Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

มิจฉาชีพในยุโรป

พิมพ์ PDF

ปีนี้ผมก็ไปประชุมคณะกรรมการจัดการประชุม PMAC ที่เจนีวาอย่างเคย โดยออกเดินทางคืนวันที่ ๑๖ พ.ค. ๕๕ จากสุวรรณภูมิ ไปเปลี่ยนเครื่องบินที่ แฟรงค์เฟิร์ต   ปีนี้เดินทางโดยสายการบิน ลุฟฮันซ่า เพราะเป็นสายการบินที่มีเที่ยวบินโดยตรงจากยุโรปไปฮุสตัน รัฐเท็กซัส   ผมมีกำหนดเดินทางต่อไปฮุสตันในวันที่ ๑๙ พ.ค.

ผมจะไปถึงโรงแรมเกือบเที่ยง ตอนบ่ายมีเวลา จึงวางแผนใช้เวลาครึ่งวันไปเที่ยวไว้ล่วงหน้า    ผมถามคุณหมอสมศักดิ์ว่า Museum of Modern and Contemporary Arts ดีไหม   คุณหมอสมศักดิ์แนะนำ CERN กับ Carouge   ผมเลือก CERN เพราะเคยไปเที่ยวเมืองเก่า Carouge กับสาวน้อยเมื่อหลายปีมาแล้ว

วันที่ ๑๗ พ.ค. ๕๕ ผมเช็คอินเข้าโรงแรม ออตวยล์ หลัง ๑๑ น. เล็กน้อย  ได้ห้อง ๓๐๔   หลังจากอาบน้ำตอบ อีเมล์ และกินอาหารซองยี่ห้อซองเดอร์ ที่คุณฟ้าให้ตอนไปงานมอบรางวัลชูเกียรติ อุทกะพันธุ์ ผมลงไปถามพนักงานต้อนรับของโรงแรมได้คำแนะนำวิธีไปเที่ยวที่ CERN ว่าให้เดินไปขึ้นรถรางสาย ๑๔ ที่ป้ายบอกว่าไป CERN ใช้เวลาประมาณ ๒๐ นาที   ได้นั่งรถรางออกไปนอกเมืองวิวสวยมาก   เป็นการใช้บริการฟรี เพราะเดี๋ยวนี้ใครไปพักโรงแรมที่เจนีวา ทางโรงแรมจะมีบัตรให้ใช้บริการขนส่งโดยสารของเจนีวาฟรี   หรือจริงๆ แล้วค่าห้องรวมค่าโดยสารไว้แล้ว จะใช้หรือไม่ใช้เราก็จ่ายไปแล้ว   ระบบนี้สะดวกดีมาก ดีต่อทุกฝ่าย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแก่เมือง   แต่ผมคิดว่าเขาน่าจะลงทุนอีกนิดให้เป็นบัตรอีเล็กทรอนิกส์ ใส่ข้อมูลของเราจากโรงแรม   ไปขึ้นยานพาหนะที่ไหนเมื่อไรต้องเสียบบัตร   เมืองเจนีวาก็จะได้ข้อมูลของนักท่องเที่ยวเอาไว้ใช้ส่งเสริมการท่องเที่ยวของเมืองได้อีกมาก

ลงที่สถานี CERN ไม่เห็นอาคารที่ดูโอ่อ่าสมกับเป็นLHC ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (แต่อยู่ใต้ดิน)  และที่สถานีก็ไม่มีคน มีเด็กวัยรุ่นนั่งสูบบุหรี่อยู่คนเดียว ผมจึงเข้าไปถามว่า CERN อยู่ที่ไหน   เขาชี้ไปที่ตึกเตี้ยๆ ธรรมดาๆ ข้างป้ายจอดรถราง   ผมเข้าไปที่ประตูด้วยความหวังว่ามันจะเปิดให้ผมเข้าไป   แต่มันก็ไม่เปิด อ่านป้ายกระกาษขาวที่แปะไว้ที่ประตูจึงรู้ว่าวันนี้ปิด   เขาให้เหตุผลว่าปิดเพื่อเตรียม ascension ไม่ทราบว่าหมายความว่าอย่างไร   ถือว่าโชคไม่ดี ผมกะว่าปีหน้าจะหาโอกาสไปเที่ยวใหม่

ผมขึ้นรถรางกลับ และเดินจากสถานีรถไฟกลับโรงแรม ระหว่างทางมีคนดำเดินแฉลบมาข้างหลัง ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรวาบมาโดนเสื้อนอก   ผมหันไปดูเห็นชายหนุ่มคนดำยืนทำท่ากินอะไรอยู่   ก็ไม่ได้คิดอะไร   เดินต่อไปก็มีชายหนุ่มคนดำอีกคนหนึ่งเดินมาบอกว่ามีคนเอาอะไรทำให้หลังเสื้อเปื้อน   เขาชวนให้ผมถอดเสื้อออกดู   ผมรู้ทันทีว่านี่คือการสร้างสถานการณ์ให้ผมเป็นเหยื่อของการชิงกระเป๋าสะพาย   ผมจึงรีบเดินหนีและบอกว่าไม่เป็นไร   ที่จริงในกระเป๋าสะพายมี iPad อยู่ตัวเดียว    แต่ถ้าโดนชิงไปผมก็แย่ เพราะข้อมูลนัดต่างๆ อยู่ในนั้นทั้งหมด

