป ประชาชนผู้ active ก็จะเคลื่อนไหว ต่อสู้ และร่วมกันพัฒนาเปลี่ยนแปลงการบริหารปกครองประเทศไปตามเหตุปัจจัยและตามยุคสมัย ไม่มีทางที่จะหยุดนิ่งได้ เพราะโลกไม่หยุด เราจะหยุดได้อย่างไร

ทบทวนได้อย่างนี้ ก็ช่วยคลายความเศร้าหมอง หดหู่ใจ ไปได้บ้าง

ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย”

 

ป.ล. ภาพประกอบคือ ธรรมะจากหลวงปู่ชา เอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราเป็นคนในวัยปลายของชีวิตแล้ว Death is as close as our breath. จริง ๆ จึงอย่าประมาทไปกับอารมณ์ทั้งหลาย Just live life as a learning process. คุยกับตนเองได้อย่างนี้ ไม่นิยมสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในหมู่ผู้ใด รวมถึงในใจตนเอง


 

ในหลวง "ไม่เคย" เซ็นรับรองการรัฐประหาร

พิมพ์ PDF

ในหลวง “ไม่เคย” เซ็นรับรองการรัฐประหาร

เรื่องหนึ่งที่มีการเอามาโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ เอามาโจมตีในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็คือ การกล่าวหาว่าพระองค์ท่าน “เซ็นรับรองการรัฐประหาร” ซึ่งเรื่องนี้ “ไม่เป็นความจริง” ในหลวงไม่เคยเซ็นรับรองการรัฐประหารเลยแม้แต่ครั้งเดียว จะอธิบายให้ฟังอย่างนี้นะครับ การที่เราจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ เราต้องเข้าใจเรื่อง “อำนาจอธิปไตย” เสียก่อน อำนาจอธิปไตย คือ อำนาจสูงสุดที่ใช้ในการปกครองประเทศ ก่อน พ.ศ. 2475 ที่ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อำนาจอธิปไตย อยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์

แต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 แล้ว พระมหากษัตริย์ได้พระราชทานอำนาจอธิปไตยนั้นให้แก่ “ประชาชน” ดังนั้น ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทุกฉบับ จึงมีการระบุว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย หรือ อำนาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทย ซึ่งก็หมายความว่า เราแต่ละคน ล้วนมีอำนาจอธิปไตยนี้อยู่คนละเสี้ยวคนละส่วน แต่ แต่ แต่ ในการใช้อำนาจอธิปไตย มันจะแคะเอามาใช้ทีละเสี้ยวไม่ได้ เวลาใช้มันต้องใช้ทั้งก้อน ถ้านึกไม่ออก ก็นึกถึง “บอลเกงกิ” ของโกคู ในดราก้อนบอลอะ มันต้องมีคนรวมไอ้พลังเล็ก ๆ น้อย ๆ ของแต่ละคน มาปั้นเป็นก้อนใหญ่แล้วใช้ทีเดียวเต็มอานุภาพ เอาล่ะ เข้าใจนะ ไม่เข้าใจก็ไม่อธิบายแระ

เมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของ/มาจากประชาชน มันก็จะต้องมีคนเป็นตัวแทนใช้อำนาจเหล่านั้น ซึ่งประเทศไทยตอนเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.2475 ได้ตกลงแล้วว่าจะให้ใช้รูปแบบการปกครองในระบอบ “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”  ก็หมายความว่า ประเทศไทย มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำ และเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยในเชิงสัญลักษณ์ นี่จึงเป็นที่มาว่า ทำไมพระมหากษัตริย์ต้องทรงลงพระปรมาภิไธยในกฎหมายต่าง ๆ

แต่เราให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยในทางสัญลักษณ์เท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติหรือในความเป็นจริง เราให้องค์กรอำนาจรัฐต่าง ๆ นั้นเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยนั้น โดยแบ่งอำนาจอธิปไตยแบ่งออกเป็น 3 ภาค ได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ มีองค์กรที่ใช้คือ รัฐสภา   อำนาจบริหาร มีองค์กรที่ใช้คือ คณะรัฐมนตรี   อำนาจตุลากร มีองค์กรที่ใช้คือ ศาล ไอ้องค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยสูงสุดทั้งหมดนี้ ในทางรัฐศาสตร์มีศัพท์เรียกว่าเป็น “องค์อธิปัตย์”

