การค้าเสรี ( FTA )
เมื่อกลางเดือน กรกฎาคม ผมได้เข้าร่วมสัมมนาในหัวข้อ “ FTA มาแน่ : ธุรกิจบริการไทย จะอยู่รอดอย่างไร “
การสัมมนาครั้งนี้จัดโดย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นการนำเสนอการศึกษาความสามารถทางการแข่งขันการค้าบริการของไทยกับประเทศคู่เจรจา FTA
คณะศึกษาได้แยกการค้าบริการออกเป็น ๖ สาขาประกอบด้วย
๑) สาขาค้าส่งค้าปลีก
๒) สาขาคมนาคมขนส่ง
๓) สาขาการเงิน
๔) สาขาก่อสร้าง
๕) สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ
๖) สาขาการท่องเที่ยว
ผู้จัดสัมมนาได้สรุปให้ฟังว่าประเทศไทยเป็นสมาชิกขององค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่
· สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ( ASEAN )
· ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC)
· องค์การการค้าโลก (WTO)
ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA)
ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามพันธกรณีและข้อผูกพันภายใต้ความตกลงต่างๆ รวมถึงความตกลงทั่วไปว่าด้วยการค้าบริการ ( The General Agreement on Trade in Services ) ( GATS) ทำให้ประเทศไทยต้องเปิดเสรีตลาดทางด้านการค้าบริการให้กับประเทศสมาชิกต่างๆที่เข้ามาประกอบธุรกิจและอาชีพต่างๆในประเทศมากขึ้น
การเปิดเสรีการค้าบริการอาจส่งผลกระทบต่อภาคบริการของไทยทั้งในด้านบวกและลบ คณะผู้จัดสัมมนาจึงได้ทำการศึกษาเพื่อทราบถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของภาคธุรกิจบริการ เพื่อรองรับและเตรียมความพร้อมในการเปิดเสรีที่จะมีขึ้นในเร็ววันนี้
สรุปข้อความในการสัมมนากลุ่มสาขาท่องเที่ยว ประกอบด้วย ๓ ส่วนได้แก่
๑) ส่วนของผู้ประกอบการจะต้องมีการรวมตัวกันเพื่อสร้างความเข้มแข็งมากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อต่อสู้กับผู้ประกอบการต่างชาติที่จะเข้ามาทำธุรกิจแข่งขันในประเทศไทย ทางภาครัฐควรจะให้การสนับสนุนด้านเงินทุน
๒) ส่วนของบุคลากร ผู้ประกอบการกลัวว่าเมื่อผู้ประกอบการต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย จะดึงตัวพนักงานเก่งๆไปหมดเพราะให้เงินเดือนสูงกว่าทำให้ผู้ประกอบการคนไทยหาพนักงานที่มีคุณภาพได้ยากขึ้น หรือไม่ก็ทำให้อัตราค่าจ้างสูงขึ้น ถ้าพิจารณาในด้านนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับพนักงานคนไทยที่จะได้รายได้ที่สูงขึ้น และทำให้ผู้ประกอบการหันมาลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์มากกว่า ปัจจุบันที่ผู้ประกอบการต่างกดค่าจ้างให้ถูกที่สุดเพราะคิดว่าค่าจ้างเป็นรายจ่าย ไม่ได้คิดว่าค่าจ้างเป็นเงินลงทุนทางธุรกิจอย่างที่ควรจะเป็น ทางภาครัฐจะต้องเน้นความสำคัญที่การศึกษา ต้องให้ความรู้และพัฒนาบุคลากรของเราให้สามารถแข่งขันกับชาวต่างชาติที่จะเข้ามาทำงานในประเทศของเรา ซึ่งจะมีทั้งระดับพนักงานให้บริการ และพนักงานระดับผู้บริหารองค์กร
