Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

มีโรงเรียนไปทำไม : 2. โรงเรียนแบบเก่า โรงทรมานเด็กด้วยหลักสูตรที่พองขึ้นๆ

พิมพ์ PDF

ที่ร้ายที่สุดคือความคิดแบบบังคับบัญชา (command and control) ที่ครอบงำวงการศึกษา

 

มีโรงเรียนไปทำไม  : 2. โรงเรียนแบบเก่า โรงทรมานเด็กด้วยหลักสูตรที่พองขึ้นๆ

บันทึกชุด มีโรงเรียนไปทำไม รวม ๗ ตอนนี้ ตีความจากหนังสือ Why School? : How Education Must Change When Learning and Information Are Everywhere เขียนโดย Will Richardson บอกตรงๆ ว่า ระบบการศึกษาจะอยู่ในสภาพปัจจุบันไม่ได้  ต้องเปลี่ยนแปลงในทำนองเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

สิ่งที่ผิดทางการศึกษา คือมุ่งจัดการศึกษาแบบ “มีข้อกำหนด” (prescriptive) ซึ่งก็คือหลักสูตร ที่นับวันจะพองตัวขึ้นเรื่อยๆ ตามปริมาณความรู้ที่เพิ่มขึ้น  กำหนดให้ต้องถ่ายทอดความรู้ตามที่กำหนด  และต้องจัดการสอบแบบการทดสอบมาตรฐาน ที่ล้าสมัย เพื่อดูว่าได้ผลตามที่กำหนดในหลักสูตรหรือไม่  และที่ร้ายที่สุดคือความคิดแบบบังคับบัญชา (command and control) ที่ครอบงำวงการศึกษา

ผมขออภัยท่านที่อยู่ในวงการศึกษา ที่ถอดความในหนังสือนี้มาลงบันทึกด้วยถ้อยคำรุนแรง  ผมไม่มีเจตนาลบหลู่  แต่ต้องการปลุกสำนึกว่าการศึกษาที่เราจัดให้แก่ลูกหลานของเราในเวลานี้นั้น มันผิด มันตกยุค  และเป็นเสมือนทำร้ายเด็ก  เพราะจะไม่ทำให้เด็กที่เป็นอนาคตของประเทศ มีทักษะที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ ๒๑

หลักสูตรและโรงเรียนแบบเก่าที่ใช้มา ๑๕๐ ปี กำลังถูกท้าทายด้วยโอกาสเรียนรู้แบบใหม่ ที่เรียนได้จากทุกที่ ทุกเวลา โดยทุกคน  ขอให้ตั้งใจมีใจอยากเรียนรู้และเข้า อินเทอร์เน็ตได้

โรงเรียนแบบเก่า เรียนปีละ ๑๘๐ วัน  เด็กต้องแบกเป้หนักอึ้งมาโรงเรียน  เลือกครูไม่ได้ ครูแย่แค่ไหนก็ต้องไปเรียนตามที่โรงเรียนกำหนด  วิชาไม่น่าสนใจก็ต้องเรียน  โรงเรียนมีสนามเด็กเล่นไม่พอก็ต้องแย่งชิงเอา  อาหารที่โรงอาหารกินไม่ลงก็ต้องกิน ฯลฯ

ที่น่ากังวลสำหรับผม แต่ไม่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้คือ ครูมุ่งสอนวิชาเพื่อให้เด็กสอบผ่าน  ไม่ได้สนใจสอนความเป็นมนุษย์ที่พัฒนาครบด้านให้แก่เด็ก  เพราะเรื่องนี้ไม่มีการสอบ  เด็กถูกสอนมาก (ตามหลักสูตร) แต่ได้เรียนน้อย  ในขณะที่ประเทศที่การศึกษาคุณภาพดี เขาใช้หลัก สอนน้อย เรียนมาก  และเรียนอย่างบูรณาการเพื่อให้เกิดพัฒนาการครบด้าน