สรุป ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยก็จริง แต่ได้มอบหมายให้ พระมหากษัตริย์เป็นตัวแทนใช้อำนาจนั้น แต่ท่านไม่ได้ใช้เอง เพราะท่านต้องใช้ผ่านไปทางองค์อธิปัตย์ตัวจริง คือ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล

ดังนั้น ในกฎหมายหรือเอกสารที่พระมหากษัตริย์จะต้องลงพระปรมาภิไธย จึงจะต้องมี “ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ” เสมอ คือคนนั้นรับไปทำแล้ว จะดีจะชั่ว มันก็อยู่ที่ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ไม่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์แล้ว เพราะในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พระมหากษัตริย์จะทรงดำรงฐานะอยู่เหนือการเมือง (ไม่ใช่อยู่เหนือกฎหมายนะ อย่ามามั่ว ท่านทรงอยู่ภายใต้กฎหมายตามรัฐธรรมนูญ)

ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจหลักการตรงนี้ก่อน จึงจะอธิบายต่อไปได้ว่า ทำไมในหลวงถึงไม่เคยเซ็นรับรองการรัฐประหารตามที่มีคนชั่ว ๆ มันเอาไปโจมตี ต่อไป มาทำความเข้าในเรื่อง “การรัฐประหาร” นะครับ การรัฐประหาร แปลตามศัพท์ก็คือ ฆ่ารัฐเดิมทิ้ง หมายถึง ยึดอำนาจจากคนที่ถืออำนาจอยู่แต่เดิม แล้วเอามาเป็นของคนที่ทำรัฐประหาร สถาปนาตัวคนที่ทำรัฐประหารนั้นให้มีฐานะกลายเป็น “องค์อธิปัตย์”  ทีนี้ อำนาจขององค์อธิปัตย์ ก็คือ อำนาจอธิปไตย อันได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ซึ่งในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มันกระจายอยู่ที่รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล แต่ละทำรัฐประหารสำเร็จปุ๊บ “คณะรัฐประหาร” ก็เท่ากับสามารถ “รวบ” อำนาจอธิปไตยนั้นมาอยู่ในมือของตัวเองได้ทั้งหมด เรียกได้ว่า คณะรัฐประหารนั้นทำหน้าที่รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล เบ็ดเสร็จในตัวเองเลย (แต่เขาก็จะออกกฎหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ทำหน้าที่แทนเขาต่อไป) เอาล่ะ ที่นี้ เมื่อมีคนสามารถทำรัฐประหารได้แล้ว เช่น คสช. ทำรัฐประหารได้แล้ว คสช. ก็มีฐานะเป็น “องค์อธิปัตย์” หมายความว่า ภายในอาณาเขตประเทศไทย ณ เวลานั้น “ไม่มีใครใหญ่กว่า คสช.” แม้แต่พระมหากษัตริย์ แต่ตามวัฒนธรรมประเพณีทางการเมืองการปกครองของไทย คณะรัฐประหาร (ซึ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทยแล้ว ณ ตอนนั้น) จะทำการขอเข้าเฝ้าเพื่อชี้แจงสถานการณ์เหตุผลความจำเป็นที่ต้องทำการรัฐประหารต่อพระมหากษัตริย์ เพื่อแสดงความจริงใจว่า แม้ว่าตอนนี้เขาจะใหญ่ที่สุดในประเทศไทยแต่ก็ยังคงจงรักภักดีไม่ได้คิดล่วงละเมิดต่อราชบัลลังก์แต่อย่างใด