เจนีวาเป็นดินแดนของคนเดินทาง มิจฉาชีพเยอะ ปีที่แล้วทีมไทยที่มา World Health Assembly ก็โดนล้วงกระเป๋าไปหมดตัว   ผมบอกตัวเองว่า ต่อไปนี้ต้องระวังตัว อย่าคิดว่าท่าทางไม่น่าเป็นที่สนใจของมิจฉาชีพ

ตอนเย็นผมเล่าให้หมอสุวิทย์ฟัง ท่านบอกว่ามิจฉาชีพกลุ่มนี้จะเลือกโจมตีคนที่เดินคนเดียว    และจากกลุ่มอีเมล์ของทีมไทยที่มาประชุมสมัชชาอนามัยโลก มีคนบอกว่าตอนเย็นวันที่ ๑๘ กำลังถ่ายรูปวิวด้วย iPhone ก็มีคนขี่จักรยานมาโฉบเอาไป

คนไทยที่มาเจนีวาบ่อยๆ โดนพิษมิจฉาชีพกันทั่วหน้า   หมอวิโรจน์ผู้จิตใจดีลงรถเมล์ เห็นแม่ลูกแฝดลงรถก็เข้าไปช่วยยกรถเข็นแฝด   โดยวางกระเป๋าไว้บนทางเท้า   ช่วยยกรถเข็นเสร็จหันมาที่กระเป๋าของตนเอง มีคนยกไปแล้ว

วิธีการต้มตุ๋นที่โลดโผนสมกับความฉลาดของคนโดนต้มคือ นพ. สุวิทย์    ลงจากเครื่องบินเข้าเมืองโดยรถไป และลากกระเป๋าไปโรงแรมกลางเมืองแต่เป็นตอนเช้าไม่มีคน   ก็มีคนมาเรียกแต่พูดกันไม่รู้เรื่อง   ทำท่าถ่ายรูป  ทันใดนั้นก็มี “ตำรวจ” ขี่รถมอเตอร์ไซคล์คันโตปราดมาจอด ถามว่ายูทำอะไรกัน   สงสัยจะกำลังทำธุรกิจผิดกฎหมาย    เขาหันไปทางชายคนแรก ว่าไหนขอดูกระเป๋าเงิน   ชายคนแรกก็ส่งให้ เขาพลิกๆ ดูก็ส่งคืน   หันมาทางหมอสุวิทย์ ขอดูกระเป๋าเงิน หมอสุวิทย์ส่งให้ เขารับไปและชี้ไปที่กระเป๋าเอกสารถามว่าในนั้นมีอะไร   หมอสุวิทย์ละสายตาไปดูกระเป๋าและตอบ    ในที่สุดเขาก็คืนกระเป๋าเงินและแนะนำให้ระวังตัว เพราะเจนีวามีมิจฉาชีพมาก    หมอสุวิทย์มารู้ตัวเมื่อใช้เงิน พบว่ามีเพียง ๓๐๐ ฟรังก์ ทั้งๆ ที่เตรียมมา ๑,๓๐๐ จึงรู้ว่าโดนมิจฉาชีพแบ่งเอาไปใช้ ๑,๐๐๐   คนฟังทุกคนบอกว่า มิจฉาชีพคนนี้มีน้ำใจ ไม่เอาไปทั้งหมด

ทั้งหมอวิโรจน์และหมอสุวิทย์ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ   เขามีรูปวายร้ายให้ดู และสองคนของหมอสุวิทย์ก็อยู่ในนั้น   ตำรวจบอกว่าในคุกมีคนเต็ม ไม่สามารถจับยัดเข้าไปได้อีก    ผู้เดินทางหรือนักท่องเที่ยวต้องรู้จักระมัดระวังตัวเอง    และต้องศึกษาเล่ห์กลของมิจฉาชีพ

ทีมไทยสิบกว่าคน (หมอสุวิทย์, คณบดี นพ. ภิเศก , คณบดี นสพ.พรเทพ รัตนากร, คณบดี นพ. ประตาป สิงหศิวานนท์, ดร. ชื่นฤทัย กาญจนจิตรา, นพ. วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร, นพ. พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข,ดร. วลัยพร พัชรนฤมล, นพ. คำนวณ อึ้งชูศักดิ์, ศ. พญ. มณี รัตนไชยานนท์, นพ. โสภณ เอี่ยมศิริถาวร) นัดกันเดินไปกินอาหารที่ร้านจีนชื่อ โบกี้ (Boky) อยู่บนถนนแอลปส์ ใกล้สถานีรถไฟนิดเดียว   เดินมาจากโรงแรมออตวยล์ไม่ถึง ๑๐ นาที   เรากิน ฟองดู ชินัว  ซึ่งก็คือสุกี้บ้านเรานั่นเอง    รสชาติดี