๓) ส่วนของภาครัฐบาล จะต้องเร่งพิจารณาเรื่องกฎหมายต่างๆ ตลอดจนพัฒนาบุคลากรของภาครัฐเองให้มีความรู้และเข้าใจธุรกิจบริการอย่างถูกต้อง ทำงานร่วมกับภาคเอกชนให้มากขึ้น หันมาให้การสนับสนุนภาคเอกชนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเรื่องเงินลงทุน การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประชาชนคนไทยโดยรวม พัฒนาการศึกษาให้สร้างคนที่มีคุณภาพ ดูแลเรื่องอัตราค่าจ้างที่เหมาะสมในทุกระดับงาน เพื่อให้พนักงานมีรายรับเพียงพอกับค่าใช้จ่ายในครัวเรือน
สรุปผลจากสัมมนา
๑) เรื่องสัญญา FTA ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ
๒) ขอให้ภาคเอกชนอย่าไปตื่นกลัวจนเกินเหตุ เพราะจะมีผลทั้งด้าน บวก และ ด้าน ลบ อยากจะให้ทำความเข้าใจและศึกษาติดตามให้ดี รวมตัวกันในธุรกิจและให้ข้อมูลกับคณะเจรา เพื่อทราบเป็นข้อมูล
ปรับธุรกิจของตัวเองเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด และหาวิธีป้องกันผลกระทบด้านลบที่จะมีมา พร้อมทางเลือกในการแก้ไข
๓) ส่วนของข้าราชการฝ่ายเจรจาขอให้ศึกษาข้อมูลให้รู้จริง และปรึกษาร่วมกับภาคเอกชนและตั้งเป้าหมายในการเจรจาเพื่อทำให้เราได้ผลกระทบด้าน บวก มากกว่าด้านลบ โดยคิดถึงผลประโยชน์โดยรวมของประเทศไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งและไปทำให้ส่วนรวมของประเทศเสียหาย ต้องมีความกล้าชี้แจงถึงเหตุและผลให้กับนักการเมืองได้ทราบถึงผลได้และผลเสียในการเจรจาในแต่ละรายการ
ความเห็นของผมต่อเรื่องการเปิดการค้าเสรีด้านสาขาท่องเที่ยว ผมคิดว่าไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรมากนัก เพราะปัจจุบันประเทศไทยได้เปิดเสรีให้กับชาวต่างชาติได้เข้ามาลงทุนและทำงานในประเทศเป็นจำนวนไม่น้อย การเปิดเสรีจริงๆผมว่าเราน่าจะได้ประโยชน์มากกว่าเสียประโยชน์ โดยเฉพาะประชาชนคนไทยโดยรวม ประชาชนที่เป็นพนักงานกินเงินเดือน จะมีโอกาสได้รายได้ที่มากขึ้น เพราะเกิดการแข่งขันด้านตลาดแรงงาน ผู้ที่มีความสามารถน้อยก็จะต้องปรับตัว เพิ่มความรู้และความสามารถในการทำงานให้กับตัวเองเพื่อหางานที่มีผลประโยชน์ตอบแทนที่เหมาะสมและพอเพียงต่อการยังชีพ แต่ในทางกลับกันเราก็ต้องระวังผู้ประกอบการที่ไปจ้างคนต่างชาติที่สามารถกดค่าแรงให้ต่ำเข้ามาทำงานแทนคนไทย
ภาครัฐจะต้องมีการวางแผนในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประชาชนโดยรวม เน้นด้านการศึกษาและพัฒนาคนไทยให้มีประสิทธิ์ภาพและความสามารถในการทำงานที่มีรายได้พอเพียงกับการเลี้ยงชีพในครัวเรือน ให้การสนับสนุนด้านการลงทุนกับผู้ประกอบการคนไทยที่เน้นการลงทุนที่ทรัพยากรมนุษย์ มีการให้ความรู้กับผู้ประกอบการให้ทำธุรกิจแบบยั่งยืน มองผลประโยชน์โดยรวมของประชากรชาวไทย ไม่ใช่เน้นไปที่เฉพาะผู้ประกอบการ
ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท
๒๑ กรกฎาคม ๒๕๔๙
27 ธันวาคม 2554 15:04
#2579584
สวัสดีครับ ม.ล. ชาญโชติ หลังจากที่ผมได้เข้าอบรม ผมรู้สึกว่าประเด็นจริยธรรมของเยาวชนคนไทย เป็นสิ่งที่ทุกคนควรปลูกฝัง ใส่ใจ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ในอดีตแทบจะมีน้อยมาก แต่เมื่อโลกมีการเปลี่ยนแปลง ย่อมส่งผลให้วีถีชีวิต ความเป็นอยู่ ค่านิยม วัฒนธรรมเปลี่ยนไป ซึ่งอาจยกตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ ในสมัยก่อนสังคมไทยเป็นสังคมที่พึงพาอาศัยกัน เพื่อนบ้านมีการแลกเปลี่ยนสิ่งของอาหาร ถามสารทุกข์สุกดิบ แต่ในปัจจุบัน เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน แทบจะไม่ได้รู้จักพูดคุยกันเลย รวมทั้งกระแสวัตถุนิยมก็มาครอบงำมากขึ้น อย่างไรสิ่งของที่เป็นรูปธรรม มากกว่านามธรรม จนทำให้เกิดการแข่งขัน เเย่งชิง เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ย่อมทำให้วัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อที่ดีงามสูญหายไป หรือ คิดว่า มันเป็นอะไรที่ล้าหลัง จับต้องไม่ได้ เฉยๆๆ เมื่อค่านิยมเหลา่านี้ ถูกปลูกฝัง ปฤิบัติมากขึ้นเลยๆๆๆ ก็กลายเป็นว่า ทุกคนต่างมองการกระทำอย่างนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง สมควร แต่กลับไม่ได้ฟื้นฟูสภาวะทางด้านจิตใจให้งอกงามขึ้น มีแต่ทำให้แย่ลงตามมา ผมกล่าวอารัมบทข้างบนมามากเเล้ว ผมขอตอบคำถามของม.ล. ชาญโชติ ที่ให้ทำเป็นการบ้่านนะครับ
1. เลือกผู้นำไทย 1 คน อธิบายคุณลักษณะของผู้นำท่านนั้น 3 เรื่องที่มีผลกระทบต่อประเทศไทย
ผู้นำไทยของใครหลายๆคนนั้นผมเชื่อแน่นอนว่า ผู้นำท่านนั้น ย่อมไม่พ้น "พระมหากษัตริย์ไทยทุกๆพระองค์"ที่ทรงพยายามรักษาแผ่นดินพื้นนี้เอาไว้ให้เราได้มีแหล่งพักผิง รวมทั้ง"เหล่าวีรชนคนกล้า"ต่างๆที่เสียสละเลือด เนื้อ หลั่งลงสู่พื้นเเผ่นดินแห่งนี้ไว้ ให้ลูกหลานชาวไทยอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ซึ่งสำหรับผม "พระมหากษัตริย์ เหล่าวีรชนคนกล้า"เป็นผู้นำในใจของผมเสมอมา และในการตอบคำถามตามที่มีรุ่นพี่ได้เข้ามาตอบนั้น ผมเห็นด้วยครับ แต่ในที่นี้ ผมขอยกผู้นำ อีกคนหนึ่งที่แทบทุกคนเกือบลืมท่าน ท่านนี้ไปแล้ว คือ "สืบ นาคะเสถียร" ท่านเป็นคนที่เสียสละทำงานเพื่อดูแลรักษาป่าไม้ และเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น มานะอุตสาหะ และ ตัดสินอย่างโดดเดี่ยวในการยิงตัวตาย โดยสิ่งที่ท่านได้กระทำไปนั้น แม้จะดูว่าเป็นอะไรที่น่าสยดสยอง แต่ท่านกระทำไปเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐมาสนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งถ้าหากลองจินตนาการดูว่า ถ้าหากไม่มีท่านผู้นี้แล้ว ทรัพยากรป่าไม่้ จะเหลือรอดจนถึงทุกวันนี้หรือไม่