จากนั้น ก็จะขอให้พระมหากษัตริย์ทรงมี “ประกาศแต่งตั้งหัวหน้าคณะรัฐประหาร” (ซึ่งจะใช้ชื่อคณะอะไรก็สุดแต่ใจจะชอบ) เท่านั้น ไม่ได้ประกาศรับรองการรัฐประหารครั้งนั้น ๆ เลย ย้ำ ไม่ได้ประกาศรับรองการรัฐประหารครั้งนั้น ๆ เลย เอาล่ะ ทีนี้ ก็อาจมีบางคนมันบอกว่า นั้นแหละ ถึงไม่ได้รับรองแต่ก็แต่งตั้งหัวหน้าคณะรัฐประหาร ท่านไม่เซ็นแต่งตั้งหัวหน้าคณะรัฐประหารก็ได้นี่ ตอบ ไม่ได้ครับ ย้ำ ไม่ได้ครับ เหตุผลเพราะ ตอนนั้น คณะรัฐประหารเขากลายเป็นองค์อธิปัตย์ด้วยตัวเขาเองอยู่แล้ว ถ้าพระมหากษัตริย์ไม่มีประกาศให้ (ซึ่งประกาศนั้นก็จะต้องมีคนรับสนองพระบรมราชโองการนะ ไม่ใช่ประกาศลอย ๆ) ทางที่อาจเกิดขึ้นได้ก็คือ คณะรัฐประหารทำการล้มล้างสถาบัพระมหากษัตริย์เสียแล้วตั้งตัวปกครองประเทศด้วยระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ ถ้าไม่มีใครลุกขึ้นมาสู้ ประเทศก็เป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จไป ตัวอย่างของประเทศเผด็จการเบ็ดเสร็จ ก็ เกาหลีเหนือ ไงครับ แต่ถ้ามีคนลุกขึ้นมาสู้คณะรัฐประหาร โดยการอ้างว่า คณะรัฐประหารนั้นไม่ชอบธรรม เพราะพระมหากษัตริย์ไม่ได้มีประกาศแต่งตั้งหัวหน้าคณะรัฐประหาร แต่คณะรัฐประหารตั้งกันเอง คราวนี้ ก็จะมีการจับอาวุธขึ้นมาประหัตประหารกัน เลือดนองแผ่นดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สภาพเช่นนี้ พระมหากษัตริย์ที่ทรงดำรงด้วยทศพิธราชธรรม จะยอมให้เลือดอาณาประชาราษฎร์ต้องนองแผ่นดินได้อย่างไร แล้วมันเหลือทางใดให้พระมหากษัตริย์ไหมครับ ว่าไม่ต้องประกาศแต่งตั้งหัวหน้าคณะรัฐประหาร เพราะนี่คือหนทางเดียวที่จะยับยั้งการนองเลือดอย่างมหาศาลของคนในชาติได้ และทำแบบนี้มาตั้งแต่ครั้งที่คณะราษฎรมันเข้าเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วครับ

เอาล่ะ ใครที่ได้อ่านแล้ว ก็กรุณา “เบิกเนตร” เสียด้วยนะ ตาสว่างกันเสียที ในหลวงไม่เคยเซ็นรับรองการรัฐประหาร ถ้าใครได้อ่านขนาดนี้แล้ว ยังไม่เข้าใจ ยังไม่เชื่อ แต่กลับไปเชื่อคนชั่วที่ใส่ร้ายในหลวง มึงนี่เกินจะเยียวยาแล้วล่ะ จบนะ

ปล. ฝากแชร์ ฝากบอกต่อ ช่วยให้คนตาสว่างเอาบุญด้วยนะครับ        Cr.จับสัญญาณการเมือง


 

ตั้งสติเอาไว้ให้ดี

พิมพ์ PDF

ตั้งสติเอาไว้ให้ดี

 อันดับแรก...ก็คงต้อง ตั้งสติเอาไว้ให้ดี เหมือนอย่างที่ หมอวรงค์ หรือนายแพทย์ วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.ประชาธิกัดท่านได้เสนอแนะต่อรัฐบาล ไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัวนั่นแหละ ด้วยเหตุเพราะสิ่งที่เรียกว่า สติ นั้น ย่อมถือเป็นมาตรการขั้นแรก หรือขั้นต้น ในการรับมือกับทุกๆ สถานการณ์ได้เสมอๆ โดยเฉพาะถ้า สติมา และ ปัญญาเกิด โอกาสที่จะแยกแยะ ใคร่ครวญ พิจารณา สะสางแต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง ไปได้เป็นขั้นๆ ย่อมมีความเป็นไปได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์...

