Thaiihdc.org

  • เพิ่มขนาดตัวอักษร
  • ขนาดตัวอักษรปกติ
  • สดขนาดตัวอักษร
Thaiihdc.org

คนแก่มีคุณค่า

พิมพ์ PDF

แก่อย่างมีคุณค่า 
(จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหา โดย พระภาวนาวิริยคุณ)
Credit: http://www.facebook.com/photo.php?fbid=10151338885518381&set=pb.347037738380.-2207520000.1363516196&type=3&theater
คำถาม: หลวงพ่อคะ เราควรจะเตรียมตัวอย่างไร เพื่อให้ชีวิตในวัยแก่เฒ่าไม่เป็นคนที่น่าเบื่อสำหรับลูกหลานคะ?

คำตอบ: คนแก่มีอยู่ 2 ประเภท

ประเภทที่ 1 เรียกว่า แก่แดด แก่ลม คือเป็นประเภทที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยสร้างความดีให้เป็นชิ้นเป็นอัน ทานก็ไม่ค่อยให้ ศีลก็ไม่ค่อยรักษา การสวดมนต์เจริญภาวนา หาความรู้ทางธรรมก็ไม่สนใจ มีชีวิตผ่านไปวันหนึ่งๆ อย่างไร้คุณค่า คนแก่ประเภทนี้ เป็นคนแก่ที่น่ารำคาญ ลูกหลานไม่อยากเข้าใกล้ และคนแก่ประเภทนี้อีกนั่นแหละ ที่ก่อให้เกิดปัญหาในครอบครัวขึ้นมาก เช่น ปัญหาแตกร้าวระหว่างแม่ผัวกับลูกสะใภ้ เป็นต้น

ประเภทที่ 2 เรียกว่า แก่บุญ แก่บารมี เป็นประเภทที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมา นอกจากจะตั้งใจทำมาหากิน และสะสมทรัพย์สมบัติเตรียมไว้ใช้จ่ายในบั้นปลายชีวิต เพื่อจะได้ไม่รบกวนคนอื่น แล้วในด้านความประพฤติ กิริยามารยาทก็ปรับปรุงตัวเองตลอดมา โดยคิดว่าวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อเราแก่ จะได้ไม่เป็นที่น่ารำคาญของลูกหลานในทางธรรมก็หมั่นศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ตั้งใจให้ทานรักษาศีล เจริญภาวนา มาตามลำดับ นอกจากนี้ยังคอยให้โอวาท อบรมสั่งสอนลูกหลานอยู่เป็นประจำ 

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรียก บุคคลประเภทนี้ว่า ปูชนียบุคคลของลูกหลาน คือเป็นที่น่าเคารพน่ากราบไหว้ คนแก่ประเภทนี้มีอยู่ในครอบครัวใด ครอบครัวนั้นก็จะเป็นสุขเสมือนมีพระอยู่ในบ้าน

1. พยายามตักบาตร ท่านทำบุญให้ทานมาตลอด ตักบาตรเป็นประจำทุกเช้า เป็นการสะสมเสบียงข้างภพข้ามชาติไปเบื้องหน้า

2. พยายามรักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัดทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านจะระวังศีลข้อ 4 ของท่านอย่างที่สุด คือไม่พูดเท็จ ทั้งไม่จู้จี้ขี้บ่น ทั้งทำตนเป็นคนอยู่ง่ายกินง่าย วันโกน วันพระ ก็พยายามรักษาอุโบสถศีล

3. พยายามหาเวลานั่งสมาธิให้มากที่สุด ท่านตั้งใจนั่งทั้งตอนเช้า กลางวัน และก่อนนอนตอนกลางคืน เพื่อทำใจให้ผ่องใส

ท่านประพฤติตนเป็นตัวเอย่างที่ดีให้ลูกหลานดู ยามว่างก็อบรมศีลธรรมให้เด็กเล็กในบ้าน เล่านิทานบ้าง เล่าประสบการณ์ชีวิตที่เป็นประโยชน์บ้าง เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้ลูกหลานตั้งตนอยู่ในศีลธรรม

ท่านจะไม่ยอมเข้าไปก้าวก่ายในเรื่องเขย สะใภ้เป็นอันขาด ทรัพย์สมบัติใดที่มีอยู่ก็เริ่มมอบให้เป็นภาระของบุตรหลานดูแลรักษาต่อไป คนแก่ประเภทนี้จะไม่เหงาหงอยในบั้นปลายชีวิต เพราะลูกหลานอยากใกล้ชิด อยากเข้าใกล้ เนื่องจากยิ่งเข้าใกล้ ก็จะได้ทั้งความรู้และความเย็นกายเย็นใจ

 

เทคนิควิธีที่ทำให้รักการเรียนรู้ตลอดเวลา

พิมพ์ PDF

เทคนิคง่ายๆที่ทำให้ผมรักการเรียนรู้ตลอดเวลา คือการสร้างแรงบันดาลใจให้รักการเรียนรู้ ทำชีวิตแบบง่ายๆปล่อยไปตามธรรมชาติ การเรียนรู้ของผมทำให้ผมสนุกและเพลิดเพลิน ผมจึงรักการเรียนรู้

