จำเป็นหรือไม่ที่ต้องเรียนให้ถึงระดับปริญญาเอก?
ผมเป็นคนชอบการเรียนรู้
หากเป็นไปได้จะพยายามเข้าสัมมนาและเรียนในหลักสูตรต่างๆ อยู่เสมอ
โดยเฉพาะการอ่านหนังสือที่มีสาระ
และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาองค์ความรู้ในตัวเอง
ผมมองว่าการยอมให้เวลาไปกับการเรียนรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์
จะทำให้ชีวิตเราทำประโยชน์ได้มากขึ้น
เมื่อไม่นานนี้
ผมได้อ่านบทความหนึ่งในนิตยสาร Forbes – The 400 Richest
People in America ฉบับวันที่ 14 พฤศจิกายน 2017 เป็นเรื่องเกี่ยวกับระดับการศึกษาของเศรษฐีในสหรัฐอเมริกา
โดยเปิดประเด็นว่า การศึกษาถึงระดับปริญญาเอกจำเป็นหรือไม่
เราจำเป็นต้องสำเร็จการศึกษาสูงถึงระดับใด ถึงจะมีโอกาสเป็นมหาเศรษฐีระดับโลกได้
การศึกษาระดับปริญญาเอกคืออะไร? สามารถช่วยให้มีความรู้มากขึ้นสำหรับการประกอบอาชีพได้จริงหรือไม่? หรือเป็นการเรียนเพียงเพื่อให้ได้ปริญญา หรือแท้จริงแล้ว
เป็นการแสดงออกถึงความตั้งใจดีในการแสวงหาความรู้
การจบการศึกษาระดับปริญญาเอกอาจไม่ได้รับรองว่า
จะทำให้เราเป็นเศรษฐีระดับโลกได้ เพราะจากการจัดอันดับของ Forbes 400 ที่เป็นเสมือนเครื่องมือที่สะท้อน “ความเพียงพอ”
ของระดับการศึกษาต่อการเป็นเศรษฐีสหรัฐฯ พบว่า การศึกษา “ระดับปริญญาตรี”
ก็เพียงพอแล้วสำหรับการเป็นเศรษฐีในสหรัฐ
บุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลกส่วนใหญ่ใน
Forbes 400 มองว่า
การเรียนสูงขึ้นไม่ได้ทำให้ได้รับอะไรไปมากกว่า “ใบปริญญา” แม้ในกลุ่ม Forbes 400 มีคนจบปริญญาตรีถึงร้อยละ 84 ก็ตาม ซึ่งตัวเลขนี้นับว่าเป็นจำนวนที่สูงเมื่อเทียบกับเพียงร้อยละ
33 ของกลุ่มผู้ใหญ่ชาวอเมริกาทั้งประเทศที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี
ประเด็นที่น่าสนใจคือ
มหาเศรษฐีที่ถูกจัดอันดับใน Forbes 400 ถึงร้อยละ 23 จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก
หรือสถาบันกลุ่มไอวี่ ลีกส์ (Ivy League Institution) เช่น มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย มหาวิทยาลัยสแตนด์ฟอร์ด
มหาวิทยาลัยเยล มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เป็นต้น ขณะที่คนอเมริกันทั่วไป
มีเพียงไม่ถึงร้อยละ 0.8 ที่จบจากไอวี่
ลีกส์ ซึ่งอาจแสดงว่าคุณภาพการศึกษาคงมีผลต่อความสำเร็จของบุคคลเหล่านี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม บุคคลใน Forbes 400 จำนวนหนึ่งขอพักการเรียนเพื่อออกมาเริ่มต้นเส้นทางอาชีพของตนเอง
ที่เห็นได้ชัด คือ บิล เกตต์ และมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก
ที่ขอพักการเรียนจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
นอกจากนี้
จากรายชื่อเศรษฐีประจำปี 2017 ใน Forbes 400 มีถึง 47 คน
ที่ขอพักการเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและวิทยาลัย เพื่อเข้าสู่เส้นทางการทำงาน
และมีเพียงร้อยละ 5 เท่านั้น
ที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอก
ก่อนที่จะตอบคำถามว่า “จำเป็นหรือไม่ที่ต้องเรียนให้ถึงระดับปริญญาเอก?” เราคงต้องตอบให้ได้ก่อนว่า “ปริญญาเอก” คืออะไร
รวมถึงต้องถามย้อนกลับไปว่า เป้าหมายชีวิตคืออะไร ความสามารถ ความถนัด ความชอบ
จุดแข็ง จุดเด่นในตัวคุณคืออะไร และต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่า
วันนี้เราค้นพบตัวเองแล้วใช่หรือไม่
หากเป้าหมายในชีวิตของเราจำเป็นต้องใช้การศึกษาระดับสูงเป็นเครื่องมือ
ก็จงเรียนให้สูงและไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
สำหรับผม การศึกษาระดับปริญญาเอกโดยแท้ คือ
การเริ่มหัดเรียนรู้วิธีผลิตและหัดผลิตความรู้ใหม่ให้โลก ผ่านการทำวิจัย เพราะการทำวิจัยแท้ คือ การผลิตความรู้ใหม่ให้โลก
