Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

นำเรื่อง 10 ปีย้อนหลัง มาเล่า ปัจจุบัน ยังเหมือนเดิมหรือไม่

พิมพ์ PDF
ทำความดีเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและสังคมในประเทศไทยต้องมีความอดทนสูง ปัญหาที่คนดีๆมีกำลังช่วยสังคมและประเทศชาติต้องเลิกล้มความคิดเพราะข้าราชการที่มีความสำนึกต่ำเอาแต่ความชอบไม่ทำอะไร ไม่ใช่สมองทำงาน

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ก่อตั้งมาแล้วเป็นเวลานานกว่า 4 ปี โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้เกิดการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แบบบูรณาการ สร้างคนให้มีคุณค่า เพื่อรองรับภาคธุรกิจ หลังจาก 4 ปีในการสร้างเครือข่าย คณะกรรมการตกลงที่จะจดทะเบียนเป็นมูลนิธิ ต้องใช้เวลาในการหาข้อมูลและดำเนินการต่างๆเป็นเวลา เกือบ 4 เดือนจึงสามารถยื่นเรื่องขอจดทะเบียนเป็นมูลนิธิกับเขตหลักสี่ ก่อนที่จะผ่านด่านนี้ต้องใช้เวลาเกื่อบเดือนในการแก้ไขข้อบังคับ จัดเตรียมเอกสารต่างๆในการจดทะเบียน ทางเขตหลักสี่ไม่มีแบบฟอร์มหรือเอกสารใดๆที่จะส่งมอบให้ผู้แจ้งความจำนงในการขอจดทะเบียน เจ้าหน้าที่ บอกสิ่งที่ผู้ขอจดทะเบียนด้วยวาจา และถ่ายเอกสารตัวอย่างบางเรื่องให้ แต่ไม่มีข้อมูลที่สมบูรณ์ จึงทำให้ต้องเสียเวลาไปพบเจ้าหน้าที่อย่างน้อย 3 ครั้ง จนสามารถยื่นเอกสารได้ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่เขตหลักสี่ได้ส่งเรื่องไปให้ สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง  (วังไชยา ) กระทรวงมหาดไทย

ประมาณเกือบ 2 อาทิตย์ ได้รับโทรศัพท์แจ้งจากเจ้าหน้าที่สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมปกครอง แจ้งให้ไปพบเพื่อชี้แจงเรื่องเอกสารที่ส่งไปขอจดทะเบียนมูลนิธิ เมื่อไปพบ ก็แจ้งว่าในข้อบังคับที่เขียนไว้ เรื่องกรรมการ ทำให้สับสน และให้ไปจัดทำใหม่ตามตัวอย่างที่ให้มา จึงได้นำมาพิมพ์ใหม่ให้เป็นไปตามตัวอย่าง และได้ส่งไปให้เจ้าหน้าที่พิจารณา ปรากฎว่ามีการพิมพ์ตกหล่น ต้องนำมาแก้ไขใหม่ ในที่สุดต้องใช้เวลา 3 วันก่อนที่จะแก้ไขข้อบังคับให้ถูกต้อง และส่งให้เจ้าหน้าที่ได้ หลังจากนั้นได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ผู้นั้นอีกว่า ที่อยู่ของสำนักงานมูลนิธิที่ระบุในข้อบังคับ ไม่ตรงกับสำเนาเอกสารใบทะเบียนบ้าน ( ที่อยู่ที่พิมพ์ไว้ในข้อบังคับเป็นที่อยู่ที่ใช้ในปัจจุบัน ซึ่งมีรายละเอียดมากกว่าในสำเนาทะเบียนบ้าน ซึ่งทางเขตเองได้มีการแก้ไขเพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ทันต่อการขยายตัวของบ้านเมือง แต่ไม่ได้เปลี่ยนสมุดทะเบียนบ้านให้ ใช้แค่หมึกเขียนเพิ่มในสมุดทะเบียนแต่ไม่มีรายละเอียดพอ เรื่องนี้เป็นเรื่องของทางการเอง แต่ก็โยนให้ประชาชนต้องเดือดร้อน โดยการต้องเสียเวลาในการนำไปแก้ไขให้ตรงกับเอกสารที่ไม่ทันกับปัจจุบัน) หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้โทรแจ้งผมว่าเอกสารทุกอย่างสมบูรณ์แล้ว จะทำเรื่องส่งให้วันนี้ (ศุกร์ที่ 2 พ.ย.2555)