เมื่อได้รับการเชิญร่วมแบ่งปัน "เทคนิควิธีที่ทำให้รักการเรียนรู้ตลอดเวลา" จาก ดร.จันทวรรณ รู้สึกว่าง่ายมาก เพราะปกติผมเป็นผู้ที่เรียนรู้ตลอดเวลาอยู่แล้ว เป็นนิสัยตั้งแต่เด็ก ผมจะเรียนรู้ทุกอย่างที่พบเห็นรอบตัว ไม่ว่าจะทำอะไร ก็จะมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ เมื่อทำแล้วเกิดปัญหา ก็จะต้องหาสาเหตุของปัญหาและนำมาวิเคราะห์ และแก้ไข เรียนรู้จากการทำงาน ตลอดเวลา ค้นหาวิธีการที่จะทำงานให้ดีขึ้น เร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพตลอดเวลา ศึกษาคนที่อยู่รอบตัว ทำความเข้าใจว่าทำไมเขาทำอย่างนั้น ทำไมเขาพูดอย่างนั้น การกระทำและการพูดของแต่ละคน ทำให้เกิดผลอะไร และนำกลับมาเป็นบทเรียนสำหรับตัวเอง ผมดึงทุกอย่างเข้ามาที่ตัว สิ่งไหนดีก็ทำสิ่งไหนไม่ดีก็ไม่ทำ ถึงแม้นบางครั้ง ไปทำหรือพูดสิ่งไม่ดี ก็จะได้รับผลไม่ดีออกมา ก็ต้องหาวิธีแก้ไข ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปตามนั้น สงสัยไม่รู้อะไรก็ต้องศึกษาและหาข้อมูลมาตอบโจทย์ให้ได้ ผมจะวิ่งไปหาความรู้ตลอดเวลา สิ่งไหนที่เกี่ยวข้องกับงานและชีวิตของผม ผมจะต้องวิ่งเข้าไปหาคำตอบ วิ่งไปพบคนที่ผมสามารถเรียนรู้จากเขาได้ คนเก่ง และคนดี เฉียดเข้ามาในชีวิตของผม ผมจะรีบใช้เวลาและหาโอกาสได้พูดคุยเรียนรู้แลกเปลี่ยนกับท่านเหล่านั้น ติดตามศึกษาเรียนรู้ผลงานของท่าน เรียนรู้จากความคิดและการกระทำของตัวเอง เรียนรู้จากคนรอบตัว หรือใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมอยากรู้ เรียนรู้จากการชมภาพยนต์ เรียนรู้จากการดูละคร เรียนรู้จากการอ่านหนังสือ เรียนรู้จากสัตว์ที่เราเลี้ยง เรียนรู้จากธรรมชาติ เรียนรู้จากคำสั่งสอนของศาสนาต่างๆ ศึกษา ค้นคว้า ทำ เรียนรู้จากผลที่เกิดจากการกระทำทั้งของตัวเอง และของผู้อื่น เรียนรู้วิธีการแก้ไข เรียนรู้จากประวัติศาสตร์  เรียนทั้งความสำเร็จและความผิดพลาดของคนทุกระดับ เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฎิบัติ ทุกโจทย์ต้องมีคำตอบ ยังไม่ได้คำตอบก็ต้องศึกษาค้นคว้า และหาคำตอบให้ได้ทั้งจากตัวเองและการสอบถามผู้รู้ ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งมีสิ่งท้าทายให้เรียนรู้และศึกษามากขึ้น มีสิ่งอำนวยความสะดวกและการเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้ง่ายและมากขึ้น เวลาดูเหมือนสั้นลง เพราะมีเรื่องให้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ไม่เคยสิ้นสุด เรื่องนี้ไม่ทันจบก็มีเรื่องอื่นให้สนใจเรียนรู้เพิ่มขึ้นมาอีก เราสามารถ้รียนรู้หลายๆสิ่งในเวลาเดียวกัน ยิ่งเรียนรู้มากก็ยิ่งสนุก ได้ทราบและได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆทุกวันวันละหลายๆเรื่อง โลกใหญ่มาก เต็มไปด้วยความรู้ เรียนรู้เท่าไหร่ก็ไม่หมด Internet และ social media เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ง่ายและมีต้นทุนต่ำที่สุด

กล่าวมานานขอตอบโจทย์ "ผมใช้เทคนิคอะไรที่ทำให้รักการเรียนรู้ตลอดเวลา" ก็ขอตอบอย่างง่ายว่า  "ผมสร้างแรงบันดาลใจให้รักการเรียนรู้" ทำทุกอย่างให้ง่ายและเป็นธรรมชาติ เพราะการเรียนรู้ของผมทำให้ผมสนุกและเพลิดเพลิน ผมจึงรักการเรียนรู้

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

20 มีนาคม 2556

 

ชีวิตที่พอเพียง : ๕๑๙. ฝึกเป็น CVO (๑)

พิมพ์ PDF

CVO ย่อมาจาก Chief Value Officer    เป็นคำที่ผมคิดขึ้นเองสนุกๆ    แต่เมื่อเอาไปฝอยให้หมอสุภกรฟัง ท่านดูจะเอาจริงเอาจังกับคำและความหมายของมันมาก   เพราะผมบอกว่า ผมกำลังจะแต่งตั้งตัวเองเป็น CVO ทำงานรับใช้สังคมไทย   เพราะคิดว่าสังคมไทยได้ให้อะไรๆ แก่ชีวิตผมมากมายแล้ว    ผมควรคืนกำไรให้แก่สังคม โดยการสถาปนาตัวเองเป็นผู้รับใช้สังคม โดยทำหน้าที่ CVO


ถ้าจะให้ความหมายง่ายๆ ของ CVO น่าจะได้แก่ “นักปั้นน้ำให้เป็นตัว”    แต่มีความหมายในแง่ดี   อาจต้องเปลี่ยนใหม่เป็น “นักปั้นลมให้เป็นตัว”    หรือ “นักปั้นดินน้ำลม ไฟให้เป็นตัว” คือทำหน้าที่นำเอาพลังแฝงในสังคมมาทำคุณประโยชน์   หรืออาจเรียกว่านักขยายเลือดดีของบ้านเมือง ก็น่าจะได้


เวลานี้สังคมไทยเรามีกลไกขยายเลือดชั่วมากเกิน   ไม่ค่อยมีกลไกขยายเลือดดี   การทำหน้าที่ขยายเลือดดีไม่มีคนจ้าง หรือจ้างก็กดค่าตัวต่ำมากจนไม่มีคนอยากทำ    สู้ไป รับจ้างขยายเลือดชั่วไม่ได้ ค่าตัวแพงลิบ


การขยายเลือดชั่วก็คือการกระตุ้นกิเลสตัณหาที่มีซ่อนอยู่ภายในตัวคนทุกคน (รวมทั้งผม   เวลาผมเผลอผมก็กระตุ้นเลือดชั่วของตัวเองเหมือนกัน)


ผมเจียมตัวว่าผมไม่ใช่เทวดาที่จะทำอะไรได้มากมาย   แถมยังแก่แล้วเสียอีก จึงต้องหาวิธีทำงานแบบคนแก่    คือทำงานเป็นเครือข่าย   แบบสมาชิกเป็นอิสระต่อกัน แต่ร่วมมือหาทางสร้าง synergy ต่อกัน   และมีวิธีทำงานแบบผ่อนแรง ทำน้อย สังคมได้ประโยชน์มาก   จึงวางแผนใช้ SSS เป็นเครื่องมือหรือเป็นคาถาประจำตัว CVO   ใครไม่รู้ว่า SSS คืออะไร ให้ไปอ่านในหนังสือ “ผู้บริหารองค์กรอัจฉริยะ” หนังสือขายดีของผม


ใครมาเป็นเครือข่ายขยายเลือดดี ผมก็จะเป่ากระหม่อมด้วยคาถา SSS   แต่คาถานี้ไม่ได้มี version เดียว    มันมีรายละเอียดปลีกย่อยปรับแต่งให้เข้ากับกาละเทศะและสาระของแต่ละเรื่องราว   จึงเป็นเรื่องสนุกที่จะได้ฝึกตนฝนปัญญา (ปฏิบัติ)

 

วิจารณ์ พานิช
๑๙ พ.ค. ๕๑

คัดลอกมาจาก http://www.gotoknow.org/posts/183830

 

แมงลักช่วยได้ ใครรู้บ้างว่าตัวเองแบกอุจจาระไปไหนต่อไหนกีกิโลกรัม?

