Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

ความจริงหลังความตาย ที่มักเข้าใจผิด

พิมพ์ PDF

 

มหาอำนาจโลกหนุนพุทธศาสนา

พิมพ์ PDF

 

สี่แผ่นดิน เดอะมิวสิคัล

พิมพ์ PDF

 

อยากคุยเรื่องลูกหลานเราเปลี่ยนไป ศ.ดร.บุญเสริม บุญเจริญผล

พิมพ์ PDF

อยากคุยเรื่องลูกหลานเราเปลี่ยนไป แทบทุกครอบครัว และทั่วโลก :

(ศ.ดร.บุญเสริม บุญเจริญผล)

ลูกหลานเรา  เขาเปลี่ยนไปแล้ว  

เดี๋ยวนี้ เราสอนเราเตือนลูกหลานไม่ได้ผลแล้ว     อาการเบาๆ  เขาอาจฟังคำเรา ไม่เถียง แต่เขาไม่เชื่อ     ที่แสบกว่านั้น เขาตอบว่า "รู้แล้ว รู้แล้ว"   ผู้ใหญ่อย่างเราฟังแล้วตกใจ   เปรียบเทียบกับสมัยเรายังหนุ่มสาว เมื่อผู้ใหญ่เตือน โดยทั่วไป เราตอบท่านว่า "ครับ" หรือ "ค่ะ" คือ ถ้ารู้แล้วก็ได้แน่ใจ ถ้ายังไม่รู้ ก็ได้รู้   ไม่มีใครตอบว่า "รู้แล้วๆๆ" อย่างในสมัยนี้ ยกเว้นครอบครัวที่ด้อยคุณภาพ

ผมขอถามพวกเราว่า มีครอบครัวใดบ้างที่ไม่ไดัยินลูกหลานตอบท่านว่า "รู้แล้วๆๆ" ผมว่าไม่มีสักครอบครัว   ถ้าลูกหลานตั้งแต่อายุ 40 ปีลงมา เขาไม่เชื่อผู้ใหญ่กันแล้ว   ยกเว้นคนที่เขาบูชา  ซึ่งคนนั้นเรามักเห็นว่าเป็นคนเลว    สำหรับผมไม่มีลูก มีแต่หลานจากน้องสาวน้องชายและญาติอื่นๆ ก็ยังได้ยินคำว่า "รู้แล้วๆ" อยู่บ้าง คุยกับลูกหลานสมัยนี้ไม่สนุกเลย กว่าจะเอ่ยถ้อยคำออกมาแต่ละประโยค ต้องกรองแล้วกรองอีกว่า เราพูดไปแล้ว เขาจะมีปฏิกริยาร้ายตอบเราอย่างไรบ้าง คุยกับคนสมัยใหม่ช่างเหนื่อยเสียจริง ถ้าไม่กลั่นกรองคำพูดให้ดี รับรองว่า ได้เสียใจ ยิ่งได้ยินพ่อแม่ของเขาบอกว่า เด็กสมัยนี้ เขารู้สึกอย่างไรก็พูดโพล่งไปทันที ไม่ต้องคิด ก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นอีก

ผิดกับตอนที่ผมเป็นอาจารย์ ม. เกษตรศาสตร์ นิสิตที่เรียนระดับมหาวิทยาลัยอยู่ในวัยหนุ่มสาว ผมสอนเรื่องชีวิต เรื่องสังคมให้เขาบ่อยๆ เขาตั้งใจฟังมาก  ตั้งใจยิ่งกว่าเรียนวิชาการเสียอีก เช่น สอนว่า ถ้าไม่ให้ชีวิตวิบัติเรื่องการเงิน ก็ต้อง : "ไม่หุ้น ไม่กู้ ไม่ค้ำประกัน ไม่เล่นการพนัน ไม่คบคนชั่ว" เขาก็นำคำสอนไปใช้ในชีวิต และบอกผมว่า เขารอดภัยมาได้จากการทำตามคำสอนของผม ส่วนอาจารย์อื่นเขาไม่สอนเรื่องชีวิต   เขาคิดว่าโตกันแล้ว ไม่ต้องสอนแล้ว      ความจริงแล้วตรงข้ามเลย เป็นความเชื่อที่ผิด วัยหนุ่มสาวนี้แหละเขาเปิดหูฟัง อยากรู้เรื่องชีวิตมากๆ    ผมไม่แน่ใจว่ายุคนี้จะเป็นอย่างที่ผมเล่าหรือไม่   เช่น ถ้าสอนเขาว่า อย่าเล่นบิทคอยน์ บิทคับ เขาคงเถียงว่า “รู้แล้ว  รู้แล้ว”  ไม่ฟังเรา   แล้วคิดในใจว่า "ไอ้โง่เอ๋ย... โลกเขาไปกันถึงไหนแล้ว"

ผมไม่ได้ยืนยันว่า คนโบราณรู้ดีกว่าคนสมัยใหม่ แต่ก็มีบางเรื่องที่คนอายุมากมีประสบการณ์มากกว่า เพราะว่าเคยเห็นเคยผิดพลาดมาแล้ว จึงเป็นห่วง แล้วทำไมเตือนกันไม่ได้     ผมเห็นว่า ความคิดของคนสมัยนี้ส่วนมาก เป็นดังกล่าวนี้   คงยังมีคนหนุ่มสาวอีกจำนวนหนึ่ง ไม่เป็นอย่างนี้

แล้วจิตใจของเขาเป็นอย่างไร  เขาก็เป็นอย่างนี้

1.คิดตื้นชั้นเดียว ได้ฟังแล้ว ไม่ต้องคิดมาก เชื่อเลย ไม่เฉลียวใจว่า เรื่องนี้มีอะไรซ่อนเงื่อนอยู่บ้าง ฉะนั้นถ้าใครประดิษฐ์เรื่องให้ถูกใจ ก็เชื่อทันที

2.  ไม่จำเป็นต้องรู้ว่า ทำอย่างนี้ดี อย่างนี้ไม่ดี เช่น หญิงสาวเดินเปิดสะดือโชว์ ก็ไม่ต้องคิดว่า  ควรหรือไม่ควร คิดเพียงว่า ทำเพราะว่าอยากทำ และทุกคนมีอิสรภาพที่จะทำอย่างไรก็ได้ ขนบธรรมเนียม แม้กฎหมาย ไม่สำคัญเท่าความคิดของตน

3. ผลปัจจุบัน สำคัญกว่าผลในอนาคต คนสมัยนี้จึงไม่สนใจความยั่งยืน เลือกอาชีพที่รายได้มาก ไม่ต้องมั่นคงก็ได้   มีคู่ครองก็คิดอยู่กันชั่วคราว  ถ้าไม่พอใจก็เลิกกันไป จะซื้อของก็ไม่ต้องคิดว่า จะใช้ได้ทนหรือไม่  เอาสวยไว้ก่อน เมื่อเสียแล้ว จะมีอะไหล่ซ่อมได้หรือไม่ ไม่ต้องคิด

4.ไม่มีชาติ ไม่มีศาสนา   มีตัวเองคนเดียวก็พอ   ไม่ต้องมีเพื่อนแท้ เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง โลกนี้มีเขาเพียงคนเดียว อยู่ได้คนเดียว วันๆนั่งหน้างอ ไม่ยิ้ม ไม่พูดกับใคร ไม่ปรึกษาใคร เมื่อชีวิตผิดหวัง ก็ซึมเศร้า และฆ่าตัวตาย

ฉะนั้นเราต้องทราบเรื่องของคนยุคใหม่ จะได้ทำใจถูก พูดได้ถูก และ ไม่ต้องหวังว่า จะฝากอนาคตประเทศชาติไว้กับพวกเขา เพราะว่า เขาไม่มีชาติ ไม่มีประเทศ ไม่มีศาสนา  ไม่ต้องการกฎหมาย  ไม่ต้องการประเพณี     มีแต่เขาคนเดียวในโลกของเขา

ท่านผู้ใด มีลูกหลานผิดจากที่ผมกล่าว จงดีใจเถิดว่า เทวดามาเกิดในตระกูลของท่าน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาเป็นคน “รู้แล้วรู้แล้ว”

การเกิดผลอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง เกิดจากหลายสาเหตุ   โรครู้แล้วรู้แล้ว ก็เกิดจากหลายสาเหตุ  สาเหตุที่สำคัญที่หลายท่านช่วยกันหามา มีดังนี้