2.กำหนดสิ่งที่จะทำตามแนวคิดของพระเจ้าอยู่หัว
สิ่งที่ผมจะทำตามแนวคิดของพระองค์ท่านคือ การดำรงชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่สามารถนำไปปฎิบัติชีวิตประจำวันได้ โดยผมจะใช้จ่ายอย่างประหยัด โดยการประหยัดนั้นไม่ีใช่ผมจะซื้อสินค้าที่ราคาถูก สินค้าลดราคา แต่ผมจะซื้อสินค้าในกำลังซื้อที่ไม่เกินกำลังซื้อ และพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี โดยที่เราที่เราไม่ต้องไปเปรียบเทยบกับคนอื่นว่า คนนั้นเค้าใช้ของชิ้นนั่น เราต้องมีแบบเค้า ซึ่งถ้าหากต้องสนองตามเค้าไปทุกอย่าง คำว่า "ความสุข"ก็คงไม่มี เพราะมั่วแต่เครียดว่า เราต้องทำวิธีไหนในการได้เงินมาซื้อสิ่งนั้น ซึ่งอาจทำให้เราไปกระทำอะไรที่ผิดกฎหมายได้ในที่สุด และนอกจากจะนำเเนวคิดเศรษฐกิขพอเพียงมาปรับใช้แล้ว ผมว่าสิ่งที่ต้องมีควบคู่กันไป คือ "การมีสติ"ตลอดเวลา
3. ค้นหาอุปนิสัยที่ดีที่สุดของตนเอง อย่างน้อย 3 ข้อ
อุปนิสัยของผมนั้นมีทั้งด้านดีและไม่ดี ซึ่งอุปนิสัยด้านดีของผมนั้น อันดับแรกคือ การไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เพราะ ผมคิดอยู่เสมอว่า ถ้าอยากให้ผู้อื่นปฎิบัติกับเราอย่างไร เราต้องปฎิบัติตนเองก่อน ถึงแม้เราจะปฎิบัติไปแล้ว คนอื่นอาจกระทำอะไรที่แย่ หรือ เหมือนเดิม ก็ให้ถือว่า สิ่งที่เราทำไปนั้น ทำให้เรามีความสุขก็พอ ข้อถัดมาคือ การรับผิดชอบ ซึ่งผมมีความเชื่อยู่อย่างหนึ่งว่าคนเราจะมีคุณค่าหรือไม่ ต้องมีความรับผิดชอบในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าการรับผิดชอบต่อคำพูดที่เราได้กล่าวไปแล้ว การรับผิดชอบในงานที่ทำ แม้แต่ในขณะนี้ ผมอยู่ในฐานะนิสิตนักศึกษา ซึ่งที่ต้องรับผิดชอบคือ การเรียนไม่ให้การเรียนแย่ หรือ มาเรียนเพื่อผลาญเงินพ่อแม่ โดยที่เราไม่ได้ความรู้อะไรเลย ได้เพียงแค่ปริญญาบัตรใบเดียว ซึ่งจากที่ผมเคยทำงานพาร์ททามส์ต่างๆไม่ว่าในช่วงเวลาปิดเทอม ช่วงเวลาเรียน สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ การที่เราเรียนรู้สิ่งต่างๆในห้องนั้น ผิดกลับจากโลกแห่งความเป็นจริง เพราะ บางครั้งซึ่งที่เราได้เรียนรู้ อาจไม่ได้ใช้ หรือเราต้องนำมาประยุกต์ใช้ และเป็นอะไรที่ผมโชคดีมากที่ผมได้ทำงานต่างๆในช่วงเวลาเรียน ทำให้ผมสามารถได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ใหม่ๆ รับฟังความคิดเห็นของคนในแต่ละแง่มุมมากขึ้น ซึ่งบางแง่มุมเป็นแง่มุมที่ดีมากๆ ส่วนข้อสุดท้าย คือ การเสียสละ ซึ่งการเสียสละในความคิดของผมนั้นไม่ใช่ว่าเราจะต้องเสียเงิน เสียทองก้อนโต แต่อย่างไร อย่างน้อยเราก็สามารถเสียสละเวลาของเราได้ กล่าวคือ แทนที่เราจะเอาเวลาไปเล่นเกมส์ ดูหนัง หรือทำอะไร ผมเอาเวลาส่วนนี้ไปช่วยทบทวนหนังสือให้เพื่อน ซึ่งการที่ได้ทบทวนหนังสือให้เพื่อนนั้น ทำให้สามารถเข้าใจในประเด็นต่างๆได้มากขึ้น