                                      ----------------------------------------------

                คือช่วงระหว่างนี้...เมื่อเจอเข้ากับม็อบโน้น ม็อบนี้ ใครก็ตามที่ สติ-สตังค์ ไม่อยู่กับเนื้อ-กับตัว อาจถึงกับ มืออ่อน-ตีนอ่อน เอาง่ายๆ ไม่ก็อาจ สวิง ไปคนละด้าน คือออกอาการดี๊ๆ ด๊าๆ ออกัสซัมกันแบบพลั่กๆๆ แบบใกล้ๆ เราชนะ...แล้วแม่จ๋า อะไรประมาณนั้น ไม่ต่างอะไรไปจาก ลูกตุ้มนาฬิกา ที่แกว่งไกวไปในด้านหนึ่ง ด้านใด แบบชนิดแทบไม่คิดเอาเลยว่า หลังจากทุกสิ่งทุกอย่าง มันเริ่มสุดฤทธิ์และสุดล้าแล้ว อัตราความเร็วและความแรงของ ปฏิกิริยา ที่จะแกว่งกลับมาในด้านตรงข้าม มันจะหนักหนา สาหัส ไปถึงขั้นไหน แบบเดียวกับการแกว่งไปสู่ ด้านซ้าย สุดๆ หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 นั่นแหละทั่น เพียงแค่อีกไม่กี่ปีต่อมา เมื่อมันดันแกว่งกลับมาสู่ ด้านขวา แบบชนิดเปรี้ยงๆ ดังเสียงฟ้าฟาด โครมๆ พินาศพังสลอน อะไรทำนองนั้น จนก่อให้เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 ก็เล่นเอาใครต่อใครมีแต่ต้องน้ำตาตก แน่นหน้าอก เจ็บปวดรวดร้าวทรมานกันไปเป็นแถบๆ...

                                      -----------------------------------------------

                ดังนั้น...ถ้าหากเริ่มต้นกันด้วย สติ ไม่วูบไหวไป-มา ไม่หงุดหงิดงุ่นง่าน ไม่โกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาตพยาบาทและริษยาไม่ว่าจะออกไปในแนวไหนก็ตาม ก็น่าจะพอเห็นได้ว่าสิ่งที่ หมอวรงค์ ท่านชี้แนะ ชี้นำ ไว้ในอีกหลายเรื่อง หลายกรณี ก็ออกจะเป็นอะไรที่น่าสนใจไม่น้อยเช่นกัน เช่น อย่าหวั่นไหวกับกระแสที่สร้างขึ้น-ไม่ต้องปิดรถไฟฟ้า-ไม่ต้องสลายการชุมนุม-ปล่อยให้เขาชุมนุมไปตามที่เขาต้องการ โดยให้เหตุผลเอาไว้แบบสั้นๆ-ง่ายๆ ประมาณว่า...เพราะเขาไม่มีประเด็นและข้อมูล ส่วนใหญ่มีแต่ด่าหยาบๆ คายๆ อะไรประมาณนั้น ซึ่งก็คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้นั่นแหละว่า อะไรต่อมิอะไรมันก็ดูจะเป็นไป ตามนั้น ซะเป็นหลัก....