วันเสาร์ที่ 3 ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ท่านเดิมโทรมาหา และขอโทษว่าได้ติดต่อไปที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย เขาแจ้งว่า ตามหนังสือคำมั่นสัญญา ที่ผู้แจ้งความจำนงบริจาคเงินจำนวน 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาท) เพื่อเป็นทุนจัดตั้งมูลนิธิ จำนวน 23 ท่าน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 230,000 บาท (สองแสนสามหมื่นบาทถ้วน)  พร้อมสำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน ไม่เพียงพอเพราะไม่เชื่อว่าผู้ให้คำมั่นสัญญานั้นมีฐานะมั่นคงเพียงพอหรือไม่ จึงต้องให้ส่งหลักฐานการเงินของแต่ละท่านไปให้

ผมว่าเป็นความซื่อบื้อของนิติกรท่านนั้น เป็นการทำงานแบบไม่ใช้สมอง เอาแต่ความสบายของตัวเอง ไม่ให้บริการหรืออำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่มีความตั้งใจทำประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติ  ผมกำลังขอ ชื่อ และ นามสกุลของท่านผู้นั้นอยู่ และคิดว่าจะโทรหานิติกรผู้นั้นหรือหัวหน้าเพื่อจะได้ทราบข้อเท็จจริงว่า ปัญหาจริงๆอยู่ที่ไหน ควรจะแก้ไขอย่างไร หรือปล่อยให้เป็นแบบนี้

ไม่ใช่ว่าผมจะต่อต้านหรือไม่ยอมปฎิบัติตามกฎข้อบังคับ ผมเป็นคนมีเหตุผล ไม่ต้องการให้สิ่งผิดๆผ่านไป และทำกันโดยความเคยชิน มักง่ายเอาแต่ความสบายของตัว โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนและวุ่นวายจากคนที่เขามีความตั้งใจทำความดี เพราะถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ คนดีๆพร้อมเสียสละเพื่อส่วนรวม สังคม และประเทศชาติก็จะหมดความอดทนเลยไม่อยากเปลืองตัวและเปลืองเวลากับสิ่งไร้สาระ

ข้าราชการต้องเป็นผู้ให้บริการประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่ทำประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติ ไม่ใช้คอยแต่จะสร้างเงื่อนไข และความยุ่งยากเกินความจำเป็น

ขอให้พิจารณา ข้อบังคับด้านล่างที่กล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับเอกสารคำมั่นในการบริจาคเงินทุนในการจัดตั้งมูลนิธิ เพราะถ้าผู้ที่ออกหนังสือคำมั่นบริจาคเงินไม่ทำตามหนังสือคำมั่น มูลนิธิที่ได้รับการอนุญาตให้จดทะเบียนก็ต้องสิ้นสุดการเป็นมูลนิธิ

ท่านนิติกรผู้นี้ดูหมิ่นประชาชนที่มีความตั้งใจบริจาคเงินเพื่อการทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ผมคิดว่าผมทนไม่ได้ น่าจะฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาทให้เข็ด

ข้อความในกฎข้อบังคับมูลนิธิ

 

ข้อ 41 การสิ้นสุดของมูลนิธินั้นนอกจากที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้วให้มูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลงโดยมิต้องให้ศาลสั่งเลิกด้วยเหตุต่อไปนี้

41.1 เมื่อมูลนิธิได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้ว ไม่ได้รับทรัพย์ตามคำมั่นเต็มจำนวน


 

 

คอมเมนต์คอมเมนต์ 

 
#1 ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท 2012-11-06 00:38
ผมได้ชื่อนิติกร แล้ว พร้อมกับสำเนาเอ กสารคำสั่ง เลขที่ มท ๐๓๐๗.๔/ว ๕๖๙ ลงวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ลงนามโดย นายศิวะ แสงมณี รองปลัดกระทรวงม หาดไทย จะขอยกเฉพาะข้อท ี่นิติกรผู้นั้น อ้างดังนี้

๕.การลงนามในหนังส ือให้คำมั่นเกี่ ยวกับการยกทรัพย ์สินให้มูลนิธิ ให้ผู้ที่จะยกทร ัพย์สินเป็นผู้ล งนามในฐานะผู้ให ้คำมั่นพร้อมกับ แนบรายการทรัพย์ สินต่าง ๆ เช่น สำเนาบัญชีธนาคา รที่มีชื่อผู้ให ้คำมั่น หนังสือรับรองจา กธนาคาร หรือโฉนดที่ดินก รณีทรัพย์สินที่ ยกให้เป็นที่ดิน ทั้งนี้ผู้ลงนาม ในฐานะผู้รับคำม ั่นจะต้องเป็นผุ ้ที่ได้รับการเส นอชื่อจากคณะผู้ จัดตั้งให้เป็นป ระธานกรรมการมูล นิธิ

อนึ่ง ถ้าผู้ให้คำมั่น ดังกล่าวเป็นบุค คลเดียวกันกับผู ้ที่จะต้องรับคำ มั่นให้ผู้ที่ได ้รับการเส นอชื่อจากคณะผู้ จัดตั้งให้เป็นป ระธานกรรมการมูล นิธิมอบอำนาจเป็นลายลั กษณ์อักษรให้คณะ ผู้จัดตั้งคนหนึ ่งเป็นผู้ลงนามร ับคำมั่น

จากข้อความดังกล ่าว ถือว่าเป็นการเร ียกร้องเกิดความ จำเป็น และเป็นการละเมิ ดสิทธฺิ์

ผู้แจ้งความจำนง บริจาคเงินจำนวน 10,000 บาท จำนวน 23 คน เพื่อเป็นทุนในก ารจัดตั้งมูลนิธ ิ ล้วนเป็นผู้ที่ท รงเกียรติ ทำไมจะต้องแสดงท รัพย์สินให้เจ้า หน้าที่ด้วย ถือว่าเป็นการละ เมิดสิทธฺ์ และสำเนาคำสั่งท ี่นำมาอ้างอิงก็ เป็นสำเนาตั้งแต ่ปี 2547 ผู้ลงนามในคำสั่ งก็เกษียณอายุรา ชการไปแล้ว ในข้อบังคับก็ระ บุไว้แล้วว่า ถ้ามูลนิธิได้รั บอนุมุติแล้วและ ไม่ได้รับทรัพย์ สินตามจำนวนที่แ จ้งไว้ถือว่ามูล นิธินั้นหมดสิ้น สภาพการเป็นมูลน ิธิ การให้ผู้บริจาค เงินซึ่งเป็นกรร มการผู้จัดตั้งม ูลนิธิ ต้องส่งสำเนาบัญ ชีธนาคา รถือว่าเป็นการทำเกินเหต ุ เป็นการละเมิดสิ ทธฺิ์ส่วนบุคคล ไม่เกิดผลประโยช น์ในด้านใดๆ เป็นการเพิ่มภาร ะให้กับประชาชนโ ดยใช่เหตุ

ผมได้โทรไปอธิบา ยเจ้าหน้าที่เพื ่อให้นำเหตุผลขอ งผมไปอธิบายให้ท ่านนิติกรผู้นั้ นทราบ แต่ถ้ายังดื้อดึ ง ผมอาจจะไทรไปชี้ แจงโดยตรง แต่ถ้ายังไม่ได้ ผล อาจต้องให้ทางเจ ้าหน้าที่ทำเรื่ องไปที่นิติกรท่ านนั้น และถ้านิติกรแทง เรื่องกลับมาโดย ยืนยันให้ส่งสำเ นาบัญชีธนาคา รที่มีชื่อผู้ให ้คำมั่น หนังสือรับรองจา กธนาคาร ผมอาจนำเรื่องดั งกล่าวฟ้องศาลปก ครอง
 
 