เนื่องด้วยบางประเด็นเป็นประเด็นที่เราอาจจะรู้ไม่จริง เราได้ไปสอบถามเพื่อนอีกคน และแลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกัน นอกจากการทบทวนหนังสือเเล้ว สามารถเสียสละเวลาในการให้รับฟังความรู้สึกของเพื่อนในเวลาที่เพื่อนมีปัญหา เศร้่าใจ หดหู่ ได้ถึงแม้ว่าการรับฟังนั้นเราอาจรู้สึกว่าเป็นอะไรที่เรารับฟังไปแล้ว ท้ายที่สุดสิ่งที่เราเเนะแนวทางให้นั้น คนๆนั้นต้องเป็นคนตัดสินใจอยู่ดี ซึ่งเราสามารถทำให้เพื่อนไม่ต้องกระทำอะไรที่น่ากลัว อันตรายถึงชีวิตได้
4.ต้องการเป็นผู้นำแบบไหน
สำหรับผมนั้น ต้องการเป็นผู้นำที่เข้าใจความเป็นไปทุกสิ่งทุกอย่างของธรรมชาติ ว่า สิ่งต่างๆในโลกนั้นย่อมมีด้านดีและด้านร้ายเป็นธรรมดา เพราะการที่ผมสามารถเข้าใจคนอื่นมากขึ้น จะทำให้เราสามารถลดทิฐิลงได้ โดยที่เราจะรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น และจะไม่โต้แย้งด้วยอารมณ์โกรธ แต่จะมีการพูดกันเพื่อเเลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกัน นอกจากจะช่วยลดทิฐิเราลงได้แล้ว จะทำให้เราเป็นคนที่มีสติตลอดเวลา ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต เนื่องด้วยเราเข้าใจว่า เวลาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถย้อนคืนได้ และเราก็ไม่รู้ว่าเราจะต้องถึงจุดจบของชีวิตเมื่อไหร่ เหมือนเช่นใบไม้ร่วงที่เราไม่รู้ว่าใบไม้ใบนี้จะร่วงตอนไหน ซึ่งการที่เรามีสติและไม่ประมาทในการใช้ ชีิวิตนี้แหละ จะคอยกระตุ้นให้เรากระทำแต่ความดีตลอดเวลา
สำหรับการตอบคำถาม ผมตอบคำตอบเสร็จแล้ว ซึ่งผมชอบคำถามในการอบรมข้อหนึ่งมากว่า "ถ้าคุณสามารถขอพรวิเศษได้หนึ่งข้อ คุณจะข้ออะไร" ซึ่งในตอนอบรมผมขอให้"ตัวเอง"มีสติ และไม่สูญเสียสามัญสำนึกในการแยกแยะว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดี แต่ตอนนี้ผมอยากข้อพรแบบนี้เหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนจากคำว่า"ตัวเอง"เป็นคำว่า ขอให้ทุกสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลกอยู่โดยมีสติและไม่สูญเสียสามัญสำนึกว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนบาป ซึ่งคำว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนบาปนั้น ผมหมายความว่า การระทำใดที่กระทำแล้วไม่เดือดร้อนผู้อื่น ตนเอง นั้นแหละคือสิ่งดี ในทางตรงข้ามกัน สิ่งไหนกระทำแล้ว ผู้อื่นเดือนร้อน ตนเองเดือดร้อน สิ่งนั้นเป็นบาป เนื่องด้วยถ้าพรข้อนี้สัมฤทธิ์ผล สิ่งมีชีวิต โลกใบนี้ คงมีความสุขตลอดกาลครับ
สุดท้าย ผมขอบคุณ ม.ล. ชาญโชติ ที่มาเป็นวิทยากร ถ่ายทอดความรู้ให้ครับ และผมขอเป็นกำลังใจให้ท่าน(ม.ล. ชาญโชติ) ถ่ายทอดความรู้เรื่องนี้แก่รุ่นน้อง รุ่นพี่ต่อๆไปนะครับ
ขอบคุณครับ
นาย พิเชษฐ์ กิตติธรกุล
หอสมุดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา