Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

เด็กปฐมวัย วัฒนาธรรม การเลี้ยงดูของครอบครัว

พิมพ์ PDF

แก้ไขล่าสุด ใน วันเสาร์ที่ 02 มีนาคม 2019 เวลา 10:52 น.
 

แม่ไก้ลูกไก่

พิมพ์ PDF

สมัยก่อนหลังจากแม่ไก่คลอดลูก ลูกก็เดินตามแม่
สมัยนี้หลังจากแม่ไก่คลอดลูก 
ก็มีนายทุนมาบอกว่าต้องแยกลูกไก่ออกจากแม่ไก่
เอาไปเลี้ยงรวมกันแล้วจะเลี้ยงง่ายโตเร็วอ้วนสมบูรณ์
ฟังดูแล้วแม่ไก่ก็คงคิดว่าวิธีการนี้น่าจะดีกับลูก
และแม่ไก่๋ก็จะได้พักผ่อน
win win   ทั้งแม่ทั้งลูก
แต่คนที่ได้ผลประโยชน์ที่สุดคือนายทุน

สมัยก่อนเด็กเกิดมายังไม่ต้องไปโรงเรียน
ทำงานบ้านเลี้ยงน้องช่วยพ่อแม่วนไป
สมัยนี้เด็กเกิดมายังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย
ก็ถูกพรากไปเนิสเซอร์รี่บ้าง โรงเรียนอนุบาลบ้าง
ด้วยเหตุผลที่ว่าเด็กจะเรียนรู้ พัฒนา และมีสังคม
พ่อแม่ก็จะได้ทำงานได้เต็มที่
(เพื่อที่จะได้ทำงานให้บริษัทได้เต็มที่และจ่ายภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย)
ฟังดูแล้ว
win win ทั้งแม่และลูก
แต่คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือนายทุนอีกเช่นเคย
เดี๋ยวนี้พ่อแม่ทำงานยิ่งกว่าทาสในสมัยก่อนซะอีก
เวลาจะได้อยู่กับลูกน้อยจนแทบไม่มี
ชีวิตน้อยๆเกิดมายังไม่ทันได้รู้ว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่
ก็ต้องถูกพรากไปให้คนอื่นดูแลในยามกลางวัน
ลูกได้เรียนรู้และมีพัฒนาทางกายที่ดี วิชาการเก่ง
แต่การพัฒนาและเติบโตทางจิตวิญญาณขาดหายไป
ไม่มีรากฐานของสายสัมพันธ์ทางใจที่เข้มแข็ง
ต่อให้มีความรู้มากแค่ไหน เมื่อเติบโตขึ้นมีปัญหา
จึงทำให้คนจิตใจอ่อนแอ กลายเป็นโรคซึมเศร้ากันมาก

ภาพลูกไก่เดินตามแม่ไก่เพื่อคุ้ยเขี่ยอาหารคงไม่มีให้เห็นอีกแล้ว
บทความข้างบนนี้เขียนโดยลูกสาวคนที่สองของผม เธอและสามีลาออกจากงานทั้งคู่และมาช่วยกันเลี้ยงลูกของตัวเอง หันมาทำธุรกิจของตัวเองเพื่อจะได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดลูกและเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง ผมพยายามชวนลูกสาวมาออกรายการเพื่อเล่าประสบการณ์และแนวความคิดของเธอให้กับผู้ชมรายการ แต่เธอขอเวลาอีกสักพักเพื่อรอให้ลูกชายของเธอพร้อมกว่านี้ที่จะมาออกรายการร่วมกัน อย่างไรก็ตามเธอได้เขียนบทความด้านบนมาให้ผมอ่านในเบื้อต้น
ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท
๒๖ ก.พ.๒๕๖๒

ต้องขอประทานโทษด้วยครับ ผมเข้าใจผิดคิดว่าบทความดังกล่าวลูกสาวผมเป็นคนเขียน ความจริงลูกสาวผมไม่ได้เขียนบทความนี้ เธอเห็นว่าบทความดังกล่าวเขียนดี และอยู่ในชั่วงที่ผมกำลังคุยกับลูกสาวในเรื่องการเลี้ยงลูก จึงส่งบทความนี้มาให้ผมอ่าน ผมเห็นว่าเขียนได้ดีมากและเนื้อหาสาระเป็นประโยชน์กับทุกคน จึงตัดสินใจแชร์ให้กับคนอื่นๆ โดยไม่ได้แจ้งลูกสาวก่อน แถมไปบอกคนอื่นด้วยว่าลูกสาวเป็นผู้เขียน เมื่อมีคนอ่านและแสดงความเห็นกลับมาว่าเขียนได้ดีมาก และชื่นชมลูกสาวผม ผมจึงส่งไปให้ลูกสาวอ่าน ลูกสาวจึงรีบติดต่อผมและแจ้งว่าเธอไม่ได้เป็นผู้เขียนบทความนี้ ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เขียน

ต้องขอประทานโทษทุกท่านในความผิดพลาดของผมในครั้งนี้ โดยเฉพาะผู้เขียนบทความนี้ ถ้าผู้เขียนทราบเรื่องนี้โปรดกรุณาติดต่อผมด้วยครับ หรือจะแจ้งชื่อของท่านมาเพื่อผมจะได้แจ้งให้ผู้อื่นทราบความจริงว่าท่านใดเป็นผู้เขียนบทความนี้ หรือถ้ามีโอกาสอยากจะเชิญท่านไปร่วมออกรายการทีวี ที่ผมเป็นผู้บริหารรายการอยู่ครับ ชื่อรายการ "เปลี่ยน เป็น เปลี่ยน

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

๒๗ ก.พ.๒๕๖๒

แก้ไขล่าสุด ใน วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2019 เวลา 22:38 น.
 

บทความดีๆจากลูกสาว

พิมพ์ PDF

สมัยก่อนหลังจากแม่ไก่คลอดลูก ลูกก็เดินตามแม่
สมัยนี้หลังจากแม่ไก่คลอดลูก 
ก็มีนายทุนมาบอกว่าต้องแยกลูกไก่ออกจากแม่ไก่
เอาไปเลี้ยงรวมกันแล้วจะเลี้ยงง่ายโตเร็วอ้วนสมบูรณ์
ฟังดูแล้วแม่ไก่ก็คงคิดว่าวิธีการนี้น่าจะดีกับลูก
และแม่ไก่๋ก็จะได้พักผ่อน
win win   ทั้งแม่ทั้งลูก
แต่คนที่ได้ผลประโยชน์ที่สุดคือนายทุน

สมัยก่อนเด็กเกิดมายังไม่ต้องไปโรงเรียน
ทำงานบ้านเลี้ยงน้องช่วยพ่อแม่วนไป
สมัยนี้เด็กเกิดมายังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย
ก็ถูกพรากไปเนิสเซอร์รี่บ้าง โรงเรียนอนุบาลบ้าง
ด้วยเหตุผลที่ว่าเด็กจะเรียนรู้ พัฒนา และมีสังคม
พ่อแม่ก็จะได้ทำงานได้เต็มที่
(เพื่อที่จะได้ทำงานให้บริษัทได้เต็มที่และจ่ายภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย)
ฟังดูแล้ว
win win ทั้งแม่และลูก
แต่คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือนายทุนอีกเช่นเคย
เดี๋ยวนี้พ่อแม่ทำงานยิ่งกว่าทาสในสมัยก่อนซะอีก
เวลาจะได้อยู่กับลูกน้อยจนแทบไม่มี
ชีวิตน้อยๆเกิดมายังไม่ทันได้รู้ว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่
ก็ต้องถูกพรากไปให้คนอื่นดูแลในยามกลางวัน
ลูกได้เรียนรู้และมีพัฒนาทางกายที่ดี วิชาการเก่ง
แต่การพัฒนาและเติบโตทางจิตวิญญาณขาดหายไป
ไม่มีรากฐานของสายสัมพันธ์ทางใจที่เข้มแข็ง
ต่อให้มีความรู้มากแค่ไหน เมื่อเติบโตขึ้นมีปัญหา
จึงทำให้คนจิตใจอ่อนแอ กลายเป็นโรคซึมเศร้ากันมาก

ภาพลูกไก่เดินตามแม่ไก่เพื่อคุ้ยเขี่ยอาหารคงไม่มีให้เห็นอีกแล้ว
บทความข้างบนนี้เขียนโดยลูกสาวคนที่สองของผม เธอและสามีลาออกจากงานทั้งคู่และมาช่วยกันเลี้ยงลูกของตัวเอง หันมาทำธุรกิจของตัวเองเพื่อจะได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดลูกและเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง ผมพยายามชวนลูกสาวมาออกรายการเพื่อเล่าประสบการณ์และแนวความคิดของเธอให้กับผู้ชมรายการ แต่เธอขอเวลาอีกสักพักเพื่อรอให้ลูกชายของเธอพร้อมกว่านี้ที่จะมาออกรายการร่วมกัน อย่างไรก็ตามเธอได้เขียนบทความด้านบนมาให้ผมอ่านในเบื้อต้น
ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท
๒๖ ก.พ.๒๕๖๒

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ 2019 เวลา 13:08 น.
 

ครูนอกกรอบ

พิมพ์ PDF

แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ 2019 เวลา 13:03 น.
 

มายาแห่งความรู้ นิยามใหม่ของความฉลาดและการศึกษา

พิมพ์ PDF


 หนังสือ The Knowledge Illusionn : The Myth of Individual Thought and the Power of Collective Wisdom (2017)  เขียนโดย Steven Solomon & Philip Fernbach บอกว่าปัญญาไม่ใช่มีแค่มิติปัญญาของปัจเจกบุคคลเท่านั้น    แต่ปัญญาที่มีพลังขับเคลื่อนความก้าวหน้าของมนุษย์ เป็น ปัญญารวมหมู่  

ผู้เขียนคือ Steven Solomon เป็นศาสตราจารย์ด้าน cognitive linguistics, Brown University   และเป็นบรรณาธิการของวารสาร Cognition    ส่วน Philip Fernbach เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการตลาด มหาวิทยาลัย โคโลราโด้

เรามักจะได้รับการบอกเล่า ว่าการก้าวกระโดดของวิทยาการเกิดจากบุคคลที่เป็นยักษ์ใหญ่ด้านปัญญา เช่น เซอร์ ไอแซค นิวตัน, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, ชาร์ลส ดาร์วิน เป็นต้น    ซึ่งเป็นความจริง   แต่เป็นความจริงที่ไม่ครบถ้วน    เบื้องหลังการค้นพบที่ยิ่งใหญ่นั้นๆ ยังมี “ปัญญารวมหมู่”  อยู่เบื้องหลัง

มายาคติอย่างหนึ่งคือ คนเรามักคิดว่าตนรู้มากกว่าที่เป็นจริง    กล่าวใหม่ว่า คนเรารู้น้อยกว่าที่ตนเองคิดว่าตนรู้     มายานี้เรียกว่า IoED (Illusion of Explanatory Depth)    มีตัวอย่างง่ายๆ เรื่องความรู้ความเข้าใจว่ารถจักรยานทำงานอย่างไร    นักจิตวิทยาเอาร่างรูปรถจักรยานที่มีส่วนประกอบไม่ครบ    ให้ตัวอย่างผู้ถูกทดลองวาดเติมให้ครบ   พบว่าคนส่วนใหญ่เติมได้ไม่ครบชิ้นส่วนสำคัญ

     สมองมนุษย์ไม่ได้มีไว้ทำหน้าที่คลังความรู้    ฟังดูแปลก   มีคนหาวิธีคำนวณว่า หากสมองมนุษย์เป็นคล้ายคอมพิวเตอร์ชีวภาพ ที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลความรู้    ใช้วิธีคำนวณหลายวิธี ผลออกมาตรงกันว่าสมองมีความจุเพียงประมาณ 1 gigabyte   เรื่องราวต่างๆ ในโลกมีมากมายและซับซ้อนเกินสมองมนุษย์จดจำ   

ถ้าเช่นนั้น สมองมนุษย์วิวัฒนาการมาเพื่อทำอะไร

คำตอบคือ สมองมนุษย์วิวัฒนาการมาทำหน้าที่ปฏิบัติการ (action)    โดยมีลักษณะจำเพาะต่างจากสมองสัตว์อื่นที่การทำหน้าที่วินิจฉัยเหตุผล (diagnostic reasoning)   คือการคิดจากผลไปหาเหตุ    ซึ่งทำได้ยากกว่าการคิดจากเหตุไปหาผล   

การคิดเป็นเหตุเป็นผลเชื่อมโยงกับความสามารถในการเล่าเรื่อง (storytelling) ซึ่งเป็นวิธีการง่ายๆ ที่มนุษย์ใช้สร้างความหมายของสิ่งต่างๆ ในโลก    โดยเฉพาะความหมายของอดีต   และใช้สร้างความหมายของอนาคต    ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นนิยายหรือเรื่องในจินตนาการ    นี่คือความสามารถพิเศษของมนุษย์    ที่ทำให้มนุษย์คิดระบอบประชาธิปไตยขึ้นได้ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์    และทำให้มนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ได้