ที่เป็นตัวการแห่งความเสื่อมคือการประเมิน หรือการสอบ ที่เน้นสอบความรู้หรือการท่องจำ  เน้นสอบโดยส่วนกลาง  ที่ทำให้ครูไม่มั่นใจตนเอง ไม่ได้ฝึกฝนการประเมินการเรียนรู้ของเด็กด้วยตนเอง  มัวแต่ลนลานสอนให้ทัน ให้ครบตามหลักสูตร  โดยไม่ได้เอาใจใส่มากนักว่าเด็กได้เรียนหรือไม่  หรือสนใจแต่เด็กที่เรียนเก่งว่าได้เรียนรู้แล้ว  เด็กที่เรียนไม่เก่งครูสอนแล้วก็ถือว่าได้ทำหน้าที่แล้ว ที่ไม่รู้เพราะเด็กโง่เอง  นี่คือส่วนหนึ่งของข้อด้อยของโรงเรียนแบบเก่า

ผู้เขียนบอกว่า กฎหมาย No Child Left Behind ของสหรัฐอเมริกา ได้ส่งผลให้ระบบการศึกษาอเมริกัน เป็นการเรียนเพื่อสอบ  ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่า ก็เกิดขึ้นพร้อมๆ กันกับการมี สมศ.  และการสอบของส่วนกลางของไทย  ซึ่งก็มีส่วนทำให้การศึกษาไทยเป็นการสอนและเรียนเพื่อสอบเช่นเดียวกัน

การสอบอย่างที่ทำกันในปัจจุบัน ไม่ทำนายความสำเร็จในชีวิตอนาคตของเด็ก ซึ่งโลกและสังคมจะมีการเปลี่ยนแปลงต่อไปแบบคาดเดาไม่ได้  เพราะเป็นการทดสอบความรู้ในปัจจุบัน  ไม่ได้ทดสอบทักษะในการเรียนรู้ และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ของเด็ก

บริษัท ไอบีเอ็ม ได้สอบถามความเห็นของผู้บริหาร ว่าปัจจัยสำคัญที่สุดต่อความสำเร็จของคนในอนาคตคืออะไร  ไม่มีคนตอบว่าคือผลสอบต่างๆ เลย  ปัจจัยที่มีคนตอบมากที่สุดคือ “ความริเริ่มสร้างสรรค์ และความสามารถในการจัดการความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของโลก”  จึงเกิดคำถามว่า ระบบการศึกษาที่ช่วยให้เด็กพัฒนาคุณสมบัติที่ต้องการสองข้อนี้เป็นอย่างไร  คำตอบคือ ไม่ใช่โรงเรียนแบบเก่า อย่างแน่นอน

ผู้เขียนไม่โทษครู แต่โทษระบบ  ว่าระบบการศึกษาของอเมริกันไม่ดี  มีผลให้ครูออกจากอาชีพถึงครึ่งหนึ่ง ในเวลา ๕ ปีแรกของการเข้าสู่อาชีพครู

ทำให้ผมหันกลับมาตั้งคำถามต่อระบบของไทย

หนังสือยังบอกอีกว่า หากคิดเฉพาะกลุ่มนักเรียนที่มาจากครอบครัวรายได้สูง  ผลการทดสอบสูงลิ่ว  สะท้อนให้เห็นความแตกต่าง หรือช่องว่างทางสังคมอย่างชัดเจน  ช่างเหมือนกับสยามประเทศอะไรอย่างนั้น  ต่างจากประเทศที่ผลการเรียนของเขาดี เช่นฟินแลนด์ ที่โรงเรียนทั่วประเทศมีคุณภาพทัดเทียมกัน  และไม่มีการทดสอบจากส่วนกลาง

ในวาทกรรมปฏิรูปการเรียนรู้โดยใช้ ไอซีที เป็นเครื่องช่วยนั้น  มันซ่อนความเชื่อสองแนวไว้อย่างแนบเนียน  คือแนวอนุรักษ์ของเดิม เพิ่มประสิทธิภาพ (และประสิทธิผล) ด้วย ไอซีที  ใช้ไอซีทีช่วยถ่ายทอดเนื้อวิชาแทนครูเป็นส่วนใหญ่  โดยที่ครูผู้ช่วยคอยคุมเครื่อง และบอกเวลาหมดคาบหรือหมดชั่วโมง  และมีครูติวเต้อร์ หรือครูที่ปรึกษาให้นักเรียนบางคน ที่เรียนช้า หรือไม่เข้าใจ  การสอบก็เน้นสอบแบบเขียนเรียงความ  โดยมีการวิจัยพัฒนาเครื่องตรวจข้อสอบแบบเรียงความ ที่สามารถตรวจข้อสอบได้ ๑ หมื่นข้อ (คน) ใน ๑ นาที