1. สื่อโซเชียล  ทำให้เขาติดต่อกับคนเสมือนจริง  ไม่มีตัวตนให้เห็น  แต่ติดต่อสื่อสารกันได้  ทำให้เขาไม่ต้องการติดต่อคบหากับใคร  เขามีเพื่อนในอากาศอยู่มากมายแล้ว  เขาจึงอยู่กับโทรศัพท์ได้นาน  โดยไม่สนใจผู้ใด  บุคลิกกลายเป็นคนเฉย  หน้าเงียบหน้างอ   ไม่สนใจใคร  ไม่อยากพูดกับใคร  นั่งกดโทรศัพท์ไปเรื่อยๆก็เป็นการพูดคุยแล้ว   ถ้ามีใครมาถามอะไรเขา  เขาจะหงุดหงิดใส่ทันที  เพราะว่า ทำให้เขาเสียเวลาต้องออกจากโลกโซเชียลมาคุยกับคนที่เขาไม่ได้ให้ค่า                                                                                                     ประการสำคัญ  เขารู้เรื่องวิธีการใช้โทรศัพท์ดีกว่าผู้ใหญ่มาก  ผู้ใหญ่มักต้องพึ่งเขาในการใช้โทรศัพท์   ก็ยิ่งทำให้เขาคิดว่า ผู้ใหญ่โง่กว่าเขามาก  ถ้าฉลาดกว่าเขาก็ไม่ควรถามเขา  เขาจึงไม่ให้ค่าผู้ใหญ่

2. การเคลื่อนตัวของจักรวาล  คือ โลก ดวงดาวที่อยู่รอบๆทั่วจักรวาล  ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ทั้งหลาย  เคลื่อนตัวไปเรื่อยๆในอวกาศที่ว่าง   ทำให้พลังจักรวาลที่ออกมาจากดวงดาวเหล่านี้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ  พลังจักรวาลมีผลต่อจิตใจและ DNA ของมนุษย์และสัตว์    นิสัยและความคิดของคนจึงเปลี่ยนไปจากเดิมด้วยอำนาจของพลังจักรวาลที่เปลี่ยนไป    

3. ในแง่ของศาสนา  โดยเฉพาะพุทธศาสนา  มีกฎแห่งกรรมเป็นคำอธิบาย   มนุษย์มีใจบาป  ทำลายคนและสัตว์มากมายมาเป็นเวลานาน  โดยเฉพาะการฆ่าสัตว์ และ กินสัตว์เป็นอาหาร    ศาสนาพุทธ-คริสต์-อิสลาม ที่เคยห้ามคนฆ่าสัตว์  หรือห้ามกินเนื้อสัตว์  ก็อะลุ่มอล่วยให้กินเนื้อสัตว์ได้ แต่อย่าฆ่า  หรือฆ่าได้เพื่อเป็นอาหาร   การก่อเวรเช่นนี้  ผลแห่งบาปทำให้มนุษย์อยู่กันอย่างไม่มีความสุข  และสัตว์ที่มนุษย์ฆ่าหรือกิน อาจมาเกิดเป็นลูกหลานเพื่อทวงหนี้กรรมบาปก็เป็นไปได้    โดยทำให้พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ไม่สบายใจ

4. สังคมรอบตัวมีแต่ความรีบเร่ง   ไม่มีเวลาที่จะทำชีวิตให้ประณีต   คนหนุ่มสาวไม่มีเวลาเอาใจผู้ใหญ่  ไม่มีเวลาที่จะทำความดีให้ใคร  เพราะว่าเวลารัดตัวเหลือเกิน   การพูดจาไม่ต้องสุภาพ  ไม่มีเวลาจะปั้นคำสุภาพ    ไม่มีเวลาจะพูดจะทำตามสมบัติผู้ดี  ไมมีเวลาจะนึกถึงความทุกข์ของใคร  เพราะว่าตัวเองก็เดือดร้อนมากแล้ว

                                                     ฯลฯ

เพียง 4 สาเหตุนี้  ก็เพียงพอที่จะทำให้ลูกหลานเราเปลี่ยนแปลงไปเป็นคน “รู้แล้ว รู้แล้ว”   ถ้าเราจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับเขา  เราก็ต้องทำใจว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง  เพราะว่ามันมีเหตุให้เป็นไป”  และท่านต้องยอมเสียเวลากลั่นกรองคำพูดที่จะพูดกับเขาให้เหมาะสมที่เขาจะไม่ตอบท่านว่า “รู้แล้ว รู้แล้ว”  ท่านจะได้ไม่ต้องช้ำใจน้ำตาตกใน  ไม่ต้องเสียใจในความรักที่มอบให้เขา   โดยที่เขาไม่ต้องการเลยสักนิดเดียว

 

ขอให้ท่านโชคดี   ที่ผมเขียนมานี้   ท่านคง”รู้แล้ว  รู้แล้ว”  เพราะว่าโดนมามากแล้วใช่ไหม?