องค์กรการกุศล ในนิยามราชการ

พิมพ์ PDF

ชีวิตที่พอเพียง 3235. ทำงานการกุศล

ผมเกี่ยวข้องหรือทำงานให้แก่องค์กรการกุศล(ในนิยามราชการ และนิยามของผมเอง) จำนวนเกือบสิบองค์กร    นิยามของราชการ องค์กรการกุศลสาธารณะประโยชน์ดูที่การเอาเงินไปช่วยเหลือผู้อื่น ในลักษณะสังคมสงเคราะห์    มีการกำหนดว่าร้อยละเท่าไรของรายได้จะต้องนำไปบริจาคหรือใช้จ่ายช่วยเหลือผู้อื่นหรือกิจการสาธารณะ  ที่ต้องกำหนดก็เพราะองค์กรแบบนี้ได้รับยกเว้นภาษี  

มูลนิธิพูนพลังที่ลูกสาวผมตั้งขึ้นเมื่อราวๆ ๑๕ ปีที่แล้ว    ก็ได้รับจดทะเบียนเป็นองค์กรการกุศลสาธารณะประโยชน์ ทันทีที่ทำงานครบ ๓ ปีและมีคุณสมบัติครบถ้วน  แต่ใช้เวลาปีเศษกว่าจะได้รับอนุมัติ   เพราะลูกสาวเขาต้องการให้เรื่องมันเดินตามปกติ ไม่ชอบใช้เส้น

ในโลกที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน  การทำ “งานการกุศล” หลายกรณีมีผลประโยชน์แอบแฝง    ไม่ใช่การกุศลบริสุทธิ์ ที่ไม่หวังผลตอบแทน

ผมคิดใคร่ครวญเรื่องการทำงานการกุศลแท้   ว่าไม่ได้มีแค่การใช้เงินเป็นเครื่องมือทำให้เกิดประโยชน์สาธารณะโดยเฉพาะเพื่อการช่วยเหลือผู้อยู่ในสภาพยากลำบาก    งานการกุศลหลายอย่างใช้ปัญญาและจิตใจที่ดีงามโดยแทบไม่ต้องใช้เงินเลย    

หมายความว่า การทำเพื่อประโยชน์สาธารณะเน้นที่ผลต่อผู้ยากลำบากนั้น   หลายกรณีไม่ใช่เอาเงินหรือสิ่งของไปมอบให้หรือบริจาค    แต่เป็นการสร้างความรู้และวิธีการหรือระบบเพื่อสร้างโอกาสให้ผู้อยู่ในสภาพยากลำบากช่วยเหลือตนเองได้   สามารถดิ้นรนขวนขวายยกระดับการทำมาหากินของตนเองได้    ผมมีความเชื่อว่า งานการกุศลแบบนี้ให้ผลดียั่งยืนกว่า 

งานการกุศลแบบนี้ เน้นใช้ปัญญาเป็นหลัก คนทำงานการกุศลแบบนี้ไม่ได้ลงเงินแต่ลงปัญญา    และอาจต้องหาเงินจากแหล่งทุนมาใช้ทำงาน   

น่าเสียดายที่รัฐบาล คสช.รังเกียจการทำงานการกุศลแบบใช้ปัญญา 

วิจารณ์ พานิช

๑๑ ก.ค. ๖๑

ขอบพระคุณ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ที่นำเรื่องนี้มาเขียน มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ได้รับการจดทะเบียนเป็นมูลนิธิฯจากกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่ปี 2555 ได้ทำหนังสือขอให้กรมสรรพกร ประกาศให้เป็นมูลนิธิเพื่อ องค์กรการกุศลสาธารณะประโยชน์  แต่ไม่ได้รับการพิจารณา โดยอ้างว่า ทางมูลนิธิฯไม่ได้นำเงิน จำนวน 60% ไปช่วยเหลือผู้อื่น ในลักษณะสังคมสงเคราะห์ ผมได้จัดทำเอกสารอธิบายและแสดงกิจกรรมของมูลนิธิฯที่ทำเพื่อการกุศลและทำประโยชน์ให้กับผู้ด้อยโอกาส เป็นกิจกรรมที่สร้างปัญญาให้กับผู้คนและให้โอกาสกับผู้ด้อยโอกาส มูลนิธิไม่ได้รับบริจาคเงินจากที่ใด เพื่อนำไปบริจาคต่อ  มูลนิธิฯเน้นการสร้างปัญญาให้คน สร้างคนดี คนเก่งให้กับประเทศชาติ ใช้เงินของกรรมการ มีรายรับปีละไม่ถึง แสนบาท รายจ่ายเฉพาะค่าจัดการเล็กๆน้อยๆ  กิจกรรมที่จัดส่วนมากได้รับการร่วมมือให้ใช้สถานที่ฟรี และได้รับการสนับสนุนด้านอาหาร และเครื่องดื่ม กิจกรรมที่มูลนิธิจัดก็ไม่ได้เก็บเงินกับผู้เข้าร่วม  เจ้าหน้าที่ๆเกี่ยวข้องไม่พิจารณา ไม่ยอมให้ไปชี้แจ้งเพิ่มเติมใช้เวลาพิจารณา หลายเดือนก่อนจะทำหนังสือตอบกับมาว่าไม่รับพิจารณา โดยอ้างเอกสารตาม พรบ ซึ่งก็อ้างตามตัวอักษรที่กำหนดไว้บางส่วน แต่ส่วนที่กำหนดว่าสามารถอนุโลมได้โดยเสนอผ่าน รัฐมนตรีพิจารณา ก็ไม่ยอมส่งให้รัฐมนตรีพิจารณา เดิมคิดว่าจะไปฟ้องศาลปกครอง บังเอิญยุ่งๆไม่อยากไปเสียเวลา กับคนที่ไม่ใช้สมองทำงาน คิดว่าปีหน้าถ้ามีเวลาอาจจะไปยื่นอีก  กฎที่กำหนดให้เป็นกฎที่ไม่เป็นธรรม แม้นกระทั่งมูลนิธิฯ ยังมีความเหลื่อมล้ำ กฎข้อบังคับดังกล่าว ตั้งขึ้นมาเพื่อ เอื้ออำนวยให้กับ บริษัทใหญ่ๆใช้เป็นเครื่องมือในการไม่ต้องเสียภาษีบางส่วนโดยการ จัดตั้งมูลนิธิฯขึ้นมาเอง กฎข้อบังคับที่กำหนดนี้ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเงินทอนวัด  ท่านใดสนใจต้องการทราบรายละเอียดต่างๆ สามารถติดต่อผมได้ ทาง e-mail :  อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน

หม่อมหลวงชาญโชติ ชมพูนุท

๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๑

   

สังคมการเรียนรู้

พิมพ์ PDF

สังคมการเรียนรู้


การเรียนรู้มิได้จำกัดอยู่เฉพาะในห้องเรียน 

สังคมการเรียนรู้

 

การเรียนรู้มิได้จำกัดอยู่เฉพาะในห้องเรียน คนเราเริ่มการเรียนรู้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา ครูคนแรกจึงหนีไม่พ้นมารดา เมื่อเด็กโตขึ้นก็จะเริ่มเรียนรู้จากคนรอบข้าง เมื่อเข้าโรงเรียนเด็กก็จะได้เรียนรู้เพิ่มเติมจากครูอาจารย์ การเรียนรู้จะต้องมาจากความต้องการของคนๆนั้น ไม่มีใครสามารถใส่ความรู้ให้กับใครคนใดคนหนึ่งได้ทั้งหมด

การเรียนรู้ในห้องเรียนเป็นการเรียนรู้แบบจำกัด ขึ้นอยู่กับหลักสูตร และครูผู้สอน โดยมีคะแนนเป็นตัวชีวัดความสำเร็จในการศึกษาแต่ละระดับ ความรู้ที่ได้ในห้องเรียนเป็นการเรียนรู้แบบพื้นฐาน ความรู้ที่ได้ในห้องเรียนส่วนมากมีอยู่ สองส่วน คือส่วนที่ท่องจำมาจากตำรา และส่วนที่เข้าใจจากการฟังครูอาจารย์ที่ให้ความรู้ในวิชานั้นๆ สิ่งที่ท่องจำมา และสิ่งที่เข้าใจในห้องเรียนอาจไม่ถูกต้อง และไม่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของแต่ละคนก็ได้

การเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดคือการเรียนรู้และใฝ่รู้ด้วยตัวของตัวเอง เราต้องเป็นผู้แสวงหาความรู้ความเข้าใจในทุกสิ่งที่เราสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นในห้องเรียน หรือที่ใดก็ตาม ความรู้ที่เราได้มีมากมายยิ่งอายุมาก ได้สัมผัสมากเท่าใดก็ยิ่งมีความรู้มากเท่านั้น เราสามารถเรียนรู้ได้จากทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นในการดำรงชีวิตของเราในแต่ละวัน สิ่งที่เราได้เรียนรู้ในแต่ละวันจะเป็นตัวสร้างและกำหนดชะตาชีวิตของแต่ละคน ทุกสิ่งที่เรียนรู้มีทั้งผิดและถูก เช่นเราได้เรียนรู้ว่าผู้ที่มีเงินมากมาย เขาสามารถซื้ออะไรก็ได้ที่เขาต้องการ มีบ้านใหญ่โต มีข้าทาสบริวารคอยรับใช้ รับประทานอาหารดีๆ มีรถดีๆขับ สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือเขามีเงินจึงซื้อทุกอย่างได้ แต่ความจริงเขาซื้อไม่ได้ทุกอย่าง การมีเงินไม่ได้แสดงว่าเขามีความสุข สิ่งที่เราเห็นและได้เรียนรู้จากเขาเป็นเพียงแค่เปลือกนอก ยังมีอะไรอีกมากมายที่เราไม่รู้

หลายๆคนเข้าใจว่าฉันเรียนจบแล้ว ฉันเก่งแล้วรู้ทุกอย่าง แต่เมื่อนำความรู้มาปฏิบัติในการดำรงชีวิต เขาก็จะได้เรียนรู้ด้วยตัวเขาเองว่าสิ่งที่เขาเข้าใจนั้นไม่ถูกต้อง เขาได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆอีกมากมายที่เขาไม่เคยได้รับรู้มาก่อน  แต่ก็มีอีกหลายคนที่ยึดติดกับสิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากสถาบันการศึกษา และไม่ยอมรับรู้สิ่งใหม่ๆ และนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ปรับแต่งเพื่อให้ได้สิ่งที่เหมาะสมที่สุด

 ความรู้ไม่สามารถไหลจากคนหนึ่งไปสู่คนหนึ่งได้ทั้งหมด คนเรามีความคิดเห็นของตัวเราเอง ครูสอนนักเรียน  40 คนในเวลาเดียวกัน แต่นักเรียนทั้ง 40 คนจะสามารถรับความรู้ที่ครูถ่ายทอดให้แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับนักเรียนแต่ละคนว่ามีความพร้อมและตั้งใจที่จะรับความรู้มากน้อยแค่ไหน ครูที่เก่งคือครูที่มีความสามารถที่จะทำให้เด็กนักเรียนมีความพร้อมในการเรียนรู้ได้มากแค่ไหน

 ความรู้ที่ทุกคนได้เรียนรู้มีทั้งผิดและถูก ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพราะคนเรียนรู้มาก แต่ไม่รู้จริง รู้เพียงแค่เปลือกนอก ไม่ได้นำมาแยกแยะ และทำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง บางคนนำความรู้ที่ได้มาใช้เพื่อสร้างฐานะความเป็นอยู่ของตัวเองโดยไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้อง เช่นค้าขายสิ่งผิดกฎหมายเพื่อให้ตัวเองมีความร่ำรวย เพราะคิดว่าเมื่อร่ำรวยมีเงินก็สามารถซื้อทุกอย่างได้ แต่เมื่อปฏิบัติจริงๆไม่ได้เป็นอย่างนั้น  มีเงินทองมากมายและซื้อของทุกอย่างจนไม่รู้จะซื้ออะไร แต่ไม่มีเพื่อน ไม่มีความสุข ต้องคอยหวาดกลัวว่าจะถูกจับได้ และเมื่อถูกจับได้ก็ต้องติดคุก เงินทองที่มีอยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เป็นต้น