พิมพ์ PDF

แมงลักช่วยได้ ใครรู้บ้างว่าตัวเองแบกอุจจาระไปไหนต่อไหนกีกิโลกรัม?
หมอพรทิพย์เคยผ่าศพพบอุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจ บางศพมีอุจจาระน้ำหนักถึง 10 กิโลกรัม มันตกค้างอยู่ได้อย่างไร

อุจจาระตกค้างอุจจาระตกค้าง เนื่องมาจาก
1. เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด
2.. กินอาหารที่มีกากใยน้อย
3. มีพยาธิ หรือ เชื้อรา ทำให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติ
4. ระบบดูดซึมเสีย เพราะน้ำมันพืชเคลือบ ทำให้น้ำที่ดื่มเข้าไป ไม่หมุนเวียน
5. ไม่ถ่ายอุจจาระเวลา 05.00-07.00 เช้า

หากถ่ายอุจจาระ หลังเวลา 7 โมงเช้า ลำไส้จะบีบให้อุจจาระขึ้นไปข้างบน เวลาถ่าย จะถ่ายไม่หมด แต่ไม่รู้ตัว ที่ปลายลำไส้จะมีประสาทปลายทวาร เมื่อมีอุจจาระที่เหลวพอ มาจ่อปลายทวาร ประสาทจะส่งสัญญานบอกสมองให้ปวดอึ หลัง 7 โมงเช้า

ลำไส้จะทำงานไม่เป็นปกติ บีบอุจจาระให้ขาดช่วง เวลาถ่ายจนรู้สึกว่าหมดแล้ว เราก็หยุด แต่ความจริง อุจจาระท้ายขบวนยังไม่ออก แต่มันถูกดันกลับขึ้นไป ไม่มาจ่อปลายทวาร ทำให้เราไม่ปวดอึ เราก็นึกว่าหมดแล้ว อุจจาระที่ค้างไว้นี้ ก็จะเกาะที่ผนังลำไส้พอมีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่า มันก็แซงหน้าไปก่อน แต่มันไม่สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้ พวกที่ค้างแข็งไว้ ก็เกาะติดแน่น

ฉะนั้น ทุกวันที่ถ่าย มันก็ถ่ายเฉพาะอึที่เหลวพอ ส่วนที่เหลือ ก็เกาะไปเรื่อย ๆ อุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือดต่าง ๆ

ในกระเพาะและ กดทับกระดูกหลัง ทำให้เกิดอาการมากมาย เช่น ท้องอืด ปวดหลัง ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่และสะบัก เวียนหัว อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เป็นฝ้า ไมเกรน และ อื่น ๆ


นั่นแหละเป็นที่มา..ที่คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่า เวลาผ่าศพจะเจออุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจบางศพ มีน้ำหนักอุจจาระถึง 10 กิโล

 

การนำอุจจาระตกค้างออกจึงจำเป็นต้องหาว่าเป็นที่สาเหตุใดใน 5 สาเหตุข้างต้น แต่ถ้าสามารถได้รับการตรวจด้วยลูกดิ่งเพนดูลั่มก็จะรู้ได้ สำหรับท่านที่ไม่สะดวกในการเดินทางมาให้ตรวจก็แนะนำให้ถ่ายพยาธิเสียก่อน แล้ว ลองสูตรอาหารดังต่อไปนี้

1. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 30 นาที ดื่มก่อนนอน
เม็ดแมงลักจะลากอุจจาระตกค้างออกมา ทานเป็นปกติได้ทุกวัน หรือ 3-4วันต่อสัปดาห์ แล้วแต่จะชอบ

2. นมสด 2 กล่อง (รวมจะได้ประมาณ 500 มิลลิตร) และ กล้วยน้ำว้า 2 ลูก ทานก่อน 6 โมงเช้า
ช่วงแรกควรทานติดกัน 3 วัน หากถ่ายก่อน 7 โมงเช้าเป็นปกติได้แล้ว ก็ลดมาเป็นสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือ ตามที่เห็นสมควร

3. ทานผักบุ้ง 2 กำมือ ผัด หรือ ต้ม ทำอาหารตามใจชอบ ผักบุ้งจะลากอุจจาระตกค้างออกมา

คราวนี้เรามาดูประโยชน์ของแมงลักกันบ้างค่ะ ว่าพืชพันธุ์ผลไม้ของไทย จะมีสรรพคุณดีๆอย่างไรกันบ้าง

ใครที่ชอบทาน "แมงลัก"ทราบถึงประโยชน์หรือไม่ วันนี้มีเกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

"แมงลัก" เป็นผักสวนครัว ที่มีหน้าตาคล้ายกับกะเพราและโหระพา เป็นผักที่รู้จักกันดี เนื่องจากนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารได้หลากหลาย เช่น เอาใบมาใส่ในแกงเลียง หรือกินสด ๆ คู่กับขนมจีนน้ำยา เป็นต้น

ประโยชน์ของ ใบแมงลัก คือ ช่วยขับเหงื่อ ขับลมในลำไส้ แก้วิงเวียน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ หรือจะนำใบแมงลักมาต้มกับน้ำ ดื่มเป็นประจำก็จะช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้หรือ โรคทางเดินอาหารได้ด้วย และใบแมงลักยังให้สารเบต้าแคโรทีนและแคลเซียม ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย

 

ส่วนเม็ดแมงลักก็มีสรรพคุณ คือ มักจะถูกนำไปทำเป็นอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน เนื่องจากเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน และยังมีสรรพคุณเป็นยาระบาย ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก แถมยังช่วยลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย

วิธีรับประทานก็ให้นำเมล็ดแมงลักประมาณ 2 ช้อนชา ผสมน้ำร้อน 1 แก้ว หรือจะชงกับน้ำผึ้งหรือน้ำสมุนไพรต่าง ๆ ก็ได้

