ช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี ผมมีประชุมสามัญประจำปีของหลายมูลนิธิ มูลนิธิพูนพลังเมื่อวันที่ ๓ มูลนิธิ สคส. เมื่อวันที่ ๖ มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ เมื่อวันที่ ๒๑ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติและ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ เมื่อวันที่ ๒๘ และมูลเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ ในวันที่ ๒๙
ส่วนมูลนิธิเพื่อการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ มีการประชุมตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์
ปีนี้ผมไม่ได้เป็นประธานกรรมการมูลนิธิมหาวิทยาลัยมหิดลแล้ว หมดภาระไปหนึ่งมูลนิธิ แต่ก็ได้เพิ่มมาอีก ๑ คือมูลนิธิสยามกัมมาจล เปลี่ยนจากรองประธานเป็นประธาน มูลนิธินี้ขยันประชุม คือเดือนละครั้ง ตรงกันข้ามกับมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ ที่ประชุมปีละครั้งเดียว จึงกำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารช่วยดูรายละเอียด เดิมท่านองคมนตรี ศ. นพ. เกษม วัฒนชัย เป็นประธาน ปีนี้ท่านขอลาออก ภาระจึงตกมาที่ผม
เล่ามายืดยาว เพื่อจะบอกว่า ในสังคมที่มีอารยะธรรม มีรัฐที่เข้มแข็ง และมีพลเมืองที่รักบ้านเมืองนั้นบทบาทในการพัฒนาบ้านเมือง ต้องมีหลายฝ่ายช่วยกัน ตามแนวทางของลัทธิประชาธิปไตย คือประชาชนเป็นใหญ่
ประชาชนมอบหมายอำนาจในการดูแลบ้านเมืองให้แก่ ๓ ฝ่าย คือฝ่ายบริหาร คือรัฐบาล ฝ่ายนิติบัญญัติ ทำหน้าที่ออกกติกาของบ้านเมือง และฝ่ายตุลาการ
แต่ในความเป็นจริง ความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองมีปัจจัยขับเคลื่อนมากกว่านั้น และซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทบาทด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ มีทั้งบทบาทภาครัฐ และบทบาทของภาคธุรกิจเอกชน ซึ่งตรงนี้ ไม่จำกัดอยู่เฉพาะภายในประเทศเท่านั้น มันเชื่อมโยงไปกับเศรษฐกิจโลกอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และมันมีลักษณะละโมบมากขึ้นเรื่อยๆ
ความเข้มแข็งของภาครัฐ กับภาคธุรกิจค้ากำไร ไม่เพียงพอสำหรับความเจริญก้าวหน้าและมั่นคงของบ้านเมือง ต้องการอีกหลายฝ่ายมาช่วยกัน ฝ่ายที่สาม (third sector) คือภาคเอกชนที่ไม่ค้ากำไร(NPO – Non-Profit Organization) ที่กฎหมายบ้านเมืองให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลได้ในรูปของมูลนิธิ หรือสมาคม สำหรับให้ประชาชนรวมตัวกันทำกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ ภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย
กฎหมายระบุให้คณะกรรมการที่เป็นบุคคลน่าเชื่อถือ ทำหน้าที่กำกับดูแล ดังนั้น เมื่อผมอายุมากขึ้น จึงได้รับเชิญให้เข้าไปเป็นกรรมการมูลนิธิมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมก็ยินดี ถือเป็นการทำงานแทนคุณแผ่นดิน คนเราต้องรู้จักมีความกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีพระคุณ และต่อแผ่นดิน
ในการประชุมสามัญประจำปีของมูลนิธิ มีวาระหลักคือ (๑) รับรองงบดุลประจำปีที่ผ่านมา (ที่ผ่านการตรวจสอบของนักบัญชีรับอนุญาตแล้ว) (๒) รับทราบผลงานประจำปีที่ผ่านมา (๓) ให้คำแนะนำและเห็นชอบแผนงานและแผนเงินประจำปีต่อไป (๔) เรื่องอื่นๆ
การทำงานมูลนิธิ ให้มีความก้าวหน้ายั่งยืนต่อเนื่อง เป็นเรื่องท้าทายมาก เพราะสังคมไทยผู้คนไม่นิยมบริจาคเงินเพื่อทำงานพัฒนาสังคม เรานิยมบริจาคแก่โรงพยาบาล และแก่วัด โดยถือว่าได้บุญ ทำนองทำบุญสำหรับเป็นการลงทุนไว้รับผลบุญในชาติหน้า โดยตีความคำว่าชาติหน้าว่าหมายถึงเมื่อตนเองไปเกิดใหม่ แตกต่างจากการตีความว่าชาติหน้าหมายถึงคนรุ่นลูกหลานของตนเองและของคนอื่น
ที่จริงผมทำงานมูลนิธิ และงานสาธารณประโยชน์อื่นๆ ก็หวังทำบุญเหมือนกัน เป็นการทำบุญเพื่อความชุ่มชื่นในใจตัวในชาตินี้ รวมทั้งหวังผลในชาติหน้า ซึ่งหมายถึงผลแก่คนรุ่นหลัง ที่เป็นสายเลือดของผมหรือไม่ก็ได้ เพราะผมถือว่าทุกคนเป็นญาติกัน แม้แต่ไม่ใช่คนก็เป็นญาติกับเรา ผมไม่เชื่อว่ามีชาติหน้า เชื่อว่าตายแล้วตายเลย ไม่มีอะไรเหลืออีกสำหรับตัวเรา ส่วนจะมีความทรงจำเหลืออยู่ในคนอื่นแค่ไหนอย่างไร ไม่เกี่ยวกับเรา เพราะเราตายแล้ว ชีวิตจบแล้ว และได้บำเพ็ญประโยชน์ไว้ให้แก่คนรุ่นหลังแล้ว หมดห่วงพ้นทุกข์พ้นร้อนไปแล้ว
วิจารณ์ พานิช
๒๙ มี.ค. ๕๖