ส่วนแนวยกเครื่องการเรียนรู้ใหม่นั้น จะเล่าโดยละเอียดในตอนที่ ๔  จุดสำคัญที่หนังสือเล่มนี้บอกคือ แนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการสอนเนื้อหาด้วยเครื่อง ไอซีที นั้น  ยังไม่ใช่วิธีการของศตวรรษที่ ๒๑  ที่ผู้เรียนต้องมีอิสระ และมีอำนาจเหนือการเรียนรู้ของตนเอง  เราต้องไม่หลงพัฒนารูปแบบการเรียนรู้โดยยังยึดติดที่เนื้อหาอย่างเดิม เพียงแต่เปลี่ยนผู้สอนจากเน้นครู มาเป็นเน้นให้เครื่องสอน  และเวลาสอบก็ยังเน้นสอบเนื้อหาอย่างเดิม เพียงแต่เปลี่ยนข้อสอบจากเน้นปรนัยมาเป็นอัตนัย แล้วใช้เครื่องตรวจ

ในการปฏิรูปการเรียนรู้ มีมายา  หรือการหลอกตัวเอง ทั้งแบบจงใจ และแบบไม่รู้ตัว   ผู้ที่กำลังปฏิรูปการเรียนรู้ไทยพึงตระหนักข้อนี้

วิจารณ์ พานิช

๑๒ เม.ย. ๕๖

 

 

เป้าหมายในการจัดตั้ง "มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์"

พิมพ์ PDF

มูลนิธินี้เริ่มทำงานมา 4 ปีแล้ว โดยใน 4 ปีแรก เป็นแค่ "ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์" เป็นกลุ่มบุคคล แต่เมื่อเดือน พฤศจิกายน 2556 ได้จดทะเบียนเป็น มูลนิธิ ฯ เรียบร้อยแล้ว เราจะเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษา การให้ความรู้และการสร้างคนใน 20-40 ปี ข้างหน้า ได้แบ่งกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องออกเป็น 3 กลุ่ม

กลุ่มแรกคือกลุ่มคนที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เป็นผู้สูงวัย มีประสบการณ์มาก ทั้งดี และไม่ดี กลุ่มนี้จะคัดเลือกผู้ที่มองเห็นและเข้าใจว่าคนยุคนี้เป็นยุคที่ยึดติดกับระบบทุนนิยม แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน โดยไม่คำนึกว่าได้มาอย่างไร ใช้อำนาจ เป็นใหญ่จึงหวงอำนาจไม่ยอมถ่ายอำนาจให้คนอื่น

กลุ่มที่สองเป็นคนที่เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของโลก รู้แจ้งว่าระบบทุนนิยมจะล่มสลายเช่นเดี่ยวกับระบบสังคมนิยม ผู้ที่ประสบผลสำเร็จในรุ่นนี้ จะใช้ระบบเศรษฐกิจพอเพียง มีอายุตั้งแต่ 49 ปีลงไปถึง 30 ปี กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มีกำลังให้การสนับสนุน เป็นโค้ช และตัวอย่างที่ดีให้กับคนกลุ่มที่สาม

กลุ่มที่สาม ได้แก่กลุ่มเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังศึกษาและเริ่มทำงาน อายุ 29 ปีลงไป เด็กพวกนี้สับสน ไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ ขาดความศรัทธาและนับถือผู้ใหญ่ เพราะผู้ใหญ่ คือคนกลุ่มที่หนึ่ง และคนกลุ่มที่สอง ส่วนมากไม่ทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดี เด็กรุ่นนี้ใช้วิธีการสั่งการหรือควบคุมไม่ได้ ต้องใช้เหตุผลและวิธีการทางจิตวิทยาสูง เด็กรุ่นนี้เป็นเด็กยุด IT สามารถเรียนรู้ทุกอย่างจาก Internet ทำให้เด็กเข้าใจว่าฉันรู้มาก จึงไม่ฟังผู้ใหญ่ เพราะคิดว่าผู้ใหญ่ล้าสมัย แต่สิ่งที่เด็กได้รับจากการเรียนรู้วิธีนี้เป็นดาบสองคม พวกเขารู้มากมายแต่ขาดประสบการณ์จริง รู้แบบผิวเผิน จึงต้องการผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่ง และผู้ใหญ่กลุ่มสอง ที่ให้ความสนใจและเห็นปัญหาด้านการสร้างทุนมนุษย์ในอนาคต เป็นโค้ช เป็นที่ปรึกษา ผู้ให้การสนับสนุน และสร้างโอกาส กับคนกลุ่มสาม

สรุปว่าคนทั้งสามรุ่นจะต้องทำงานด้วยกันเพื่อขับเคลื่อนมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ให้ประสบผลตามเป้าหมายคือ ทำให้คนมีคุณค่า มีทุนมนุษย์ครบทั้ง 8 K และ 5 K ตามทฤษฎีของ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ การสร้างคนดีคนเก่งได้จะต้อง ทำความเข้าใจเรื่อง Human Resource, Human Ca[ital ,Human Being ( คนเป็นทรัพยากรของแผ่นดิน คนทุกคนมีทุน มีคุณค่า เข้าใจความเป็นคน คนต้องการอะไร ) ต้องทำความเข้าใจทั้ง 3 ความหมายอย่างล฿กซึ้ง และนำมาบูรณาการเข้าด้วยกัน จึงจะได้คนดีคนเก่ง คนดีคนเก่งคือคนที่ เก่งคน เก่งคิด เก่งทำงาน และเก่งในการดำรงชีวิต ขบวนการที่จะทำให้เป็นทั้งคนเก่งและคนดี คือการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นหลักในการดำเนินการในทุกขั้นตอนของขบวนการสร้างคนดีคนเก่ง
ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท
14 เมษายน 2556

 

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ VS บทความ "มีโรงเรียนไปทำไม""

พิมพ์ PDF

เป้าหมายในการจัดตั้ง "มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์"

จากบทความชุด "มีโรงเรียนไปทำไม" ของอาจารย์วิจารณ์ พานิช ตีความจากหนังสือ Why School? : How Education Must Change When Learning and Information Are Everywhere เขียนโดย Will Richardson บอกตรงๆ ว่า ระบบการศึกษาจะอยู่ในสภาพปัจจุบันไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลงในทำนองเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากบทความดังกล่าวนี้ทำให้เป็นการยืนยันว่าความคิดของผมและเพื่อนๆมาถูกทางแล้วที่เราร่วมกันจัดตั้ง "มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์" ขึ้นมา

มูลนิธินี้เริ่มทำงานมา 4 ปีแล้ว โดยใน 4 ปีแรก เป็นแค่ "ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์" เป็นกลุ่มบุคคล แต่เมื่อเดือน พฤศจิกายน 2556 ได้จดทะเบียนเป็น มูลนิธิ ฯ เรียบร้อยแล้ว เราจะเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษา การให้ความรู้และการสร้างคนใน 20-40 ปี ข้างหน้า ได้แบ่งกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องออกเป็น 3 กลุ่ม

กลุ่มแรกคือกลุ่มคนที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เป็นผู้สูงวัย มีประสบการณ์มาก ทั้งดี และไม่ดี กลุ่มนี้จะคัดเลือกผู้ที่มองเห็นและเข้าใจว่าคนยุคนี้เป็นยุคที่ยึดติดกับระบบทุนนิยม แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน โดยไม่คำนึกว่าได้มาอย่างไร ใช้อำนาจ เป็นใหญ่จึงหวงอำนาจไม่ยอมถ่ายอำนาจให้คนอื่น 

กลุ่มที่สองเป็นคนที่เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของโลก รู้แจ้งว่าระบบทุนนิยมจะล่มสลายเช่นเดี่ยวกับระบบสังคมนิยม ผู้ที่ประสบผลสำเร็จในรุ่นนี้ จะใช้ระบบเศรษฐกิจพอเพียง มีอายุตั้งแต่ 49 ปีลงไปถึง 30 ปี กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มีกำลังให้การสนับสนุน เป็นโค้ช และตัวอย่างที่ดีให้กับคนกลุ่มที่สาม