ข้อควรระวัง จะต้องรอให้เม็ดแมงลักพองตัวเต็มที่เสียก่อนจึงค่อยกินไม่เช่นนั้น แทนที่จะช่วยระบาย ก็กลับจะทำให้ท้องผูกแทน

รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมหันมาทานแมงลักกัน เพื่อสุขภาพที่ดี

เครดิต: Lemonglass Closet

_/\_

Best regards,
นส.จิราภรณ์ เนื่องเจริญ *หน่อย*
Miss. Jiraporn Nuangcharoen *NOI*
Mobile:085-506-4499, 086-565-7599
081- 815-8598 ,087-134-6655
*สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ*
ธรรมทานชนะการให้ทานอื่นทั้งปวง

 

การเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างไร : ๑๒. พัฒนาการของนักศึกษาและบรรยากาศในชั้นเรียน : ทฤษฎี

พิมพ์ PDF

บันทึก ๑๖ ตอนนี้ มาจากการตีความหนังสือ How Learning Works : Seven Research-Based Principles for Smart Teaching ซึ่งผมเชื่อว่า ครู/อาจารย์ จะได้ประโยชน์มาก หากเข้าใจหลักการตามที่เสนอในหนังสือเล่มนี้  ตัวผมเองยังสนใจเพื่อเอามาใช้ปรับปรุงการเรียนรู้ของตนเองด้วย

ตอนที่ ๑๒ และ ๑๓ มาจากบทที่ 6  Why Do Student Development and Course Climate Matter for Student Learning?  ซึ่งผมตีความว่าเป็นการมอง “การเรียนรู้” ของ นศ. จากมุมที่กว้างกว่า “การเรียนวิชา”  เชื่อมโยงไปสู่ “การเรียนรู้ชีวิต” สู่วุฒิภาวะในทุกๆ ด้าน  และมองว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่าง นศ. กับ นศ.  และระหว่าง นศ. กับครูมีผลต่อการเรียนรู้มาก

ตอนที่ ๑๒ ว่าด้วยทฤษฎี  ตอนที่ ๑๓ ว่าด้วยภาคปฏิบัติ หรือยุทธศาสตร์

บทที่ ๖ เริ่มต้นด้วยคำบ่นผิดหวังขัดข้องของศาสตราจารย์ ๒ คน  ที่บรรยากาศในห้องเรียนไม่ราบรื่น  ไม่เอื้อต่อการเรียนรู้  เป็นการวางฉากสถานการณ์ในห้องเรียนที่สะท้อนความเป็น “ผู้เยาว์” ของ นศ.  และเรื่องที่ ๒ สะท้อนสภาพ “หวังดีกลับได้โทษ” ต่ออาจารย์


การพัฒนา นศ. อย่างเป็นองค์รวม

สัจจธรรมเกี่ยวกับ นศ. ก็คือ  นศ. ไม่ได้เป็นแค่สัตว์ปัญญา (Intellectual Being) แต่ยังเป็นสัตว์สังคม (Social Being) และสัตว์อารมณ์ (Emotional Being) ด้วย  ๓ ปัจจัยนี้บูรณาการกันเป็นตัว นศ. แต่ละคน และมีผลต่อผลสัมฤทธิ์ของการเรียน ทั้งของตัว นศ. เป็นรายคน และต่อชั้นเรียน

นั่นคือ กิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน  ไม่ได้มีประโยชน์ต่อ นศ. เฉพาะด้านการเรียนวิชาเท่านั้น  แต่มีประโยชน์เป็นการเรียนรู้องค์รวม ซึ่งหมายถึงการเรียนรู้ชีวิต ที่เรียกว่า การพัฒนานักศึกษา (Student Development) หรือการเอื้ออำนวยให้ นศ. เปลี่ยนสถานะจากนักเรียนมัธยม มาสู่การเป็น นศ. ซึ่งต้องฝึกรับผิดชอบตนเองในทุกด้าน  ได้เรียนรู้รอบด้าน ได้แก่ด้านการมีชีวิตไกลบ้าน ออกจากอ้อมอกพ่อแม่  ฝึกบังคับควบคุมตนเอง  การเข้าสังคมกับเพื่อน  การต่อรองรอมชอมกับเพื่อนร่วมห้อง ร่วมชั้น   การสร้างความเป็นตัวตนของตนเอง  การสร้างการยอมรับในหมู่เพื่อน  การจัดการด้านการเงิน  ตัดสินใจต่อเรื่องสุรา ยาเสพติด  เรื่องทางเพศ  และอื่นๆ   แล้วยังต้องตัดสินใจเรื่องการเรียน  จะลงเรียนวิชาใดบ้าง  จะเลือกวิชาใดเป็นวิชาเอก วิชาโท วิชาเลือก  จะเข้าเป็นสมาชิกชมรมใดบ้าง  จะเล่นกีฬาอะไร ฯลฯ

ช่วงชีวิตของ นศ. ระดับปริญญาตรี (อายุ ๑๗ - ๒๔ ปี) เป็นช่วงที่กำลังเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะทางสังคม และทักษะทางอารมณ์ หรือกล่าวใหม่ว่า เป็นช่วงที่ นศ. ยังไม่พัฒนาเต็มที่ใน ๒ ด้านนี้  ซึ่งตามความรู้ด้านประสาทวิทยาศาสตร์บอกว่า จะพัฒนาเต็มที่เมื่ออายุ ๒๕ ปี  แต่ประสบการณ์ชีวิตบอกผมว่า ยังมีพัฒนาการเรื่อยไปตลอดชีวิต

มีความจริง ๒ ประการเกี่ยวกับการเรียนรู้ด้านสังคมและด้านอารมณ์  ที่ได้จากผลการวิจัย คือ  (๑)​ ในช่วงชีวิตในมหาวิทยาลัย นศ. ได้รับประโยชน์ด้านการเรียนรู้เชิงสังคม และด้านอารมณ์  มากกว่าประโยชน์ด้านปัญญา (intellectual)  (๒) หากพัฒนาการ/การเรียนรู้ ด้านสังคมและอารมณ์ไม่ราบรื่น  จะมีผลทำให้การเรียนด้านปัญญาหรือวิชาการล้มเหลว


หลักการสำคัญ พัฒนาการของ นศ. มีปฏิสัมพันธ์กับบรรยากาศของรายวิชาในด้านสังคม อารมณ์ และปัญญา  และมีผลต่อการเรียนรู้


การพัฒนา นศ. (Student Development)

พัฒนาการของ นศ. เป็นประเด็นที่ครูต้องเอาใจใส่  ดังหลักการของการศึกษาแนวถือ นศ. เป็นศูนย์กลาง (Student-Centered) ว่า “ครูสอนศิษย์ ไม่ใช่สอนวิชา”

ครูจึงต้องทำความเข้าใจ และเอาใจใส่ สิ่งท้าทายต่อ นศ. ในด้าน สังคม อารมณ์ และปัญญา  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าครูต้องรับผิดชอบทำหน้าที่ฝึกทุกเรื่องแก่ นศ.  เรื่องที่ไม่ต้องทำหน้าคือเรื่องเงิน กับเรื่องปัญหาหัวใจ  ความเข้าใจนี้ จะช่วยให้ครูจัดบรรยากาศการเรียนรู้ได้เหมาะสมขึ้น

ความหมายของ การพัฒนา นศ. ในที่นี้ นิยามว่าหมายถึง การตอบสนองต่อความท้าทายด้านปัญญา สังคม หรืออารมณ์ ที่มีผลต่อความเจริญก้าวหน้าของ นศ.  โดยเน้นมอง นศ. เป็นกลุ่มในภาพรวม  และตระหนักว่า ระดับวุฒิภาวะของ นศ. แต่ละคนไม่เท่ากัน  และ นศ. แต่ละคนอาจมีระดับวุฒิภาวะบางด้านด้อยกว่าด้านอื่นๆ  เช่น นศ. บางคนอาจมีระดับวุฒิภาวะทางปัญญาและทางสังคมสูง แต่อ่อนด้อยด้านวุฒิภาวะทางอารมณ์

ผมขอหมายเหตุความเห็นของตนเองไว้ ณ ที่นี้ว่า  วงการศึกษาไทยมักไม่ได้มองอย่างที่ระบุในหนังสือบทนี้  ว่าครู/สถาบันการศึกษา ต้องเอาใจใส่การพัฒนานักศึกษารอบด้าน ไม่ใช่เอาใจใส่แค่สอนวิชา  ระบบการศึกษาไทยยังเอาใจใส่เฉพาะที่การสอนวิชากันอยู่


ทฤษฎีพัฒนาการของ นศ. แนว Chickering (The Chickering Model of student Development)

เป็นทฤษฎีที่เสนอว่าในช่วงเวลาในมหาวิทยาลัย นศ. ระดับปริญญาตรี มีพัฒนาการรวม ๗ ด้าน  ที่เขาเรียกว่าเป็น 7 vectors ที่มีอิทธิพลหรือเป็นพื้นฐานต่อกันและกัน คือ

 

 

๑.  การพัฒนาสมรรถนะ ซึ่งรวมสมรรถนะด้าน ปัญญา กายภาพ และปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล

 

สมรรถนะด้านปัญญา รวมถึงการพัฒนาทักษะด้านการเรียนรู้ในบรรยากาศมหาวิทยาลัย  ไปจนถึงทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะแก้ปัญหา

 

สมรรถนะด้านกายภาพ รวมถึงการเล่นกีฬา  ทักษะในการรับผิดชอบชีวิตและสุขภาพของตนเอง (ไม่ใช่อยู่ในปกครองของพ่อแม่อีกต่อไป)  การมีร่างกายแข็งแรง

 

สมรรถนะด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล รวมถึงทักษะด้านการสื่อสาร  ด้านกลุ่ม  และด้านภาวะผู้นำ

 

สมรรถนะทั้ง ๓ กลุ่มนี้ จะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ นศ. ว่า ตนจะสามารถเผชิญความท้าทายต่างๆ ได้

 

๒.  การจัดการอารมณ์ คือรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง  (ได้แก่ ความกังวล  ความสุข  ความโกรธ  ความขัดใจ  ความตื่นเต้น  ความหดหู่ เป็นต้น)  และมีทักษะในการแสดงออกอย่างเหมาะสม  ในตัวอย่างที่ยกมาตอนต้นบทของหนังสือ  การเรียนเรื่อง ผลกระทบทางเศรษฐกิจ จากผู้อพยพเข้าเมืองของสหรัฐอเมริกา ล่มลงกลางคัน เพราะ นศ. ไม่มีความสามารถในการจัดการอารมณ์


 

๓.  พัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง เป็นทักษะในการแยกตัวออกมาจากพ่อแม่  เข้ามาอยู่ในกลุ่มเพื่อน  และกลายเป็นตัวของตัวเองในที่สุด  ประเด็นสำคัญที่สุดคือการพัฒนาความสามารถพึ่งตนเองทางอารมณ์  และพึ่งตนเองในเรื่องต่างๆ ในชีวิต   ผลการวิจัยบอกว่าวัยรุ่นสมัยใหม่มีความยากลำบากในการพัฒนาเรื่องนี้มากกว่าวัยรุ่น สมัยก่อน  โดยกลไกการพัฒนาต้องผ่านการเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน (interconnectedness) เสียก่อน  แล้วจึงเคลื่อนสู่สภาพ พึ่งพาซึ่งกันและกัน (interdependence)

 

ครูต้องเข้าใจจิตวิทยาข้อนี้  สำหรับระมัดระวังไม่จัดสภาพห้องเรียนให้เข้าไปรบกวนขั้นตอนการพัฒนาตนเองของ นศ. ข้อนี้


 

๔.  สร้างอัตตลักษณ์ เป็นประเด็นสำคัญที่สุด ของทฤษฎี Chickering  โดยพัฒนาบนฐานของ 3 vector ที่ผ่านมา  และเป็นฐานของการพัฒนาอีก 3 vector ที่เหลือ  เป็นการพัฒนาความพึงพอใจ และความภาคภูมิใจ ในตนเอง  ทั้งด้านร่างกาย  รูปลักษณ์  เพศและเพศสภาพ  เชื้อชาติ  และชาติพันธุ์ ของตน

 

นศ. ที่มีวุฒิภาวะด้านอัตตลักษณ์ จะมีความมั่นใจในตนเอง และมีทักษะในการเคารพและรับฟังความเห็นของคนอื่นที่แตกต่างได้ดี  ไม่รู้สึกถูกคุกคามจากความคิดเห็นที่แตกต่าง  ช่วยให้กิจกรรมการเรียนรู้เป็นกลุ่ม และในชั้นเรียน มีการอภิปรายแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้อย่างราบรื่น ไม่เกิดความขัดแย้ง หรือทะเลาะเบาะแว้ง


 

๕.  พัฒนาความเป็นอิสระจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เป็นวุฒิภาวะด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล  ได้แก่ ตระหนักในความแตกต่างระหว่างบุคคล  และอดทน/ยอมรับ ความแตกต่างนั้น  วุฒิภาวะด้านความสัมพันธ์เชิงความรัก ก็จัดอยู่ในข้อนี้


 

๖.  พัฒนาจุดมุ่งหมายในชีวิต (purpose) พัฒนาจาก “ฉันเป็นใคร” ในขั้นตอนพัฒนาอัตตลักษณ์  สู่ “ฉันจะเป็นคนแบบไหน” ในขั้นตอนนี้  ได้แก่การพัฒนาความสนใจ อาชีพ และลีลาชีวิต  โดยสามารถผ่านอุปสรรค ความยากลำบาก ความไม่เห็นพ้อง ได้


 

๗.  พัฒนาความมั่นคงในคุณธรรม (integrity) เป็นประเด็นของความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน กับผลประโยชน์ส่วนรวม หรือของสังคม  ความรับผิดชอบต่อสังคม   เมื่อพัฒนาจนเกิดวุฒิภาวะ ก็จะเกิดการให้คุณค่าภายในจิตใจ ที่จะกำหนดพฤติกรรมต่างๆ

 

 

พัฒนาการทั้ง ๗ ด้านนี้ นศ. ยังอยู่ในช่วงของการฝึกหัดไปพร้อมๆ กันกับบทเรียนตามหลักสูตร และรายวิชา  และมีผลซึ่งกันและกันอย่างซับซ้อน  ครูพึงเข้าใจความซับซ้อนนี้ ที่กำลังเกิดขึ้นในชั้นเรียน และในสังคมมหาวิทยาลัย อยู่ทุกขณะ  สิ่งเหล่านี้ มีผลต่อ ความตั้งใจเรียน แรงจูงใจ ความขยัน ความเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ และเอกลักษณ์ในสาขาวิชาชีพที่ตนเลือก

ผมเถียง Chickering ว่าพัฒนาการทั้ง ๗ ด้านนี้ ไม่ใช่มาพัฒนาเอาตอนเข้ามหาวิทยาลัย  คนเราพัฒนาเรื่องนี้มาตั้งแต่อยู่ที่บ้านและเรียนอนุบาลเรื่อยมา   แต่จะต้องมาพัฒนาให้มั่นคง สู่ความเป็นผู้ใหญ่ในช่วงมหาวิทยาลัย


พัฒนาการทางปัญญา (Intellectual Development)

ฝรั่งเขาศึกษาพัฒนาการทางปัญญาในช่วงของการเป็น นศ. มหาวิทยาลัยมาตั้งแต่ช่วงปี 1950s   แต่หนังสือเล่มนี้ยึดตามทฤษฎีของ Perry (Perry W. (1968). Forms of intellectual and ethical development in the college years : A scheme. New York : Holt Rinehart & Winston.)  และคนอื่นๆ หลังจากนั้น ที่ได้ข้อค้นพบคล้ายคลึงกัน

หัวใจสำคัญคือ ในช่วงนี้ นศ. มีพัฒนาการหลายขั้นตอน  ในช่วงต้น นศ. จะคิดเป็น ๒ ขั้ว  ดำ-ขาว  ถูก-ผิด หรือทวิภาพ (duality) ในช่วงนี้ นศ. มองความรู้เป็นสิ่งสัมบูรณ์ (absolute) ที่เขียนขึ้นโดย “ผู้รู้”  มีครูเป็น “ผู้รู้”  นศ. มีหน้าที่เรียนและดูดซับความรู้ไว้  และเมื่อถูกถามก็ตอบให้ตรงกับที่เรียนมา

เขาบอกว่าแนวคิดแบบนี้เรียกว่า มุมมองเชิงปริมาณต่อความรู้ (quantitative view)  มองว่าการศึกษาคือการถ่ายทอด “ความรู้ที่ถูกต้อง”  ภายใต้ความเชื่อว่า สิ่งที่รู้ได้เข้าใจได้ เป็นที่รู้กันหมดแล้ว  และครูเป็นผู้ที่มีความรู้ ตอบได้ทุกคำถาม

ในขั้นตอนนี้ นศ. ไม่เห็นคุณค่าของการอภิปรายแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น

หลังจากนั้น มุมมองต่อความรู้และการเรียนรู้ ของ นศ. เปลี่ยนไปเป็นแบบ หลากหลาย (multiplicity) ความรู้กลายเป็นข้อคิดเห็น  ใครๆ ก็มีข้อคิดเห็นต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามแนวคิดของตนเองได้  ในขั้นนี้ นศ. จะไม่พอใจเรื่องการสอบ หากตนไม่ได้คะแนนดี  เพราะ นศ. ยังแยกไม่ออกระหว่างความเห็นที่ถูกต้อง กับความเห็นที่ผิด  ครูไม่ใช่ “ผู้รู้ ผู้ตัดสิน” อีกต่อไป  กลายเป็นความเห็นหนึ่ง เท่านั้น

ในขั้นตอนนี้ ความก้าวหน้าสำคัญ ๒ ประการคือ  (๑) นศ. มีใจเปิดรับความเห็นที่แตกต่าง  ไม่ยึดมั่นถือมั่นต่อ “ความรู้ที่ถูกต้อง”  (๒) การเรียนรู้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในแต่ละคน (personal)  แต่ละคนเรียนรู้ไม่เหมือนกัน  นศ. แต่ละคนมีสิทธิ์ที่จะสร้างความรู้ของตนเอง

ต่อจากนั้น นศ. จะพัฒนาก้าวสู่มุมมองเชิง สัมพัทธภาพ (relativism) นศ. เริ่มตระหนักว่า ความเห็นที่ต่างกันนั้นไม่เท่าเทียมกัน  ความน่าเชื่อถือขึ้นกับข้อมูลหลักฐาน  มุมมองต่อความรู้กลายเป็นมุมมองเชิงคุณภาพ (qualitative view)  ครูกลายเป็นผู้ชี้ทางและเป็น “คุณอำนวย”   และ นศ. ตระหนักว่า ไม่มีความรู้หรือทฤษฎีใดสมบูรณ์

ขั้นตอนสุดท้ายของพัฒนาการ นศ. เกิดความผูกพัน (commitment) มีความเข้าใจว่า แม้ไม่มีทฤษฎีใดสมบูรณ์ ก็ต้องเลือก ๑ ทฤษฎีหรือแนวคิดเป็นฐาน สำหรับเรียนรู้ต่อไป  เท่ากับความคิดของ นศ. วนกลับมาคล้าย ทวิภาพ  คือเลือกหนึ่งแนวทาง  แต่ไม่เหมือน เพราะในขั้นตอนนี้ ความคิดของ นศ. เข้าใจความแตกต่างหลากหลายแล้ว  และเลือกหนึ่งแนวทาง (โดยมีข้อมูลหลักฐานประกอบการเลือก) สำหรับเดินทางเรียนรู้ต่อ ในท่ามกลางความหลากหลายนั้น

พัฒนาการทางปัญญานี้ ไม่แยกจากพัฒนาการทางศีลธรรม  เมื่อพัฒนาการทางปัญญาเข้าสู่วุฒิภาวะ  พัฒนาการทางศีลธรรมก็ยกระดับขึ้นด้วย  เพราะขั้นตอนของพัฒนาการที่กล่าวมาแล้วเป็นการเรียนรู้  การเรียนรู้ที่แท้จริงมีธรรมชาติบูรณาการ  ไม่แยกด้าน

ยังมีผลงานวิจัยลงรายละเอียด เพื่อทำความเข้าใจขั้นตอนพฤติกรรมการเรียนรู้สู่พัฒนาการทางปัญญาอีกมากมาย แต่จะไม่นำมาลงในบันทึกนี้

ควรย้ำไว้ ณ ที่นี้ด้วยว่า นศ. บางคนอาจจบออกไปเป็นบัณฑิต โดยที่พัฒนาการนี้ยังไปไม่สุด  และผมขอสารภาพว่าผมเป็นคนหนึ่งในนั้น

ครูต้องหมั่นทำความเข้าใจขั้นตอนของพัฒนาการนี้  สำหรับใช้ทำความเข้าใจพฤติกรรมของ นศ.  และใช้ความเข้าใจนี้ในการจัดการชั้นเรียนให้มีบรรยากาศเอื้อต่อการเรียนรู้ ให้ “รู้จริง”


การพัฒนาอัตตลักษณ์ทางสังคม (Social Identity Development)

ทฤษฎีด้านอัตตลักษณ์บอกว่า อัตตลักษณ์ไม่ใช่สิ่งที่มีมาแต่กำเนิด  แต่เป็นสิ่งที่ต้องไขว่คว้า  และต้องจัดสมดุลระหว่างการพัฒนาอัตตลักษณ์ กับการทำงาน ตลอดชีวิต

อัตตลักษณ์เป็นสิ่งที่จะต้องสร้างให้ตัวเอง และปรับแต่ง ตลอดชีวิต  ผมขอแถมตรงนี้ว่า โปรดอย่าสับสนกับการ “สร้างภาพ”

ขั้นตอนสำคัญในการสร้างอัตตลักษณ์ เกิดขึ้นเมื่อบุคคลนั้นตั้งคำถามต่อเกณฑ์คุณค่า และสมมติฐานที่กำหนดโดยพ่อแม่และสังคม  นำมาใช้กำหนดเกณฑ์คุณค่าของตนเอง และมีลำดับความสำคัญของตนเอง

ทฤษฎีพัฒนาอัตตลักณ์ทางสังคมของ Hardiman & Jackson (อ่านได้ ที่นี่ และ Hardiman R, Jackson B (1992). Racial idendity development  : Understanding racial dynamics in college classrooms and on campus. In M Adams (Ed.). Promoting diversity in college classrooms : Innovative responses for the curriculum, faculty and institutions. (Vol. 52, pp. 21-37). San Francisco : Jossey-Bass.)อธิบายว่า มี ๓ ขั้นตอนของการพัฒนาอัตตลักษณ์ทางสังคมของ นศ. แต่ละคน

 

๑.  ช่วงเป็นเด็กเล็ก อาจเรียกว่าเป็นช่วง ไร้เดียงสา (naiive) คือมองเห็นความแตกต่างของผู้คน แต่ไม่มีการตีความหรือให้คุณค่าใดๆ

 

๒.  ช่วง ยอมรับ (acceptance) เกิดขึ้นหลังจากได้มีประสบการณ์ทางสังคมกับคนหลากหลายกลุ่ม  ได้รับรู้แนวคิดสมมติทางสังคม (social construct) หลากหลายแบบ  นศ. ส่วนใหญ่จะบรรลุวุฒิภาวะอยู่ที่ช่วงนี้  คือมีความพอใจ มั่นใจกับสภาพความเป็นจริงของตน

 

๓.  ช่วงต่อต้าน (resistance) เกิดขึ้นหาก นศ. มีประสบการณ์ความอยุติธรรมในสังคม

 

 

ผมอ่านเรื่องราวของทฤษฎีนี้แล้ว  มีความเห็นว่า เป็นทฤษฎีที่พัฒนาขึ้นจากสภาพสังคมอเมริกัน  ซึ่งแตกต่างจากสภาพสังคมไทย  ดังนั้น จึงเป็นโอกาสที่อาจารย์ไทยจะทำวิจัยเรื่องการพัฒนาอัตตลักษณฺนี้ ในบริบทไทย ได้อีกมาก


 

บรรยากาศที่มีผลต่อการเรียนรู้

การเรียนรู้ไม่ได้เกิดในสูญญากาศ  แต่เกิดขึ้นในบรรยากาศจริงของรายวิชา และสถาบันการศึกษา  บรรยากาศที่ดีมีผลเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา  และบรรยากาศที่ไม่ดีมีผลลบ

นอกจากนั้น บรรยากาศยังมีผลต่อพัฒนาการของ นศ. อีกด้วย

บรรยากาศในที่นี้มี ๔ ส่วน คือสภาพแวดล้อมด้านปัญญา สังคม อารมณ์ และกายภาพ  ที่ นศ. เผชิญในชั้นเรียน และภายในสถาบันการศึกษา  ตัวกำหนดบรรยากาศคือปฏิสัมพันธ์ต่างๆ ที่ซับซ้อน  เช่น ปฏิสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับ นศ.  การกำหนดระดับความยากง่าย เคร่งขรึมหรือสนุกสนานที่ครูกำหนด  ความเอาจริงเอาจังหรือท่าทีผักชีโรยหน้า  ลักษณะของประชากรในชั้นเรียน (เช่นจำนวน นศ. ต่างกลุ่มชาติพันธุ์)  ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง นศ.  และมุมมองที่แตกต่างที่นำเสนอในชั้นเรียน

มุมมองต่อบรรยากาศแบบคิดง่ายๆ คือมองเป็น ๒ ขั้ว ดี-ไม่ดี  ดีหมายถึงเท่าเทียมกัน  เกิดการเรียนรู้ดี  ไม่ดีหมายถึง เย็นชา  เหยียดผิว เป็นต้น