ก่อนนอนผมกิน Lorazepam 0.5 mg ที่สาวน้อยให้มาหนึ่งเม็ด นอนหลับสบายตั้งแต่สี่ทุ่ม ไปจนตื่นเอง เวลาตีห้าครึ่ง

เช้าวันที่ ๑๘ พ.ค. ผมออกไปวิ่งที่ริมทะเลสาบ ได้ดื่มด่ำธรรมชาติยามเช้ามืด ที่บริเวณที่พักผ่อนที่ยื่นเข้าไปในทะเลสาบ   จำได้ว่าหลายปีมาแล้วผมไปช่วงเที่ยงๆ ในวันหยุด คนแน่นมาก    เช้านี้ผมครองครองคนเดียว ร่วมกับหงส์ เป็ด และนกน้ำ   ได้รูปวิวและธรรมชาติสวยๆ มากมาย

ทีมไทยนัดขึ้นรถเมล์ไปพร้อมกันเวลา ๘.๑๕ น.   ปรากฎว่าฝนตก หลายคนยืมร่มโรงแรมโดยมีเงื่อนไขว่าถ้าไม่เอาไปคืนต้องจ่าย ๕๐ ฟรังก์    การประชุมเดินไปราบรื่นมาก   ผมต้องเป็นประธานเอง เพราะประธานร่วมไม่ยอมทำหน้าที่อย่างปีที่แล้ว   ทุกอย่างดำเนินไปตามเวลาที่กำหนด   และได้รับข้อคิดเห็นจากกรรมการอย่างดียิ่ง    คุณภาพของการประชุมรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลขึ้นกับคนจำนวนมากมาย จากหลากหลายองค์กรเจ้าภาพร่วม

ตอนเย็นผมเดินไป Jardin Botanique หรือ Botanical Gardens บนถนนโลซาน ตรงข้ามกับ WTO   บริเวณกว้างขวางมาก มีการจัดแสดงต้นไม้มากมาย    ส่วนที่ผมโผล่เข้าไปเป็นการจัดแสดงไม้ดอกจากทั่วโลก จัดเป็นกลุ่มๆ   ผมระวังตัวแจ เพราะมีคนดำจูงจักรยานเข้ามาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ   แถมยังพยักเพยิดให้ผมไปดูทางที่เปลี่ยวอีกด้วย   ผมต้องพยายามไม่เดินห่างกลุ่มคน โดยที่ตอนนั้นเย็นถึง ๘ โมงเย็นแล้ว จึงมีคนมาชมน้อย และบู๊ธให้บริการข้อมูลก็ปิดแล้ว   ผมเดาว่าคงจะเดินชมและถ่ายรูปได้เพียงบริเวณนิดเดียวของสวนพฤกษศาสตร์นี้   ได้รูปสวยๆ มากมาย และดื่มด่ำธรรมชาติจนเมื่อย ก็นั่งรถรางสาย ๑ กลับโรงแรม

ผมบอกทีมไทยไว้ว่าผมไม่ไปกินอาหารเย็นกับคณะ จะใช้เวลาเตรียมจัดกระเป๋าและเตรียมตัวเดินทางตอนเช้ามืด   และเข้านอนเวลา ๒๑.๓๐ น. โดยกินลอราซีแพม ๑ เม็ด   บอกโรงแรมให้ปลุก ๔.๒๐ น.   และตั้ง iPhone ปลุก ๔.๒๐ น.   แต่ผมตื่นเองเวลา ๔.๐๐ น.

พนักงานโรงแรมบอกว่ารถไฟไปสนามบินเที่ยวแรก ๕.๑๗ น.   ใช้เวลา ๘ นาที    แต่เวลาเครื่องบินออก ๗ น. ผมไปแท้กซี่ดีกว่า    ผมก็เชื่อตามนั้น   และเช้าวันที่ ๑๙ แท้กซี่มารอก่อนเวลานัด (๔.๔๕ น.) ๑๕ นาที  ผมจึงเดินทางไปสนามบินตั้งแต่เช้ามาก   เวลา ๕.๑๐ น. ผมก็ผ่านการตรวจรักษาความปลอดภัย ไปนั่งรอที่เก้าอี้นั่งและพิมพ์บันทึกอยู่นี่แหละ    ยังไม่รู้ว่าเครื่องออกประตูไหน เขาจะบอกเวลา ๕.๓๐ น.   พอเวลา ๕.๓๐ น. ก็รู้ว่าเครื่องออกที่ประตู A5   เป็นเที่ยวบินของสายการบินหลายสายร่วมกัน   แต่หมายเลขเที่ยวบินไม่ตรงกับในบัตรขึ้นเครื่องของผม  ขณะที่กำลังพิมพ์บันทึกอยู่นี้ เป็นเวลา ๖.๑๐ น.  ผมเป็นคนเดียวที่บริเวณ Gate A5 เรื่องหมายเลขเที่ยวบินนี้เจ้าหน้าที่เขาไม่สนใจ   เครื่องบินออกตรงเวลา

 

วิจารณ์ พานิช

๑๙ พ.ค. ๕๕

Gate A5, สนามบินเจนีวา

 

 

หนังสือวิธีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ใรศตวรรษที่ 21

พิมพ์ PDF

ขออนุญาตนำบันทึก ของ คุณหมอวิจารณ์ พานิช หัวข้อ "ปราชญ์ตีความเขียนคำนิยามหนังสือครูเพื่อศิษย์" มาเผยแพร่ดังต่อไปนี้

10 พ.ค. 2555

เรียนคุณหมอวิจารณ์ ที่เคารพรัก

ผมได้อ่านหนังสือ “วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21” อย่างเร็วๆ ข้ามๆ จบ   รู้สึกประทับใจที่คุณหมอสนใจเรื่องการศึกษา ครู-นักเรียน  วิธีการสอน-เรียน มากถึงขนาดนี้   หนังสือเล่มนี้ทำให้วิชาครุศาสตร์ซึ่งผมสนใจน้อยมาก กลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และผมอ่านจนจบเล่ม

คุณหมอซึ่งเคยประสบผลสำเร็จงดงามจากการกระตุ้นการวิจัยของประเทศชาติ   จากการจัดการความรู้   นี้เรื่องวิธีการเรียนการสอนและความสัมพันธ์ครู-ศิษย์ อาจารย์กำลังเริ่มขบวนการที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง   ผมขอเอาใจช่วยครับ

ผมขีดเส้นไว้เมื่อผมอ่านตรงที่ชอบ   ผมชอบมากที่ให้ความสำคัญไปที่ศิษย์ มากกว่าที่วิชา (สาระ)   ศิษย์สำคัญกว่าเนื้อหาวิชา,  นักเรียนสมัยนี้มีอิสระ และต้องให้เขาเรียนด้วยความสนุก, ให้คิดนอกกรอบ   แต่ต้องเก่งความรู้ในกรอบก่อน   ไม่งั้นจะเป็นคิดเลื่อนลอย,  อย่าชมความสามารถ ให้ชมความมานะพยายาม,  คนเราจะคิดได้ลึกซึ้งหรือมีวิจารณญาณ ต้องมีความรู้มาก ที่เขาเรียกว่า มีต้นทุนความรู้ (background knowledge),  ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง นอกจากมีความรู้มากแล้ว ยังมีความสามารถพิเศษในการดึงเอาความรู้ที่ถูกต้องมาใช้ตามสถานการณ์,  ครูเปลี่ยนจากการบอกเนื้อหาสาระ มาเป็นทำหน้าที่สร้างแรงบันดาลใจ สร้างความท้าทาย ความสนุก ในการเรียน ให้แก่ศิษย์,  ความสำคัญขององค์กร เคออร์ดิค  คือ สมาชิกมีเป้าหมายระดับความมุ่งมั่น (purpose) ชัดเจนร่วมกัน   แต่วิธีบรรลุความมุ่งมั่นทุกคนมีอิสระที่จะใช้ความสร้างสรรค์ของตน ที่จะปรึกษากัน แล้วเอาไปทดลอง   ควรจัดโรงเรียนแบบ เคออร์ดิค นี้ด้วย   ข้อนี้คุณหมอเขียนมานานแล้ว และผมชอบมาก,  ความเห็นไม่ตรงกันไม่เป็นไร หากร่วมกันทำเป้นใช้ได้,  ศิษย์ของเรา ไม่ใช่ศิษย์ของฉัน  ข้อนี้ชอบมาก  แต่คิดว่าปฏิบัติจริงยากหน่อย

ผมคิดว่า ผมเองจะลองเริ่มพยายามแน่วแน่ที่ปณิธานและเป้าหมาย แต่ยืดหยุ่นที่วิธีการ,  เรียนรู้จากการลงมือทำ  ข้อนี้เตือนใจผมดีมาก   และรู้สึกคุณหมอจะเน้นเรื่องนี้ตลอดเล่มนี้,  ไม่ยอมให้งานด่วนที่ไม่สำคัญเข้ามาครอบครองชีวิตเรา   ตัวเราเองต้องเป็นนายของเวลา สำหรับทำงานที่สำคัญ,  จำชื่อนักเรียนให้ได้,   ผมชื่นชอบข้อแนะนำเหล่านี้มากเป็นพิเศษ   ขอขอบคุณคุณหมอครับ

...........