กลุ่มที่สาม ได้แก่กลุ่มเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังศึกษาและเริ่มทำงาน อายุ 29 ปีลงไป เด็กพวกนี้สับสน ไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ ขาดความศรัทธาและนับถือผู้ใหญ่ เพราะผู้ใหญ่ คือคนกลุ่มที่หนึ่ง และคนกลุ่มที่สอง ส่วนมากไม่ทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดี เด็กรุ่นนี้ใช้วิธีการสั่งการหรือควบคุมไม่ได้ ต้องใช้เหตุผลและวิธีการทางจิตวิทยาสูง เด็กรุ่นนี้เป็นเด็กยุด IT สามารถเรียนรู้ทุกอย่างจาก Internet ทำให้เด็กเข้าใจว่าฉันรู้มาก จึงไม่ฟังผู้ใหญ่ เพราะคิดว่าผู้ใหญ่ล้าสมัย แต่สิ่งที่เด็กได้รับจากการเรียนรู้วิธีนี้เป็นดาบสองคม พวกเขารู้มากมายแต่ขาดประสบการณ์จริง รู้แบบผิวเผิน จึงต้องการผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่ง และผู้ใหญ่กลุ่มสอง ที่ให้ความสนใจและเห็นปัญหาด้านการสร้างทุนมนุษย์ในอนาคต เป็นโค้ช เป็นที่ปรึกษา ผู้ให้การสนับสนุน และสร้างโอกาส กับคนกลุ่มสาม

สรุปว่าคนทั้งสามกลุ่มจะต้องทำงานด้วยกันเพื่อขับเคลื่อนมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ให้ประสบผลตามเป้าหมายคือ ทำให้คนมีคุณค่า มีทุนมนุษย์ครบทั้ง 8 K และ 5 K ตามทฤษฎีของ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ การสร้างคนดีคนเก่งได้จะต้อง ทำความเข้าใจเรื่อง Human Resource, Human Capital,Human Being ( คนเป็นทรัพยากรของแผ่นดิน คนทุกคนมีทุน มีคุณค่า เข้าใจความเป็นคน คนต้องการอะไร ) ต้องทำความเข้าใจทั้ง 3 ความหมายอย่างลึกซึ้ง และนำมาบูรณาการเข้าด้วยกัน จึงจะได้คนดีคนเก่ง คนดีคนเก่งคือคนที่ เก่งคน เก่งคิด เก่งทำงาน และเก่งในการดำรงชีวิต ขบวนการที่จะทำให้เป็นทั้งคนเก่งและคนดี คือการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้เป็นหลักในการดำเนินการในทุกขั้นตอนของขบวนการสร้างคนดีคนเก่ง
ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท
14 เมษายน 2556

ผู้ใดสนใจเข้ามีส่วนร่วมในการสร้างคนดีคนเก่ง คนที่มีคุณภาพ สร้างความเจริญรุ่งเรื่อง และความมั่นคง ให้กับสังคมและประเทศชาติ  ประชาชนโดยรวมมีความสุข อย่างยั่งยืน ในอีก 20-40 ปี ข้างหน้า เชิญ แจ้งความจำนงมาที่ผมโดยตรง ทาง e-mail address: อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน หรือ โทร 089-1381950

มูลนิธิต้องการผู้มีส่วนร่วมทั้งสามกลุ่มเป็นจำนวนมากครับ เป็นการร่วมมือกันสร้างคุณค่าของคน เริ่มจากตัวเราเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ สิ่งที่เราเริ่มทำจะไปเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในคนกลุ่มที่ 4 คือลูกของคนที่มีอายุ 29 ปีลงไป กลุ่มที่หนึ่งทำเพื่ออนาคตของหลาน เหลน ตัวเองคงไม่ทันเห็นผลสำเร็จในชีวิต ของตัวเอง  คงจะตายไปก่อน แต่สำหรับบางคนอาจจะเป็นการทำเพื่อตัวเองก็ได้ เพราะเมื่อตายไปแล้วเกิดใหม่จะได้มารับอานิสงค์ที่ตัวเองทำไว้

 

ชีวิตที่พอเพียง : ๑๗๘๙. อ่านหนังสือ

พิมพ์ PDF

หนังสือ กระบวนการภาวนาศึกษา เมื่อความรู้แปรเป็นความรัก พินทุสร ติวุตานนท์ แปล  จาก Meditation as Contemplative Inquiry : When Knowing Becomes Love by Arthur Zajonc

ปีเต้อร์ เซงเก้ เขียนคำนำว่า นี่คือหนังสือชี้ทางปิดช่องว่างระหว่าง วิทยาศาสตร์ จิตสำนึก และความเปลี่ยนแปลงทางสังคม

