เช้าวันที่ ๘ ส.ค. ๕๖ ผมไปฟังเรื่อง University / Faculty's Research and Academic Services โดย ศ. ดร. ศันสนีย์ ไชยโรจน์ อดีตรองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยมหิดล ในหลักสูตรคณบดีเพื่อการเปลี่ยนแปลง (DFC) รุ่นที่ ๓
อ่าน ppt ก่อนการประชุม ทำให้ผมตระหนักว่า ในเรื่องงานวิจัยนั้น ก็เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ทุกเรื่อง ต้องมีทั้งการลงมือทำ การบริหาร และการกำกับดูแล ผมเคยเขียนหนังสือเรื่องการบริหารงานวิจัย แต่ผมยังไม่ได้ตระหนักในประเด็นเรื่องการกำกับดูแลงานวิจัย ppt ของ ศ.ดร. ศันสนีย์ ทำให้ผมได้คิด
เนื่องจากงานวิจัยเป็นเรื่องของคนมีความรู้ จึงต้องมีความรับผิดชอบด้วย (ยิ่งรู้มาก ฉลาดมาก ก็ยิ่งมีโอกาสก่อความเสียหายแก่ส่วนรวมได้มาก หากเป็นคนไม่ดี ตัวอย่างในวงการเมืองไทยในขณะนี้เห็นอยู่จะจะ) วงการวิจัยจึงควรเน้นจัดให้มีระบบกำกับดูแลแบบเน้นกำกับตนเองและกำกับกันเอง (self-governance) เป็นหลักใหญ่ เพื่อให้ระบบกำกับดูแลจากภายนอก ที่เป็น top-down governance มีน้อยที่สุด ให้มีเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
คงต้องตั้งต้นคิดเรื่องระบบกำกับดูแล ว่ามีเพื่ออะไร คำตอบของผมคือ เพื่อให้กิจการหรือวงการนั้นทำประโยชน์ได้จริง และไม่ก่อโทษ ไม่มีพฤติกรรมที่ก่อโทษแก่ตนเอง แก่เพื่อนร่วมองค์กร/วงการ และแก่สังคม รวมทั้งเพื่อธำรงรักษาชื่อเสียง/ความน่าเชื่อถือในสังคม
วงการวิจัยจึงควรรวมตัวกัน กำหนดกติกา และวิธีปฏิบัติต่างๆ ที่จำเป็นเพื่อให้มีระบบกำกับดูแลตนเองที่เข้มแข็ง
การกำกับดูแลต่างจากการบริหารหรือการจัดการ
การบริหาร/จัดการ เน้นผลลัพธ์ที่กำหนด
การกำกับดูแล เน้นผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคม ซึ่งมองในมุมหนึ่ง เป็นเรื่องของการยืนยันว่า องค์กร/วงการ นั้นๆ ควรดำรงอยู่ เพราะมีคุณค่าต่อสังคม มีผลดีมากกว่าผลเสียต่อสังคมอย่างมากมาย
ศ. ดร. ศันสนีย์ กล่าวถึงหลักการกำกับดูแลที่ดี ๖ ประการคือ
๑. Transparency
๒. Ethics
๓. Accountability
๔. Participation
๕. Rule of Law
๖. Value for Money
แต่ละเรื่องของการกำกับดูแลการวิจัยที่ดีมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย การที่ผมได้ฟังการบรรยายนี้จึงประเทืองปัญญา อย่างยิ่ง และทำให้ผมสรุปกับตัวเองว่า การวิจัยก็เช่นเดียวกับกิจกรรมที่ทรงคุณค่าอย่างอื่น อาจดำเนินการไปในทางมิจฉาทิฐิได้ จึงต้องมีกลไกตรวจสอบกำกับดูแล อย่างจริงจัง
วิจารณ์ พานิช
๒๗ ส.ค. ๕๖