ประเด็นสำคัญคือ บรรยากาศเดียวกัน นศ. ต่างคนอาจรู้สึกต่างกันเป็นคนละขั้วก็ได้

ในความเป็นจริง ความแตกต่างของบรรยากาศ ไม่ได้แบ่งเป็น ๒ ขั้ว  แต่มีลักษณะลดหลั่นลงมาทีละน้อย ตั้งแต่ ดำ เทาแก่ และลดความเทาลงเรื่อยๆ จนขาว


ลักษณะท่าทางเฉพาะ (Sterotype)

ลักษณะท่าทางเฉพาะบางอย่างก่อกวนชั้นเรียน เช่นก้าวร้าว  เหยียดผิว  พูดมาก  คุยโว  ซึ่งบ่อยครั้งผู้มีลักษณะเช่นนี้ไม่รู้ตัว  ยิ่งถ้าครูมีลักษณะนี้ซ่อนอยู่  และ นศ. บางคนรู้สึก และความรู้สึกนั้นอาจก่อกวนให้ไม่อยากเรียน

ลักษณะท่าทางเฉพาะ มีทั้งแบบที่ก่อผลลบต่อบรรยากาศการเรียน  และที่ก่อผลบวก  เช่นครูที่มีมุขตลก ช่วยให้บรรยากาศการเรียนไม่เคร่งเครียด


ท่าที(Tone)

นี่คือท่าทีการสื่อสารของครูต่อ นศ. ทั้งในชั้นเรียน และนอกชั้นเรียน  ทั้งการสื่อสารเป็นลายลักษณ์อักษร  สื่อสารด้วยวาจา  และสื่อสารด้วยสีหน้าท่าทาง และพฤติกรรมอื่นๆ (non-verbal communication)  ครูพึงตระหนักว่า นศ. มีความไวต่อการสื่อสารแบบไม่ใช่ถ้อยคำเป็นพิเศษ  และครูที่มีความรักความเตตาต่อศิษย์ ก็จะสื่อสารความรักความเมตตาให้ศิษย์สัมผัสได้โดยง่าย

ผมมีความเห็นเพิ่มเติมจากในหนังสือว่า ท่าทีของครูที่เอื้อต่อบรรยากาศการเรียนรู้อย่างบูรณาการของศิษย์ มีทั้งท่าทีเชิงบวกตามที่กล่าวไปแล้ว  กับท่าทีเชิงลบ ตัวอย่างเช่น ครูควรแสดงท่าทีหรือจุดยืนที่ชัดเจนต่อพฤติกรรมทุจริต เช่นการลอกเลียนผลงานของผู้อื่นโดยไม่อ้างอิง (plagiarism)  การลักขโมยสิ่งของ  การลอกข้อสอบ  ว่าเป็นพฤติกรรมที่จะต้องได้รับโทษหนัก หากสอบสวนแล้วพบว่าทำจริง


ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง นศ. - นศ.  และ นศ. - อาจารย์

ผลงานวิจัยเรื่องนี้บอกว่า ปัจจัยด้านนี้ที่มีผลต่อบรรยากาศการเรียนรู้ เรียกว่า “ความรู้สึกต่อกันระหว่างอาจารย์-นักศึกษา” (Faculty Student Orientation)  ซึ่งหมายความรวมถึง การที่ นศ. รู้สึกว่าอาจารย์เอาใจใส่ปัญหาการเรียนของ นศ.  ครูเอื้อเฟื้อต่อ นศ. ชนกลุ่มน้อย  เข้าพบได้นอกเวลาเรียน  ปฏิบัติต่อ นศ. ในฐานะคน ไม่ใช่หมายเลข  เป็นต้น

ผลการวิจัยบอกว่า ปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อการเรียนในระดับที่ลึกซึ้งมาก


สาระ (Content)

ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อบรรยากาศการเรียน ที่กล่าวแล้วข้างบน เป็นปัจจัยด้านกระบวนการทั้งสิ้น  ผลการวิจัยบอกว่า ตัวสาระหรือเนื้อหาที่เรียน ก็มีผลกระทบต่อบรรยากาศการเรียนด้วย   ทั้งสาระ และวิธีการจัดการเรียนการสอน   จุดสำคัญคือ ช่วยให้ นศ. รู้สึกว่าวิชานั้นมีความหมายต่อชีวิตของเขา

ผมขอย้ำอีกทีว่า เมื่ออ่านหนังสือบทนี้จบ ผมเห็นโจทย์วิจัย หรือโอกาสทำวิจัยในห้องเรียนไทยมากมาย

 

วิจารณ์ พานิช

๓ ม.ค. ๕๖

คัดลอกจาก http://www.gotoknow.org/posts/522911

 


หน้า 507 จาก 561
Home

About Us

ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ (ศบม.) เป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำโครงการเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เป็นองค์กรสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ ช่วยแก้ปัญหาผู้ประกอบการภาคธุรกิจบริการที่ขาดแคลนบุคลากรที่มีมาตรฐานในการให้บริการ
อ่านเพิ่มเติม

มูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ ์

 iHDC Profile
บัญชีรายชื่อกรรมการ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน การเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ
เอกสารประชาสัมพันธ์ โครงการ HMTC.pdf
เอกสารแนะนำโครงการ HMTC 1.pdf
เอกสารโครงการ HMTC 2 คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ.pdf
iHDC นิติบุคคล.pdf
iHDC บุคคล.pdf
iHDC บุคคลเครือข่าย.pdf
รายงานการประชุม 6 มีนาคม 2560.pdf
ข้อบังคับมูลนิธิ
ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ
Ihdc-Profile and Roadmap 2016-2019 Mar 23 2560.pdf
รายงานการประชุมใหญ่คณะกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ 2559.pdf
คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ สาขาวิชาชีพ.pdf
รายงานการประชุมใหญ่วันที่ 18 ธ ค 2558 v 3.pdf
รายงานการประชุม วันที่ 24 ธันวาคม 2557 updated 4 มีนาคม 2558.pdf
iHDC-invitation Letter.doc
iHDC-Member Form Thai.doc
iHDC-Member Form English.doc
รายงานการประชุมกรรมการมูลนิธิศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์ วันที่ 15 มกราคม 2556 ฉบับสมบูรณ์


thaibetter
พัฒนาประเทศไทยแบบทวีคูณ และยั่งยืน ( ททค )

Login


แบบสำรวจ

สถิติเว็บไซด์

สมาชิก : 5642
Content : 3067
เว็บลิงก์ : 26
จำนวนครั้งเปิดดูบทความ : 8741385

facebook

Twitter


ล่าสุด

บทความเก่า