Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

บทความจากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

พิมพ์ PDF

คอลัมน์: เศรษฐศาสตร์เพื่อชิวิต: จักรวรรดิอเมริกา

ข่าวทั่วไป หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- อังคารที่ 11 กันยายน 2555 00:00:10 น.

11 ก.ย.55 วันนี้ ครบรอบ 11 ปีแห่งการถล่มตึกเวิลด์เทรดที่มหานครนิวยอร์ก ซึ่งมีคนตายเกือบสามพันศพพอดี ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงตั้งสมมติฐานเป็นฝีมือฝ่ายใดกันแน่ ฝ่ายผู้ก่อการร้ายหรือกลุ่มอำนาจนิยมอเมริกาทำเอง เพื่อสร้างสถานการณ์หรือไม่ปีที่แล้วผมไปอเมริกามีโอกาสแวะไปดูสถานที่ประวัติศาสตร์แห่งนั้นด้วยความสลดหดหู่และเศร้าใจต่อผู้เสียชีวิต ตราบจนทุกวันนี้ เหตุการณ์วิปโยค 9/11 (11 ก.ย. ปี ค.ศ.2001) ยังคงฝังลึกในความทรงจำของอเมริกันชนผู้รักความเป็นธรรมและใฝ่หาสันติภาพ ใครเลยจะคิดว่าเหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้นในใจกลางมหานครนิวยอร์ก เมืองทันสมัยของโลกที่มีตึกสูงร้อยกว่าชั้นชื่อ"เอ็มไพร์สเตต" (Empire State) ตั้งตระหง่านสูงเด่นเป็นสง่า คำว่า Empire  หมายถึงจักรวรรดิ  ศูนย์กลางการเงินหัวขบวนทุนนิยมโลกเองก็ตั้งอยู่บนเกาะแมนฮัตตันซึ่งอยู่ใจกลางมหานครนิวยอร์ก มีบทบาทสำคัญมากในการบงการระบบทุนนิยมโลกอยู่ตลอดมา

แม้การไล่ล่าอาณานิคมในอดีตที่ใช้กำลังอาวุธยึดครองอีกชาติหนึ่งให้เป็นเมืองขึ้น ได้เปลี่ยนรูปแบบมาเป็นจักรวรรดินิยมแผนใหม่ที่มีอิทธิพลครอบงำเอาเปรียบอีกชาติหนึ่งโดยปราศจากการใช้กำลังอาวุธยึดครองเป็นเมืองขึ้น แต่การเป็นจักรวรรดินิยมของมหาอำนาจตะวันตกก็ยังถูกต่อต้านจากกลุ่มประเทศโลกที่สามทั่วโลกเป็นอย่างมากอยู่ดี โดยเฉพาะในละตินอเมริกาและในทวีปเอเชีย ดังเห็นเด่นชัดในช่วงคริสต์ศตวรรษ 1960-1970 จักรวรรดิอเมริกาทำตัวเป็นเจ้าโลกอัดฉีดความคิดแนวทางการพัฒนาแบบตะวันตกผ่านความช่วยเหลือทางการศึกษาและวัฒนธรรม พร้อมทั้งผลักดันวัฒนธรรมความคิดในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ในทุกรูปแบบ การเผยแพร่ความคิดต่อต้านคอมมิวนิสต์ในนาม "ทฤษฎีโดมิโน" ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านสงครามเวียดนามทำให้ประเทศต่างๆ แถบนี้ ไม่ว่าจะเป็นกัมพูชา ลาว ไทย กระทบกระเทือนเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะเวียดนามเสียหายอย่างยับเยินถึงกับต้องสร้างชาติใหม่ แม้แต่ประชาชนชาวอเมริกันเองก็ยังเดินขบวนต่อต้านประณามสงครามเวียดนามอันโหดร้ายไร้มนุษยธรรมที่จักรวรรดิอเมริกาของตนเป็นผู้ก่อ ชาวเวียดนามและทหารอเมริกันต้องบาดเจ็บ พิการ และสูญเสียชีวิตนับล้านคน สงครามเวียดนามจบลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างยับเยินของสหรัฐ อหังการความเป็นจักรวรรดิอเมริกาลดบทบาททางการทหารในแถบเอเชียลงไปพักใหญ่ หากแต่บทบาททางวัฒนธรรมและการศึกษายังดำเนินต่อไป ดังจะเห็นการครอบงำความคิดในการพัฒนาประเทศตามแนวทางตะวันตกทุนนิยมยังดำเนินไปด้วยดี แม้โลกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตเป็นอันมาก แต่สหรัฐอเมริกาก็ยังพยายามอย่างมากที่จะคงความเป็นเจ้าโลกของตนไว้ให้ได้ ดังเช่นการหวนคืนมามีบทบาทในภูมิภาคเอเชียขณะนี้เพื่อประกาศความเป็นจักรวรรดิของอเมริกา

