วันที่ ๑๑ ก.พ. ๕๗ มีคนมาสัมภาษณ์เรื่องการพัฒนาครู    ในโครงการวิจัยเรื่อง “โครงการพัฒนานโยบายและยุทธศาสตร์พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๑

ผมเสนอว่า เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการพัฒนาครู คือการทำให้ชีวิตการเป็นครูเป็นชีวิตที่มี ความหมาย     เป็นชีวิตที่เมื่อสิ้นสุดความเป็นครูอย่างเป็นทางการ มองย้อนหลังสิ่งที่ได้ทำมาในชีวิต รู้สึกปลาบปลื้มใจ    ชีวิตครูมีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีเช่นนั้นได้ทุกคน    แต่ระบบการพัฒนาครูที่ใช้มาในช่วง ๔๐ - ๕๐ ปีที่ผ่านมาเดินผิดทาง     ทำให้ชีวิตครูตกอยู่ในสภาพไร้ความหมาย ไร้ความภูมิใจ     เพราะผลสัมฤทธิ์ ทางการศึกษาตกต่ำ  และมีเยาวชนที่มีปัญหาความประพฤติเพิ่มขึ้นมาก

ครูตกเป็นเหยื่อของระบบที่ผิดพลาด    อาชีพที่ตามธรรมชาติเป็นอาชีพที่มีเกียรติสูง และเป็นชีวิตที่มีความหมาย    กลับตรงกันข้าม

ผมจึงเสนอต่อท่านที่มาสัมภาษณ์ว่า เป้าหมายหลักของการพัฒนาครูคือ (๑) ผลลัพธ์ของการเรียนรู้ (Learning Outcome) ที่มีคุณภาพสูง ของศิษย์    และ (๒) ชีวิตที่มีความหมายของครู

ในโลกยุคปัจจุบัน Learning Outcome ไม่ใช่ความรู้    ไม่ใช่รู้วิชา    แต่ต้องเลยไปสู่ทักษะในการใช้ วิชาความรู้ในชีวิตจริง     และทักษะที่สำคัญอื่นๆ ต่อการดำรงชีวิตที่ดี    ที่เรียกรวมๆ กันว่า ทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑

ครูต้องมีทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑    และต้องเอื้ออำนวยให้ศิษย์พัฒนาทักษะชุดนี้ ขึ้นในตัว     โดยที่ครูไม่เน้นสอน ไม่เน้นถ่ายทอดความรู้

สถาบันพัฒนาครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา  ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่เราเรียกชื่อสั้นๆ ว่าสถาบันวัดไร่ขิง นั้น    ถือได้ว่าทำงานผิดพลาดมาตลอดเวลากว่า ๓๐ ปี    คือพัฒนาครู แบบผิดๆ    จึงมีผลทำลายชีวิตครู ให้กลายเป็นชีวิตที่ไม่มีความหมาย     และทำให้ผลงานของครูมีคุณภาพต่ำ

กล่าวอย่างนี้ ไม่ยุติธรรม     เพราะความตกต่ำของครูอยู่ที่ระบบบริหารของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นหลัก    รวมทั้งอยู่ที่วิธีการผลิตครูของคณะศึกษาศาสตร์-ครุศาสตร์ ด้วย

ที่กล่าวหาไม่ได้ต้องการตำหนิติเตียน    แต่ต้องการให้มีการแก้ไข    เพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ในด้านปัญญา

ที่จริง ไม่ใช่ว่าชีวิตของครูไทยทั้ง ๖ แสนคน ไม่มีความหมาย     เรายังมีครูเพื่อศิษย์ ที่ทำหน้าที่ครู อย่างมีความสุข เอาจริงเอาจัง และเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง     ครูเหล่านี้คือคนที่ชีวิตมีความหมาย มีคุณค่า น่าภาคภูมิใจ

แต่ครูแบบนี้มีน้อยไป     และอยู่อย่างแปลกแยก ไม่เป็นกระแสหลัก

การพัฒนาครู ต้องเริ่มต้นตั้งแต่เป็นนิสิตนักศึกษาครู หรือก่อนหน้านั้น    โดยต้องไม่หลงเน้นเฉพาะวิชา หรือความรู้     ที่ยิ่งใหญ่กว่าความรู้ คือคุณค่าภายในจิตใจ     เราต้องการครูที่รักเด็ก พร้อมที่จะช่วยเป็นกำลังใจ ให้ศิษย์ฟันฝ่าความยากลำบากของการเรียน     เพราะการเรียนที่ให้ปัญญาสูงนั้น ไม่มีทางราบรื่นสะดวกสบาย อยู่ตลอดเส้นทาง     นักเรียนนักศึกษาต้องได้ฝึกเผชิญความยากลำบาก     เพราะนี่คือบทเรียนจริงที่จะต้องเผชิญ ต่อไปในชีวิตจริง     ครูที่ช่วยให้ศิษย์ได้เรียนรู้ฝึกตนเป็นคนเต็มคน คือครูที่มีคุณค่า

การพัฒนาครูที่แท้จริง จึงต้องผูกพันอยู่กับการทำหน้าที่ครูเพื่อศิษย์     “ผลงาน” ของครู คือศิษย์     ไม่ใช่กระดาษ อย่างที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด

 

 

วิจารณ์ พานิช

๑๑ ก.พ. ๕๗

 

 

 

 

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย