บันทึกที่แล้ว ชื่อว่า สวรรค์มีตา อาจทำให้คนคิดว่าผมเชื่อในนรกสวรรค์เทวดา จึงขอบันทึกต่อ ว่าผมไม่เชื่อเรื่องนี้ โดยได้รับการสั่งสอนในครอบครัวมาตั้งแต่ชั้นปู่ ที่ไม่เชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และของขลัง เราถือเป็นเรื่องเหลวใหล และหลอกลวง
แต่เราเชื่อในสัจธรรม “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” และเชื่อในหลักการ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” และเมื่อผมโตขึ้น ผมเชื่อในการทำความดีช่วยเหลือผู้อื่น และในการมีชีวิตที่ทำประโยชน์ให้แก่สังคม
เมื่อพ่อแม่เห็นว่า ผมคงจะสอบเข้าเรียนหมอได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นภาระค่าใช้จ่าย พ่อแม่ก็ส่งเสริม โดยบอกว่า “จะได้ช่วยเหลือคนอื่นได้” คำสอนของพ่อแม่ที่ผมได้ มาจากคำสนทนาสั้นๆ ไม่ได้มาจาก คำพร่ำสอน
คำสั้นๆ ที่กินใจของพ่อแม่ และคนที่ผมเคารพ ฝังอยู่ในใจไม่รู้ลืม และเมื่อผมทำสิ่งเหล่านั้น ผมก็จะกระซิบบอกท่านในใจ ว่าผมได้ทำตามที่ท่านตั้งความหวังให้แล้วนะ
นรกสวรรค์เทวดาและมาร เป็นสมมติ ที่มนุษย์สร้างขึ้น ภาษาวิชาการว่าเป็น construct จะว่ามีจริงก็ได้ ว่าไม่มีก็ได้ ที่ผมเชื่อคือความซับซ้อน (complexity) ที่เหนือสภาพ ขาว-ดำ ถูก-ผิด ดี-ชั่ว ผมเชื่อว่าในขาวมีดำ ในดำมีขาว และในบางบริบท ขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว
ความสนุกในชีวิตยามชราของผมคือ เรียนรู้ความซับซ้อนเหล่านี้ และนำออกสื่อสารกับสังคม โดยไม่ยืนยันว่าสิ่งที่ผมตีความจะถูกต้อง
สิ่งที่ซับซ้อนยิ่ง คือจิตใจของเราเอง ผมเฝ้าฝึกฝนตนเองให้เข้าใจหรือมีทักษะในการอยู่กับ ความซับซ้อน (complexity) นั้น โดยฝึกให้จิตใจมีสติจดจ่ออยู่กับเรื่องเดียว (simplicity) ในแต่ละขณะ ซึ่งจะทำให้จิตมีพลังมาก ผมเรียกแนวทางดำรงชีวิตแบบนี้ว่า แนว “สะอาด สว่าง สงบ” สามารถดำเนินชีวิต แนวนี้ได้ในฐานะฆราวาส และในท่ามกลางงานที่ยุ่งอยู่ตลอดเวลา
เครื่องช่วยค้ำจุนชีวิต แนว “สะอาด สว่าง สงบ” คือศีลและธรรม และมัชฌิมาปฏิปทา ที่ตัวเราเองเป็นผู้ปฏิบัติ
ชีวิตจะเป็นอย่างไร อยู่ที่ตัวเราเป็นผู้ปฏิบัติ ไม่ใช่ผีสางเทวดาหรือเคราะห์กรรมบันดาล
วิจารณ์ พานิช
๑๓ ก.พ. ๕๗