จักรวรรดิอเมริกามุ่งครองโลก มีเครือข่ายเข้มแข็งทั่วโลก ลัทธิครองความเป็นเจ้า (Hegemony) ต้องการควบคุมโลก 5 เรื่องคือ อาหาร/ยารักษาโรค/ประชากร/อาวุธ-สงคราม/น้ำมัน-พลังงาน สูตรสำเร็จในการครองโลกมี 5 ข้อ ได้แก่ ป่วนการเมือง/ป่วนเศรษฐกิจ/ล้างสมองสังคม/ชูผู้นำหุ่นเชิด/ปล้นทรัพยากร ยุทธวิธี "โหด-เลว-ดี" ทำแบบผสานกันไป ผ่านองค์กรทั้งในคราบ "นักบุญ" และ "คนบาป" เช่น กลุ่มธุรกิจ "คาร์ไล" สถาบัน ASPEN เวทีเศรษฐกิจโลกดาวอส องค์กรการกุศล (Philanthropy)  องค์กรสิทธิมนุษยชน องค์กรศาสนาบางกลุ่ม ซีไอเอและกองทัพ นี่คือขบวนจักรวรรดินิยมแผนใหม่ไล่ล่าทรัพยากร  บ่อยครั้งทำแนบเนียนยิ่งนักโดยผ่านสื่อตำราวิชาการ  กฎหมาย อำนาจตุลาการ มีการตั้งข้อสังเกตกันว่าที่ปัตตานีมีน้ำมันแหล่งใหญ่ ความรุนแรงตายรายวัน  ชายแดนใต้ถูกแทรกแซงจากอำนาจนิยมตะวันตกด้วยหรือไม่  ขบวนอ้างตนฝ่ายประชาธิปไตยล้มปืนล้มเจ้ารัฐไทยใหม่เกิดเหตุการณ์เผาเมืองฆ่ากันตายกลางกรุง จากการไร้วุฒิภาวะ อ่อนหัดของรัฐไทยไม่ทันเกมและการแทรกแซงจากภายนอกด้วยหรือไม่ เหตุการณ์ป่วนการเมืองหลายๆ ที่ในโลกมักเกี่ยวโยงกับซีไอเอจักรวรรดินิยมอเมริกาหรือไม่  ชอบแทรกแซงป่วนเมืองให้คนในชาติแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแตกแยกฆ่าแกงกัน เป็นเรื่องที่น่าพิจารณาว่าทุนสามานย์ในจักรวรรดิ-อเมริกา จะคล้อยตามหรือยอมรับเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐศาสตร์สันติภาพมุสลิม สายกลางได้หรือไม่ เพราะแนวคิดเหล่านี้ล้วนสวนทางกับผลประโยชน์ของทรราชทุนสามานย์ที่มุ่งสะสมอย่างเอารัดเอาเปรียบล้นเกินความพอดี แล้วทุนนิยมสามานย์เยี่ยงนี้จะเอาด้วยกับฝ่ายธรรมะได้อย่างไร

นักวิชาการสาธารณะอย่าง "ลิซา กูเลียนิ" สรุปว่า  "สหรัฐอเมริกาไม่ใช่ประเทศ แต่เป็นบรรษัท" หมายถึงรัฐสภาและกลไกกฎหมายสหรัฐ ถูกควบคุมโดยบรรษัทเอกชน  ข้อวิเคราะห์ของนักวิชาการชั้นแนวหน้าอย่าง "เจมส์ เพทราส"  เห็นว่า ผลประโยชน์ของบรรษัทนำไปสู่สงคราม เราจึงเห็น "สงครามใหม่ๆ ในโลกปะทุขึ้นท่ามกลางวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกโดยกลุ่มไซออนนิสต์ (ซึ่งมีอุดมการณ์ ชาวยิวต้องมาก่อน)  เป็นผู้จุด ชนวนสงคราม" ความคิดนี้ได้รับการขานรับจากมหาเศรษฐี/ซีอีโอบรรษัท และองค์กรชาวยิวหลักๆ กว่า 52 แห่งในอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดสอดคล้องกันหมดในทำเนียบขาว/รัฐสภา/กระทรวงการคลัง/ซีไอเอ/เพนตากอนกลาโหมสหรัฐ ต่างล้วนผลักดันไปสู่การทำสงครามกับอิหร่านที่มีวาระซ่อนเร้นเพื่อหวังปล้นน้ำมันเฉพาะหน้านี้บทบาทสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคอาเซียนนั้นต้องการปักธงที่ประเทศไทยปล้นปิโตรเลียมไทยและปิดล้อมจีนไปด้วย โดยการเคลื่อนพลกองทัพเรืออเมริกา60% มาสู่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก   ไทยกำลังจะกลายเป็นสนามรบของมหาอำนาจหรือไม่ เพราะขณะนี้อเมริกาขอใช้อู่ตะเภาเป็นฐานทัพแล้ว จีนจะใช้บางนาและแม่กลองเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ อินเดียเร่งตัดถนนสี่เลนสู่ไทย ทั้งสามชาติเป็นผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ที่สุดสามลำดับแรกของโลก

ในหนังสือติดลำดับขายดีที่สุดเล่มหนึ่งชื่อ"เมื่อบรรษัทครองโลก"(When Corporations Rule the World) เขียนโดย  "เดวิด ซี คอร์เทน" ระบุ "หลักห้าข้อ" ที่บรรษัทเอกชนจะยึดครองโลกได้สำเร็จดังต่อไปนี้

ข้อที่ 1 สู่จักรวรรดิโลก เปลี่ยนโลกสู่โหมดจัดระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ ตัวทำเกมคือ บรรษัทไร้สัญชาติไร้พรมแดน (TNCsTransnational Corporations) ทำวัฒนธรรมบริโภคทั้งโลกให้เป็นแบบเดียวกัน รัฐบาลทำนโยบายประชานิยมร่ายมนต์สะกดประชาชนให้อยู่ในกิเลสแห่งการบริโภคสุดขีด บรรษัทได้รับประโยชน์สูงสุด ส่วนชุมชนและชาติไว้ทีหลัง หัวใจสำคัญให้เสรีภาพสูงสุดแก่บรรษัท

ข้อที่ 2 การตลาดโลก ครอบงำโลกด้วยการโฆษณาผ่านสื่อไอทีสมัยใหม่หลากหลายรูปแบบ มอมเมาคนทั้งโลกเสพติดสินค้าโงหัวไม่ขึ้น ผลประโยชน์อเมริกาต้องมาก่อน ขยายสู่พรมแดนใหม่ขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์ตลาดเสรี ผ่านข้อตกลงการค้าเอฟทีเอ/อียู/เออีซี โดยยุทธวิธี "สี่ใหม่" ตลาดใหม่-ตัวละครใหม่-กฎเกณฑ์ใหม่-เครื่องมือใหม่

ข้อที่ 3 ตัดทิ้งประโยชน์ประชาชน

เปลี่ยนยุทธวิธีจากไล่ล่าอาณานิคมโดยเรือปืนในอดีต มาเป็นปล้นสมบัติชาติโดยความคิดเสรีนิยมใหม่ในปัจจุบัน ประดิษฐ์ศัพท์แสงสมัยใหม่ฟังดูดีน่าเชือถือ กรณีแปรรูปรัฐวิสาหกิจโดย พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ  เช่น ปู้ยี่ปู้ยำสมบัติปิโตรเลียมชาติให้บรรษัทข้ามชาติ กรณีนำทุนสำรองระหว่างประเทศไปเป็นทุนจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งน้ำมันของเหล่าบรรดาเสือหิวรักชาติจนน้ำลายหยดรอเขมือบ    ความคิดเสรีนิยมใหม่มีเป้าหมายสูงสุดให้ทุนใหญ่เอกชนเป็นสถาบันควบคุมเศรษฐกิจโลก โดยมีฉันทานุมัติวอชิงตัน (เรือปืนสมัยใหม่) ทำภารกิจยึดโลก ได้แก่ ธนาคารโลก (WB)-กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)-องค์การการค้าโลก (WTO)-กระทรวงการคลังสหรัฐตลาดหุ้นวอลสตรีทอเมริกา

ข้อที่ 4 ประชาธิปไตยมีไว้ขาย ซื้ออำนาจด้วยเงินเท่ากับปิดปากประชาธิปไตย เช่น ให้เงินค่าโฆษณาปิดปากสื่อและคนทำรายการสื่อให้ทุนศึกษาวิจัยแก่มหาวิทยาลัย ให้หุ้นราคาต่ำก่อนเข้าตลาดหุ้น ฯลฯ ปล้นมูลค่าส่วนเกิน (Economic Rent)  จากสัมปทานธุรกิจพลังงาน ธุรกิจค้าอาวุธ เปิดทางบรรษัทปล้นทรัพยากรปิโตรเลียมแห่งชาติ สมคบคิดขายชาติร่วมกันโดยนักการเมือง-ข้าราชการระดับสูง-นักวิชาการฉกฉวยโอกาส-นักธุรกิจการเมือง มีนักล็อบบี้ยิสต์นายหน้าจัดการให้ลงตัว มีการใช้เงินซื้อให้หลุดคดีโกงภาษีและฉ้อฉลอื่นๆเป็นว่าเล่น

ข้อที่ 5 ฉันทานุมัติชนชั้นนำ มีสภาความสัมพันธ์ต่างประเทศ (Council on Foreign Relations-CFR) เป็นแกน สถาบันนี้มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจการเมืองโลกอย่างมีนัยสำคัญ   โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจยึดหลักการ 2 ข้อ (ก) ขยายระบบเศรษฐกิจทุนนิยมอเมริกาครอบโลก และ (ข) ปลูกฝัง  "โมเดลเศรษฐศาสตร์อเมริกา" ทั่วโลก สถาบัน CFR มีสมาชิกชั้นนำจากทุกวงการ รัฐบาล-ธุรกิจ-สื่อ-เทคโนแครต-นักวิชาการ-นักแสดง เช่น แองเจลีนา โจลี ดาราฮอลลีวู้ด อภิมหาเศรษฐีน้ำมันตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ นายเฮนรี คิสซิงเจอร์ อดีต รมว.ต่างประเทศสหรัฐ ผู้เล่นบทโหดระเบิดถล่มเวียดนามและล้มรัฐบาลชิลี

เศรษฐีน้ำมันตระกูลบุช เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ถึง 2 คน  ทำนโยบายผลประโยชน์ทับซ้อนพลังงาน บุชผู้พ่อเป็นที่ปรึกษาอาวุโสบอร์ดกลุ่มคาร์ไล (ค้าอาวุธและน้ำมัน) ระหว่างเป็นประธานาธิบดีบุชผู้พ่อได้ตั้งนายดิก เชนีย์ (ซีอีโอบริษัทน้ำมันฮอลลิเบอร์ตัน) เป็น รมว.กลาโหม ต่อมากลายมาเป็นรองประธานาธิบดีของบุชผู้ลูก (ผู้สั่งกองทัพอเมริกาบดขยี้ปล้นบ่อน้ำมันอิรัก) ส่วนนางคอนโดลีซซา ไรซ์ (ซีเอโอบริษัทน้ำมันเชฟรอน) ได้เป็น รมว.ต่างประเทศของบุชผู้ลูก บุชผู้พ่อมีนายสตีเฟน เพน ซึ่งเป็นนักล็อบบี้ยิสต์ธุรกิจน้ำมันระดับโลกตัวยงเป็นที่ปรึกษา ตอนไปอเมริกาเดือนสิงหาคม 2555 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เล่าว่า ได้พบทั้งนายคิสซิงเจอร์ และนายเพน พูดคุยเรื่องน้ำมันและนโยบายสหรัฐต่อเอเชียแปซิฟิก (แหล่งข่าว Korea Joong Ang Daily และ Culture Map Honston) ปลายปี 2554 ผู้บริหารเชฟรอนเข้าพบนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร พร้อมทั้งบริจาคเงินช่วยเหลือน้ำท่วมเล็กน้อย (พอเป็นพิธี)    กลางปี 2555 นายกฯ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปพบนางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศสหรัฐ ที่กัมพูชาพร้อมผู้บริหารเชฟรอน แต่ไม่เปิดเผยหัวข้อสนทนากับนายฮุน เซน นายกฯ กัมพูชา อนึ่ง เมื่อครั้งนายบุชผู้พ่อมาเมืองไทยได้เข้าพบ พ.ต.ท.ทักษิณตอนเป็น รมว.ต่างประเทศ นายบุชผู้พ่อเข้า-ออกซาอุดีอาระเบียสะดวกเพราะเขาเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของบอร์ดกลุ่มคาร์ไลเอเชีย (ธุรกิจค้าอาวุธและน้ำมัน) ซึ่งบิดาของนายอุซามะห์ บินลาดิน ชาวซาอุดีอาระเบียก็ทำธุรกิจใกล้ชิดกับกลุ่มคาร์ไล มีธุรกรรมผ่านเกาะเคย์แมนไม่ต้องเสียภาษี เป็นแดนสวรรค์ของเหล่าทรราชทุนสามานย์ หมู่เกาะที่รวมเอาบรรดาธุรกิจสีเทา-สีดำ-สงคราม

ขณะที่ตึกเวิลด์เทรดถูกถล่มในเหตุการณ์ 9/11 บุชผู้ลูกกำลังอ่านนิทานให้เด็กฟังที่ฟลอริดา (มลรัฐทางใต้สุดห่างไกลจากมหานครนิวยอร์ก) ทันทีที่ได้รับการรายงานครั้งแรก บุชแสดงสีหน้าเรียบเฉยอ่านนิทานต่อไปอีกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงกับต้องมีการเข้าไปรายงานอีกเป็นครั้งที่สอง แต่กว่าบุชผู้ลูกออกจะไปโพสท่าตีหน้าเศร้าแถลงการณ์เสียใจผ่านรายการสดทางโทรทัศน์ ซึ่งเวลาก็ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว แทนที่จะมีปฏิบัติการทันทีที่ได้รับรายงานในฐานะผู้นำประเทศเพราะเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

ปฐมบทการปล้นปิโตรเลียมในประเทศไทยเริ่มปี 2514   เมื่อสืบค้นไปพบว่านายวอลเตอร์ ลีวาย ที่ปรึกษาใกล้ชิดตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งเป็นตระกูลที่มีหุ้นใหญ่ในบริษัทน้ำมันสแตนดาร์ดออยล์ (ที่ต่อมาคือบริษัทยูโนแคลและบริษัทน้ำมันเชฟรอนในปัจจุบัน) ได้ร่วมกันกับธนาคารโลกยกร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514 พ.ร.บ.ฉบับนี้ถูกนักวิชาการทั่วโลกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น พ.ร.บ.ที่ล้าหลังเสียเปรียบต่างชาติมากที่สุดในโลก ซ้ำร้ายกฎหมายฉบับต่อมาภายใต้การเมืองสวามิภักดิ์ยิ่งให้อำนาจของทุนใหญ่เพิ่มขึ้นทุกประตู ได้แก่ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจปี 2542 แปรรูป ปตท.ปี 2544 ขายหุ้นเกลี้ยงภายใน 1 นาที กับ 17 วินาที นับเป็นอะเมซิ่งไทยแลนด์แกรนด์เซลที่หาดูที่ไหนไม่ได้ในโลกนี้ ทำไปทำมาหลังจากนั้นราคาน้ำมันและก๊าซขึ้นเอาๆ แพงสุดๆ คนไทยเดือดร้อนแสนสาหัสเอารัดเอาเปรียบประชาชนมหาโหด บริษัทแก้ตัวฟังไม่ขึ้น ส่วนรัฐบาลไทยทำเฉยเข้าข้างพ่อค้าน้ำมัน ตัวนายกฯ กลับวางเฉยผิดสังเกต   ด้วยท่าที "หนูไม่รู้" ทั้งที่นักวิชาการและภาคพลเมืองวิพากษ์วิจารณ์อย่างเข้มข้นเจาะลึกเรื่อยๆ...

พลันหุ้นชินคอร์ปถูกขายล็อตใหญ่ 7.3 หมื่นล้านบาทให้บริษัทเทมาเส็กสิงคโปร์ (23 ม.ค.49) ผมได้เขียนบทความทำนายไว้ใน "สู่...เมืองขึ้นยุคทุนใหญ่ยึดครองชาติ" (3 ก.พ.49) 6 ปีผ่านไปก็เป็นไปดังคาด วันนี้เมืองไทยหลายส่วน  "ถูกยึด ถูกครอบ" เรียบร้อยแล้ว รัฐสภา-ตำรวจทหาร-ข้าราชการ-สื่อโทรทัศน์ สื่อหนังสือพิมพ์-สถาบันการศึกษาและนักวิชาการ สยบยอมต่ออำนาจเงินหรือเกรงกลัวบารมีทุนใหญ่หรือร่วมโกงหรือไม่กล้าวิจารณ์ความไม่ถูกต้องหรือไม่ การทุจริตคอรัปชั่นซึ่งดาษดื่นเต็มแผ่นดิน หากทุนใหญ่ยึดบ่อน้ำมันไทยได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็เท่ากับยึดเมืองไทยเป็น "เมืองขึ้น" ทางเศรษฐกิจได้ "ผู้ใดครองปิโตรเลียม ผู้นั้นครองประเทศไทย"  นี่คือ "รัฐประหารเงียบ" หรือไม่ "การเมืองเรื่องปิโตรเลียม"  เปล่งอานุภาพอำมหิตแล้วหรือยัง ขอให้ประชาชนไทยช่วยกันจับตาดูอย่างใกล้ชิดกับการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมครั้งที่ 21 ในไทยครั้งใหญ่ช่วงต้นปี 2556 ให้ดีๆ จะมีเปิดหน้าชกหรือซุกหุ้นใช้นอมินีแทนอีกหรือไม่ จับตากลุ่มอำนาจน้ำมันไทยร่วมย่ำยีชาติไทยกับต่างชาติให้ดีๆ ผู้ถือหุ้นพลังงานล้วนเป็นคนใหญ่ คนโต คนมีชื่อเสียงในสังคมไทยทั้งนั้น

ณ วันนี้แห่งเวลา กลุ่มอำนาจน้ำมันไทยกับกลุ่มอำนาจน้ำมันอเมริกา มีสัมพันธภาพใกล้ชิดแน่นแฟ้นลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง มหากาพย์ปล้นขุมทรัพย์ปิโตรเลียมกำลังเดินหน้าต่อไปและต่อไปอย่างเงียบเชียบท่ามกลางประโยชน์ทับซ้อนปล้นชาติขายแผ่นดิน หากประชาชนไทยยังไม่ตื่นขึ้นจากภวังค์หรือถือว่าไม่ใช่ธุระของฉันปล่อยให้ถูกแล่เนื้อเถือหนังจนสิ้นเนื้อประดาตัว  มีความเป็นอยู่ที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง หนี้สิน รุงรัง ปล่อยให้สมบัติบนผืนแผ่นดินไทยถูกถลุงถูกปล้นจนสิ้นชาติ ประ เทศจะพัฒนาต่อไปได้อย่างไร หากประเทศไทยต้องสูญเสียอธิปไตยทางเศรษฐกิจ ถึงเวลาที่ประชาชนคนไทยทุกคนต้องลุกขึ้นมาตอบโจทย์ว่าผลประโยชน์จากทรัพยากรน้ำมันของไทยควรเข้ากระเป๋าคนบางกลุ่มบางพวก หรือควรนำมาปรับปรุงพัฒนายกระดับความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งชาติกันแน่.

แผนภูมิ   จักรวรรดิอเมริกากับอานาจน้ามัน

ที่มา  วิวัฒน์ชัย อัตถากร "จักรวรรดิอเมริกา"  เศรษฐศาสตร์เพื่อชีวิต ไทยโพสต์  11 กันยายน 2555

ขอให้คนไทยช่วยกันตรวจสอบค้นหาความจริง และนำมาเปิดเผยให้ประชาชนรู้ความจริงด้วยครับ ว่าจริงๆแล้ว เป็นอย่างไรกันแน่

 

บทความของอาจารย์วิจารณ์ พานิช

พิมพ์ PDF

หนังสือ Reckless Endangerment : How Outsized Ambition, Greed, and Corruption Led to Economic Armageddon เปิดโปงคอรัปชั่น (แบบถูกกฎหมาย) ในสหรัฐอเมริกาอย่างล่อนจ้อนและน่าขยะแขยง    ที่ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ที่เราเรียกว่า วิกฤตซับไพรม์ บอกเราทำนองเดียวกันกับหนังสือ The Price of Inequality ที่ผมเคยบันทึกไว้ที่นี่

ผมชื่นชมสังคมอเมริกัน ที่เขากล้าเปิดโปง และมีหลักฐานให้เปิดโปง    รวมทั้งมีความอดทนอดกลั้นต่อกัน   แต่ก็แปลกใจว่าทำไมไม่มีกฎหมายให้ฟ้องเอาผิดต่อคนเหล่านี้

แค่อ่านคำนิยมที่ปกหลังของหนังสือ   หรือใน เว็บไซต์ของ Amazon ที่ให้ไว้แล้วตรง Editorial Review เราก็จะเห็นภาพว่า ในสหรัฐอเมริกามีนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ที่เป็นนักวิชาการอยู่ในตัว    ทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ   โดยทำงาน investigative journalism    และเลี้ยงตัวได้ดี    ผมฝันอยากให้สังคมไทยเรามีคนและระบบเช่นนี้บ้าง

คนที่เขียนหนังสือเช่นนี้ได้ต้องสะสมทุนปัญญาไว้มาก   ดังที่เขาเขียนไว้ใน Notes on Sources หน้า 309 ว่า ข้อมูลมาจากการทำงาน original reporting ตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1990s ถึงปี 2010   โปรดสังเกตคำว่า original reporting ผู้เขียนทั้งสองมีข้อมูลยืนยันการเขียนหนังสือเล่มนี้   ผู้มีชื่อถูกพาดพิงจึงฟ้องหมิ่นประมาทเขาไม่ได้

คนที่ถูกระบุเป็นตัวการใหญ่ของวิกฤตนี้คือ James A. Johnson, Chairman and CEO ของบริษัท Fannie Mae   ลองอ่านประวัติของเขาในวิกิพีเดียตาม ลิ้งค์ ที่ให้ไว้ดูนะครับ   จะเห็นว่าเขาทำร้ายสังคมด้วยการฉ้อโกงอย่างไร   และคนแบบนี้อาศัยความสามารถของตน อิทธิพลทางการเมืองและทางธุรกิจ สูบเอาผลประโยชน์ส่วนรวมเข้าตนเองอย่างไร   เขาเกี่ยวข้องกับโอบามา ก่อนเป็นประธานาธิบดีด้วย   ผมเดาว่าคนแบบนี้มีอยู่ในทุกสังคม   และบางสังคมรวมทั้งไทย ยังไม่มีกลไกเปิดโปงคนแบบนี้อย่างในสหรัฐอเมริกา

วิจารณ์ พานิช

๗ ส.ค. ๕๕

แก้ไขล่าสุด ใน วันเสาร์ที่ 08 กันยายน 2012 เวลา 20:16 น.
 

บทความของอาจารย์วิจารณ์ พานิช

พิมพ์ PDF

การบูรณาการงาน วทน. เข้ากับจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และท้องถิ่นที่นี่

ผมมองว่าการดำเนินการเพื่อให้แผนยุทธศาสตร์ต่างๆเกิดผลตามแนวทางที่วทน.ทำอยู่เป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งต่อสังคมจึงขอเสนอให้จัดทำฐานข้อมูลสำหรับเชื่อมโยงผู้ใช้กับผู้ผลิตวทน.   โดยคำนึงว่าวทน. ที่มีอยู่เมื่อเอาไปใช้ต้องมีการปรับให้เหมาะมือผู้ใช้จึงควรมีฐานข้อมูล case story ที่เล่าเรื่องราวของการปรับเทคโนโลยี เอาไปใช้ตามบริบทของชุมชนหรือพื้นที่ แล้วเกิดผลดี

ผมมองว่า ควรหายุทธศาสตร์ในการใช้ วทน. เป็นพลังยกระดับสังคมไทย ให้เคลื่อนตัวไปสู่ความเป็น high-income country ก้าวข้าม middle-income trap ได้   ซึ่งอาจมีคนมองว่าเป็นเรื่องยาก ซึ่งผมเห็นด้วยว่ายาก แต่ไม่เหลือวิสัย ไม่พ้นความพยายาม   หากเราร่วมมือกันทั้งประเทศ   เราทำได้ หากเราสามัคคีร่วมมือกัน เลิกทะเลาะกันเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตน   หันมาถือประโยชน์ชาติเป็นใหญ่

วทน. เป็นพลังก้าวกระโดด หากใช้เป็น

วิจารณ์ พานิช

๑๕ ส.ค. ๕๕

 

 

 

บทความของอาจารย์วิจารณ์ พานิช

พิมพ์ PDF

ครูเพื่อศิษย์สร้างห้องเรียนกลับทาง : 3. ทำไมจึงควรกลับทางห้องเรียน

ครูเพื่อศิษย์ต้องทำมากกว่าการกลับทางห้องเรียน

 

หนังสือ Flip Your Classroom : Reach Every Student in Every Class Every Day บทที่ ๓ บอกเหตุผลที่ควรกลับทางห้องเรียน   หรืออีกนัยหนึ่งบอกว่า การกลับทางห้องเรียนมีผลอะไรบ้าง   พอจะสรุปได้ดังนี้

  • เพื่อเปลี่ยนวิธีการสอนของครู จากบรรยายหน้าชั้น หรือเป็นครูสอน ไปเป็น ครูฝึก   ฝึกการทำแบบฝึกหัด หรือกิจกรรมอื่นในชั้นเรียน ให้แก่ศิษย์เป็นรายคน   หรืออาจเรียกว่า เป็นครูติวเตอร์
  • เพื่อใช้เทคโนโลยีการเรียนที่เด็กสมัยใหม่ชอบ คือ ไอซีที   หรืออาจเรียกว่าเป็นการนำโลกของโรงเรียน เข้าสู่โลกของนักเรียน คือโลก ดิจิตัล
  • ช่วยเด็กที่มีงานยุ่ง เด็กสมัยนี้ธุระมาก   กิจกรรมมาก   บางคนเป็นนักกีฬา ต้องขาดเรียนไปแข่งขัน   แทบทุกคนมีงานเทศกาล ที่ตนต้องเข้าไปช่วยจัด   การมีบทสอนด้วยวิดีทัศน์อยู่บน อินเทอร์เน็ต ช่วยให้เด็กเหล่านี้เรียนไว้ล่วงหน้า   หรือเรียนตามชั้นเรียนได้ง่ายขึ้น   รวมทั้งเป็นการฝึกเด็กให้รู้จักจัดการเวลาของตน
  • ช่วยเด็กเรียนอ่อนที่ขวนขวาย ในห้องเรียนปกติ เด็กเหล่านี้จะถูกทอดทิ้ง   แต่ในห้องเรียนกลับทาง เด็กเหล่านี้จะได้รับความเอาใจใส่ของครูมากที่สุด   คือครูเอาใจใส่เด็กที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด โดยอัตโนมัติ
  • ช่วยเด็กที่มีความสามารถแตกต่างกัน ให้ก้าวหน้าในการเรียนตามความสามารถของตน เพราะเด็กสามารถฟังวิดีทัศน์กี่รอบก็ได้ หยุดตรงไหนก็ได้ กรอกลับก็ได้   ผู้เขียนเล่าว่า เด็กที่หัวไวมากๆ บางคนดูวิดีทัศน์บางบทเรียนด้วย speed x2 ก็มี
  • ช่วยให้เด็กสามารถหยุด และกรอกลับครูของตนได้ ทำให้เด็กจัดเวลาเรียนตามที่ตนพอใจ   เบื่อก็หยุดพักได้   แบ่งเวลาดูวิดีทัศน์เป็นช่วงๆ ได้   เล่นสนุกด้วยการดูวิดีทัศน์ความเร็ว x2 ก็ได้
  • ช่วยให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับครูเพิ่มขึ้น ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เรียกว่า การเรียนแบบ ออนไลน์   การกลับทางห้องเรียน ยังคงเป็นการเรียนแบบนักเรียนมาโรงเรียน   และนักเรียนสัมผัสครู   ห้องเรียนกลับทางเป็นการใช้พลังทั้งของระบบ ออนไลน์ และระบบพบหน้า   ช่วยเปลี่ยนหรือเพิ่มบทบาทของครู ให้เป็นทั้ง พี่เลี้ยง (mentor), เพื่อน  เพื่อนบ้าน (neighbor)   และผู้เชี่ยวชาญ (expert)
  • ช่วยให้ครูรู้จักนักเรียนดีขึ้น หน้าที่ของครูไม่ใช่เพียงช่วยให้ศิษย์ได้วิชา หรือเนื้อหา   แต่ต้องกระตุ้นแรงบันดาลใจ (inspire)  ให้กำลังใจ  รับฟัง  และช่วยส่งเสริมให้เด็กฝันถึงอนาคตของตน   นั่นคือมิติของความสัมพันธ์  ที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของศิษย์   ผู้เขียนเล่าว่า ประสบการณ์ของตนบอกว่า   หลังกลับทางห้องเรียน ศิษย์ที่มีปัญหาส่วนตัว กล้าปรึกษาครูผ่านทางช่องทางสื่อสารสมัยใหม่มากขึ้น
  • ช่วยเพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนนักเรียนกันเอง ข้อเขียนในหนังสือ ในส่วนหัวข้อย่อยนี้ดีที่สุดสำหรับครูเพื่อศิษย์ และผมตีความว่า มีผลเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของนักเรียน   จากเรียนเพื่อทำตามคำสั่งครู   หรือทำงานเพื่อให้เสร็จตามข้อกำหนด   เป็นเรียนเพื่อตนเอง เพื่อการเรียนรู้ของตน   ไม่ใช่เพื่อคนอื่น   มีผลให้เด็กเอาใจใส่การเรียน

ปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนในห้องเรียน เกี่ยวกับการเรียน จะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ   นักเรียนที่เข้าใจ ทำแบบฝึกหัดได้ จะช่วยอธิบาย หรือช่วยเหลือเพื่อน   สร้างไมตรีจิตระหว่างกัน

  • ช่วยให้เห็นคุณค่าของความแตกต่าง ซึ่งโดยธรรมชาติ เด็กในชั้นเรียนเดียวกันมีความแตกต่างกันมาก   มีความถนัดและความชอบที่แตกต่างกัน   การกลับทางชั้นเรียนช่วยให้ครูเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของนักเรียน แต่ละคน   เพื่อนนักเรียนด้วยกันก็เห็น   และช่วยเหลือกันด้วยจุดแข็งของแต่ละคน

เนื่องจากครูเดินไปเดินมาทั่วห้อง   ครูจะสังเกตเห็นเด็กที่กำลังพยายามดิ้นรนช่วยตนเองในการเรียน   และสามารถเข้าไปช่วยเด็กที่ไม่ถนัดเรื่องนั้นให้เอาใจใส่เรียนเฉพาะ ส่วนที่จำเป็น   ไม่ต้องทำแบบฝึกหัดทั้งหมด   คือไม่ต้องทำแบบฝึกหัดส่วนที่เป็นความรู้ก้าวหน้าหรือท้าทายมาก   ซึ่งเหมาะสำหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษในวิชานั้นเท่านั้น    ช่วยให้นักเรียนที่อ่อนในด้านนั้นไม่รู้สึกมีปมด้อย

  • เป็นการเปลี่ยนการจัดการห้องเรียน ผู้เขียนเล่าว่า ตนแปลกใจมากที่ปัญหาที่พบบ่อยในชั้นเรียนหายไปเอง    ได้แก่ ปัญหาเด็กเบื่อเรียน  ก่อกวนชั้นเรียน  หรือหลบไปนั่งใช้ สมาร์ทโฟน แช็ท กับเพื่อน   รวมทั้งสิ่งไม่พึงประสงค์ในชั้นเรียนอื่นๆ   เนื่องจากในห้องเรียนกลับทาง นักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติการ   ไม่ใช่เป็นผู้รับถ่ายทอดอย่างในห้องเรียนแบบเดิม   ไม่มีครูมายืนสอนปาวๆ หน้าชั้นให้น่าเบื่อหน่ายอีกต่อไป

แต่อย่าเข้าใจผิด ว่าเด็กเรียนอ่อนจะหมดไป   ครูยังคงมีประเด็นที่สำคัญกว่าในการจัดการชั้นเรียน ให้ครูได้ทำ   ซึ่งผมตีความว่า ห้องเรียนกลับทาง เปิดช่องให้ครูได้ทำหน้าที่สำคัญเชิงสร้างสรรค์ เพื่อสร้างคุณภาพแก่ชั้นเรียน   ให้นักเรียนได้เรียนรู้ดีที่สุดแก่ชีวิตในอนาคต   การสร้างสรรค์นี้มีได้ไม่จำกัด

  • เปลี่ยนคำสนทนากับพ่อแม่เด็ก จากถามว่าเด็กอยู่ในโอวาทของครูหรือไม่   ไปเป็นถามว่า เด็กได้เรียนรู้หรือไม่   หากเด็กคนไหนไม่ได้เรียนรู้เท่าที่ควร ผู้ปกครองและครูจะร่วมกันช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้อย่างไร
  • ช่วยให้การศึกษาแก่พ่อแม่ และคนในครอบครัว ผู้เขียนพบว่าพ่อแม่เด็กบางคนดูวิดีทัศน์ไปพร้อมกับลูก   บางบ้านดูกันทั้งบ้านก็มี   ทำให้ผู้ใหญ่ก็ได้เรียนวิชานั้นไปด้วย   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวที่ด้อยโอกาส
  • ช่วยให้เกิดความโปร่งใสในการจัดการศึกษา ผู้เขียนบอกว่า ในสหรัฐอเมริกา มีปัญหาคนไม่ศรัทธาเชื่อมั่นในระบบการศึกษา    การกลับทางห้องเรียน เอาคำสอนใน วิดีทัศน์ ไปไว้บน อินเทอร์เน็ต   เป็นการเปิดเผยเนื้อหาสาระของการเรียนแก่สาธารณะ   ใครๆ ก็เข้าไปดูได้   ผู้เขียนบอกว่าในสหรัฐอเมริกา โรงเรียนต้องแข่งขันกันดึงดูดนักเรียนมาเรียน   ก่อนหน้าการกลับทางห้องเรียน  โรงเรียนที่เขาสอนสูญเสียนักเรียนบางคนให้แก่โรงเรียนในละแวก ใกล้เคียง   หลังจากกลับทางห้องเรียน นักเรียนเหล่านั้นกลับมา    ผมตีความว่า เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของการเรียนการสอน ให้แก่ผู้ปกครอง
  • นำไปสู่การเรียนรู้แบบ flipped-mastery approach

 

เหตุผลที่ผิด ในการดำเนินการกลับทางห้องเรียน

  • เพราะมีคนแนะนำให้ทำ จงไตร่ตรองเองจนเห็นคุณค่าชัดเจน แล้วจึงทำ   อย่าเชื่อใครง่ายๆ
  • เพราะคิดว่าเป็นการทำให้เกิด ห้องเรียนแห่งศตวรรษที่ ๒๑ การสร้างห้องเรียนแห่งศตวรรษที่ ๒๑ นั้น รูปแบบการเรียนรู้ต้องนำเทคโนโลยี   ไม่ใช่ใช้เทคโนโลยีเป็นตัวนำ
  • เพื่อแสดงความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี จริงๆ แล้ว การกลับทางห้องเรียน ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีนำสมัย
  • คิดว่าการกลับทางห้องเรียน เป็นเครื่องบอกว่า ตนเป็นครูที่ดี การเป็นครูดี มีมากกว่าสอนดี
  • คิดว่า การกลับทางห้องเรียน ช่วยให้ชีวิตการเป็นครูง่ายขึ้น การกลับทางห้องเรียนไม่ทำให้ชีวิตครูง่ายขึ้น

สรุปว่า การกลับทางห้องเรียน เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งสำหรับช่วยให้ศิษย์เกิดการเรียนรู้ที่ดี ย้ำคำว่า อย่างหนึ่ง เพราะการเรียนรู้ที่ดียังมีปัจจัยอื่นๆ อีกหลากหลายประการ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า การเป็นครูที่ดี ต้องทำมากกว่าการกลับทางห้องเรียน

 

วิจารณ์ พานิช

๒ ก.ย. ๕๕

· เลขที่บันทึก: 500936
· สร้าง: 02 กันยายน 2555 13:23 · แก้ไข: 02 กันยายน 2555 13:24
· ผู้อ่าน: 76 · ดอกไม้: 5 · ความเห็น: 0 · สร้าง: ประมาณ 19 ชั่วโมง ที่แล้ว
· สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกัน
 

บทความของอาจารย์วิจารณ์ พานิช

พิมพ์ PDF
เวลาของครูจะใช้สำหรับมีปฏิสัมพันธ์สองทาง กับศิษย์ ทำให้เด็กที่เรียนช้าหรือหัวช้าได้รับการเอาใจใส่ ครูจะไม่ยืนอยู่หน้ากระดานดำที่หน้าชั้นอีกต่อไป แต่จะเดินไปเดินมาในชั้น เพื่อช่วยเหลือลูกศิษย์ที่มีปัญหาก

ครูเพื่อศิษย์สร้างห้องเรียนกลับทาง  : 2. ห้องเรียนกลับทางเป็นอย่างไร

หนังสือ Flip Your Classroom : Reach Every Student in Every Class Every Day บทที่ ๒ เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเรียนของผู้เขียนหนังสือท่านหนึ่ง คือ Aaron Sams ในวิชาเคมีสำหรับนักเรียน AP (โครงการเรียนล่วงหน้า - Advance Placement Program)

เขาบอกว่าต้องฝึกวิธีดูวิดีโอที่บ้านอย่างได้ผลดี ให้แก่เด็ก   เริ่มตั้งแต่แนะนำให้ขจัดสิ่งรบกวนสมาธิ ได้แก่ปิดโทรศัทพ์  ไอพ็อด  ทีวี  และตัวรบกวนอื่นๆ   แนะนำให้เด็กรู้จักหยุดวิดีโอ หรือดูบางตอนซ้ำ    บอกเด็กว่า โดยการดูวิดีโอ เด็กสามารถ “หยุด” และ “กรอกลับ” ครูได้   แนะนำให้กดปุ่มหยุด เพื่อจดบันทึกประเด็นสำคัญหรือคำถาม   แนะนำให้ไปศึกษา วิธีจดบันทึกแบบ Cornell สำหรับนำมาใช้

ตอนกลางคืนนักเรียนทุกคนได้ดูวิดีทัศน์สาระวิชาที่จะเรียนในวันรุ่งขึ้น พร้อมทั้งจดประเด็นสำคัญ  จดคำถาม หรือส่วนที่ไม่เข้าใจ

ชั้นเรียนในโรงเรียนนี้ให้เวลาคาบละ ๙๕ นาที

เริ่มด้วยการใช้เวลาสั้นๆ ทบทวนวิดีทัศน์ และตอบคำถามสิ่งที่ไม่เข้าใจหลังดูวิดีทัศน์   ซึ่งจะช่วยให้ครูได้แก้ไขความเข้าใจผิดของนักเรียนบางคน   หรือถ้าเด็กทั้งชั้นเข้าใจผิดก็แสดงว่าวิดีทัศน์มีข้อบกพร่อง ครูจะได้แก้ไข

หลังจากนั้น ครูมอบงานให้ทำ   โดยอาจเป็น lab, หรือเป็นกิจกรรมค้นคว้า, โครงงานหรือกิจกรรมแก้ปัญหา, หรือการทดสอบ    ตามปกติจะมีเวลาทำหลายกิจกรรมข้างต้น

เขายังคงให้คะแนนจากการทดสอบ เช่นเดียวกับการสอนแบบเดิม

บทบาทของครูเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง   คือไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดความรู้   แต่ทำบทบาทไปทางเป็นติวเตอร์   ซึ่งผมเรียกว่าเป็นโค้ช หรือเป็นผู้จุดประกาย โดยการตั้งคำถามยุแหย่ให้เด็กคิด สร้างความสนุกสนานในการเรียน   และเป็นผู้อำนวยความสดวกในการเรียน

เวลาของครูจะใช้สำหรับมีปฏิสัมพันธ์สองทางกับศิษย์   ทำให้เด็กที่เรียนช้าหรือหัวช้าได้รับการเอาใจใส่   ครูจะไม่ยืนอยู่หน้ากระดานดำที่หน้าชั้นอีกต่อไป   แต่จะเดินไปเดินมาในชั้น เพื่อช่วยเหลือลูกศิษย์ที่มีปัญหาการเรียน

กิจกรรมและเวลาที่ใช้ เปรียบเทียบระหว่างห้องเรียนแบบเดิม กับห้องเรียนกลับทาง แสดงในตารางข้างล่าง

 

ห้องเรียนแบบเดิม

ห้องเรียนกลับทาง

กิจกรรม warm-up 5 นาที

กิจกรรม warm-up 5 นาที

ทบทวนการบ้านของคืนก่อน 20 นาที

ถาม-ตอบ เรื่องวิดีทัศน์ 10 นาที

บรรยายเนื้อวิชาใหม่ 30 – 45 นาที

กิจกรรมเรียนรู้ที่ครูมอบหมายหรือ นร. คิดเอง หรือ lab 75 นาที

กิจกรรมเรียนรู้ที่ครูมอบหมายหรือ นร. คิดเอง หรือ lab 20 - 35 นาที

 

 

ในห้องเรียน ครู Aaron Sams จะเริ่มเวลา 75 นาทีสำหรับทำกิจกรรมเรียนรู้ด้วยตนเอง ในการแนะนำวิธีทำแบบฝึกหัด หรือทำร่วมกัน 2-3 ข้อ แล้วปล่อยให้นักเรียนทำเอง   แนะนำวิธีใช้คู่มือเฉลยคำตอบแบบฝึกหัด เป็นต้น   ครูจะเน้นช่วยให้นักเรียนเข้าใจหลักการ ไม่ใช่ท่องจำ   หัวใจคือครูเน้นทำหน้าที่ช่วยแนะนำการเรียนของเด็ก ไม่ใช่ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ ครูเปลี่ยนจากบทบาทปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนทั้งชั้น   เป็นมีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนเป็นรายคน

วิจารณ์ พานิช

๑ ก.ย. ๕๕

แก้ไขล่าสุด ใน วันอาทิตย์ที่ 02 กันยายน 2012 เวลา 15:46 น.
 


หน้า 526 จาก 558
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5613
Content : 3053
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8642303

facebook

Twitter


บทความเก่า