สังคมคนกรุงเทพ ส่วนใหญ่เป็นสังคมที่ต่างคนต่างอยู่ แข่งขัน ชิงดี ชิงเด่น เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตัวเอง สังคมกรุงเทพส่วนมากเป็นสังคมของคนยุคใหม่ เป็นชุมชนที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ๆ ยังไม่ได้มีวัฒนาธรรม และอารยะธรรมของชุมชนที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ สมาชิกชุมชนมาจากแหล่งกำเนิดที่แตกต่างกัน ยังไม่มีจิตวิญญาณของความเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่น  การเรียนรู้ของคนในกรุงเทพ จึงเรียนรู้จากห้องเรียน และจากสื่อต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็น ทีวี หนังสือพิมพ์  Internet หรือคนรอบข้างในอาชีพที่ดำเนินอยู่ สิ่งที่เรียนรู้ส่วนมากเป็นการเรียนรู้แบบผิดๆ มีแต่การแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น ขาดความรักสามัคคี ยึดวัตถุเป็นตัวกำหนดการดำรงชีวิต

คนกรุงเทพส่วนใหญ่คิดว่าตัวเองต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตนเองและครอบครัว ไม่มีเวลาศึกษาหาความรู้ ไม่ได้เรียนรู้เพื่อนบ้านและชุมชนที่ตัวเองอยู่อาศัย ขาดการเรียนรู้เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน     คนกรุงเทพส่วนใหญ่ยึดตัวเองและครอบครัวเป็นที่ตั้งไม่สนใจเพื่อนบ้าน และทำตัวให้มีคุณค่าต่อชุมชนที่อยู่อาศัย ปล่อยให้เป็นหน้าที่และภาระของตำรวจ ข้าราชการและนักการเมืองจัดการกันเอง ทั้งๆที่คนกรุงเทพเป็นคนที่มีบทบาทและอิทธิพลต่อความมั่นคงทั้งด้านเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชากรโดยรวมของประเทศชาติ คนกรุงเทพส่วนใหญ่คิดถึงการเรียนรู้ในห้องเรียนเพื่อให้ได้ปริญญาในระดับสูงๆเพื่อจะได้เข้าทำงานที่มีรายได้ดีๆ หรือนำไปประกอบอาชีพเพื่อให้มีเงินทองมากๆ เป็นที่นับถือและยกย่องของสังคม คนกรุงเทพส่วนใหญ่ไม่สนใจการเรียนรู้เพื่อทำให้เกิดปัญญาเพื่อสร้างความสุขที่แท้จริงให้กับตัวเองและครอบครัว

เงินทองไม่ได้ช่วยให้ชีวิตมีความสุข เงินทองเป็นเพียงส่วนประกอบส่วนหนึ่งในการดำรงชีพเท่านั้น ความสำคัญในการดำรงชีวิตอยู่ที่การมีความสุข และเราจะไม่มีทางพบกับความสุขอย่างสมบูรณ์ได้ถ้าสังคมและประเทศชาติมีปัญหา เราทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการสร้างชุมชน และประเทศชาติให้เข้มแข็ง พร้อมหรือยังครับที่คนกรุงเทพจะหันมาให้ความสนใจในการเรียนรู้เพื่อสร้างความมั่นคงและความสุขให้กับตัวเอง ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ  หากพร้อมผมขอเสนอให้ตั้งชมรมศูนย์การเรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริในชุมชนที่ท่านอาศัยอยู่ เรียนรู้ให้เข้าใจในปรัชญาอย่างแท้จริงและนำไปปฏิบัติในการดำรงชีวิตประจำวัน            ท่านและ ครอบครัวของท่าน ชุมชนที่ท่านอยู่อาศัย และประเทศชาติก็จะมีความเข้มแข็ง มั่นคง ประชาชนมีความเป็นสุขโดยทั่วหน้า  

 

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐

 


หน้า 29 จาก 561
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5642
Content : 3067
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8738965

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า