 

บุญ ไท


 

ท่านพูดเหมือนที่คนไทยส่วนใหญ่อยากพูด ผศชัยชาญ ถาวรเวช

พิมพ์ PDF

ท่านพูดเหมือนที่คนไทยส่วนใหญ่"อยากพูด"

ความเห็นของ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชัยชาญ ถาวรเวช..

อธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร

ขอกราบคารวะด้วยความนับถือและชื่นชม

 

 ที่จริงบ้านเมืองเราก็สงบดีอยู่ แต่ที่ดูเหมือนไม่สงบ ก็เพราะมีคนบางกลุ่มพยายามจัดฉากสร้างสถานการณ์ทำให้มันไม่สงบ

ทำให้ดูเหมือนว่าสถานการณ์บ้านเมืองของเรามันเข้าขั้นวิกฤต อะไร ๆ ก็ดูแย่ไปหมด เศรษฐกิจก็แย่ ประชาชนจะอดตายกันหมดแล้ว ก็เพราะวิกฤตโควิดมันทำให้เศรษฐกิจโลกแย่ไปตาม ๆ กัน ก็ไปโทษว่าเป็นเพราะเผด็จการครองเมือง ไม่เป็นประชาธิปไตย ใช้สื่อเทียมปลุกปั่นกระแสในโซเชี่ยล หาเรื่องโจมตีชาติ โจมตีสถาบัน ใส่ร้ายป้ายสีกันจนเลอะเทอะไปกันใหญ่

คนไทยอย่าหูเบา ยังจะมีประเทศไหนในโลกที่พลเมืองมีอิสระเสรีเหมือนที่มีอยู่ในประเทศไทย ไม่มีแล้ว เกิดเป็นคนไทยถือว่าโชคดีที่สุดแล้ว ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ถึงจะมีเหลือน้อยกว่าเดิมก็ตาม แต่ก็ยังมีมากกว่าที่อื่น จึงถือว่า เมืองไทยเป็นเหมือนแผ่นดินทอง เพราะบ้านเราอุดมสมบูรณ์อยู่ในชัยภูมิที่ยอดเยี่ยมของโลก อากาศไม่ร้อนไม่หนาวมากเกินไป ไม่มีภัยพิบัติทางธรรมชาติร้ายแรง จึงเป็นที่หมายปองของพวกมหาอำนาจ

ประเทศไทยมีพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งของโลก แม้จะมีพระสงฆ์ที่ปฏิบัติไม่ดีอยู่บ้างก็ตาม ก็อย่าไปใส่ใจ ใครทำไม่ดี เดี๋ยวเขาก็ฉิบหายเอง อย่าไปเดือดร้อนกับเขา ผู้ที่ท่านดียังมีอยู่อีกมาก จึงถือว่าเมืองไทยเป็นแผ่นดินธรรม เพราะเรายังมี มรรค ผล นิพพาน เป็นสมบัติของคนไทยให้สืบทอดพระพุทธศาสนาไปได้ถึง ๕,๐๐๐ ปี

เรายังมีพระมหากษัตริย์ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ แม้จะมีบุคคลบางกลุ่มมีความคิดล้มล้างสถาบันก็ตาม ก็อย่าไปใส่ใจ ใครทำไม่ดี เดี๋ยวเขาก็ฉิบหายไปเอง เราตั้งใจทำตัวเราให้ดีก็พอ

ไม่ว่าการปกครองจะเป็นระบอบประชาธิปไตย หรือระบอบเผด็จการ ถ้ายังมีคนโกง คนใจสกปรกชั่วช้าสามานย์แอบแฝงอยู่ในระบบ มันก็สร้างความฉิบหายได้เหมือนกัน ทุกระบบต้องการคนดี ไม่มีระบบไหนเจริญได้เพราะคนชั่ว ให้จำตรงนี้เอาไว้

คนที่ใจสกปรกคิดร้ายทำลายชาติบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง พูดจาโกหกปลิ้นปล้อน ยุแหย่ให้คนไทยเกลียดกัน ทะเลาะกัน ใจคิดอย่างหนึ่ง พูดจาอีกอย่างหนึ่ง ทำก็อีกอย่างหนึ่ง คนอย่างนี้เขาจะหวังดีต่อประเทศชาติ จะทำความเจริญให้กับประเทศชาติได้อย่างไร ?

คนไทยจงอย่าได้หลงคารม อย่าเชื่อไปตามคำพูดเสแสร้งของเขาเลยทีเดียว พวกนี้เป็นตัวอันตรายที่ทางการจะต้องหาวิธีจัดการอย่างแยบยล มิฉะนั้น ประเทศชาติก็จะวุ่นวายอยู่อย่างนี้ตลอดไป

ส่วนพวกเด็ก ๆ นักศึกษานั้น เขาอยากทำอะไร ก็ให้เขาทำไปก่อน หากเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจก็ปล่อยไป แต่ถ้าจะเลยเถิด ก็ต้องปรามกันเอาไว้ เอาไปปรับทัศนคติบ้าง เดี๋ยวก็ดีเอง แต่ให้ระวังพวกอีแอบที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงอยู่หลังฉาก จัดการกับพวกนี้ได้ เรื่องวุ่น ๆ ก็จะเบาลงไปเอง

คนไทยเรารักกัน อยู่ด้วยกันเหมือนพี่เหมือนน้องมานานแล้ว มีพระเจ้าอยู่หัวเป็นเหมือนพ่อเหมือนแม่ พระองค์คอยสอดส่องดูแลสุขทุกข์ของพสกนิกรอย่างใกล้ชิด ที่ใดมีความทุกข์เดือดร้อน ก็จะมีของพระราชทานส่งไปให้ถึงที่ในทันที คุณจะไปหาแบบอย่างเช่นนี้จากที่ไหนในโลก

สังคมไทยของพวกเราจึงเข้มแข็งมาก เพราะเรามีสถาบันครอบครัวที่รักกันยิ่งกว่าที่ใดในโลก เรามี พ่อ แม่ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย ลูก หลาน เหลน โหลน ลุง ป้า น้า อา ญาติสนิท มิตรสหาย ซึ่งไม่มีประเทศไหนในโลกมีเหมือนบ้านเรา สังคมไทยเราจึงอบอุ่นยิ่งนัก ไม่มีเงินก็ไม่อดตายนะ ขอทานยังมีเงินเก็บเป็นล้านได้เลย

ประเทศไทยของพวกเรามีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงมาจนทุกวันนี้ ก็เพราะเรามีแผ่นดินไทยอันอุดมสมบูรณ์ มีพระพุทธศาสนาที่เลิศล้ำเป็นนาบุญของโลก มีพระมหากษัตริย์ที่คอยบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ปวงราษฎร

คนไทยที่บอกว่าเกลียดชังประเทศไทย ไม่อยากอยู่ประเทศไทย ก็ควรอพยพลูกหลานหมดทั้งโคตรไปอยู่ที่อื่นเสียสิ! ที่ไหนดีก็ไปได้ แต่ก็ไม่เห็นไปสักที ถ้าไม่ไป ก็อย่ามาปลุกปั่นยุแหย่ให้คนไทยเกลียดกัน ทะเลาะกัน

คนไทยจงรักกันต่อไป เขารู้ว่า ถ้าจะทำให้ประเทศไทยล่มสลาย ต้องทำให้คนไทยทะเลาะกันเอง ฆ่าฟันกันเอง ต้องทำลายศูนย์รวมของจิตใจ คือพระพุทธศาสนา และพระมหากษัตริย์ เขาต้องการให้คนที่ยอมตัวเป็นสุนัขรับใช้ของเขาขึ้นเป็นผู้นำประเทศ ถ้าเขาทำสำเร็จประเทศไทยก็ถึงกาลล่มสลาย

แต่เชื่อเถอะ เมืองไทยเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ แม้เทวดาผู้มีฤทธิ์บนสรวงสวรรค์ ก็ยังสอดส่องทิพยเนตรคุ้มครองอยู่ เขาไม่มีทางทำได้สำเร็จ วันนั้นจะไม่มีทางมาถึง เพราะคนที่คิดร้ายทำลายชาติ ทำลายพระพุทธศาสนา ทำลายพระมหากษัตริย์ มันจะมีอันเป็นไปถึงซึ่งความวิบัติฉิบหายไปก่อนนั่นเอง

ขอให้คนไทยจงรักกัน อย่าเกลียดกัน อย่าเป็นศัตรูกัน และอย่าแตกสามัคคีกัน เท่านั้นก็พอ”

 

ชัยชาญ ถาวรเวช

อธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร


 


หน้า 44 จาก 561
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5642
Content : 3067
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8740637

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า