มนุษย์เราใช้เหตุผลสองแบบ คือแบบใช้ปัญญาญาณ (intuition)  กับแบบใช้การปรึกษาหารือใคร่ครวญอย่างรอบคอบ (deliberation)    การคิดแบบใช้ปัญญาญาณเป็นการคิดคนเดียว ใช้ปัญญาส่วนตน    แต่การคิดอย่างปรึกษาหารือใคร่ครวญเป็นการคิดแบบใช้ปัญญาของคนอื่นด้วย แม้จะใคร่ครวญไตร่ตรองคนเดียว เราก็คุยกับตัวเองคล้ายคุยกับคนอื่น    ซึ่งเป็นวิธีดึงเอาความคิดภายในออกไปภายนอกตัว เพื่อช่วยการคิด   

ซึ่งหมายความว่า มนุษย์เราคิดด้วยร่างกายและโลกรอบตัวด้วย  ไม่ใช่แค่ใช้สมอง     ตัวอย่างหนึ่งคือ embodiment  ซึ่งหมายถึงเราใช้การออกท่าทางช่วยการคิด    ดังกรณีเรานับจำนวนโดยนับนิ้ว    หรือสะกดคำโดยใช้กระดาษและดินสอช่วย     เราจดจำสภาพแวดล้อมรอบตัวที่เคยชินไว้ ช่วยลดภาระการคิดลงไปได้มากมาย    เปรียบเสมือนเราใช้โลกหรือสภาพแวดล้อมรอบตัวช่วยการคิด 

นอกจากนั้น เรายังใช้อารมณ์เป็นดั่งคลังความจำ    เราไม่ต้องคิดหลีกเลี่ยงเลยเมื่อเผชิญสิ่งอันตรายหรือน่าขยะแขยง   

มนุษย์เรามีความสามารถคิดร่วมกัน และร่วมมือกัน ตามทฤษฎี social brain hypothesis    การที่มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคม ทำให้สมองวิวัฒน์สู่ความซับซ้อนมากขึ้น   ยิ่งทำให้สังคมมนุษย์ซับซ้อนขึ้น    กระตุ้นให้สมองยิ่งซับซ้อนขึ้น    เป็นวงจรสร้างความซับซ้อนของสมองและของสังคมมนุษย์    นำไปสู่การแบ่งงานกันทำ  แบ่งภาระการคิดกัน   ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะคนในชุมชนหรือสังคมเดียวกันมีเป้าหมายเดียวกัน    ลักษณะพิเศษ ๒ ประการ คือการแบ่งงานกันคิด  และการมีเป้าหมายร่วมกัน  นำไปสู่การบรรลุสิ่งที่มนุษย์ไม่น่าจะทำได้เช่นการประดิษฐ์สมาร์ทโฟน และการสำรวจอวกาศ    ลักษณะพิเศษสองประการของมนุษย์นี้ คอมพิวเตอร์ที่ฉลาดที่สุดไม่มี      

แต่มนุษย์ก็มีจุดอ่อนที่ group think   ซึ่งนักจิตวิทยาสังคมอธิบายว่า เป็นปรากฏการณ์ที่ “พวกมากลากไป”    ดังกรณีประชาชนสนับสนุนฮิตเล่อร์  สตาลิน  และเหมาเจ๋อตง    และในกรณีฟองสบู่การเงินในประเทศไทยช่วงปี ๒๕๓๖ - ๒๕๔๐ (อันนี้ผมเติมเอง)  

นักการเมือง และคนบางจำพวกเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้าง group think    คนเราจึงต้องรู้เท่าทัน    โดยการฝึกทักษะการคิดเชิงเหตุ-ผล           

หนังสือเสนอให้นิยามความฉลาดเสียใหม่  จากการวัดไอคิว  เป็นการวัดความสามารถ และความถนัดในการทำงานร่วมกันเป็นทีม    และต้องจัดการศึกษาที่ฝึกความสามารถด้านความร่วมมือ    โดยเปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้จากการฟังการบรรยาย เป็นเรียนโดยการทำกิจกรรม   เน้นกิจกรรมที่ทำเป็นทีม    เพื่อฝึกทักษะการคิดร่วมกัน 

วิจารณ์ พานิช

๒๕ ต.ค. ๖๑



แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ 2019 เวลา 13:02 น.
 


หน้า 167 จาก 561
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5644
Content : 3068
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8743663

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า