                                      ----------------------------------------------

                คือพูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากบรรดาหนูเล็กๆ และเด็กๆ ทั้งหลาย เขาเกิด เราชนะแล้ว...แม่จ๋า ขึ้นจริงๆ แล้วล่ะก็ บรรดาผู้หลัก-ผู้ใหญ่ทั้งหลาย ไม่ว่าฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหนเอาเลยก็ว่าได้ ย่อมมีสิทธิ์ เจ๊ง...กับ...เจ๊ง หรือ ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย สูงเอามากๆ เพราะบรรดาสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวง ที่เขาเรียกร้องต้องการ มาถึงขั้นนี้...ก็ยังแทบสรุปไม่ได้ ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่!!! ต้องการให้สตาร์ทเงินเดือนรายละ 5 หมื่นขึ้นไป ต้องการให้เบี้ยเลี้ยงคนชรา 5 พัน 6 พัน หรืออีกกี่พันก็ยังมิอาจรู้ได้ ต้องการให้ ฮ่องกง เป็นเอกราชไปจากเมืองจีน จะเพื่อตอบสนองการ ชู 3 นิ้ว ของคุณน้อง โจชัว หว่อง หรือไม่ อย่างไรก็ตามที แต่เล่นเอา เสธ.ไพศาล ที่ออกจะเป็นจีนซะยิ่งกว่าจีน ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ชักจะ เชียร์ ไม่ออก ไม่อาจ แฉลบออกข้าง ไหลไปตามกระแสแบบเท่าที่เคยเป็นมาได้อีกต่อไป  ฯลฯลฯลฯลฯ...

                                   -------------------------------------------------

                หรือแม้แต่การให้ ประยุทธ์ลาออก แล้ว แก้รัฐธรรมนูญ หรือให้ แก้รัฐธรรมนูญ ก่อนหรือหลัง ประยุทธ์ลาออก ก็ยังเป็นอะไรที่ไม่ถึงกับชัดเจน แจ่มแจ้ง พอที่จะเอามาเป็นข้อสรุป เป็นหัวข้อเจรจา ต่อรอง กับใครหรือกับอะไรต่อมิอะไรก็ยังมิอาจกำหนดได้แน่นอน ยิ่งถ้าเป็นเรื่องใหญ่ๆ ระดับ พลิกฟ้า-คว่ำดิน ด้วยแล้ว ยิ่งแทบหา เจ้าภาพ ชนิดเป็นตัว เป็นตน แทบไม่ได้ ดังนั้น...เมื่อไม่มีใครที่จะออกมาแสดงตนเป็นแกนนำ แกนนั่ง แกนนอน หรือส่วนใหญ่...หนักไปทางนั่งทวีต นั่ง เขียนสคริปต์ อยู่เบื้องหลังไปด้วยกันทั้งสิ้น อีกทั้งบรรดาผู้ที่คิดจะเป็นแกน ก็ดันถูกรวบตัวเข้าซังเตไปแล้วแทบทั้งหมด ด้วยเหตุนี้...ทุกสิ่งทุกอย่างในช่วงระยะนี้ มันคงแทบไม่ต่างอะไรไปจากการ ระบายอารมณ์ หรือการ ขบถสังคม กันไปเป็นพักๆ...

                                  -----------------------------------------------------

                เหมือนอย่างที่บรรดาขบถ หรือกบฏสังคมทั้งหลายเมื่อครั้งอดีต เคยลุกฮือขึ้นมาเล่นงานรัฐบาลอเมริกันจนม่อยกระรอกไปเป็นแถบๆ ก่อนที่จะหวนกลับมาเป็น พลเมืองดี ทิ้งความเป็นฮิปป้ง ฮิปปี้ กลายมาเป็นนักธุรกิจ นักการเมืองอเมริกัน ในเวลาต่อมาจนบางรายสามารถขึ้นชั้นเป็นประธานาธิบดี อย่างเช่น นาย บิล คลินตัน เป็นต้น ที่สุดท้าย...ดันต้องไป เสร็จโมนิกา ลูวินสกี กันจนได้ ด้วยเหตุเพราะความเป็น ขบถ นั้นๆ มันแทบไม่ได้ช่วยให้เกิดความดีงามในแง่จริยธรรม คุณธรรม ศีลธรรม ฯลฯ มากมายซักเท่าไหร่นัก เป็นเพียงแค่ แรงทะยาน ที่จะนำไปสู่เป้าหมายที่ตัวเองต้องการ แบบเดียวกับ ขบถ บ้านเรานั่นแหละ ที่ส่งผลให้บรรดา คนเดือนตุลาฯ จำนวนไม่น้อย ค่อยๆ หันมาใช้ยุทธวิธี จากป่าล้อมเมือง...และเข้ายึดแต่ละกระทรวง ในท้ายที่สุด กลายมาเป็นรัฐมนตง รัฐมนตรี หลังจากที่ได้เติบโตพอสมควรแล้ว...