หนังสือเล่มนี้ ว่าด้วยการเรียนรู้ด้านใน  ที่จะต้องคู่ หรือผสาน ไปกับการเรียนรู้ด้านนอก  ซึ่งผมเชื่อว่า การเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ ๒๑ ต้องดำเนินควบคู่กัน ตั้งแต่เกิด ไปจนตาย  ในระบบการศึกษาอย่างเป็นทางการ ต้องจัดการเรียนรู้ควบคู่นี้ ตั้งแต่ชั้นเด็กเล็ก  ไปจนจบ ม. ๖  ปวช., ปวส., ปริญญาตรี โท เอก และตลอดไป

ใครไม่รู้วิธีจัดการศึกษาแบบนี้ ให้ไปดูที่ โรงเรียนนอกกะลา และโรงเรียนทางเลือกอื่นๆ

ผมเชื่อว่า มีวิธีการเรียนรู้โดยการฝึกปฏิบัติที่ง่าย  ที่จะให้เกิดการเรียนรู้ทั้งสองด้านไปพร้อมๆ กัน และเสริมส่ง (synergy) ซึ่งกันและกัน   ที่ใช้ได้กับเด็กทุกวัย   โดยเปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้จากเน้นครูสอน ไปเป็นเน้นให้นักเรียนปฏิบัติเป็นทีม  ตามด้วยการเขียนรายงานกระบวนการทำงานโดย นร. แต่ละคน  และ team presentation ของแต่ละทีม  ตามด้วยการทำ AAR หรือ reflection ในชั้น  โดยครูมีทักษะในการตั้งคำถามให้ นร. AAR ทั้งความรู้ด้านนอก และความรู้ด้านใน

 

วิจารณ์ พานิช

๒๑ ก.พ. ๕๖

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/532717

 

ชีวิตที่พอเพียง : ๑๔๑๗. เคาะกระโหลกด้วยกะลา : AAR จากการเปิดรับ tacit และ explicit knowledge จากโรงเรียนนอกกะลา

พิมพ์ PDF

 

จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบผมเขียนบันทึกที่๑จากการไปเยี่ยมชื่นชมโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาโดยยังไม่ได้อ่านหนังสือ๒เล่มที่ผมซื้อติดมือมาคือโรงเรียนนอกกะลากับคนบนต้นไม้ทั้งสองเล่มเขียนโดยผอ.วิเชียรไชยบัง

ที่ว่าโชคดีก็เพราะทำให้ผมเขียนจากการตีความกระท่อนกระแท่นของผมเองจากการไปเห็นและฟังจากครูบันทึกนั้นจึงถือว่าเป็น original idea หรือการตีความของผมล้วนๆ

ที่ว่าโชคร้ายก็คือที่ผมตีความนั้นมีอยู่แล้วทั้งหมดในหนังสือ๒เล่มนี้มีมากกว่าที่ผมตีความได้อย่างมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ "ทำอย่างไร" (how)   และ "ทำไมจึงทำอย่างนั้น" (why)

บันทึกนี้จึงได้จากการตีความและใคร่ครวญจากความรู้๒แหล่งจากการไปเยี่ยมชื่นชมกับการอ่านหนังสือและเข้าเว็บเข้าบล็อก (lamplaimatpattanaschool.blogspot.com) รวมทั้งดู YouTube (ค้นด้วยคำว่า LPMPและคำว่า โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา)

ผมตีความว่าที่โรงเรียนนี้นักเรียนและครูใช้ (ฝึก) KM อยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้สึกตัวและสิ่งที่ลปรร.กันนั้นส่วนใหญ่เป็น tacit knowledge คือความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติ

ผมได้รู้จักPygmalion Effect หรือ Rosenthal Effect เป็นทฤษฎีที่บอกว่าพฤติกรรมของครูมีผลต่อการเรียนรู้ของนักเรียนหากครูคิดว่าเด็กบางคนไม่เก่งท่าทีแบบไร้สำนึกของครูจะไปลดความเชื่อถือตัวตนของเด็กทำให้เด็กขาดแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองไม่กล้าจินตนาการการที่ครูจำแนกเด็กเก่งไม่เก่งจึงก่อผลร้ายต่อการเรียนรู้พัฒนาการและอนาคตของเด็กส่วนใหญ่ตรงกันข้ามถ้าครูยกย่องชมเชยให้กำลังใจและแสดงความคาดหวังที่สูงต่อเด็กเด็กจะเรียนรู้ได้ดีขึ้น