และพร้อมพัฒนาอยู่เรื่อยๆ
เพื่อก้าวไปให้ถึงสุดพรมแดนความรู้ในแต่ละศาสตร์หรือวิชานั้นๆ คนจบปริญญาเอกที่แท้จริงมีคุณภาพ
จึงมีโอกาสเป็นวิสามัญชนที่สร้างคุณูปการแก่โลก
ด้วยการค้นหาและบริจาคความรู้ใหม่แก่มนุษยชาติ
ผมจึงเห็นคุณค่าคนเรียนจนจบปริญญาเอก
การสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกที่แท้จริงตามนิยามของผมนั้น
จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องลงมือทำอย่างทุ่มเท จริงจัง
และให้สอดคล้องกับอุดมการณ์ในชีวิต ดังคำของผมที่พูดอยู่เสมอๆ ว่า “คำว่าบังเอิญ ไม่มีในพจนานุกรมของความสำเร็จ”
อย่างไรก็ดี ไม่ได้หมายความว่า
มหาเศรษฐีระดับโลกหยุดการเรียนรู้ตั้งแต่ออกจากสถาบันการศึกษา
แต่เป็นที่ทราบอยู่โดยทั่วกันว่า คุณสมบัติที่มหาเศรษฐีเหล่านี้มีตรงกัน คือ
การรักการเรียนรู้ ดังนั้นแม้พวกเขาไม่ได้จบปริญญาสูง
แต่ความรู้ทั่วไปที่พวกเขามีอาจไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้จบปริญญาเอก
เพียงแต่ไม่ถูกรับรองด้วยใบปริญญาเท่านั้น
หลายครั้ง
ผลงานที่เทียบเท่าระดับปริญญาเอก ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในมหาวิทยาลัยเท่านั้น
ทว่าอาจจะเกิดขึ้นในองค์กร บริษัท หน่วยงานใดๆ ได้ทั้งสิ้น
หากมีการทำวิจัยหรือการผลิตองค์ความรู้สิ่งใหม่ๆ ให้กับโลกได้สำเร็จ
ดังตัวอย่าง Facebook ที่สามารถแปรเปลี่ยนผลงานวิจัยและพัฒนาให้เป็นนวัตกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เช่น Facebook Live API ที่ให้สามารถถ่ายทอดสดได้จากทุกอุปกรณ์และทุกที่ในโลกใบนี้
ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบอย่างมากกับการดำรงชีวิตของมนุษย์และธุรกิจสื่อโทรทัศน์
โดยก่อนหน้านี้ Facebook ได้ทำให้ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ต้องปิดตัวกันถ้วนหน้า
ความสำเร็จของเศรษฐีและผู้มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคน
ต่างเกิดขึ้นจากการค้นพบตัวเองแล้วทั้งสิ้น กล่าวคือ
มักค้นพบและมีเป้าหมายชีวิตบางอย่างที่ชัดแจ้งหรือซ่อนอยู่ ค้นพบว่าอะไรคือสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข
รู้ว่าตัวเองชอบและเก่งในเรื่องใด รู้ว่ากำลังจะเดินไปในทิศทางใด
อันเห็นได้จากผลลัพธ์ที่ปรากฏออกมา ทั้งด้านรายได้ ความมีชื่อเสียง
และผลกระทบอันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงต่อสังคม ประเทศและโลกในวงกว้าง
สุดท้าย ผมขอสรุปว่า การจะเป็นเศรษฐีระดับโลก
โดยปกติไม่สามารถเป็นไปได้ด้วยความบังเอิญ แต่มักเกิดจากการมีเป้าหมายในชีวิต
และทำในสิ่งที่ตรงกับความถนัดของตนเอง
ตลอดจนการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพและต่อเนื่องตลอดชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ในสถาบันการศึกษา หรือการเรียนรู้ด้วยตนเองก็ตาม
ในภาพระดับประเทศ
การสร้างคนให้มีศักยภาพที่จะประสบความสำเร็จในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นสาขาอาชีพใด
เราจำเป็นต้องพัฒนาการศึกษาและการเรียนรู้ของประเทศให้มีคุณภาพระดับโลก
การศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับอุดมศึกษาต้องไม่เป็นเรือนจำทางปัญญาที่ดีแต่สร้างคนที่มีความรู้ท่วมหัว
แต่กลับเอาตัวไม่รอด แต่ต้องเป็นเรือนเพาะชำทางปัญญาเพื่อเมื่อจบการศึกษาไป
ไม่ว่าระดับใดจะสามารถเติบโตทางความรู้และปัญญาได้อย่างแท้จริง
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ
คอลัมน์ : ดร.แดน มองต่างแดน
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์
เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา
(IFD)
Catagories:
Friday, 9 February, 2018 - 14:09