ผมเขียนบันทึก สิ้นยุคมหาวิทยาลัย ลงบล็อกเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐ คนเข้าอ่านมากกว่าบันทึกใดๆ บัดนี้ พบหนังสือ Don’t Go Back to School : A Handbook for Learning Anything ที่สาระคล้ายกัน เชียร์ให้คนเรียนด้วยตนเอง (independent learning) ไม่จำเป็นต้องเข้าเรียน มหาวิทยาลัยก็มีชีวิตที่ดีได้
เขาบอกว่า ในสหรัฐอเมริกา กระแสเข้าเรียนระดับอุดมศึกษาสำหรับทุกคน เพิ่งเริ่มหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง เมื่อทหารผ่านศึกกลับจากสงครามและได้รับสิทธิเข้าเรียนมหาวิทยาลัยฟรี มีผลให้การเรียนจบ มหาวิทยาลัยกลายเป็นพื้นความรู้สำหรับการมีงานที่ดีทำในเวลาต่อมา
แต่บัดนี้สถานการณ์แตกต่างออกไป ตอนนั้น (หลังสงครามโลกครั้งที่สอง) ค่าเล่าเรียนของ มหาวิทยาลัยไม่สูงลิ่วอย่างในปัจจุบัน การเรียนจบมหาวิทยาลัยเป็นเครื่องประกันการมีงานทำ และการที่ เงินเดือนเพิ่มทุกปี สภาพนั้นจบสิ้นไปแล้ว
หนังสือไม่ได้ระบุชัดเจน แต่ผมเข้าใจว่า เวลานี้การเรียนจบมหาวิทยาลัยไม่ประกันว่าผู้นั้นทำงานเป็น ดังนั้นสถานประกอบการจึงลดความเชื่อถือใบปริญญาลงไป หันไปเชื่อใบประวัติการเรียนและการฝึก/ทำงาน และใบรับรองของบุคคลที่น่าเชื่อถือแทน ยิ่งนับวันใบปริญญาก็ยิ่งด้อยค่าลง
การเรียนที่มีคุณค่า เป็นการเรียนโดยกำกับตัวเอง (independent learning) มาจากแรงขับดันภายใน (intrinsic motivation) แต่การเรียนในมหาวิทยาลัยผู้เรียน เรียนตามข้อกำหนดของหลักสูตร และการให้เกรด ซึ่งเป็นแรงผลักดันจากภายนอก (external motivation) การเรียนแบบกำกับการเรียนของตนเอง สามารถทำได้สะดวกในยุคปัจจุบัน ที่มีรายวิชาออนไลน์มากมาย
ไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เป็นเรื่องของอนาคตอันใกล้ แต่ตอนนี้ยังต้องพึ่งพามหาวิทยาลัย ในเรื่องห้องสมุด แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะเกิดระบบเผยแพร่ความรู้แนวทางที่ไม่ตกอยู่ใต้ระบบธุรกิจมากเกินไป อย่างในปัจจุบัน และผมยังสงสัยว่าจะเรียนในห้องปฏิบัติการที่ไหนหากไม่เข้ามหาวิทยาลัย
คำแนะนำต่อการเรียนด้วยตนเองคือ อย่าเรียนคนเดียว ให้เรียนโดยอิสระแต่ไม่ใช่แยกตัว เพราะ การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคม ต้องการปฏิสัมพันธ์ หรือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างมนุษย์ โดยที่ระบบไอทีในปัจจุบันเอื้อให้ มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์เสมือนได้ แต่ก็ยังต้องการปฏิสัมพันธ์แท้อยู่ดี
จงเรียนตามที่ใจรัก และเรียนจากการปฏิบัติในโลกหรือชีวิตจริงให้มากที่สุด โดยผมขอเพิ่มเติมว่า เมื่อลงมือปฏิบัติจริงแล้ว ต้องสังเกตและเก็บข้อมูล เอาไปไตร่ตรองสะท้อนคิดเทียบกับตำราด้วย
ระหว่างเรียนต้องสร้างเครือข่ายเพื่อนเรียน และเพื่อนในที่ทำงาน เชื่อมโยงการเรียนกับการทำงาน โดยผมเดาว่าต้องหาทางเรียนจากการสมัครเข้าฝึกงานด้วย การที่จะทำอย่างนี้ได้ต้องฝึกตัวเองให้มีความกล้า ระดับ “หน้าด้าน” (chutzpah) และต้องเขียนเอกสารใบสะสมประสบการณ์การเรียนและทำงาน (portfolio) เอาไว้แสดงตอนสมัครงาน แทนใบปริญญา คู่กับใบแนะนำสนับสนุน (recommendation) จากผู้น่าเชื่อถือ สิ่งเหล่านี้ได้จากการมีเครือข่าย
คนที่จะเรียนด้วยตนเองต้องพัฒนาทักษะสร้างเครือข่าย โดยมีคนสร้างเครือข่ายกับศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัย โดยการเขียนจดหมายหรืออีเมล์ไปหา หรือบางคนใช้วิธีเชิญไปรับประทานอาหารเพื่อพูดคุย ขอคำแนะนำ การเชื่อมโยงกับผู้เชี่ยวชาญที่หลงใหลเรื่องใดเรื่องหนึ่งทำได้ไม่ยาก โดยแสดงความหลงใหล ของเรา
อ่านแล้วผมตีความว่า สภาพการเรียนโดยไม่ต้องลงทะเบียนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย จะค่อยๆ เติบโตขึ้น และอาจกลายเป็นเส้นทางหลักของการศึกษาระดับสูงในอนาคต ๑๐ - ๒๐ ปีข้างหน้า โดยปัจจัยหลักคือความ สนใจตั้งใจมุมานะที่จะเรียน และสามารถกำกับตัวเองได้ รวมทั้งรู้วิธีสร้างเครือข่ายเรียนรู้ ควบคู่ไปกับ เครือข่ายงาน
ผมคิดว่าเส้นทางหนึ่งสู่งาน คือการสอบเทียบคุณวุฒิวิชาชีพ ซึ่งเวลานี้ในประเทศไทยเราก็มี สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ให้บริการ
วิจารณ์ พานิช
๑๒ ก.ย. ๖๐