ลองอ่าน Wikipedia หัวข้อPygmalion Effectดูนะครับว่าที่จริงแล้วท่าทีและความคาดหวังของนักเรียนต่อครูที่เป็นด้านบวกจะให้ผลทำนองเดียวกันคือทำให้เป็นครูที่ดีขึ้นทำให้ผมคิดต่อว่าที่จริงในชีวิตประจำวันของผู้คนหากเราสัมพันธ์กันด้วยจิตวิทยาเชิงบวกความคาดหวังต่อกันเชิงบวกจะเกิด synergy ระหว่างกันกระตุ้นซึ่งกันและกันให้ทำงานประสบความสำเร็จได้ดีขึ้นที่จริงนี่คือบรรยากาศที่เราสร้างสำหรับใช้เครื่องมือ KM ในการทำงานนัก HRD ดู YouTube เรื่อง Pygmalion Effect : Amanaging the Power of Expectations, 3rd Ed ได้ที่นี่และมีคนแนะใน YouTube ว่าหนังคลาสสิคเรื่อง My Fair Lady เป็นตัวอย่างของ Pygmalion Effect ที่ดี

นี่คือทฤษฎีหรือวิชาการว่าด้วยโลกแห่งมิตรไมตรีที่ผู้คนใช้จิตวิทยาเชิงบวกต่อกันกระตุ้นความมานะพยายามต่อกันและกันโลกจะก้าวหน้าและงดงามขึ้น

โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาตีความ IQ ใหม่เป็น Intellectual Qutient (สติปัญญา) ไม่ใช่ Intelligent Quotient (เชาวน์ปัญญา) เพราะ Intelligent Quotient เป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิดเปลี่ยนแปลงยากแต่ Intellectual Quotient พัฒนาได้อย่างมากมายและหลากหลายวิธีเป็นสิ่งที่โรงเรียนควรเน้นหรือเอาใจใส่พัฒนาเด็ก

ผมชอบบทสรุปในหนังสือคนบนต้นไม้หน้า๘๘ "ความฉลาดทางวิชาการและความฉลาดทางสังคม (พฤติกรรม) ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับ IQ (ในที่นี้หมายถึง Intelligent Quotient) ของเด็กแต่สัมพันธ์กับความคาดหวังของครูต่อเด็ก"   และข้อความในหน้า๑๔๑ "ความรู้เป็นเรื่องของอดีตแต่จินตนาการเป็นเรื่องอนาคตที่ไม่มีขอบเขตสิ้นสุด"

จะเข้าใจวิธีคิดออกแบบการดำเนินการโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาได้ดีต้องเข้าไปอ่านบันทึกของผอ.วิเชียรในLamplaimatpattanaschool.blogspot.comดู YouTubeและค้น Googleโดยค้นด้วยคำว่าlpmp,โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาสารคดีแผ่นดินไท๓ตอนใน YouTube น่าเข้าไปดูเพื่อทำความเข้าใจมากดูได้ที่นี่ตอนที่๑๒๓จะเข้าใจได้ดีจริงๆต้องไปฝึกงานคือต้องเรียนรู้จากการลงมือทำแล้วตีความจากสัมผัสของตนเองและอ่านหนังสือและดูวิดีโอประกอบจึงจะเข้าใจได้ลึกจริงๆเพราะโรงเรียนนี้ได้สร้างวิธีการ 21st Century Learning แบบของตนเอง มายาวนาน ๘ ปี   ผ่านการเรียนรู้และปรับตัวมากมาย   และยังเรียนรู้และปรับตัวต่อเนื่อง

ผมตีความว่า นี่คือองค์กรเรียนรู้ (Learning Organization)    และดำเนินการแบบ เคออร์ดิค อย่างแท้จริง    โดยที่ครูทุกคนเป็น “ครูเพื่อศิษย์

 

 

วิจารณ์ พานิช 
๕ ต.ค. ๕๔

คัดลอกจาก        http://www.gotoknow.org/posts/465409

 

แก้ไขล่าสุด ใน วันศุกร์ที่ 12 เมษายน 2013 เวลา 08:37 น.
 


หน้า 495 จาก 561
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5642
Content : 3067
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8741510

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า