๒.
ปฏิรูปอะไร
(๑) ปฏิรูปแนวคิดแยกส่วนสู่บูรณาการ
การคิดและทำแบบแยกส่วนจะนำไปสู่สภาวะวิกฤตเสมอ ที่ผ่านมาการศึกษาเป็นการแยกส่วนที่เอาวิชาเป็นตัวตั้ง
ไม่ได้บูรณาการอยู่กับชีวิต
การศึกษาควรเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอย่างบูรณาการไม่แยกตัวอยู่โดดเดี่ยวอยู่ตามลำพังในโรงเรียน
แต่เชื่อมโยงอยู่กับสรรพสิ่งในพื้นที่
(๒) ปฏิรูปจากการสอนสู่การเรียนรู้
หรือจากสอนสู่การเรียนรู้ เนื้อหาวิชามีมากแต่หาได้ง่ายไม่จำเป็นต้องสอน ทุกคนและทุกองค์กรต้องเป็นบุคคลและองค์กรเรียนรู้
ครูก็ต้องเป็นครูเรียนรู้ ครูที่ทำหน้าที่สอนแต่ไม่เรียนรู้จะล้าสมัยโดยรวดเร็ว
การเรียนรู้เป็น และมีการเรียนรู้ที่ดี เป็นสิ่งประเสริฐที่สุดของความเป็นมนุษย์
(๓) ปฏิรูปการเรียนรู้จากการเอาวิชาเป็นตัวตั้ง
เป็นเรียนรู้จากการปฏิบัติเป็นตัวตั้ง การเรียนรู้จากการปฏิบัติจะนำไปสู่ประโยชน์ต่างๆ
ดังต่อไปนี้
(ก) แต่ละคนมีความชอบไม่เหมือนกัน
สามารถเลือกปฏิบัติในสิ่งที่ตนชอบ การได้ทำในสิ่งที่ตนชอบจะทำให้มีความสุข
ไม่ใช่ทุกคนถูกบังคับให้ท่องจำเหมือนๆ กัน ซึ่งบีบคั้นอย่างยิ่ง ยาก
และก่อให้เกิดความทุกข์ การศึกษาที่ดีต้องก่อให้เกิดความสุข
(ข) การทำในสิ่งที่ตนชอบ
จะทำให้ทำได้ดี ทำให้ทุกคนเป็นคนเก่งหมด แต่เก่งในทางที่ต่างกัน การศึกษาแบบการท่องวิชาในชั้นมีคนท่องเก่งอยู่
๒-๓ คน นอกนั้นเป็นคนไม่เก่ง ซึ่งเป็นความคับแคบ ผิดธรรมชาติและลดทอนความเป็นมนุษย์
(ค) การได้ทำสิ่งที่ตนชอบ
จะทำให้ทำสิ่งนั้นได้นาน เป็นการฝึกความอดทน การเรียนแบบท่องซึ่งจำยากทำให้เบื่อ เซ็ง
ไม่อดทน งามสมัยใหม่ซึ่งต้องการสมาธิและความอดทนอยู่กับงานหนึ่งๆ ได้นานๆ
การที่คนไทยขี้เซ็งขี้เบื่อเป็นอันตรายยิ่งนัก
(ง) การได้ทำสิ่งที่ตนชอบ
จะทำให้ตั้งใจทำงานให้ประณีต ความประณีตกลายเป็นความงามหรือศิลปะที่มาพัฒนาจิตใจ
การพบความงามในการทำงาน ไม่ว่างานอะไร ทำให้เป็นสุขยิ่งนัก
และเป็นความเจริญอย่างยิ่ง
(จ) งานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
การเรียนรู้จากการทำงานทำให้สร้างคุณค่าและสร้างมูลค่า การทำอะไรให้สำเร็จแต่ละชิ้นทำให้เกิดความปีติ
การทำงานแล้วมีรายได้ช่วยการดำรงชีวิตและสร้างเศรษฐกิจ
ถ้ากิจกรรมเรียนรู้ทั้งหมดสร้างรายได้ แทนที่จะมีแต่การเสียเงิน จะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศเข้มแข็ง
(ฉ) การทำงาน
ไม่ว่าจะขายก๋วยเตี๋ยว หรือพายเรือจ้าง ต้องรับผิดชอบต่อผู้อื่น เพราะฉะนั้นการเรียนรู้จากการทำงานฝึกให้เป็นคนรับผิดชอบ
(ช) เกิดทักษะในการจัดการ
การเรียนแบบท่องวิชาเป็นวิชาๆ ทำให้จัดการไม่เป็น การทำงานทุกชนิดให้ประสบความสำเร็จล้วนต้องการการจัดการ
(ซ) การทำงานแล้วมีรายได้
จะทำให้มีแรงจูงใจที่จะหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อทำให้ทำงานได้ดีขึ้นและมีรายได้เพิ่มขึ้น
สถานศึกษาควรจัดการเรียนรู้เพื่อตอบสนองความต้องการการเรียนรู้ของคนทำงาน
ซึ่งต่างจากสอนดุ่ยไปโดยไม่คำนึงถึงความต้องการของผู้เรียนอย่างที่ผ่านมา
(ฌ) การเรียนรู้จากการปฏิบัติต้องเผชิญอยู่กับสถานการณ์จริงเฉพาะหน้า
สถานการณ์จริงนั้นเชื่อมโยงกัน ทำให้คิดออกว่าจะขยายการงานออกไปอย่างไร
หรือเรียกกว่าคิดใหญ่เป็น ดังกรณีคนไทยเชื้อสายจีนดังที่กล่าวมาข้างต้น
(ญ) ทำให้ค้นพบว่าการทำงานบางอย่างให้สำเร็จต้องการ
“การเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ” (Interactive learning
through action) งานบางอย่างที่ซับซ้อนและยาก มีคนและองค์กรเกี่ยวข้องด้วยมาก
ทำคนเดียวไม่สำเร็จ การเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติเป็นการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุด
เพราะทำให้ฝ่าความยากไปสู่ความสำเร็จและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน (Transformation) อย่างน้อย ๘ ประการด้วยกัน คือ
· เกิดการเคารพศักดิ์ศรีคุณค่าความเป็นคน
คนทุกคนที่เกี่ยวข้องอย่างเท่าเทียมกัน
· ไปพ้นมายาคติที่เคารพแต่ความรู้ในตำรา
สู่การเคารพความรู้ในตัวคนของคนทุกคนที่เกี่ยวข้อง
· เกิดความเอื้ออาทรต่อกัน
มีความเปิดเผยและจริงใจต่อกัน ซึ่งหาได้ยากในสังคมเชิงอำนาจ
· เกิดความเชื่อถือไว้วางใจกัน
(Trust)
ซึ่งไม่เกิดโดยการใช้อำนาจหรือเงิน
· เกิดสามัคคีธรรม
ทำให้เกิดพลังทางสังคม
· เกิดปัญญาร่วม (Collective
wisdom) นวัตกรรม และอัจฉริยะกลุ่ม (Group genius)
· ทำให้ฝ่าความยากไปสู่ความสำเร็จ
· ทำให้เกิดความสุขประดุจบรรลุนิพพาน
การเรียนรู้จากการปฏิบัติมีผลมากถึงเพียงนี้
หัวใจของการปฏิรูปการศึกษาคือ ปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดคือการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ
(๔) ปฏิรูปวัตถุประสงค์ของการศึกษา
เมื่อมีการศึกษาแผนปัจจุบันในสมัย ร.๕ การศึกษาก็เพื่อเตรียมคนเข้ารับราชการ
ต่อมาก็เพื่อให้ได้ปริญญาในวิชาต่างๆ โดยไม่ได้มีทิศทางในการพัฒนาประเทศที่ชัดเจน ทำให้เกิดโครงสร้างการศึกษาแบบแท่งไซโลดังกล่าวแล้ว
การปฏิรูปการศึกษาควรปฏิรูปวัตถุประสงค์ของการศึกษาดังต่อไปนี้
(๑) การศึกษาเพื่อความเข้มแข็งของฐานของประเทศ
ถ้าฐานของประเทศแข็งแรงจะรองรับประเทศทั้งหมดให้มั่นคง พระเจดีย์ต้องสร้างจากฐาน สร้างจากยอดไม่ได้
เพราะจะพังลงๆ ถ้าไม่มีฐานรองรับ ที่แล้วมาเราพัฒนาประเทศเหมือนสร้างพระเจดีย์จากยอด
อะไรๆ ก็จะเอาแต่ข้างบนทั้งเศรษฐกิจ การศึกษา การเมือง เมื่อฐานของประเทศอ่อนแอประเทศก็ไม่มั่นคง
ฐานของประเทศคือชุมชนท้องถิ่น การพัฒนาอย่างบูรณาการโดยเอาพื้นที่เป็นตัวตั้งคือการสร้างฐานของประเทศให้แข็งแรง
การศึกษาควรเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอย่างบูรณาการและสนับสนุนให้การพัฒนาอย่างบูรณาการเข้มแข็ง
การมีสัมมาชีพเต็มพื้นที่เป็นปัจจัยของความร่มเย็นเป็นสุขในแต่ละจังหวัด
ระบบการศึกษาทุกประเภท ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกับภาคธุรกิจ สามารถสร้างสัมมาชีพได้เต็มพื้นที่
(๒) อาชีวศึกษาเข้มแข็ง
อาชีวศึกษาเป็นฐานของการมีงานทำและความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลต้องมีนโยบายให้สาธารณะเห็นคุณค่าของอาชีวศึกษาและส่งเสริมอาชีวศึกษาอย่างเต็มที่
(๓) การศึกษาเพื่อความเข้มแข็งทางวิชาการ การศึกษา ๒ ประเภทแรก จะกระจายผู้เรียนส่วนใหญ่ออกไปจากแท่งไซโลของสามัญศึกษา เหลือผู้เรียนส่วนน้อยที่มีฉันทะทางวิชาการ ศึกษาเพื่อความเข้มแข็งทางวิชาการ
ให้ผู้เรียนในวงทั้ง
๓ สามารถเคลื่อนย้ายการเรียนรู้ระหว่างกันได้ จาก ๑ สู่ ๒ หรือ ๓ จาก ๒ สู่ ๑ หรือ
๒ จาก ๓ สู่ ๑ หรือ ๒ ทั้งนี้ควรลดความแข็งกระด้างของการแบ่งเป็นชั้นปีการศึกษา เปลี่ยนเป็นความยืดหยุ่น
โดยกระจายวัตถุประสงค์ของการศึกษาออกเป็น