                                    ------------------------------------------------------

                แต่ก็นั่นแหละ...การหาทางคลี่คลายแรงกดดันทางสังคมในช่วงนี้ ก็ใช่ว่าจะปอกกล้วยเข้าปากกันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากยังมี เงื่อนไข และ เหตุปัจจัย ที่แทบไม่ต่างไปจากกองฟืนแห้งๆ ที่ถูกสุมเอาไว้ทั่วบ้าน ทั่วเมือง ยังไม่มี ความชอบธรรม มากพอ ที่จะนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการคลี่คลายแรงกดดันต่างๆ ลงไปได้มั่ง ดังนั้น...สำหรับผู้ที่ ตั้งสติ ได้อย่างมั่นคง แข็งแรง จนก่อให้เกิด ปัญญา พอที่จะใคร่ครวญ พิจารณา แยกแยะสถานการณ์ต่างๆ ไปได้เป็นขั้นๆ ก็น่าจะพอมองเห็น คำตอบ อยู่บ้าง ว่าจะเอาไงกันดี จะเอายังไงกันต่อ!!!

                                 --------------------------------------------------------

                ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Nikki Giovani... “Mistakes are the fact of life. It is the response to the error that counts. – ความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต แต่ปฏิกิริยาต่อความผิดพลาดต่างหาก ที่ถือเป็นเรื่องสำคัญ...”

                                 --------------------------------------------------------

 


ท่านขุนน้อย
 ตั้งสติเอาไว้ให้ดี


 

สงครามล้มประเทศไทย HybridWar

พิมพ์ PDF

มาเถอะครับ..มาดูคลิปนี้กัน           คนไทยไม่ดูคลิปนี้ ไม่ได้

เนื้อหาของคลิปนี้จะช่วยให้คนไทยสามารถสังเคราะห์ปัญหาที่สะสมมานานในสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองได้ชัดเจน

สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ อาจจะเป็นเพียงปลายเหตุ เรามาช่วยกันหาทางออกให้ประเทศไทยกันครับหลังจากดูแล้ว

สิ่งแรก ลดการปั่นป่วน การสร้างความขัดแย้งในสังคมหันหน้ามาพูดคุยหาทางออกกันครับ

ผมไม่คิดว่าการขับไล่รัฐบาล การเลือกตั้งใหม่ หรือการแก้รัฐธรรมนูญ จะแก้ปัญหาของประเทศวันนี้ได้ครับ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ระบบ ปัญหาคือตัวบุคคลที่รับแต่งตั้งเข้ามาทำหน้าที่ในบทบาทของนักการเมืองข้าราชการ หรือผู้นำประเทศ มีผลประโยชน์ทับซ้อน  ไม่ว่าคุณจะเป็นคนรุ่นไหน บทบาทอะไร หากเป็นผู้มีอำนาจแล้วขาดจริยธรรมก็ทำให้ชาติพังได้ ดังที่เกิดขึ้นตลอด 20ปีที่ผ่านมา

ทางแก้หลัก คือการให้การศึกษาที่เหมาะกับสถาณการณ์ การสร้างจริยธรรมและ การลงโทษผู้อยู่ในอำนาจ ไม่ว่านักการเมือง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ เมื่อทำผิดหรือคดโกงอย่างเด็ดขาด ดังที่เกาหลี และฮ่องกงทำสำเร็จ

มาปราบต้นตอของปัญหากันก่อนดีกว่า การคอรัปชั่น การซื้อเสียงของนักการเมือง  การขาดจริยธรรมและความสามารถของนักการเมืองและข้าราชการ และความล้าหลังของระบบการศึกษาของไทย

ต้องเด็ดขาดในการลงโทษจนเปลี่ยนพฤติกรรมและทัศนคติของคนในชาติให้ไม่ยอมรับการคอรัปชั่นต่อไป

สงครามล้มประเทศไทย​ Hybrid War กำลังเริ่มอีกคำรบ 2  

https://youtu.be/QuxubZlHB8E


 


หน้า 101 จาก 561
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5643
Content : 3068
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8742072

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า