ฉัตรทิพย์

 

ศ. ดร. ฉัตรทิพย์ ที่ไม่ได้ตั้งใจให้ผมนำข้อความในจดหมายไปเผยแพร่ ผมจึงยกร่างบันทึกนี้ ส่งไปให้ท่านอ่านและให้ความเห็นชอบก่อน   ผมถือเป็นคำนิยมที่มีค่ายิ่ง ที่ช่วยย้ำประเด็นสำคัญให้แก่ผู้อ่าน

ท่านใดสนใจติดตามอ่านหนังสือ สามารถเข้าไปอ่านได้ที่

http://www.gotoknow.org/blogs/posts/481440

 

 

สินทรัพย์ทางปัญญาโดย ศ.วิจารณ์ พานิช

พิมพ์ PDF

บทความเรื่องApple’s War on Androidในนิตยสาร Businessweek ฉบับวันที่ ๒๙ มี.ค. ๕๕  ช่วยให้เราเห็นวิถีของธุรกิจในโลกแห่งนวัตกรรม   ว่าเวทีต่อสู้แข่งขันมีอยู่หลายเวทีในเวลาเดียวกัน  ทั้งในการทำงานวิจัยและพัฒนา   การผลิต และการตลาด    บทความนี้บอกเวทีต่อสู้แข่งขันที่อยู่เบื้องหลังคือการฟ้องร้องในคดีละเมิดสินทรัพย์ทางปัญญา(intellectual property) ที่มีการจดสิทธิบัตรไว้

สนุกยิ่งกว่าละคร (น้ำเน่า) ในทีวี คือละครน้ำเน่าความสัมพันธ์สองหน้า (หรือหลายหน้า) ของบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ ที่ด้านหนึ่งก็ร่วมมือกัน คือบริษัท Apple ว่าจ้างให้ Samsung ผลิตชิป A5 ที่มีความเร็วสูงมาก   ในขณะเดียวกัน Apple ก็ฟ้อง Samsung ว่าละเมิดสินทรัพย์ทางปัญญาของตน เอาไปใช้ใน สมาร์ทโฟน และ แทบเล็ต ตระกูล Galaxy   ธุรกิจกับการเมืองเหมือนกันในข้อนี้…ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร

Apple จำใจต้องจ้างให้ Samsung ผลิตชิป A5 เพราะในกลุ่มบริษัทผู้ผลิตชิปทั้งหลาย Samsung ผลิตได้คุณภาพดีที่สุด   สะท้อนภาพของพลังคุณภาพที่แท้จริง    ศัตรูก็ยังต้องคบค้าเพราะความสามารถในการผลิตสินค้าคุณภาพ

ที่จริงการต่อสู้กันเรื่องสินทรัพย์ทางปัญญาไม่ได้มีนัยยะตื้นๆ แค่นี้   แต่เป็นส่วนหนึ่งของสงครามยึดครองความเป็นจ้าวครองตลาด ครองพัฒนาการหรือนวัตกรรมของสินค้าไอทีในอนาคต

และตัวละครที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ทางกฎหมายสินทรัพย์ทางปัญญา ก็ไม่ได้มีแค่บริษัทยักษ์ใหญ่    แต่ยังมีบริษัทที่ปรึกษากฎหมาย ที่ทำหน้าที่ทนายต่อสู้ให้แก่บริษัทยักษ์ใหญ่แต่ละฝ่าย   รวมทั้งมีผู้พิพากษาที่ชำนาญด้านคดีสินทรัพย์ทางปัญญาโดยเฉพาะ

อ่านแล้วผมก็บอกตัวเองว่า ใครที่มุ่งทำมาหากินกับการผลิตสินค้าตลาดบน ที่มุ่งคุณภาพ ก็ต้องมุ่งลงทุนสร้างนวัตกรรมหนีคู่แข่งโดยเอาใจตลาดหรือลูกค้า    และต้องคอยระแวดระวังปกป้องสินทรัพย์ทางปัญญาของตนไม่ให้ถูกละเมิดแบบโจ๋งครึ่มด้วย   หรือหากผลประโยชน์สูงมาก การละเมิดแบบแยบยล (อย่างกรณี Samsung – Android ต่อ Apple นี้) ก็ต้องยอมลงทุนให้ทนายมือดี ค่าตัวสูง เข้ามาดำเนินการฟ้องร้องต่อสู้   นี่คือชีวิตของธุรกิจสมัยใหม่   ที่ถือว่าผลผลิตทางปัญญาเป็นทรัพย์สินส่วนตัว

ที่จริงแนวคิดเรื่องการจดสิทธิบัตรการค้นพบหรือการประดิษฐ์ที่จะมีผลต่อการนำไปใช้ทางธุรกิจ ได้รับการสร้างขึ้นประมาณ ๕๐๐ ปีมาแล้ว   และยิ่งเข้มข้นและซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ

ผมคิดเรื่องใช้ปัญญาสร้างทรัพย์สินไม่เป็น   แม้ทำคลินิกก็ทำไม่เป็น   สิ่งที่คล้ายๆ สินทรัพย์ทางปัญญา คือ PowerPoint ที่ผมคิดขึ้นและนำไปใช้บรรยายตามที่ต่างๆ ผมก็เอาขึ้นเว็บเพื่อมอบให้แก่สังคม   ใครจะเอาไปใช้ก็ได้   บางคนที่ได้ PowerPoint ของผมไปยึดถือความเคารพในสิทธินี้ มาถามผมว่า มีคนมาขอต่อ จะให้ได้ไหม   ผมบอกว่ารีบให้ไปเลย เพราะผมอยากเผยแพร่ความคิดนี้อยู่แล้ว   ยิ่งแพร่หลายมากและมีคนเอาไปหาทางใช้พัฒนาบ้านเมืองมากเท่าไร ผมก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น

แต่การไม่มุ่งผลประโยชน์ตนเป็นที่ตั้งนี้มันให้ผลตอบแทนต่อชีวิตมากเหมือนกันนะครับ   คือสินทรัพย์ทางปัญญามันไม่มากับเป้าหมายที่เงิน   แต่ให้ผลเป็นทุนทางสังคม ได้เครือข่ายคนที่มุ่งทำประโยชน์ทางสังคมเป็นที่ตั้ง เรียกว่ามี social capital    ผมพอใจที่ทุนทางสังคมของผมเปิดโอกาสให้ผมได้ทำงานจุดประกายการเปลี่ยนแปลงสร้างสรรค์อย่างที่ทำอยู่ในปัจจุบัน   แม้จะได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง

กลับบ้านมาค้นด้วย Google ทราบข่าวว่า คดีนี้ Apple ทั้งชนะและแพ้ดังข่าวนี้จากการตัดสินของศาลอุทธรณ์   สะท้อนภาพความซับซ้อนในการตีความประเด็นเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา และการละเมิด   เพื่อการต่อสู้คดีของคู่ความ และการตัดสินคดีของศาล

 

 

วิจารณ์ พานิช

๑๕ พ.ค. ๕๕

บนรถแท็กซี่จากสนามบินสุวรรณภูมิกลับบ้าน

 

 

บทความของอาจารย์วิจารณ์ พานิช

พิมพ์ PDF
การดำเนินการพัฒนาโรงเรียนตามแนวที่โครงการ นี้ใช้ ได้พัฒนาทักษะด้านการคิดของครู ทำให้ครูเปลี่ยนพฤติกรรมจากทำงานโดดเดี่ยว มาเป็นทำงานเป็นทีม ครูกลายเป็นผู้เรียนรู้ จากการออกแบบการเรียนรู้แก่ศิษย์

จากเรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สู่เรียนรู้ทักษะชีวิต สู่การปฏิรูปการศึกษา

เช้าวันที่ ๒๙ ส.ค. ๕๕ ผมไปร่วมการประชุมปฏิบัติการผู้ประสานงานภูมิภาค โครงการเสริมศักยภาพการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษา ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕   จัดโดยมูลนิธิสยามกัมมาจล ร่วมกับ มูลนิธิสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์  และกระทรวงศึกษาธิการ

ที่จริงโครงการนี้เป็นส่วนเล็กๆ ของการขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในสังคมไทย   โดยมูลนิธิสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์  และกระทรวงศึกษาธิการ ต้องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษา ทั่วประเทศ   และดำเนินการแบบค่อยๆ ดำเนินการอย่างมีคุณภาพ   ให้มีโรงเรียนตัวอย่างที่จัดการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงได้ดี   ได้รับการยกย่องและมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นศูนย์เรียนรู้ขับเคลื่อนเครือข่ายโรงเรียนจำนวนหนึ่ง    คือดำเนินการขยายขบวนการเศรษฐกิจพอเพียงในโรงเรียนให้เต็มแผ่นดิน อย่างเป็นขั้นเป็นตอน

มูลนิธิสยามกัมมาจลเข้าร่วมมือ ดึงมหาวิทยาลัยในพื้นที่เข้าหนุนโรงเรียนเป้าหมาย    เพื่อสร้างทักษะการจัดการเรียนรู้ของครูในโรงเรียนให้แน่นขึ้น สำหรับให้ขบวนการเศรษฐกิจพอเพียงผสมกลมกลืนเข้าไปในการเรียนตามปกติ ทั้ง ๘ หน่วยสาระ   รวมทั้งนำเอาแนวคิดการเรียนรู้ให้ได้ทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ เข้าไปบูรณาการด้วย   ซึ่งหมายความว่า มีการนำเอาวิธีการเรียนแบบ PBL  และการรวมตัวกันทำงานและเรียนรู้ของครู ที่เรียกว่า PLC เอามาใช้

ทีมมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยง และครูแกนนำในโรงเรียนมา ลปรร. กันเมื่อวันที่ ๒๘ ส.ค.   แล้วนำผลมารายงานต่อคณะกรรมการชี้ทิศทาง ที่ผมเป็นประธาน   ผมได้ฟังเพียง ๓ ทีมเท่านั้น   คือทีม มช. กับโรงเรียนในภาคเหนือตอนบน   ทีม มมส. กับโรงเรียนในภาคอีสาน   และทีม มรภ. กำแพงเพชร กับโรงเรียนในภาคเหนือตอนล่าง    ฟังแล้วก็ชื่นใจ ที่ได้เห็นการทำงานจริงจัง เพื่อประโยชน์ทวีคูณ   คือได้ทั้งทักษะด้านการครองชีวิตแบบพอเพียง    และได้การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑

เราได้เห็นว่า การดำเนินการพัฒนาโรงเรียนตามแนวที่โครงการนี้ใช้    ได้พัฒนาทักษะด้านการคิดของครู   ทำให้ครูเปลี่ยนพฤติกรรมจากทำงานโดดเดี่ยว มาเป็นทำงานเป็นทีม   ครูกลายเป็นผู้เรียนรู้ จากการออกแบบการเรียนรู้แก่ศิษย์

ผมได้ชี้ให้ที่ประชุมเห็นว่า โครงการนี้ได้ก้าวหน้าจากที่เห็นในการประชุม steering เมื่อวันที่ ๙ พ.ค. ๕๕ อย่างน่าชื่นใจ    เราได้เห็นภาพการเรียนรู้ของครูคู่ขนานไปกับการเรียนรู้ของศิษย์

ผมจึงให้ความเห็นเชิงเสนอแนะต่อกระทรวงศึกษาธิการผ่าน อ. รจนา สินที หัวหน้ากลุ่มโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กระทรวงศึกษาธิการ    รวมทั้งต่อท่านอดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และอดีตเลขาธิการ สพฐ.คือ ดร. คุณหญิง กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา    เป็นข้อเสนอแนะ ๒ ข้อ คือ

๑. ใช้งบประมาณส่วนที่เป็นงบพัฒนาครู ในการสนับสนุนกิจการนี้    เพราะที่เราได้ฟังคือกิจกรรม HRD (Human Resource Development) ของครู   ที่ได้ผลดี   ดีกว่าวิธีจัดหลักสูตรอบรมครูอย่างเทียบกันไม่ติด   ผมเสนอให้เปลี่ยนวิธีพัฒนาครูจาก training mode ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน   มาเป็น learning mode ที่เรียนรู้แนบแน่นกับการทำงานประจำนั่นเอง    ผมเสนอให้ใช้งบพัฒนาครูร้อยละ ๘๐ สนับสนุนโครงการแบบนี้   ที่เหลืออีกร้อยละ ๒๐ ใช้อบรมครู    โดยที่อบรมตามความต้องการของครู    โดยที่ครูที่ผ่าน learning mode จะบอกได้ว่าตนต้องการให้จัดหลักสูตร training เรื่องอะไร

๒. เปลี่ยนผลงานเพื่อประเมินเข้าสู่ตำแหน่ง คศ. จากวิธีทำผลงานในกระดาษ (ซึ่งบางกรณีมีการจ้างทำ) มาเป็นการนำผลงานแบบที่นำเสนอในเช้าวันนี้มาเป็นผลงานเพื่อเข้าสู่ตำแหน่ง คศ.   การให้คุณแก่ครูก็จะเชื่อมโยงกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของศิษย์

ผมเสนอให้เปลี่ยนการบริหารการศึกษาของประเทศจากแนวทางรวมศูนย์ ไปเป็นแนวทางกระจายอำนาจให้แก่พื้นที่   เน้นการวัดผลของการพัฒนาการศึกษาที่ผลสัมฤทธิ์ของเด็ก    เน้นการวัดโดยคนนอก

และได้แนะนำวิธีการเปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้ของนักเรียนแบบ กลับทางห้องเรียน ซึ่งผมได้บันทึกไว้ ที่นี่

กิจกรรมของโครงการนี้ ส่วนใหญ่เกิดผลเป็นการฝึกทักษะชีวิต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑

ท่านที่สนใจค้นคลังความรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง  และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงโดยสถานศึกษา อ่านได้ที่นี่

วิจารณ์ พานิช

๑ ก.ย. ๕๕

 

บทความของอาจารย์วิจารณ์ พานิช

พิมพ์ PDF

หนังสือ The Price of Inequality : How Today's Divided Society Endangers Our Future หน้า ๙๖ หัวข้อ A distorted economy -- rent seeking and financialization -- and a less well-regulated economy กระตุ้นให้ผมเขียนบันทึกนี้

ข้อความระบุพฤติกรรมของบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทยา ในหนังสือ   กระตุ้นให้ผมทบทวนตัวเอง   ว่าผมรังเกียจและขยะแขยงพฤติกรรมเหล่านั้น   และเฝ้าสั่งสอนฝึกฝนตนเอง ให้เอาชนะแรงขับดันฝ่ายต่ำ ที่มาจากความเห็นแก่ตัว

ตามในหนังสือ สะท้อนความเห็นแก่ตัวจัด จัดมาก ถึงจัดที่สุด ของวงการธุรกิจ   ที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อกำไรสูงสุด   โดยมีวิธีที่แยบยลคือหาทางให้ได้รับความร่วมมือจากฝ่ายการเมือง   เขาจึงมีนักวิ่งเต้น (lobbyist) ถึง ๓,๑๐๐ คน ที่ทำงานให้แก่อุตสาหกรรมสุขภาพ,  และอีก ๒,๑๐๐ คน ทำงานให้แก่อุตสาหกรรมพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ   ผู้เขียนหนังสือ คือศาสตราจารย์  Joseph Stiglitz ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ บอกว่าพฤติกรรมเช่นนี้ไม่ก่อผลดีต่อเศรษฐกิจ   ค่าใช้จ่ายสำหรับผลประโยชน์จากการเอาเปรียบสังคม เป็นการสูญเปล่าทางเศรษฐกิจ   โดยค่าใช้จ่ายในการวิ่งเต้นในสหรัฐอเมริกา ปี ค.ศ. ๒๐๑๑ สูงถึง ๓,๒๐๐ ล้านเหรียญ หรือกว่าแสนล้านบาท   เงินเหล่านี้เป็นสิ่งสูญเปล่า และก่อผลร้ายต่อเศรษฐกิจของประเทศ คือทำให้ productivity ลดลง   เขามีคำอธิบายที่ซับซ้อนที่ผมไม่นำมาบันทึก ณ ที่นี้

ผมมีความเชื่อมาตลอด ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ว่าความเห็นแก่ตัวจัดเป็นการทำร้ายสังคม และทำร้ายตนเอง   ที่ว่าทำร้ายตนเองก็เพราะคนที่เห็นแก่ตัวจัด คนดีเขาไม่นับถือ  ยากแก่การทำงานใหญ่   หรือทำงานใหญ่ได้ ก็เป็นงานในหมู่คนเห็นแก่ตัวจัดด้วยกัน   ซึ่งจะเป็นงานที่ก่อโทษแก่สังคม   ผมได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กว่าอย่าประกอบอาชีพที่เบียดเบียนผู้อื่น หรือเบียดเบียนสังคม  แต่ที่ผู้ใหญ่สอนผมตอนผมเป็นเด็กนั้น เราเข้าใจการเบียดเบียนแบบชัดเจนตรงไปตรงมา   เช่นขายเหล้า   ประกอบอาชีพที่มีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เป็นต้น   แต่เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ ผมจึงได้เรียนรู้ว่า  โลกเราเต็มไปด้วยการเบียดเบียนแบบซ่อนเร้น แอบแฝง   มองเผินๆ เหมือนเป็นของดี   ต้องการการค้นคว้าวิจัยอย่างลึกซึ้ง จึงจะมองเห็นมายาเหล่านี้

จะเห็นว่าข้อความในหนังสือเล่มนี้ (ซึ่งเน้นเรื่องของสหรัฐอเมริกา) บอกเราว่า ในสังคมวัตถุนิยม ทุนนิยม การเมืองกับธุรกิจมีแนวโน้มจะร่วมมือกันเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อกัน   โดยสูบเอาผลประโยชน์มาจากส่วนรวม (rent seeking)   ผมคิดว่าสังคมไทยก็เดินตามแนวทางนี้

ใน สรอ. สังคมของเขาเข้มแข็ง  มีกลไกด้านสื่อ ที่คอยดูแลผลประโยชน์ของสังคม   และมีกลไกทางวิชาการเข้มแข็งที่คอยตรวจสอบข้อเท็จจริงเชิงซ้อน ที่ทั้งซับซ้อนและซ่อนเงื่อน และบอกแก่สังคม   ดังกรณีของหนังสือเล่มนี้

ผมจึงเห็นโอกาสมากมายขององค์กรทางวิชาการไทย ที่จะทำงานเพื่อประโยชน์ของสังคม   ไม่ให้หลงเดินทางผิดในเชิงระบบและเชิงนโยบาย   ผมขอเชิญชวนนักวิชาการไทยทุกสาขา อ่านหนังสือเล่มนี้ และคิดโจทย์วิจัยในสังคมไทยจากประเด็นสำคัญๆ

 

 

วิจารณ์ พานิช

๕ ก.ค. ๕๕

 


หน้า 548 จาก 559
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5614
Content : 3057
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8660668

facebook

Twitter


บทความเก่า