๓ เราจะได้ทั้งความเข้มแข็งของฐานของประเทศ ความเข้มแข็งของอาชีวศึกษา และความเข้มแข็งทางวิชาการ
เปิดทางเลือกให้ทุกคน ซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายต่อยอดได้ตามความสนใจหรือความถนัด
(๑) ปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้
มนุษย์มีศักยภาพสูงสุดในการเรียนรู้
สามารถเรียนรู้ให้บรรลุอะไรก็ได้ การเรียนรู้ที่ดีจึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดของความเป็นมนุษย์
เป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะแสวงหาและช่วยให้เพื่อนมนุษย์ได้พบกระบวนการเรียนรู้ที่ดีที่สุด
ขณะนี้ทั่วโลก
มีบุคคลและองค์กรอันหลากหลาย นอกเหนือไปจากแวดวงศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ ที่สนใจเรื่องสมองกับการเรียนรู้
ในประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ควรมีการทำ mapping ว่ามีใครบ้างที่เชี่ยวชาญเรื่องนวัตกรรมการเรียนรู้ แล้วส่งเสริมให้เป็นกลุ่มหรือสถาบัน
และเครือข่ายวิจัย และพัฒนาการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยทุกแห่งควรสร้างความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับนวัตกรรมการเรียนรู้
แล้วพัฒนาครูให้เป็นผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมการเรียนรู้
โดยหลักการการเรียนรู้มี ๓ องค์ (ไตรยางค์) ที่คล้องกันอยู่ คือ วัฒนธรรม – วิทยาศาสตร์ - จิต
การเรียนรู้ในฐานวัฒนธรรม
หมายถึงในฐานของวิถีชีวิตร่วมกันของกลุ่มชนที่สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมหนึ่งๆ หรือเรียนรู้จากการปฏิบัติที่เอาชีวิตและการอยู่ร่วมกันเป็นตัวตั้ง
ให้ทำเป็น คิดเป็น อยู่ร่วมกันเป็น
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
หมายถึงกระบวนการแห่งเหตุผลทำให้เข้าใจสิ่งต่างๆ ชัดขึ้น ลึกขึ้น คำว่าธรรมะในพุทธศาสนาด้านหนึ่งหมายถึงความเป็นเหตุเป็นผล
อย่างเดียวกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แต่ลึกกว่าและแท้จริงมากกว่า เพราะต้องลดความเห็นแก่ตัว
ความเป็นเหตุเป็นผลจึงจะเป็นของแท้
จิตตปัญญาศึกษา
มนุษย์เป็นสัตว์ประเภทเดียวที่สามารถเห็นจิตของตนเองได้ จิตตปัญญาศึกษา นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตนเอง
(Transformation)
หรือเกิดจิตสำนึกใหม่ ที่มีสภาพจิตที่โปร่งเบา เป็นอิสระ มีความสุขอย่างลึกล้ำ
ประสบความงามอันล้นเหลือ และมีมิตรภาพอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่ง อันเป็นไปเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ทุกวันนี้โลกวิกฤต
การอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับคน และคนกับสิ่งแวดล้อม เพราะมนุษย์ติดอยู่ในข้อจำกัดของสัญชาตญาณแห่งอัตตา
แต่มนุษย์ก็มีศักยภาพที่จะก้าวข้าม (Transcend) ข้อจำกัดนี้ การเรียนรู้ที่ดีต้องทำให้มนุษย์เข้าถึงศักยภาพสูงสุดของตนเอง
(๖) ปฏิรูปการบริหารจัดการการศึกษา
จากการรวมศูนย์อำนาจและควบคุม เป็นการกระจายการมีส่วนร่วมให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีบทบาทจัดการศึกษาอย่างที่เรียกว่า
All
For Education เช่น ครอบครัว ชุมชน ท้องถิ่น
วัด ภาคประชาสังคม กองทัพ ภาคธุรกิจ กระทรวงศึกษาธิการปรับตัวไปทำหน้าที่ส่งเสริมเชิงนโยบายและวิชาการ
(โปรดติดตามตอนต่อไป "ปฎิรูปอย่างไร"